ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF Chanyeol & Rit ] - M . A . N .O

    ลำดับตอนที่ #3 : M.A.N.O - 2

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 57


     

    M.A.N.O - 2 
     

     

     

    [Rit Part]

     

    ผมยืนมองคุณพยาบาลที่กำลังตรวจร่างกายของใครบางคนที่ผมเพิ่งขับรถชนไปหมาดๆหมอนั่นกำลังนอนทำหน้าเอ๋อๆอยู่ในขณะที่แขนยังคงเข้าเฝือกแถมที่หัวก็ยังมีผ้าก็อตแผ่นใหม่แปะเอาไว้ที่เดิม

     

    “รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนรึเปล่าคะ?”

    “อะเอ่อยังเจ็บอยู่ไหมคะ”

    “อ่าวอทยัวเนม?”

     

    ผมเห็นพี่พยาบาลแอบเอามือตีหัวตัวเองพลางบ่นในความไม่เอาไหนทางด้านภาษาอังกฤษของตัวเองก่อนที่เธอจะหันมาเจ๊อะกับผมพอดีผมเลยส่งยิ้มแห้งๆกลับคืนไป

     

    “พอดีผมเป็นคนชนเขาเองน่ะครับ”

     

    เสมือนมีเอฟเฟคหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินคำว่าผมเป็นคนชนพี่พยาบาลคนสวยรีบเดินตรงปรี่เข้ามามืองามๆแปะลงบนไหล่ของผมพร้อมกับบีบนวดอยู่สองสามที

     

    “ถ้าอย่างงั้นพี่ฝากด้วยนะคะ”

     

    แล้วเธอก็บินหายออกจากห้องไป

     

    ทำไมทิ้งกันแบบนี้เนี่ยยยย!!!

     

     

    ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรจะเกลียดอีโมติค่อนหน้าแบบนี้ก็ตอนนี้แต่หมอนั่นกำลังทำหน้าแบบนั้นจริงๆนะ ตาโตๆที่กำลังมองมาฉายแววความสงสัยปนไร้เดียงสาขัดกับบุคลิกที่แลดูจะโตเป็นผู้ใหญ่ไม่น้อยกำลังมองมาที่ผมซึ่งผมเอ่อะ

     

    “….”

     

    ผมต้องพูดอะไรอะ

     

    “อันยองฮาเซโย”

     

    เฮ้ยๆผมว่าผมได้ยินพี่แก้มพูดคำนี้บ่อยๆอันยองๆมันแปลว่าอะไรนะใช่สวัสดีอะไรทำนองนี้ป้ะ!

     

    “อันยอง”

     

    “อ๊ะ&^*%&$&(^&*^(*&”

     

    พอหมอนั่นได้ยินผมพูดแบบนั้นก็รัวภาษาหอยหลอดอะไรสักอย่างมาเต็มซึ่งผมฟังไม่ทันและถึงฟังทันก็แปลไม่ออกอยู่ดี ไม่ได้กินกูเกิ้ลทรานสเลทเป็นอาหารนะเฟ้ยT^T

     

    “*&(#^^&%(&*()( / …หยุด!” ผมยกมือขึ้นเบรกไอ้คนป่วยที่กำลังพ่นคำพูดที่คนฟังแปลไม่ออกออกมาและได้ผล หมอนั่นนิ่งสนิท

     

     

    ผมเดินจ้ำเข้าไปใกล้ๆแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกคน

     

    “Can you speak English?”

    “….”

    “นี่คุณเป็นคนเกาหลีใช่ป่าว?”

    “…”

    “ฮัลโหลตอบหน่อยสิมัวแต่นิ่งแล้วใครจะไปรู้เรื่องด้วยเนี่ย.. .เออแฮะ ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องนี่หว่า”

    “….”

     

    โอ้ยยยยยยยยยยย

     

    ผมล่ะอยากจะวิ่งไปกรี๊ดหน้าตึกสักห้ารอบแล้วค่อยวิ่งกลับมาบีบคอหมอนี่แล้วก็บีบคอตัวเองไปด้วยเลย! ขับรถชนคนว่าซวยแล้วนี่ยังมาชนคนที่พูดกันคนละภาษาอีก  สกิลภาษาต่างประเทศที่มีติดตัวก็ได้แค่ภาษาอังกฤษภาษาเดียวแต่ดันใช้ไม่ได้นี่สิ!

     

    ฮึ่ม…!!

     

    ก๊อกๆๆ

     

    “เอ่อขอโทษนะคะ”

     

    ผมรีบปรับสีหน้าให้ดูอบอุ่นน่ารักสมกับที่เป็นเด็กดีเรียนเด่นหันไปหาพี่พยาบาลคนเดิม  เธอยืนส่งยิ้มละไมมาให้(แต่ไม่ยอมก้าวเข้ามา)อยู่หน้าประตู

     

    “น้องริทคะคุณหมอขอพบค่ะ”

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    [Chanyeol Part]

    ….

