คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : M.A.N.O - 6 [END ?]
..
อ๊ะ..ปวดหัวชะมัด
..
.
“...”
เสียงงุ๊งงิ๊งๆ ใกล้ๆนี่มันอะไร..
..
“....”
“......ชานยอลหลับไปหลายชั่วโมงแล้วนะ..ฮยองไม่ทำอะไรหน่อยหรอ ถ้าชานยอลเป็นเจ้าชายนิทราไปจะทำยังไง”
“ย๊า! หมอนี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก ขนาดใส่เฝือกที่แขนยังทำร้ายพวกฉันได้นานขนาดนั้น วิ่งตามกันจนหอบไปหมด”
“แล้วทำไมฮยองไม่พาชานยอลไปหาหมอละครับ”
“ขืนพาไปตอนนี้ คนก็ได้รู้กันหมดน่ะสิ นี่ฉันพยายามจ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อปิดเรื่องนี้ จะให้ความแตกได้ยังไง ถ้าที่บริษัทรู้ละก็ หัวขาดกันเป็นแถวแน่ ”
“ก็จริงของฮยอง..”
“....”
“อ๊ะ ฮยองฮะ ชานยอลกระพริบตาแล้ว”
เสียงดังนั่น… น่ารำคาญชะมัด.
,,
,,,
,,,,
1 วันต่อมา ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
“ชานยอล..นายเดินดีๆนะ ระวังอย่าให้แฟนๆมาโดนแขนข้างที่นายใส่เฝือก”
แบคฮยอนกระซิบพลางพยายามจัดๆเสื้อแขนยาวตัวใหญ่ให้ผม
“แค่นี้ก็เรียบร้อย นายเหมือนคนปกติไม่มีเฝือกแล้ว”
“ไปกันเถอะ”
ทันทีที่พวกเราวงเอ็กโซก้าวลงจากรถตู้ เสียงกรี๊ดเสียงรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปก็ดังลั่น แฟนๆที่รออยู่กรูกันเข้ามาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดพวกเรามากที่สุด การ์ดเกือบ 30 คนมีจำนวนมาก แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่มากพอสำหรับการป้องกันพวกเราจากบรรดาแฟนคลับนับพันที่สนามบิน แรงเบียดเสียดรอบทิศทางทำให้เราโดนอัดกันประหนึ่งปลากระป๋อง
“อ๊ะ!”
ผมรู้สึกเจ็บจุกแปล๊บๆเมื่อโดนเบียดมาทางฝั่งขวา ฝั่งที่มีเฝือกอยู่
“ระวังหน่อยสิ”
พี่คริสกระซิบพลางเดินมาขนาบด้านขวาผมไว้ คงช่วยบังเฝือกนั่นแหละ
ตามด้วยสัมผัสอุ่นๆตรงมือซ้ายที่ทำให้ผมต้องก้มลงมอง ปรากฎว่าเป็นแบคฮยอนที่จับมืออีกข้างของผมอยู่
“เดินระวังหน่อยนะฮยอง..”
เสียงกระซิบจากเซฮุนดังขึ้นข้างหลัง..
ตอนนี้ผมกำลังถูกเมมเบอร์ประกบเพื่อช่วยให้ผมสามารถเดินฝ่ากองทัพแฟนคลับไปยังเกทอย่างปลอดภัย..
..
..
“ขอบคุณนะ...”
..
…
….
…..
……
ที่นั่งในชั้น first class ถูกจับจองด้วยเหล่าสมาชิก EXO และทีมงาน ผมนั่งอยู่ริมหน้าต่างข้างๆกับพี่เมเนเจอร์..
เมื่อนึกถึงหมวกสีแดงลายการ์ตูนแบ๊วๆตระกูลดิสนีย์ในกระเป๋าถือก็อดใจที่จะหยิบขึ้นมาดูไม่ได้..
ความทรงจำที่แสนดีของผม..
“นี่ชานยอล ตอนฉันเห็นนายใส่หมวกอันนี้นะ โคตรขำ” พี่เมเนเจอร์กระซิบพลางกลั้วหัวเราะไปด้วย
ชิส์
“ว่าแต่.. นายไม่คิดจะบอกคนที่ดูแลนายที่นั่นหน่อยหรอว่านายเป็นใคร? ให้รูปนายลายเซ็นนายไปอะไรแบบนี้ ”
..
“แบบนี้ก็ดีแล้วพี่...เดี๋ยวตกใจเปล่าๆ เป็นข่าวทำไง..”
..
