คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บท ๐๙ . ข้อตกลง
9
ข้อตกลง
ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมนั่งอยู่โซฟานอกห้องนอนแท้ๆ แต่พอรู้สึกตัวตื่นมาในยามสายของอีกวันกลับพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของลู่หาน และดูเหมือนลู่หานก็จะตื่นก่อนเขาแล้ว เมื่อคืนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ลู่หานเมาและพยายามล่วงเกินผม แต่แล้วในที่สุดในตอนที่ผมทำใจได้และยอมรับให้ทุกอย่างมันเป็นไป ลู่หานกลับหลับไปเสียก่อน
หลังจากนั้นเมื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ ผมก็ยังคงอยู่ที่คอนโดนี้ เพราะเป็นห่วงลู่หาน กลัวว่าอีกคนอาจเป็นอะไรไป ทั้งที่ตัวเองก็โดนกระทำเอาไว้ไม่น้อยแต่ก็ยังใจกล้าอยู่ต่อ เพราะเป็นห่วง เพราะรัก..
แต่เป็นรักที่ผมไม่อยากยอมรับมัน...
ผมยอมรับว่าตัวเองใจแข็งและดื้อรั้นมาก ไม่ว่าใครจะพูดจะคิดอะไร ถ้าหากผมไม่พอใจผมก็ไม่ยอมโดยเด็ดขาด จนบางครั้งเรื่องนี้ก็ก่อปัญหาให้ตัวผมเองอยู่บ่อยๆ
ผมลุกขึ้นจากเตียงนอนและมองหาตัวเจ้าของห้อง ก็พบว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่โต๊ะทานอาหารในครัว สภาพของลู่หานดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะมาก ผมมองหน้าเขาในขณะที่เดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ
“ดีขึ้นแล้วหรอ?”
ผมเอ่ยปากถามหลังจากที่อีกคนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเรียบร้อยแล้ว ลู่หานพยักหน้าตอบรับ ผมยืนพึงเค้าเตอร์ในครัวจ้องมองลู่หานที่พยายามหลบหน้าก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาอยู่เคียงข้างด้วย.. จนกระทั่งลู่หานเป็นคนทำลายความเงียบก่อน
“เรื่องเมื่อคืน.. ฉันขอโทษ”
ผมรู้ดีว่าลู่หานจำได้ทุกอย่าง เพราะเขาเป็นคนประเภทที่ไม่ว่าดื่มไปเท่าไหร่ เมามายแค่ไหน แต่พอสร่างเมาก็จะยังคงจดจำทุกการกระทำในช่วงเวลาที่เมาได้ แต่ที่ผมไม่รู้คือการกระทำเมื่อคืนนั้นเกิดขึ้นจากความขาดสติ หรือเจ้าตัวจงใจจงกันแน่
“นายไม่น่าหลับไปก่อนเลย..” ไม่รู้ทำไมถึงได้เลือกที่จะประชดประชันออกไปทั้งที่รู้ว่าจะทำให้เรื่องยิ่งแย่
“น่าจะต่อให้จบอย่างที่นายต้องการไง ลู่หาน”
ผมพยายามข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ เพิ่งตื่นมาแท้แต่ก็กลับมาเจอกับเรื่องเขาอีกจนได้ แม้ว่าคนที่ใส่เชื้อไฟให้เพลิงมันยิ่งโหมหนักกว่าเดิมจะเป็นผมเองก็เถอะ
“..อย่าเป็นแบบนี้สิ มินซอก” สายตาอ้อนวอนของลู่หานถูกส่งมาให้ผม ผมยกมือทังสองขึ้นกอบกุมหน้าตัวเองไว้ ถูมันแรงๆ ราวกับจะสลัดความรู้สึกแย่ๆ ออกจากสมองได้ ถอนหายใจหนักหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลับไปมองหน้าลู่หาน
“เราเป็นเพื่อนกันนะ”
คนตรงหน้าส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับแววตาที่ยังไม่เปลี่ยนไป
“แค่เคยเป็นนะมินซอก ตอนนี้..มันไม่ใช่แล้ว”
“ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่..ทำไมกันลู่หาน? ทำไมเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้ล่ะ”
“นายรู้ดีว่าทำไม..”