     

    ….ที่นี่มันที่ไหน

     

    แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

     

    ตั้งแต่ตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องสีขาวๆนี้แล้วรู้สึกเจ็บไปทั้งร่างกายแถมยังมึนๆอีกต่างหากผ่านไปสักพักนึงนู่นถึงจะมีคนเดินเข้ามาตรวจร่างกายตรวจอะไรผมก็ไม่รู้เต็มไปหมดแถมแต่ละคนก็ยังพูดภาษาต่างดาวใส่อีกต่างหาก

     

    โอ๊ยงงผมอยากกลับบ้าน!!

     

    บ้านที่อยู่ที่….เอ่อที่….

     

    ที่ไหนวะ!!!

     

    ใจผมหล่นตุ้บไปอยู่ที่พื้นเมื่อพยายามคิดแทบตายก็คิดไม่ออกว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน

     

    นี่ผมเป็นอะไรไปอะ?! ทำไมแค่บ้านของตัวเองก็จำไม่ได้

     

    บ้านของผม…

     

    เอ๊ะว่าแต่ผมเป็นใคร?

     

    ขอโทษนะครับคุณรู้จักผมกันไหมผมเป็นใครอะใครรรรรรร

     

    เฮเฮเย้เฮทททททททท!!

     

    เอ๊ะคุ้นๆแต่นึกไม่ออกว่ะ

     

    ฮึก….ผมเสียใจ

     

    นั่งทำหน้าเศร้าๆอยู่คนเดียวรู้สึกหมดอาลัยตายอยากยังไงก็ไม่รู้เกิดมาได้ยังไงบ้านอยู่ไหนเป็นใครแค่นี้ก็จำตัวเองไม่ได้แถมยังต้องมานอนอยู่บนเตียงนิ่งๆขยับแขนก็ไม่ได้หัวก็เจ็บอีกอะ

     

    นี่มันอะไรกัน T T

     

    แอ๊ดดด…..

     

    เสียงเปิดประตูทำให้ผมหันกลับไปมองเป็นคนตัวเล็กคนแรกที่ผมลืมตามาแล้วมองเห็นเขากำลังจับจ้องมาทางนี้  เดาไม่ออกหรอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

     

    “&%%$%*(รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนรึเปล่าคะ?)*W%@%$”

     “(◕‿◕)

    “*@(^^&$&()”

    (◕‿◕)”

    “อ่าวอทยัวเนม?”

     

    ผมที่ฟังอะไรไม่ออกได้แต่ส่งยิ้มให้คุณพี่สาวที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เธอทำหน้าลำบากใจก่อนจะหันไปคุยอะไรสักอย่างกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดท้ายก็รีบหนีหายออกจากห้องไปเดี๋ยวๆ ผมไม่ใช่ผีนะ ทำไมต้องรีบหนีไปด้วยอะแงงงงง

     

    บรรยากาศเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ชวนอึดอัดเท่าไหร่เกิดขึ้นทันทีที่เหลือผมกับคุณคนนั้นอยู่แค่สองคนเขายืนนิ่งราวกับคิดอะไรสักอย่างไม่ดิ น่าจะคิดอะไรหลายๆอย่างพร้อมกันอยู่ในหัวทีเดียวเลยอะคิ้วถึงได้ขมวดแบบนั้น

     

    “อันยองฮาเซโยผมตัดสินใจทักออกไปส่งยิ้มหวานๆทักทายด้วยนะ

     

    “….อันยอง”

     

    เฮ้ยยยยยยยแม้จ้าววววเขาพูดภาษาเดียวกับผม!!!

     

    อร๊ายยยยยดีใจยังกะจำได้ชื่อตัวเองได้เลยอ้ะ!!

     

    “คุณเข้าใจผมด้วยหรอเฮ้ยดีใจมากๆอะตอนแรกผมนึกว่าจะไม่มีใครพูดกับผมรู้เรื่องแล้วฮือดีใจจังว่าแต่คุณรู้ไหมว่าผมจะสามารถกลับบ้านได้ยังไงพอดีผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลยอะบ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้จริงๆผมจำชื่อตัวเองไม่ได้ด้วยนะแล้วคือ…/หยุดด!!!”

     

    เว๋?

     

    ร่างเล็กของคนที่ยืนอยู่ค่อยๆเดินเข้ามาก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆผมลอบกลืนน้ำลายกับความใกล้ชิดนั้น

     

    คนอะไรหน้าใสจัง

     

    Can you speak English?”

