คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ติ่งที่ 2
ติ่งที่ 2
จงแดบอกลาเพื่อนร่วมงานในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตนทำงานพาร์ทไทม์อยู่ก่อนจะเดินออกจากร้านมา สองขาก้าวไปตามทางเดินของห้างที่มีไฟสลัวๆ อยู่เพื่อไปยังลิฟต์ด้านหลังสุดของห้าง เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว ร้านรวงภายในห้างจึงพากันปิดไปเกือบหมด จะมีก็แต่บรรดาร้านอาหารที่ยังต้องทำความสะอาดร้านและเช็คของต่างๆ ก่อนจึงจะปิดร้านได้ที่ยังคงมีไฟส่องสว่างอยู่บ้าง
เพราะเป็นวันอาทิตย์ทำให้คนเข้าร้านเยอะเป็นพิเศษ และด้วยความที่ร้านอาหารที่ทำอยู่นั้นเป็นร้านแบบบุฟเฟต์ด้วยแล้วจึงถือว่างานหนักพอสมควร จงแดจิกเกร็งเท้าตนเองเองระหว่างที่รอลิฟต์เลื่อนมายังชั้นที่ตนยืนรออยู่เพื่อหวังจะคลายความปวดเมื่อยลงบ้างเนื่องจากวันนี้เขาแทบจะไม่มีเวลาได้นั่งพักเลย
“ไงพวก”
เสียงเอ่ยทักทายพร้อมแรงตบเบาๆ ที่ไหล่ขวาทำให้จงแดหันไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของเขาเอง จงแดยกมือตัวเองขึ้นตบบ่าทักทายอีกคนกลับไปบ้าง
“ว่าไงอี้ชิง วันนี้เข้ากะดึกเหมือนกันเหรอ”
จางอี้ชิงเป็นเพื่อร่วมห้องเรียนที่แม้จะไม่สนิทสักเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ถึงกับห่างกันเกินไป เพื่อนตัวขาวผอมบางคนนี้เป็นคนจีนที่ย้ายมาอยู่ที่เกาหลีได้ห้าปีแล้ว ดังนั้นเรื่องการสื่อสารจึงไม่เป็นปัญหาเลย อี้ชิงทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านสเต็กที่อยู่ชั้นเดียวกันแต่ก็ห่างออกไปจากร้านของจงแดพอสมควร ที่ทั้งสองทำงานที่ห้างเดียวกันนั้นเพราะที่นี่ใกล้โรงเรียนของพวกเขา เวลาเลิกเรียนก็สามารถเข้างานได้สะดวก
“อืม วันนี้เหนื่อยสุดๆ คนโคตรเยอะเลย”
ปากบ่นแต่ใบหน้าก็ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม อี้ชิงเป็นคนยิ้มง่าย เวลาพบเจอก็มักจะมีรอยยิ้มพร้อมกับลักยิ้มสวยประดับบนใบหน้าอยู่เสมอ เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของจงแด
“วันอาทิตย์ก็แบบนี้แหละ นายน่าจะชินได้แล้วนะ”
“มันก็ชิน แต่อยากบ่นไม่ได้หรือไง”
จงแดหัวเราะน้อยๆ กับคนขี้บ่นตรงหน้า แล้วจึงหยิบยกประเด็นอื่นมาเป็นหัวข้อสนทนา ทั้งสองคุยกันเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งออกจากมาจากห้าง
“นายกลับยังไงล่ะจงแด” เสียงหวานของอี้ชิงเอ่ยถามขึ้น
“ไม่รู้สิ อาจจะรถเมล์ ไม่ก็แท็กซี่ล่ะมั้ง นายเดินกลับเหมือนเดิมใช่มั้ย ให้ไปส่งหรือเปล่า”
เพราะอี้ชิงพักอยู่ในหอพักซึ่งอยู่ห่างจากห้างนี้ไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก คนตัวเล็กจึงมักเลือกที่จะเดินกลับอยู่เป็นประจำ ทั้งที่ก็ดึกดื่นค่ำมืดขนาดนี้แล้ว
“เรากลับเองได้ไม่ต้องไปส่งหรอก นายเองก็รีบกลับเถอะ”
“แน่ใจนะ” จงแดถามย้ำอีกครั้งทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
อี้ชิงเป็นคนที่ดื้อพอสมควรและมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองสามารถดูแลตัวเองได้ จึงไม่ชอบให้ใครคอยช่วยเหลือ ข้อนี้จงแดรู้ดีถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันมากมายแต่จากการที่ได้ทำงานกลุ่มร่วมกันในชั้นเรียนมาบ้างก็ทำให้รู้จักนิสัยของคนๆ นี้อยู่พอสมควร