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะ ฉันไม่อยากเสียนายเลยลู่หาน ฉันอยากอยู่ข้างๆ นาย เป็นเพื่อนกันก็ยังอยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันได้..ทุกอย่างเหมือนเมื่อก่อนไง นะ?”
ผมดื้อดึงที่จะปฏิเสธความจริง หยาดน้ำใสรินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของผม ไม่รู้ว่าผมกำลังอ้อนวอนลู่หานด้วยความน่าสมเพชแค่ไหน แต่ในขณะที่น้ำตามันพากันไหลพรากออกมาจากทั้งสองของผมนั้นผมก็ยงคงจ้องมองอีกคนไม่วางตา
“ฉันจะลืมเรื่องเมื่อคืน ลืมที่นายเคยพูดวันนั้น ลืมว่านายเคยจูบฉัน ฉันจะลืมทุกอย่าง แต่ขอร้อง..” ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอก่อนจะเค้นเสียงตัวเองออกมาอีกครั้ง
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ”
ลู่หานส่ายหน้าช้าๆ ในระหว่างที่ผมกำลังพร่ำเพ้อและอ้อนวอนเขา ราวกับจะตอกย้ำคำตอบที่ผมมั่นใจว่ารู้ดีแต่ไม่อยากจะยอมรับมันให้มันชัดเจนขึ้น
.”มินซอก นายก็รู้ว่าระหว่างเรามันไม่มีทางเหมือนเดิมแล้ว”
ลู่หานลุกขึ้นและสาวเท้าเข้ามาหาผมเรื่อยๆ จนกระทั่งผมถูกเขากักขังไว้ระหว่างแขนสองข้างของเขาที่ท้าวอยู่กับเค้าท์เตอร์ ใบหน้าที่ดูอิดโรยลอยเด่นอยู่ตรงหน้าผมในระยะประชิด ดวงตากลมโตของเราสอดประสานกัน
“ทำไมนายถึงยังยึดติดกับคำว่าเพื่อนนักล่ะ”
เสียงแหบพร่าเพราะฤทธิ์ของเหล้ายังคงหลงเหลืออยู่เอ่ยคาดคั้น ผมยกสองมือขึ้นดันแผ่นอกหนาที่คุ้นเคยให้ออกห่าง แผ่นอกที่คอยซึมซับน้ำตายามที่ผมท้อแท้หรือมีปัญหามาตลอด ลู่หานขืนตัวไว้มีหรือที่ผมจะสู้แรงของเขาได้ ผมจึงปล่อยแขนทั้งสองลงข้างตัวดังเดิม
“เพราะฉันกลัว..สักวันเราอาจจะไม่เหมือนเดิม เพื่อนคือสิ่งที่มั่นคงที่สุดแล้ว”
“แต่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อน และความรู้สึกมันไม่ได้เพิ่งเกิดนะมินซอกแต่มันเกิดขึ้นมานานแล้ว นานจนฉันจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีฉันก็อยากจะดูและนาย อยากมีนายข้างกันไปจนตาย”
“แล้วที่ผ่านมามันไม่ใช่หรือไง นายก็ดูแลฉันได้นี่ ในฐานะเพื่อน”
“มันไม่เหมือนกันนะมินซอก” ผมไม่รู้ว่าวันนี้ลู่หานส่ายหน้าไปกี่ครั้งแล้ว ทุกครั้งที่เขาคัดค้านศีรษะของเขาก็จะส่ายไปมาช้าๆ ด้วย
“ฉันอยากดูแลนาย อยากบอกใครๆ ได้เต็มปากเต็มคำว่านายเป็นของฉัน อยากกอด อยาดจูบ อยากสัมผัสนาย อยากมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวนายและยินดีให้นายมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวฉันด้วย”
“....”
“และฉันพอจะรู้ว่านายก็คิดแบบเดียวกัน...มินซอก ขอร้องล่ะ เปิดใจยอมรับกันสักที”
ลู่หานรู้? รู้ว่าผมเองก็รักเขางั้นเหรอ? ได้ยังไง?
ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ดันคนตรงหน้าออกจนสุดแรง ครั้งนี้ลู่หานยอมปล่อยผมแต่โดยดีแต่ก็ยังไม่ถอยห่างไปไหนไกล ผมพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ถูกปั้นแต่งให้ดูเรียบเฉย
“นายเข้าใจผิดแล้วลู่หาน ฉันไม่เคยคิดอะไรกับนายมากไปกว่าความเป็นเพื่อน!”
“เมื่อไหร่จะยอมรับความจริงสักที!”
29%
“นี่แหละคือความจริงลู่หาน ความเป็นเพื่อนนี่แหละคือของจริง!”
ผมเห็นลู่หานกลืนน้ำลายลงคออย่างหนักใจ เราต่างเงียบกันชั่วอึดใจก่อนที่ลู่หานจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง และทำให้ผมต้องมองจ้องลู่หานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“โอเค ถ้านายอยากเป็นเพื่อนนัก..ได้!!”
“จริงหรอลู่หาน?” ลู่หานพยักหน้าเบาๆ แล้วเริ่มพูดต่อ
“ถ้านายคิดว่าความรู้สึกของนายยังเหมือนเดิมก็ลองดู พิสูจน์ด้วยตัวนายเองว่านายทำได้อย่างที่พูดมั้ย และถ้าถึงวันนั้น..ฉันหวังว่านายจะยอมรับความจริงไม่ว่าผลจะเป็นยังไง”
ผมมองหน้าลู่หานนิ่ง ท่าทางมั่นใจของเขาทำให้ผมไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายผมก็ตกปากรับข้อตกลงที่ฟังดูเหมือนจะเป็นคำท้าทายเสียมากกว่าไปจนได้
“แต่บอกไว้อย่างนึงนะว่าหลังจากเรื่องนี้จบ ผลลัพธ์จะมีแค่สองอย่าง... หนึ่งคือนายแพ้และยอมรับความจริงว่านายรักฉัน สองคือนายชนะ.. และเราก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก มีแค่นี้นะมินซอก ถ้านายหวังว่าฉันจะเป็นเพื่อนนายต่อไปได้ตลอด บอกเลยว่าฉันทำไม่ได้”
“นายมันโง่”
เสียงแบคฮยอนก่นด่าผมดังขึ้นทันทีที่ผมเล่าเรื่องระหว่างผมกับลู่หานให้ฟังจบ ผมยู่หน้าน้อยๆ เมื่อเพื่อนตัวเล็กส่งนิ้วมาจิ้มหน้าผากผมราวกับผมไปทำผิดอะไรมา..เราสองคนนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านผมเอง
“หาเรื่องชัดๆ เลยนะมินซอก บอกได้เลยงานนี้นายเละ ฟันธงขาดสามท่อนเลยเอ้า” แบคฮยอนพูดพลางยกไม้ยกมือทำท่าประกอบไปด้วย
“ใครว่าฉันจะแพ้”
“นี่ไม่ใช่เกมนะ ไม่มีใครแพ้หรือชนะหรอก มีแค่คนที่เจ็บเท่านั้นล่ะ”
“แต่ฉันถอยไม่ได้แล้วแบคฮยอน มันมาถึงขนาดนี้แล้ว”
“เฮ้อ ฟังฉันนะ ฉันรู้หรอกนะว่ามินซอกชอบลู่หาน นายก็แค่ทำตามความรู้สึกของตัวเอง อย่าสร้างกำแพงที่เรียกว่าเพื่อนขึ้นมาอีกเลยในเมื่อกำแพงที่ว่านั่นมันพังทลายลงไปนานแล้ว นายแค่ต้องเปิดใจยอมรับมันแค่นั้นเรื่องทุกอย่างก็ง่าย ไม่ตองบานปลายมาถึงขนาดนี้ ทำแบบนี้ความสัมพันธ์ของนายสองคนก็ยิ่งแย่นะมินซอก”
แบคฮยอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะที่ผมเริ่มคิดตาม... ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดนะ แต่ความดื้อร้นของผมมันมักชนะทุกอย่างทุกที
“แล้วเกือบอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ ลู่หานเขาทำตัวเหมือนเดิมมากจริงๆ เหรอ” แบคฮยอนเอ่ยถามออกมา