     

    คำถามนี้ผมแปลออกนะเฮ้ยยยแต่ผมกลับคลำหาเสียงในลำคอตัวเองไม่เจอไม่รู้ทำไม

     

    เขาสบถอะไรสักอย่างเป็นคำที่ผมไม่เข้าใจก่อนที่พี่สาวคนสวยจะเปิดประตูเข้ามาเรียกก่อนออกจากห้องเขาหันมามองหน้าผมอีกครั้งและในตอนนั้นเองที่ผมมีความคิดหนึ่งแว่บเข้ามาในหัว….

     

    …น่ารักจัง..
     

     +//////+

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .

    .

    .

    .

     

    [Rit Part]

     

    ผมเดินหน้าเครียดออกจากห้องอาจารย์หมอถามว่าทำไมต้องเครียดน่ะหรอ?เหอะๆ

     

    ก็อาจารย์หมออะดิฝากฝังให้ผมช่วยดูแลหมอนั่นเป็นการชั่วคราวระหว่างที่อาจารย์เดินเรื่องสืบหาว่าความจริงแล้วหมอนั่นเป็นใครแล้วถามว่าทำไมต้องเป็นผม?

     

    ก็ผมเป็นคนชนน่ะเซ่

     

    คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจไอ้เขตน่ะหายหัวไปตั้งแต่ที่มาถึงโรงพยาบาลแล้ว ป่านนี้แม้แต่เงาหัวมันก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น

     

    ไอ้เพื่อนบ้า

     

    ผมก็ใช่ว่าจะทิ้งความรับผิดชอบไปหรอกนะ แต่นักศึกษาแพทย์เรียนหนักแบบผมเนี่ยจะเอาเวลาที่ไหนไปอยู่เฝ้าคนเจ็บ

    เห้อ..แต่ยังไงซะก็คงต้องรับผิดชอบไปตามเวรตามกรรมล่ะนะ  ผมต้องพาเขาออกจากโรงพยาบาล เพราะเตียงโรงพยาบาลไม่ได้เยอะขนาดที่จะให้คนที่พอจะกลับบ้านได้มานอนนานๆได้หรอก ยังมีคนไข้อีกเยอะที่ต้องรองรับ..  แบบนี้เห็นทีที่พักฟื้นต่อไปของหมอนั่นคงไม่พ้นบ้านผมแหละ..

     

    แอ๊ดดดดด…

     

    เปิดประตูห้องเข้ามาอีกครั้งก็พบกับคนไข้หน้าเอ๋อที่ยังคงนั่งท่าเดิมหมอนั่นหันมาหาผมก่อนที่จะฉีกยิ้มให้ตามสไตล์เอาดีดีป้ะ? ผมว่าหมอนี่หน้าคุ้นๆอะเหมือนเคยเห็นตามทีวีหรือไม่ก็โปสเตอร์ที่ไหนสักที่แต่ก็นึกไม่ออก  ที่แน่ๆคิดว่าคงไม่น่าใช่โจรห้าร้อยก็หน้าเอ๋อๆแบบนี้จะไปทำอะไรใครเขาได้ล่ะเนี่ยเอ๊อออออ

     

    “^O^”

     

    เฮ่อ...  อ่ะนี่ชุดคุณ  เอาไปเปลี่ยนซะ”

     

    ผมยื่นชุดไปรเวทที่เจ้าตัวใส่ขณะโดนรถชนให้  ดีจริงๆที่แม่บ้านเอาไปซักแห้งให้มันก็เลยดูไม่โทรมมากเดี๋ยวเอาไว้ผมค่อยยืมของพวกเพื่อนๆที่มันตัวใหญ่ๆมาให้ก็แล้วกันนะ

     

    ( ̄▽ ̄)”

     

    “เลิกจ้องแล้วไปเปลี่ยนชุดได้แล้วผมยัดเสื้อผ้าใส่มือเขา ก่อนจะช่วยพยุงคนป่วยที่ยังนั่งมึนๆอยู่ให้เข้าไปในห้องน้ำลังเลอยู่นะว่าจะเข้าไปช่วยดีไหม แต่ไอ้รอยยิ้มชวนหมั่นไส้ที่อยู่บนหน้าอีกคนก็ทำให้ผมตัดสินใจได้ทันที

     

    เชิญเปลี่ยนเองตามสบาย~

     

     

     

     

     

     

     

     

    .
    .
    .
    .
    .

    .

    .

    .

     

    ณ บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น

     

    ผมจอดรถไว้หน้าบ้าน..

     

    หันไปมองคนข้างๆที่นั่งมาด้วย เขาเอาแต่จ้องมองรอบข้างด้วยใบหน้าตื่นเต้น.. 