และน่าแปลกที่ทั้งที่รู้ว่าอีกคนไม่ชอบให้ใครมาคอยช่วยเหลือ แต่ก็มักจะดึงดันหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้อยู่ร่ำไป
อี้ชิงบอกลาก่อนจะแยกตัวไป จงแดมองตามอีกคนที่เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง ร่างเล็กหันกลับมาโบกมือลาอีกครั้งหลังจากข้ามผ่านถนนเส้นใหญ่ไปได้ ใบหน้าเด็กหนุ่มใต้กรอบแว่นหนายกยิ้มขึ้นมุมปากจนกระทั่งอีกคนเดินหายลบไปตรงสุดมุมถนนฝั่งตรงข้าม
คนๆ นี้เป็นคนที่ทำให้จงแดรู้สึกอยากปกป้อง.. เขารู้สึกแบบนี้มาสักพักแล้วแต่ก็ยงไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
หยดน้ำร่วงหล่นลงกระทบบนเลนส์แว่นตาของจงแดจนทำให้เจ้าของต้องถอดแว่นกรอบหนาสีดำของตนออกมาเช็ดก่อนจะพบว่าหยดน้ำที่ว่าก็คือเม็ดฝนที่ตอนนี้กำลังพากันร่วงหล่นลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาสวมแว่นตากลับเข้าที่ก่อนจะรีบสาวเท้ากลับยังคอนโดฯ ของตน
/ / /
“ฮะ ฮัดชิ้ว!!”
มินซอกจามออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เพราะไม่ได้สนใจจะจำ รู้แค่ว่ามันบ่อยครั้งมากจนเจ้าตัวเริ่มแสบจมูกไปหมดแล้ว แต่ก็ต้องโทษตัวเองทั้งนั้นที่มัวแต่นั่งส่องคลิปแฟนแคมฯ วงสุดที่รักกับเดอะแก๊งอยู่ที่บ้านคยองซูเพลินเสียจนลืมเวลา กว่าจะรู้ตัวว่าควรกลับบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว แถมยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดต้องติดฝนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ตั้งนานสองนาน แท็กซี่ก็หายากเสียเหลือเกิน กว่าจะได้เหยียบเข้ามาในเขตคอนโดฯ ของตัวเองก็จามไปหลายรอบแล้ว
ก็มินซอกคนนี้เป็นหวัดง่ายยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
อยากจะตั๊นหน้าตัวเองสักทีสองทีในความอ่อนแอขัดกับนิสัยมาดแมน(?)แบบนี้…
บ่นขมุบขมิบไปเรื่อยในระหว่างที่ขาก็ก้าวฉับๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์โดยสาร มินซอกอยากกลับไปอาบน้ำแล้วขดตัวนอนใต้ผ้าหุ่มอุ่นหนาลายคิตตี้สีชมพูการ์ตูนตัวโปรดของลู่หานจะแย่ แต่ติดที่ว่าเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมโง่ๆ มันไม่ยอมลงมาสักทีเนี่ยแหละ
ยืนหงุดหงิดอยู่ชั่วครู่ก็จับสัญญาณได้ว่ามีใครบางคนกำลังเยื้องกายเข้ามาใกล้ อันที่จริงก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรหรอกนะ ถ้าไม่ติดที่ว่าเจ้าคนมาใหม่นั่นจะวางมือแหมะลงบนไหล่ของเขาอย่างนี้ มินซอกขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เป็นใครที่ไหนกันถึงได้บังอาจมาแตะต้องตัวชาวบ้านเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้
ว่าแล้วก็หันไปดูหนังหน้ามันเสียหน่อย แล้วนั่นก็ทำให้มินซอกขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางก่นด่าเจ้าลิฟต์โง่ๆ ที่เคลื่อนที่ลงมาช้าหนักยิ่งกว่าเก่า
ก็เพราะว่าลิฟต์มาช้าไง เขาถึงต้องยืนรอจนเจอกับเจ้าเด็กหน้าเหี่ยวเข้าจนได้!