ใช่แล้ว นี่ก็ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วที่ผมและลู่หานทำข้อตกลงนั่นไว้ หลังจากวันนั้นลู่หานก็ทำตวเหมือนเดิมมาก ลู่หานพูดคุยกับผมเหมือนเมื่อก่อน มารับผมไปกินข้าวเย็นร้านประจำ บางวันก็ทำข้าวผัดรวมมิตนซึ่งเปนเมนูโปรดที่ผมชอบให้กิน ปกติเสียจนผมยังแปลกใจว่าเขาทำได้ยังไง
“อื้อ เหมือนเดิมจนน่าตกใจ เป็นฉันเองซะอีกที่บางทีก็ทำตัวไม่ถูก”
“นั่นไงล่ะ ส่อแววแล้วไง”
“ส่อแววอะไร” ผมเอียงคอถามแบคฮยอนด้วยสีหน้างงๆ
“ส่อแววว่านายจะแพ้อย่างที่นายพูดไง”
!!!
นั่นสินะ เพราะลู่หานเหมือนเดิมในขณะที่ผมเองต่างหากที่ทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้
ผมจำได้ว่าวนก่อนลู่หานยื่นมือมายีหัวผม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเขาก็ทำออกบ่อย แต่คราวนี้ผมกลับสะบัดมือของเขาออกไป
และอีกครั้งหนึ่งคือตอนที่ลู่หานเรียกผมว่า ‘เปาน้อย’ ชื่อเล่นที่เขาเป็นคนตั้งให้ และมีแค่เขาคนเดียวที่เรียกอย่างนั้น เมื่อก่อนมันก็ปกติ แต่คราวนี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ กับหัวใจตอนที่ได้ยินคำนี้ออกจากปากของลู่หาน
“ปัญหาใหญ่กว่านี้มันกำลังจะตามมาแล้วสินะ” แบคฮยอนพูดออกมาเบาๆ เหมือนบ่นกัตัวเองมากกว่า ก่อนที่เสียงเรียกเข้าที่คุ้นหูจะดังขึ้นมา
ผมหยิบมือถือตัวเองออกมาดูก็พบว่าเป็นลู่หานน่นเองที่โทรเข้ามา ผมมองหน้าแบคฮยอนอย่างรู้กันก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงลู่หาน”
(ไปกินข้าวกัน)
“อ่า แต่ว่าตอนนี้แบคฮยอนอยู่ด้วยนะ”
ผมหันไปมองเพื่อนตวเล็กที่โบกมือเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไรอยู่ ผมจึงกรอกสายต่อไปอีกครั้ง
“พาแบคฮยอนไปด้วยได้มั้ย”
(ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว งั้นอีกสิบนาทีถึงนะ)
“อื้อ”
ลู่หานวางสายไปแล้ว ผมบอกแล้วว่าเขาทำตัวปกติได้อย่างน่าใจหาย.. แบคฮยอนหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมที่ผมลากมันไปกินข้าวด้วยกัน
“ก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็กลับแล้ว นายนี่มัน”
“จะกลับไงล่ะ นายไม่ได้เอารถมา เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันแล้วให้ลู่หานแวะไปส่งไง”
“พี่คริสบอกว่าจะมารับ นี่ไง” แบคฮยอนยืนมือถือที่มีข้อความจากพี่ชายมาให้ดู
“โทรไปบอกดิว่าเดี๋ยวไปส่ง ไม่ต้องมารับหรอก”
เพราะไม่พร้อมจะเจอพี่คริส ผมจึงเริ่มคิดแผนการในหัว คือถ้าผมให้ลู่หานไปส่งแบคฮยอนก็จะปล่อยมันทิ้งหน้าบ้านได้ แต่ถ้าพี่คริสมารับ ผมที่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องออกไปส่งเป็นมารยาทใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นผมคิดว่าผมควรไปส่งแบคฮยอนดีกว่าให้พี่คริสมารับเอง