     

    จะไว้ใจได้แค่ไหนนะ หวังว่าคงไม่ลอบฆ่าปาดคอผมขึ้นมาล่ะ - -

     

    “ถึงแล้ว.. นี่บ้านผมลงสิ”

     

    (◕.◕)”

     

    หน้าเอ๋อๆมองผมด้วยสายตา งง ๆ ..

    เออ ลืมไป ฟังไทยไม่รู้เรื่องนี่!!เฮ้อออ ปวดหัวจริงๆ

    ผมลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรถที่อีกฝ่ายนั่งก่อนจะดึงแขนซ้ายหมอนั่นออกมาให้ลงจากรถ

     

    “ฟังรู้เรื่องไม่รู้เรื่องผมก็จะพูด คุณต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนเข้าใจมั้ย  อันเดอร์แสต๊นน? มัสสเตวิท มี โอเค๊”

     

     

    “เอาเป็นว่าเข้าใจ มานี่ๆ”

     

    ผมลากแขนของคนตัวสูงเข้ามาในบ้าน  คนอะไรสูงชิบหาย คนหรือยักษ์  แถมหูยังกางอีก

     

    “นี่ห้องนอนคุณ เดี๋ยวพวกเสื้อผ้าอะไรที่เหลือผมจะหาให้ ถ้าจำอะไรได้ก็รีบบอกล่ะเข้าใจนะ”ผมพูดพล่ามตามประสาคนช่างพูด ก่อนจะตบบ่าคนตัวสูงเบาๆ กำลังจะหันหลังออกไปจากห้องรับรองแขกที่ให้คนป่วยยืมใช้ชั่วคราว  จู่ๆ มือของอีกฝ่ายก็มาคว้ามือผมเอาไว้

     

    “เด ! $^&*()#$wp@#%$^l%@&*#(*&^

     

    “ผมไม่เข้าใจอะ T T

     

    โคร่กกกกกกก~~~

     

     

    อ่อ.. อย่างนี้เอง  ภาษากาย(?)ง่ายนิดเดียว *0* 

     

    ไม่ต้องรอให้พูดภาษาเดียวกันผมเชื่อว่าทุกคนสามารถแปลความหมายมันได้  เสียงท้องร้องชัดแจ๋ว  แถมยังลูบท้องตัวเองป้อยๆให้ผมดูพร้อมกับตาโตๆที่เหมือนสงสัยอะไรตลอดเวลา ทว่าตอนนี้มันไม่ได้ดูสงสัยอะไรหรอก  มันน่าสงสารต่างหากล่ะ ฮ่าๆๆ

     

    หิวสินะ 

     

    .

    .

    .

    .

    .

     
     

    มาม่าชามโตหอมฉุยส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วบ้านพาลเอากระเพาะของผมร้องดังแข่งกับคนตัวสูงผมจัดการวางชามลงตรงหน้าร่างสูงและตัวเองเห็นเขากระพริบตามองสิ่งที่อยู่ในชามตาปริบปริบ

     

     

    “กินได้ใช่ไหม?”

     

     

    “โอเคลงมือกินกัน”

     

    เพราะความหิวทำให้ผมซัดฮวบๆลงท้องเช่นเดียวกับคนที่นั่งตรงข้ามเสียงสูดเส้นมาม่าของเราดังสลับกัน และในบางครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนน้ำมาม่าในชามของเขากระเด็นมาจนถึงอีกฝั่งนึง

     

    อร่อยมากไปป้ะ?

     

    พอกินเสร็จก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งยิ้มมองมาอยู่ก่อนแล้วในถ้วยของเขาแทบไม่เหลือแม้แต่น้ำของมาม่าเลยด้วยซ้ำอิ่มรึเปล่า?แต่มาม่าในตู้มันหมดแล้วนะดังนั้นผมจะสรุปเอาเองว่าเขากินอิ่มแล้วกัน

     

    “อื้อ…”

     

    เขาส่งเสียงขึ้นมาผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นดวงตากลมโตที่ดูร่าเริงกำลังจ้องมาแทนพร้อมกับรอยยิ้มโชว์ลักยิ้มที่ผมได้แต่แอบคิดในใจว่าเหมาะกับเขาเหลือเกิน…

     

    และ

     

    “Thank you ^^”

     

    เสียงทุ้มต่ำของเขาก็ฟังดูมีเสน่ห์จริงๆ

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     .