หลังจากผมฟื้นขึ้นมาผมก็กลับมาอยู่โรงแรมที่กรุงเทพทันที (ความรู้สึกเหมือนหายตัวได้) แล้วผมก็จำได้ทุกๆอย่าง จำเมมเบอร์ทุกคนได้ จำพี่เมเนเจอร์ที่ผมมวิ่งหนีมาได้..
จำได้แม้กระทั่งสัมผัสนุ่มนิ่มที่ริมฝีปากผม…
ในคืนที่เราดูดาวด้วยกัน...
หลังจากนั้นก็มีหมอจาก รพ.มาตรวจร่างกายผมถึงที่โรงแรม สภาพร่างกายผมไม่มีอะไรมากนอกจากแขนหัก และอ่อนเพลียเล็กน้อย..
หากผมเป็นเพียงคนธรรมดา...
ผมคงจะกลับไปหาคุณหมอที่กอแกดอะไรนั่น..
แต่ผมมีสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้รู้ว่าผมไม่ควรทำให้มันยุ่งยาก..
ผมมีความฝัน...
ความฝันที่ไม่ใช่แค่ของผมคนเดียว..
ในความฝันของผมยังมีเพื่อนพี่น้องของผมอีก 11 คนที่ต้องร่วมทางเดินไปด้วยกันอีก..
ความฝันที่ชื่อว่า “ EXO”
ผมขอร้องให้พี่เมเนเจอร์ช่วยส่งจดหมายและของขวัญของผมกลับไปให้คุณหมอ แล้วบอกให้เขารู้ว่าผมปลอดภัยไม่ต้องห่วง
แล้วที่ผมไม่ยอมบอกเขาว่าผมเป็นสมาชิกวง EXO ที่โด่งดังของเกาหลี ไม่ใช่เพราะผมกลัวเขาแพร่งพรายจนเป็นข่าวเหมือนที่ผมบอกพี่เมเนอเจอร์นะครับ
อา.. ผมบอกไปพวกคุณจะว่าผมปัญญาอ่อนมั้ย?
สำหรับคุณหมอคนน่ารักคนนั้น...ผมอยากเป็นแค่ ‘คุณเอ๋อ’ คนธรรมดาที่เขารู้จัก ..
ผมอยากให้เขามองผมเป็นคนเดิมมากกว่า..
ถ้ามีโอกาส ผมก็อยากกลับมาหาเขาที่นี่อีก ..
ถ้ามีโอกาส..ผมก็อยากให้เราได้เจอกันอีกจริงๆ..
และถ้าเป็นไปได้ ผมก็หวังว่าเค้าจะเข้าใจกับสิ่งที่ผมส่งไปให้นะ
….
…….
………
เสียงแอร์โฮสเตสพูดต้อนรับพร้อมบอกวิธีคาดเข็มขัดและการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นสัญญาณว่าเครื่องใกล้จะออกแล้ว
อา...น้ำตาจะไหล T Tคิดถึงคุณหมอจังเลย แง้
แต่ก็… ช่วยไม่ได้จริงๆ
…
ไว้พบกันอีกนะครับ
..
ความทรงจำที่มีค่าของผม...
6 เดือนผ่านไป..
ณ กรุงโซล
“เห้ยไอ้พ็อตมาถ่ายรูปให้กูหน่อย”
“โหยอากาศเย็นๆแบบนี้กูฟินมาก”
“เห้ย พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ตอนนี้ผมและเพื่อนๆคณะแพทย์พากันมาเที่ยวที่เกาหลี ช่วงปิดเทอม เป็นเรื่องปกติสำหรับผมที่พอมีเวลาว่างปุ๊บก็จะพาเพื่อนบ้างครอบครัวบ้างไปเที่ยวต่างประเทศ ที่ที่ไปบ่อยมากคือญี่ปุ่น เป็นประเทศในดวงใจของผมตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ ผมชอบอาหาร อากาศและวัฒนธรรมของที่ญี่ปุ่นมาก ส่วนที่เกาหลี ผมก็เคยมาสมัยที่ยังดรอปเรียนทำงานเป็นริทเดอะสตาร์ แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว
แต่ที่ผมเลือกมาเที่ยวที่นี่มันมีอีกเหตุผล..
ไอ้มนุษย์เอ๋อ!! ไอ้บักเกาหลีสับปะรังเค ไอ้หัวแดง ไอ้ตาโปน ไอ้หูกาง ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ!!!!
หนีมาไม่ยอมลากันซักนิด!!