“หวัดดีครับ พี่แมวเหมียว” ใครแมวเหมียววะ?
มินซอกปัดมือที่วางแหมะอยู่บนไหล่ตัวเองออกด้วยท่าทางรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรพี่ชายห้องตรงข้ามคนนี้เลยแม้แต่น้อย ออกจะนึกเอ็นดูเสียด้วยซ้ำกับนิสัยเด็กๆ นี้
“ใจร้ายจังครับ ทักก็ไม่ตอบซะด้วยคนเรา” ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ปากหยักก็ยังยกยิ้มอยู่
“ใครจะอยากคุยด้วย เหม็นหน้าเหี่ยวๆ... เมื่อไหร่ลิฟต์จะมาวะ?”
ต้นประโยคพูดลอยๆ ถึงใครบางคน ส่วนท้ายประโยคก็บ่นกับตัวเอง แต่แน่นอนว่าคนอย่างจงแดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ย่อมได้ยิน เด็กหนุ่มมองหน้ากลมๆ ที่บ่นงุบงิบแล้วหันไปมองลิฟต์ถึงกับต้องหลุดขำออกมา
“ขำอะไรวะ?”
“ก็พี่...ยังไม่กดลิฟต์ แล้วลิฟต์มันจะลงมาหาพี่ไหมล่ะครับ” พูดจบเท่านั้นล่ะ คนสูงวัยกว่าถึงกับหน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย
โอ้ย บ้าเอ้ย!! มุดดินหนีตอนนี้ได้มั้ยวะ เสียฟอร์มชิบหายเลย!
“เห็นแล้วก็กดสิ จะมามัวพูดทำไมวะ มึงนี่ไม่รู้เรื่องเลย” บ่นไปเรื่อยกลบความอับอาย
จงแดยื่นมือไปกดลิฟต์ให้ตามที่อีกคนบอก แล้วกลับมายืนยกยิ้มอยู่เงียบๆ ในขณะที่สายตายังจดจ้องอยู่ที่อีกคน
แน่นอนว่ามินซอกน่ะจับความรู้สึกได้หรอกน่าว่ามีคนกำลังจ้องอยู่น่ะ ก็ไม่รู้วามันจะจ้องทำไมนักหนา หน้าตาไปเหมือนพ่อแม่มันหรืออย่างไรกัน
ชายแก้มกลมสะบัดบ๊อบหนีพอดีกับที่กล่องโดยสารเคลื่อนที่ลงมาหยุดอยู่ที่ชั้น F พร้อมประตูโลหะที่เลื่อนเปิดออกต้อนรับผู้โดยสาร ไม่รอช้ามินซอกรีบรุดเข้าไปทันทีและยื่นนิ้วไปกดปุ่มปิดลิฟต์แบบรัวๆ ไม่ยั้งด้วยความที่ไม่อยากให้อีกคนร่วมเดินทางไปกับเขาด้วย
แต่หารู้ไม่ว่าความไวของคิมจงแดน่ะไม่ใช่เล่นๆ
เมื่อเห็นว่าภารกิจ(?)ขัดขวางอีกคนไม่ให้เข้าลิฟต์ไม่เป็นผล ก็เลยเลื่อนนิ้วไปกดปุ่มตัวเลขชั้นตัวเองแทนอย่างปลงตก
“กลับดึกจังนะครับ ไปไหนมาเหรอ” จงแดมองตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่เปลี่ยนไปเรื่อยตามจำนวนชั้นที่เคลื่อนขึ้นมาพลางถามอีกคน
แต่อย่างว่าล่ะ อีกคนที่ว่านะ ใช่จะอยากเสวนากับจงแดเสียที่ไหน
ถ้าเป็นน้องลู่น้อยกลอยใจ พี่จะไม่บ่นสักคำ...ปย๊ง~
มินซอกยืนกอดอกหันหน้าหนีไปอีกทาง จดจ้องผนังด้านข้างของลิฟต์ราวกับว่ามันมีรูปลู่หานแปะอยู่อย่างไรอย่างนั้น ขาขวาก็สั่นยิกๆ ราวกับจะช่วยให้ลิฟต์มันเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นจนจงแดอดที่จะมองดูด้วยรอยยิ้มไม่ได้
ทำท่าอย่างกับคนแมนเสียเต็มประดา ขัดกับหน้าตาจะแย่อยู่แล้วครับพี่
ก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้นล่ะนะ ขืนพูดออกไปอาจโดนคำว่า 'เหี่ยว' ตอกหน้ากลับมาอีกก็ได้ ถึงยามที่อีกคนส่งเสียงแว้ดๆ บ่นด่าว่ากล่าวจะดูน่ารักในสายตานักเรียนหนุ่มอย่างเขาก็เถอะ
“ฮะ ฮะ ฮัดเช่ยยย!!”