    ,




     

    เช้าวันต่อมาที่น่าจะเป็นเช้าที่แสนธรรมดาสำหรับผมเช้าที่ควรจะตื่นไปขึ้นราวน์วอร์ดและทำหน้าที่นักศึกษาแพทย์อย่างเต็มที่แต่ในตอนนี้มันกลับแปลกไปเมื่อผมลงมาก็พบเจอกับมนุษย์ต่างด้าวตัวโตๆหูกางๆนั่งอยู่

     

     

    “ให้ตายเถอะเมื่อไหร่คุณจะเลิกทำหน้าแบบนี้สักทีเนี่ย”

     

    ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนักขณะที่กำลังค้นหาชีทเรียนของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายอีกฝ่ายที่เห็นผมกำลังยุ่งก็เดินเข้ามาผมก็คิดว่าจะช่วยหาแต่เขาดันทำแค่ยืนอยู่เฉยๆ

     

    “อะไรอีกล่ะ?หิวข้าวรึไง”

    “แล้วนี่มีชื่อรึเปล่าเนี่ยวอทยัวเนม?”

    “เอ่อ.. I…forgot it”

     

    ผมชะงักเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้นพยายามมองไปยังอีกฝ่ายที่มักจะทำหน้าสดใสส่งนัยย์ตาเอ๋อๆมาให้บ่อยๆแววตาคู่นั้นไม่ได้กำลังโกหกผม เขาจำชื่อตัวเองไม่ได้จริงๆนั่นแหละ

     

    อยู่ๆผมก็นึกเรื่องสนุกขึ้นมาได้

     

    “นี่คุณอยากมีชื่อมั้ย?”

    (◕.◕)

    “ฮะๆๆหน้าคุณเอ๋อดีนะ”

    “งั้นผมจะเรียกคุณว่าเอ๋อก็แล้วกันดีมั้ย”

     

     

    “Your name is เอ๋อ”

    (+++)

     

    .
    .
    .

    .
    .
    .
    .

    .
    .

     

    เกือบแปดชั่วโมงที่ผมต้องทำหน้าที่นักศึกษาแพทย์ผู้แสนน่ารักของทุกคนวันนี้แฟนคลับมาหาเยอะมากแต่ยังดีหน่อยที่พวกเขาไม่มารบกวนการทำงานของผมอย่างมากก็แค่ยืนด้อมๆมองๆอยู่ข้างนอกเท่านั้น

     

    “ริท”

     

    เป็นไอเขตนั่นเองที่เรียกมันเดินเข้ามาหาผมก่อนจะยื่นถุงกระดาษมาให้

     

    “จะเอาไปทำอะไรวะ?”

    “ยุ่งน่า”

     

    ผมว่ามันนิดหน่อยก่อนจะคว้าถุงมาไว้ในมือมองของข้างในแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ น่าจะใช้ได้อยู่ล่ะนะอิอิ

     

    “แน่ะยิ้มไรอะ”

    “อะไร?”

    “ป่าวเห็นยิ้มอยู่คนเดียวจะถามว่าเป็นบ้าหรอ?”

    “= =”

     

    ผมแลบลิ้นใส่มันก่อนจะรีบเผ่นออกมาตอนแรกกะว่าจะหาซื้อกับข้าวกับปลาเข้าไปกินที่บ้านสักหน่อยแต่จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจกระทันหันคือแบบการอยู่บ้านเฉยๆมันก็น่าเบื่อใช่มั้ยล่ะเพื่อเป็นการรักษาสุขภาพจิตผู้ป่วยผมก็เคยคิดว่าแทนที่จะนั่งกินข้าวอยู่บ้านเฉยๆผมควรจะพาเขาออกไปข้างนอกบ้านจะดีกว่า

     

    เผื่อว่าเขาจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างเท่านั้นเอง

     



     

    พอขับรถมาถึงบ้านผมก็เห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่(ที่เริ่มคุ้นขึ้นมานิดนึง) กำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ดี..มาอยู่บ้านคนอื่นเขาก็ต้องช่วยเขาทำงานนับเป็นเรื่องที่ดีท่าทางเขาจะดูเก้ๆกังๆเพราะแขนอีกข้างจะยังใส่เฝือกไว้อยู่

     

    “นี่เอ๋อ”

    “This is Your Clothes

    ยื่นถุงผ้าที่เอามาจากไอ้เขตให้คุณเอ๋อ มือใหญ่ก็รับไปแบบงงๆ พอเปิดดูก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจ

    จากนั้นผมก็พยายามสื่อสารกับเขาให้เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ส่วนผมก็ไปอาบน้ำบ้างเหมือนกัน (แต่ไม่ได้อาบด้วยกันนะ อย่าคิดลึก)

     




     

    ผมพาคุณเอ๋อนั่งรถมาที่ บขส ให้เขาลองเดินๆดูแถวๆที่เกิดเหตุเผื่อจะจำอะไรได้บ้าง แต่คุณเอ๋อก็ยังทำท่างงกับทุกสิ่งบนโลกนี้อยู่ดี  เลยต้องมาจบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆกับ บขส นี่แหละ