ยอมรับครับว่าหลังจากที่ได้รับกล่องของขวัญที่มีรูปโพลารอยด์ปริศนาและกระดาษที่เขียนภาษาเกาหลีเต็มไปหมด ตอนนั้นผมตกใจมาก ไม่ใช่อะไร ไอ้คุณเอ๋อมันลืมไปรึไงว่าผมอ่านภาษาเกาหลีไม่ออก กว่าจะหาคนแปลให้ได้ ก็ปาไปเป็นค่อนคืน แล้วคนที่แปลให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จียอน สอนภาษารัก เพื่อนร่วมค่ายที่เรียกผมว่า “อิปลวก” นั่นเอง (นี่รู้สึกตัวเองโง่มากที่ลืมไปว่ามีคนรู้จักเป็นคนเกาหลี) ใจความในจดหมายนั้นบอกแค่ว่า เขาปลอดภัยดี จำทุกอย่างได้แล้ว และก็ต้องรีบบินกลับเกาหลีแบบด่วนๆ...ในตอนนั้นผมแทบอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก
ทั้งโล่งใจ...ที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับเขา
ทั้งโกรธ...ที่จู่ๆ เขานึกอยากจะไปก็ไป
และน้อยใจ...ที่เขาทิ้งกันไปโดยไม่เอ่ยคำลาซักคำ
ผมแทบจะเขวี้ยงอีพวงกุญแจที่ซื้อกับไอ้คุณเอ๋อที่ถนนคนเดินทิ้งไปหลายครั้ง
แต่สุดท้าย...ก็ทำไม่ลง....
ผมหยิบรูปโพลารอยด์ปริศนารูปนั้นขึ้นมาดูมันเป็นรูปมือของใครซักคนที่เขียนปากกาสีดำลงกลางมือเป็นภาษาเกาหลีที่แปลว่า “กินฟรี” แล้วข้างล่างก็มีที่อยู่ของอะไรซักอย่าง....ที่เกาหลี..
และนั่นคือเหตุผมที่มาที่นี่เพราะเห็นคำว่ากินฟรี.. ? โว๊ะ ใช่ที่ไหนกันเล่า!ที่ผมมาที่นี่เพราะผมหวังว่าจะได้เจอไอ้คุณเอ๋อต่างหาก ถ้าเจอนะจะด่าให้หูดับเลย ฟังไม่ออกช่างแม่ง
“อันยองฮาเซโย”
ผมพยักหน้ายิ้มรับพนักงานสาวที่เดินมาต้อนรับ แล้วเดินตามเธอไปเพื่อหาโต๊ะที่ว่างพอสำหรับพวกเราทุกคน บรรยากาศร้านสบายๆ ที่มองแล้วเพลินตา ทำให้ผมมองไปรอบข้างได้อย่างไม่เบื่อ ผมกวาดสายตาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายตาไปบรรจบลงที่มุมๆ หนึ่ง...
มุมที่ริมกำแพงมีรูปใบหน้าเอ๋อๆ ของใครบางคนที่ผมเคยคุ้นเคยแปะอยู่
ถึงเราจะเจอกันแค่ไม่กี่วัน จะคุยกันไม่รู้เรื่อง หรืออะไรก็ตามแต่...
แต่ผมจำเขาได้ดี...
“ไอริท จะไปไหน?”
ผมยกมือเบรกเพื่อนและหันไปบอกให้พวกเขาหาอะไรกินกันไปก่อน ก่อนที่ผมจะพาตัวเองมายังมุมนั้น...
ตามบอร์ดที่ติดอยู่ที่กำแพงมีรูปภาพของคนหน้าเอ๋อหูกางเต็มไปหมด ทั้งรูปเล็ก รูปใหญ่ หรือแม้กระทั่งรูปแฟนอาร์ตที่ดูก็รู้ว่าคงเป็นรูปของเจ้าตัว ผมแปลกใจนิดหน่อยที่ที่นี่ติดของแบบนี้เอาไว้เยอะแยะ ไอ้คุณเอ๋อเป็นเจ้าของร้านหรอ? ถ้าใช่ก็นับว่ากล้ามากนะ ที่เอาหน้าตัวเองมาโชว์ลูกค้าแบบนี้ ...เกิดลูกค้าเห็นแล้วกินไม่ลงจะทำยังไงงงง!
ฮ่าๆๆๆ
ผมหลุดขำออกมากับความคิดของตัวเอง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่มีใครที่เห็นรูปพวกนี้แล้วกินไม่ลง จะมีก็แต่เจริญอาหารมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวซะมากกว่า ....ก็ไอ้คุณเอ๋อน่ะ หน้าตาธรรมดาที่ไหนกัน....