เสียงจามดังสนั่นขึ้นมาในตอนที่ลิฟต์เลื่อนมาถึงชั้นที่ทั้งคู่อาศัยอยู่พอดิบพอดี จงแดลอบมองพี่ชายที่ควบตำแหน่งเพื่อนบ้านด้วยกำลังสูดจมูกสุดแรงเกิด
อา... น่ารักอะไรอย่างนี้นะ
“ตากฝนมาสินะครับ”
!!!
เฮ้ย!!!
มินซอกถอยกรูดแทบไม่ทันเมื่ออยู่ๆ เจ้าเด็กหน้าเหี่ยวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำเอาหัวใจมินซอกแทบวายเสียตรงนั้น มือเรียวของเด็กหนุ่มยกขึ้นดันแว่นนิดหน่อย เมื่อแว่นมันเลื่อนลงมาผิดที่ผิดทางตอนที่เขาก้มตัวมองหน้าอีกคนใกล้ๆ
“จมูกแดงหมดแล้ว” ว่าจบก็ดึงหน้าเหี่ยวๆ กลับไป “พี่แมวเหมียวอย่าลืมทานยาด้วยนะครับ”
แล้วก็จากไปเสียอย่างนั้น...
มินซอกมองตามแผ่นหลังเพื่อนบ้านไปจนกระทั่งหายลับเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามของเขา สติสตังดูเหมือนจะเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้งถึงได้ยืนทึ้งผมตัวเองอยู่หน้าลิฟต์อย่างนี้
เจ้าบ้านั่นเป็นใคร บังอาจมาทำให้ไอ้ก้อนข้างในอกเหมือนจะทะลุออกมาอย่างนี้!!!
กล้าดียังไงถึงได้เอาสายตาแบบนั้นมาจ้องมองเขาผ่านกรอบแว่นกระหลั่วๆ นั่น!!!
เดี๋ยวพ่อฆ่าทิ้งซะหรอก!!!
/ / /
คิมจงแดตื่นขึ้นมาพบว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้ว และเขาควรรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน แน่นอนว่าเช้าวันจันทร์เช่นนี้แล้ว การจราจรจะต้องติดขัดแน่ๆ เขาไม่อยากพลาดสอบย่อยวิชาภาษาอังกฤษในคาบแรกที่ข้อสอบปลายภาคยากยิ่งกว่าเอาข้อสอบระดับมหาวิทยาลัยมาให้สอบเสียอีก อย่างน้อยการสอบย่อยก็ช่วยให้เขาพอมีคะแนนเก็บไว้บ้าง
หลังจากทำธุระส่วนตัวและแต่งตัวอย่างเร่งรีบแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นเตารีดที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของมันวางอยู่มุมห้อง
ยืมมาเมื่อวานแล้วก็ยังไม่ได้เอาไปคืนเลย...
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเรียบร้อยจนจัดได้ว่าเป็นนักเรียนแบบอย่างก็ว่าได้หยิบเจ้าเตารีดตัวน้อยมาด้วยในตอนที่กำลังจะออกจากห้อง หลังจากล็อกประตูห้องตัวเองเรียบร้อยดีแล้วก็หันหลังมามองประตูอีกบานที่เหมือนกันกับห้องของเขาไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็แค่ตัวเลขบนบานประตูก็เท่านั้น
และสุดท้ายก็เคาะไปจนได้ แต่เงี่ยหูรออยู่นานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าคนจะออกมาเปิด ลองตัดสินใจเคาะดูอีกทีก็ยังเงียบเหมือนเดิม
หรือจะไม่อยู่ในห้อง?