    ผมยื่นเมนูที่มีรูปภาพให้คุณเอ๋อ ที่นั่งแตกตื่นกับสิ่งรอบข้างเหมือนเคย เขาหยิบเมนูไปดูด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่จะชี้ไปที่รูปลาบเนื้อรสแซ่บของร้านนี่  .. อ่อ เกาหลีอยากลองของแซ่บก็ไม่บอก เดี๋ยวริทจัดให้ชุดใหญ่ นี่ก็ไม่ได้กินนานละเหมือนกัน อิอิ

     

     

    อาหารมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ มีทั้ง ส้มตำ ลาบ ก้อย น้ำตก  ยำคอหมูย่างต้มแซ่บ รสจัดๆทั้งนั้น คุณเอ๋อมองดูบรรดาอาหารด้วยสีหน้าตื่นเต้นฮ่าๆ แล้วจะรู้ ว่ามันแซ่บแค่ไหน พูดละน้ำลายสอ กินเลยดีกว่า  ไปโลดหมู่เฮา

     

     

    “ย๊า !!! ซิ้ดส์ !!

     

    “เอ๊า ใจเย็นๆ กินข้าวเหนียวไปๆ ฮ่าๆๆๆ ค่อยๆกินดิ”

     

    “#$%^*($#^&*(&^%

     

    ผมทั้งขำทั้งสงสารคนตัวสูงที่นั่งหน้าแดงปากแดงมือที่ใช้การได้ข้างเดียวก็จับแก้วน้ำเย็นดื่มแบบรัวๆ เสียงทุ้มๆอุทานภาษาต่างดาวมาเป็นพักๆ น้ำหูน้ำตาไหลเป็นทาง ก้ากกก ก็ผมไม่รู้นิว่าเขากินเผ็ดไม่ได้ เลยจัดมาซะแซ่บเต็มโต๊ะ  ผมสงสารเลยสั่งข้าวผัดธรรมดา กับต้มจืดมาให้กินแทน

     

    “ไง คุณเอ๋อ กินได้มั้ยเนี่ย”

    ผมถามเพราะเห็นท่าทีเก้ๆกังๆ ของเขาที่พยายามจับช้อนตักข้าวผัดเข้าปาก ข้าวตกแล้วตกอีก ผมเลยอดใจช่วยไม่ได้

    “อ่ะ”

    ผมยื่นช้อนที่มีข้าวผัดพูนช้อนให้คุณเอ๋อ ตาโตๆนั่นจ้องมองช้อนแบบงงๆ ก่อนจะเลื่อนหน้ามางับช้อนที่ผมถือค้างไว้

     

    “เฮ้ย!” 

     

    ไม่ได้ป้อนนะเฮ้ยย นี่กะให้หยิบช้อนไปกินเองงงง

     

    =*=

     

    ..

     

     

     

    หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็พาคุณเอ๋อออกมาขับรถเล่นซักหน่อย เผื่อจะจำอะไรได้ ปากเขายังดูแดงๆเหมือนจะยังเผ็ดไม่หาย ไม่รู้ว่าแพ้พริกด้วยรึเปล่า ยังรู้สึกผิดอยู่นิดๆ

     

    “!@#$^&><%^&

    อยู่ๆเสียงทุ้มก็รัวภาษาเกาหลีที่ผมไม่เข้าใจ พลางชี้ไปที่ร้านค้าร้านนึงข้างทาง

     

    อ๊ะ!หรือเขาจำอะไรได้บ้างแล้ว?

    ผมรีบจอดรถที่หน้าร้านทันที 

     

    ร้านหมวก - -?

     

    หมวกหลากสีหลากสไตล์เรียงรายเต็มร้าน คนตัวสูง รีบไปหยิบหมวกหลายๆใบมาลองตอนแรกก็หยิบอันที่มันดูแล้วน่าจะดีอยู่หรอกนะ แต่ไปๆ มาๆ ร่างสูงดันไปหยุดอยู่ที่หมวกลายคิกขุไปซะอย่างงั้น

     

    นี่คิดว่าเข้ากับตัวเองมากสินะ = =

     

    ผมรีบเดินเข้าไปเบรคคุณเอ๋อที่ดูเหมือนจะเข้าโลกตัวเองไปแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไร อีกฝ่ายก็หันหน้ามาเสียก่อน ผมมองใบหน้าติดเอ๋อของเขาที่อยู่ในหมวกไหมพรมลายมิกกี้เม้าหูโตๆ แถมด้วยโบว์สีแดงอันเบ่อเร่อแปะอยู่ไอลำพังหมวกมันก็น่ารักอยู่หรอกนะ แต่พอมันมาอยู่บนใบหน้าเอ๋อๆ แล้วผมว่ามัน…