ผมมองไปบนโต๊ะตัวยาวที่มีสมุด หนังสือมากมายวางเรียงรายเอาไว้ มันดูคล้ายกับสมุดแฮนด์เมดที่แฟนคลับเคยทำให้ผมสุดๆ พอเปิดดูก็เจอรูปเกี่ยวกับคุณเอ๋อมากมาย ทั้งรูปตอนเด็ก ตอนที่เรียนมัธยม หรือแม้กระทั่งตอนที่เขากำลังจับไมค์ยืนร้องเพลงอยู่บนเวที...หืม?
อยู่....บนเวที....งั้นหรอ
ผมลองเปิดสมุดเล่มอื่นดูบ้าง ถึงจะอ่านภาษาเกาหลีไม่ออกก็เถอะ แต่ดูจากรูปภาพแล้ว มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกๆ...
คุณเอ๋อคงไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการรับจ๊อบร้องเพลงหรอกใช่มั้ย?...
...คงไม่ใช่หรอก
คนรับจ๊อบที่ไหนจะมีแผ่นอัลบั้มเป็นของตัวเองขนาดนี้....
ผมวางสมุดลงที่เดิมก่อนจะหยิบกล่องซีดีเพลงที่วางเอาไว้อยู่ขึ้นมาดู บนหน้าปกนั้นมีคนหลายคนที่มองผ่านๆ แล้วหน้าตาเหมือนกันไปหมด แต่พอลองพิจารณาดูทีละคนแล้วจึงจะรู้ว่าแต่ละคนหน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว
โดยเฉพาะคนหูกางที่เด่นเหลือเกินในสายตาผม
ตลอดระยะเวลาในการนั่งอยู่ที่ร้านนั้นช่างยาวนาน ในหัวสมองของผมมันว่างเปล่าจนคิดอะไรไม่ออก แม้กระทั่งรสชาติของอาหารที่ตัวเองกินเข้าไปยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมกำลังคิดว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า?
ผมแค่อยากจะมาตามหาไอ้คุณเอ๋อหูกาง ที่ติ๊งต๊อง ชอบทำหน้าแบ๊วๆ ขัดกับตัวเอง
ผมแค่อยากจะมาด่าเขาสักสิบยี่สิบคำ ให้เขารู้สึกผิด แล้วเราก็จะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม..
ดูเหมือนอะไรๆ มันก็ผิดไปหมด
ผมคิดว่าถ้าเราได้เจอกันอีกสักครั้ง ระยะห่างของพวกเราคงจะลดลง
แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนมันจะไกลออกไปล่ะ...
.
.
.
.
.
.
.
.
“คัมซาฮัมนีดา ทาอึมเม โต โอเซโย”
ผมพยักหน้าให้กับพนักงานสาวสวยที่ยังคงโค้งและยิ้มให้เสมอ แม้ว่าพวกเราจะมากินฟรี ก่อนจะออกจากร้าน เธอส่งซองสีทองผูกด้วยริบบิ้นอย่างดีมาให้กับผม และพูดเป็นภาษาอังกฤษแบบแปร่งๆ ว่าคุณเจ้าของร้านฝากมาขอโทษที่ไม่ได้มาต้อนรับด้วยตัวเอง และเธอก็ฝากซองนี้มาให้กับผมที่เป็นคนถือโพราลอยด์กินฟรีใบนั้นอยู่ในมือ
หรือว่าคุณเอ๋อจะฝากมา??
ผมกำซองสีทองนั้นจนแน่น ใจร่ำๆ อยากจะเปิดซองใจจะขาด แต่ติดตรงที่ว่าผมมีความกล้าไม่พอ...
ถ้าผมเปิดมาแล้วเจอเช็ดเงินสดสิบล้านมันจะเป็นยังไง?
อ่าว ไม่ใช่หรอ โอเค เอาใหม่...
ถ้าผมเปิดมาแล้วเจออะไรที่มันเซอร์ไพรส์มากกว่าการที่รู้ว่าเขาเป็นนักร้องนักเต้นอะไรนี่ ผมจะทำยังไงดีล่ะ...แค่นี้ผมว่าเราก็ห่างกันมากพอแล้วนะ...
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเปิดมันออกมา...
บัตรสีขาวสะอาดที่ตีพิมพ์อย่างสวยงามด้วยภาษาเกาหลี เป็นภาษาที่ผมเพลียมาตลอดทั้งเรื่อง ผมอ่านมันไม่ออก แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก ยังมีบางบรรทัดที่เป็นภาษาอังกฤษที่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นใจความสำคัญของทั้งหมดทั้งมวล
1st concert “EXO The lost planet in Seoul”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
END ?
ความคิดเห็น