จงแดขมวดคิ้วแล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ ในเวลาเช่นนี้เขาควรเดินทางไปโรงเรียนได้แล้ว จงแดชั่งใจระหว่างเอาเตารีดเข้าไปเก็บในห้องตัวเองก่อน หรือวางทิ้งไว้หน้าประตูห้องเจ้าของมันดี แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร เสียงบางอย่างก็ดังมาจากห้องที่เคยเงียบสนิทในตอนแรก
'แค่กๆ'
แบบนี้ใช่เสียงไอหรือเปล่านะ? หรือว่าจะไม่สบาย?
จงแดยกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้งเมื่อพบว่าเจ้าของห้องยังอยู่ในห้อง พร้อมทั้งส่งเสียงเรียกไปด้วย แม้จะนานพอควรแต่ท้ายที่สุดแล้วบานประตูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของแก้มกลมๆ และผมกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง
ให้ตายสิครับ ทำไมคนป่วยน่ารักแบบนี้?
จงแดไม่รู้ว่าตั้งแต่รู้จักเพื่อนบ้านคนนี้มา เขานั้นยิ้มไปแล้วกี่ครั้ง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่น้อยๆ หรอก บางทีอาจต้องใช้คำว่านับไม่ถ้วนด้วยซ้ำไป
“มีอะไร?”
เสียงติดจะอ่อนล้าและแหบแห้งดังลอดริมฝีปากที่ดูแห้งกร้านและซีดเซียวออกมา หลังจากพิจารณาดูแล้วจงแดก็พบว่าอีกคนอาการหนักกว่าที่คิดไว้ในทีแรก เห็นอย่างนั้นแล้วเจ้าของเรือนร่างในชุดนักเรียนสีเข้มจึงได้ถือวิสาสะแทรกตัวเองเข้าห้องของอีกฝ่ายมาเสียอย่างนั้น
“เข้ามาทำไม ออกไปเลยนะ”
ต่อให้ไม่ชอบใจ แต่จากสภาพสังขารตัวเองก็ทำให้มินซอกได้แต่มองตามอีกคนที่เดินเอาเตารีดในมือไปวางไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ เขาไม่มีเรียงแรงจะไปรบรากับเจ้าเด็กไร้มารยาทเลย มินซอกมองตามอีกคนที่เดินไปรอบห้องๆ แล้วก็เดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่หน้าซีดเซียวอีกครั้ง
“พี่ไม่ได้กินยาตามที่ผมบอกเมื่อคืนใช่มั้ย?”
“แล้วยุ่งอะไรด้วย” ก็จริงอย่างที่อีกคนว่านั่นแหละ
เพราะเมื่อคืนเพลียมากเกินไป พอกลับมาถึงห้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนเลยทั้งอย่างนั้น ไม่ได้แม้แต่จะอาบน้ำก่อนเสียด้วยซ้ำ จะป่วยอย่างนี้ก็ไม่แปลก แต่ที่ไม่เข้าใจคือเจ้าเด็กแว่นนี้จะเข้ามาวุ่นวายกับเขาทำไม
มือเล็กยกขึ้นผลักไสไล่ส่งอีกคนทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไร้เรี่ยวแรงจะแย่
“ไปนอนเลยครับ พี่มียาไหม?” จงแดก็ใช่จะเชื่อฟังหรอกนะ
นอกจากไม่ฟังแล้ว ยังดึงแขนอีกคนให้กลับไปนอนอีกต่างหาก หลังจากยื้อยุดอยู่นานมินซอกก็ยอมนอนลงบนเตียงพร้อมชี้นิ้วบอกพิกัดยามาเสร็จสรรพ จงแดหย่อนกระเป๋าสะพายลงบนโซฟากลางห้อง หยิบยาเม็ดพร้อมน้ำดื่มมาให้พี่ชายจอมอวดเก่งที่เอาแต่บอกว่าตัวเองไม่เป็นไรๆ อยู่นั่น ทั้งที่ยังไอโขลกๆ อยู่แท้ๆ
“ออกไปได้แล้วไป” พอกินยาเสร็จสรรพก็ออกปากไล่อีกหนทันที
“ไม่ครับ”
จงแดว่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำจัดการหากะละมังและผ้าขนหนูมาเช็ดตัวคนอวดเก่ง เพราะห้องที่เป็นระเบียบและจัดวางของเป็นสัดเป็นส่วน ทำให้หาอะไรได้ง่ายดาย พอเตรียมของเรียบร้อยก็หย่อนก้นตัวเอียงลงบนขอบเตียงสีชมพูลายคิตตี้
“ไม่ต้องยุ่งกับกูเลยนะ!” คนอวดเก่งก็ยังเป็นคนอวดเก่งอยู่วันยังค่ำ
ทันทีที่จงแดยื่นผ้าขนหนูไปซับตามผิวแขน อีกคนก็ตวาดขึ้นมาทันที
ด้วยเสียงแหบแห้งนั่นล่ะ...