     

    อุปส์….ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

     

    โคตรตลกเลยอ๊ะ 5555

     

    คุณเอ๋อที่เห็นผมหัวเราะแบบนั้นก็ทำปากยื่น ซึ่งมันก็ยิ่งเพิ่มความตลกเข้าไปอีก ถ้าเขาตัวเล็กก็คงจะน่ารักจริงๆ นะ แต่นี่ตัวอย่างโย่ง ไม่ไหวๆ ฮ่าๆ

     

    ฮ่าๆคุณนี่ตลกจะอ๊ะ!”

     

    ปุ้!

     

    ฮ่าๆๆๆๆ

     

    คราวนี้เสียงหัวเราะเป็นของคนหน้าเอ๋อบ้าง ผมรีบหันไปส่องกระจกทันที พบว่าไอ้ที่คุณเอ๋อเอามาแปะหัวผมก็คือหมวกไหมพรมลายคล้ายกัน เพียงแต่ของเขามันเป็นสีแดง ส่วนของผมเป็นสีชมพู

     

    มินนี่เม้าส์นี่หว่า = =


    ฮ่าๆๆ

    ขำอะไร

     

    ผมเริ่มเข้าใจสาเหตุที่เขาทำปากยื่นแล้วแหละ ทำไมอะ ก็ผมตัวเล็ก ผมใส่ผมก็ต้องน่ารักกว่าเขาดิ แล้วเขาขำอะไร ชิ

     

    ไม่ต้องมาขำเลยนะ เดี๋ยวก็ไม่ซื้อให้หรอก

    “อย่ามายิ้มงี้ด้วยนะ เดี๋ยวตีตายเลย”

    “….ท่าจะบ้า -////-“

     

    ผมกลั้นยิ้มแล้วแสร้งทำเป็นมองหมวกใบอื่นเพื่อหลบสายตาที่กำลังมองมา รู้สึกว่ามือไม้มันเกะกะแล้วก็ร้อนๆ ที่แก้มชอบกล อ๊ะ ผมไม่ได้กำลังเขินนะ ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาจ้องหน้านานๆ ต่างหาก

     

    ยิ่งมาจ้องแล้วยิ้มแบบนี้นี่มัน….ฮึ่ยยยย

     

    สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวใจอ่อนหยิบหมวกสีแดงออกจากหัวเขา แล้วเดินไปที่เคาท์เตอร์ แต่คนตัวสูงกลับคว้าใบสีชมพูที่ผมอุตส่าห์เก็บไปแล้วติดมือมาด้วย แถมยังบังคับให้ผมซื้อทั้งสองใบอีก นี่ถ้าไม่ได้รู้สึกผิดมาจากร้านส้มตำไม่ซื้อให้หรอกนะ เชอะ

     

    “พี่พี่ริทใช่มั้ยคะ?”

    “เอ่อครับ แหะๆ”

     

    พนักงานที่เคาท์เตอร์ทำตาโตที่เห็นผม จากที่ตอนแรกจะเก็บเงิน กลายเป็นว่าเธอรีบวิ่งไปหยิบกระดาษกับปากกามาให้ผมแทน

     

    “หนูขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะพี่ริท คือหนูชอบพี่มากกกกกกกกกก นะคะ นะ”

     

    น่านนน น้องเป็นแฟนคลับผมอิอิ

     

    “ถ้าพี่เซ็นให้ น้องต้องลดให้พี่ด้วยนะ”

    “โอ๊ย ได้อยู่แล้วค่ะพี่ จริงๆให้ฟรียังได้เลยนะ”

    “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรครับ”

     

    แต่ถ้าได้ก็ดี คิกๆ

     

    ผมเซ็นลายเซ็นของตัวเองลงกับกระดาษแล้วกะจะส่งคืนให้เธอ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเธอกำลังมองคนข้างๆ ผมด้วยสายตาที่เอ่อ…

     

    “พะพี่ริทคะ”

    “ครับๆ”

    “พะเพื่อนพี่หรอคะ…”

     

    ผมหันไปมองคนข้างๆ ที่ส่งสายตางงๆมาให้ ก่อนจะหันกลับไปหาน้องคนขาย

     

    “ใช่ครับ”

    “พะเพื่อนพี่…”

    “….”

    “….หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกรี๊ดดดดดดดดดด ขอลายเซ็นได้มั้ยคะ ตายๆ หล่อลากสุดๆ”

     

    แล้วเธอก็กระวีกระวาดกรี๊ดกร๊าดถลาตัวเองเข้ามาหาคุณเอ๋อที่ทำหน้าเอ๋อหนักกว่าเดิม ดวงตากลมโตส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางผมเป็นระยะ ผมขำนิดหน่อยกับท่าทางนั้นก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงว่า ตามใจเธอหน่อยละกัน

     

    ว่าแต่คุณเอ๋อนี่หล่อมากขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย…. อันที่จริงผมต้องหล่อกว่ามิช่ายเหรออออออ เง้อ

     

    พอเสร็จภารกิจผมก็ได้จ่ายตังค์สักที แน่นอนว่าน้องเขาลดให้ผมเกือบครึ่งนึง แม่เจ้า! แค่เซ็นลายเซ็นครั้งเดียวได้ส่วนลดขนาดนี้ นี่มันทางสวรรค์ของเรืองฤทธิ์ชัดๆ ฮือ

     

    “ขอบคุณนะคะพี่ริท โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ อย่าลืมพาพี่สุดหล่อมาด้วยนะคะ อิอิ”

     

    ผมพยักหน้ารับก่อนจะเก็บเงินและยื่นถุงหมวกไปให้คุณเอ๋อเจ้าของหมวกใหม่ที่ยืนอมยิ้มอยู่ ก่อนออกไปได้ยินเสียงประตูร้านเปิดพร้อมกับร่างของเด็กผู้หญิงอีกคนที่น่าจะเป็นเพื่อนของน้องคนขาย เธอวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น

     

    “แกกกกกกกกกกกกกกก”

    “มีอะไรๆๆๆ”

    “ทำไมพี่ชานยอลไม่ไปเที่ยวกับเอ๊กโซ่ที่เหลืออออออ”

    “เดี๋ยวๆ แกพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”

    “ชานยอลเอ๊กโซ่อะแก ไปไหนไม่รู้ ไม่ไปเที่ยวกับอีกสิบเอ็ดคน แงงงงงงง”

     

    น้องผู้หญิงที่เป็นเพื่อนเธอทำท่าร้องไห้กระซิกๆ คว้าโทรศัพท์ยื่นให้เพื่อนดูอะไรสักอย่าง ผมมองอย่างงงๆ แต่ก็นะ ไม่ใช่เรื่องของเราซักหน่อย ถึงผมจะอยากรู้นิดๆก็เถอะ

     

    ผมรีบคว้าแขนร่างสูงให้เดินตามออกจากร้านไป แต่ยังไม่ทันจะก้าวออกจากร้าน เสียงของน้องคนขายคนเดิมก็ตะโกนตามหลังมา

     

    “อย่าลืมมาอีกนะคะพี่ริททททททททททท”

     

    ผมหันไปยิ้มและพยักหน้าให้กับเธอ เช่นเดียวกับร่างสูงที่ค้อมตัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณในแบบของเขา และทันทีที่ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของน้องที่เป็นเพื่อนคนขายก็ฉายแววตกใจ เบิกตากว้างขึ้นมาทันที

     

    “นะ…..นั่นมัน…”

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .







    TBC

     


     


     
    ว๊ายยยยยยยย  ชะนีน้อยคนนั้นจะจำพี่ปาร์คได้ไหมเนี่ยย โปรดติดตามตอนหน้านะจ๊ะ
    ขอบคุณทุกกระแสตอบรับในการมโนของเรานะคะ   นี่แต่งกันไปเขินกันเอง 5555555555+
    ใครมโนไม่ค่อยออก ให้นึกหน้าชานยอลในรายการรูมเมทไว้นะ ยังงั้นเลยย หน้าตา + บุคลิกยังงั้นเลย น่ารักฝุด เรื่องอาจจะดำเนินเร็วไปหน่อย ก็ฟิคสั้นไง  คุณหมอริทเรียนหนักไม่ค่อยมีคิวมา ต้องเข้าใจนะ อิอิ

    ปล. ฟิคเรื่องนี้มีไรเตอร์ถึง 3 คนด้วยกัน (ที่มาของชื่อสามติ่ง) ซึ่งส่วนใหญ่จะแต่งโดยไรท์ S  รีไรท์โดย ไรท์ N  ส่วน ไรท์ F (ที่สวยมาก) เป็นคนคิดพล็อต ละช่วยแต่งนิดหน่อย ละก็เป็นคนลงฟิคจ้า 


    ถ้า ขี้เกียจเม้นในนี้ ไปเม้นในแท็ก #ฟิคชานริท ก็ได้น๊าา   ไรท์ทุกคนตามอ่านอยู่  อิอิ 
    พบกันใหม่ตอนหน้าพรุ่งนี้จ้า  ><

     

    ลงชื่อ ( สามติ่ง )


     

    >SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×