เฮ้อ! ขนาดป่วยยังพูดจาไม่เพราะเลย จงแดควรใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดแล้วสินะ
“ถ้าพี่ไม่ยอมเงียบแล้วให้ผมเช็ดตัวให้ดีๆ นะ...”
“...”
“ผมจะฉีกโปสเตอร์ตรงนั้นทิ้งซะ”
!!!
โปสเตอร์ที่ว่านั่นมันลิมิเต็ดอิดิชั่นโปสเตอร์ของนางฟ้าลู่หานเลยนะ มันมีแค่หนึ่งหมื่นแผ่นเท่านั้น แล้วตอนนี้ก็หาซื้อจากไหนไม่ได้แล้วด้วยนะ
มินซอกจะยอมก็ได้ เห็นว่ามีน้ำใจมาดูแลหรอกนะ ไม่ใช่ว่ากลัว...
สุดท้ายจงแดก็ได้เช็ดตัวให้พี่ชายแมวเหมียวสมใจ ถึงออกจะลำบากไปนิดเพราะแมวดื้อไม่ยอมให้เขาเช็ดเนื้อหนังมังสาใต้เสื้อผ้าก็ตาม เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้เช็ดตามแขนและหน้าไปแล้ว อาการก็น่าจะดีขึ้นบ้าง พอเสร็จเรื่องเสร็จราวแล้วจงแดก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองควรไปโรงเรียนได้เสียที แต่พอดูเวลาเท่านั้นล่ะ...อยากจะเอาหัวโขกกำแพง
“วันนี้ผมจะเป็นคุณหมอให้พี่ก็แล้วกัน”
ไหนๆ ก็ไปสอบไม่ทันแถมวันนี้ยังหมดอารมณ์ไปเรียนแล้วด้วย จงแดจะถือเสียว่าวันนี้เขาทดลองเป็นคุณหมอคอยดูแลคนป่วยก็แล้วกัน สถาปนาตัวเองโดยไม่ได้ถามความเห็นคนป่วยเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงคัดค้านไปก็ใช่ว่าจงแดจะฟัง ถึงพี่แมวเหมียวจะดื้อ แต่บอกไว้เลยว่าคิมจงแดก็ดื้อเงียบไม่แพ้ใคร
พอตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อกับถอดเสื้อนักเรียนตัวนอกออกพาดไว้บนพนักโซฟา ก่อนจะหย่อนก้นตามลงไป สายตาก็สอดส่องรอบห้องไปทั่ว มันก็เหมือนห้องนอนทั่วไป นั่นแหละ เพียงแต่ของประดับและรูปภาพบนผนังห้องแทบทุกภาพเป็นรูปของคนๆ เดียวกัน
คนที่คุณก็รู้ว่าใครน่ะนะ...
พอสำรวจรอบห้องจนพอใจ จงแดก็หันไปสนใจกับคนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง ที่เงียบไปก็เพราะหลับนี่เองสินะ เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำแล้วลอบมองใบหน้ายามหลับที่ดูไร้พิษภัยของคนดื้อตรงหน้า
เชื่องๆ เหมือนแมวน้อย...
“ถ้าตอนตื่นเป็นแบบนี้ก็ดีสิครับ พี่แมวเหมียว”
_____________________________
@salynnxan #ฟิคแมวติ่ง
ความคิดเห็น