“น่านะ โทรไปบอกว่าเดี๋ยวฉันไปส่งเอง”
“หลบหน้าพี่คริสอยู่ล่ะสิ”
ผมแทบสะอึกทันทีที่แบคฮยอนพูดจบ แบคฮยอนหรี่ตามองผมอย่างจับผิด ทำไมเพื่อนผมคนนี้ถึงรู้ทันผมไปซะทุกเรื่องกันนะ
“อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ พี่คริสไม่เคยมีความลับกับฉันหรอก มีอะไรก็บอกหมดแหละ”
“ทำไมถึงไดรู้ทันไปซะทุกอย่างเลยเนี่ย” ผมถอนหายใจออกมาพลางมองดูแบคฮยอนที่กำลังเอนหลังพิงโซฟาพร้อมกระดิกเท้าตัวเอง
“เรื่องนี้ไม่ได้มีคนเจ็บแค่คนเดียว ทั้งลู่หาน พี่คริส แล้วก็ตัวนายเองก็เจ็บกันทั้งนั้น”
แบคฮยอนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะก้มลงไปสนใจกับมือถือของตัวเอง ส่วนผมก็ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทั้งบ้านไว้จนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์ของลู่หานเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน
ลู่หานเลือกสเต็กเป็นมือเย็นในวันนี้ เรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะริมกระจกของร้านอาหารอิตาเลี่ยนในห้างดังซึ่งมองออกไปเห็นตึกอื่นๆ และรถราด้านล่างมากมาย ผมนั่งข้างแบคฮยอนและลู่หานนั่งตรงข้ามผม แบคฮยอนอิดออดตลอดทางเพราะไม่เต็มใจมาทานมื้อเย็นร่วมกับผมและลู่หานสักเท่าไหร่นัก แต่เพราะผมขอร้องและบอกว่าจะรีบทานและรีบไปส่ง เพื่อนตัวเล็กถึงได้ยอม
63%
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วแบคฮยอนก็หยิบมือถืออกมากดเล่นอีกครั้ง ผมเห็นแว่บๆ ว่ากำลังแชทอยู่กับใครสักคน บางทีผมก็แอบสงสัยนะว่าหมอนี่แอบมีแฟนโดยไม่บอกเพื่อนหรือเปล่า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเลยชะเง้อมองหน้าจอมือถือของแบคฮยอน แต่อีกฝ่ายดันรู้ทันถึงได้หลบซะไวขนาดนั้น
แบคฮยอนรู้ทันผมไปเสียหมดจริงๆ
“มีแฟนเหรอแบคฮยอน ท่าทางคุยสนุกจนลืมเพื่อนเลยนะ”
“แฟนเฟินอะไร เหงาก็คุยกับลู่หานไปสิ” แบคฮยอนหันมาพูดพลางจิกตาใส่ผมทีหนึ่งแล้วกลับไปกดมือถือเล่นอย่างเคย
ผมหันไปส่งยิ้มแห้งให้ลู่หานโดยที่ไม่ได้อ้าปากพูดอะไร ลู่หานเองก็ยิ้มกลับมา เราทั้งคู่ต่างก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรก็ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่ผ่านมา อาจเพราะมีแบคฮยอนร่วมวงอยู่ด้วย ทุกอย่างเลยดูไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่..มั้งนะ
เราสามคนต่างเงียบ ได้ยินเพียงเสียงคุยกันจากโต๊ะอื่นๆ และเสียงเตือนแชทจากมือถือของแบคฮยอนที่ดังมาเป็นระยะ ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยิบจับส้อมหรือมีดขึ้นมา มือหนาของลู่หานก็ยื่นมาหยิบจานสเต็กของผมไป
“ทำอะไรน่ะ นั่นจานฉันนะ”
ลู่หานไม่ตอบ เขาแค่ยิ้มกลับมาก่อนจะหยิบมีดและส้อมของตัวเองขึ้นมาลงมือหั่นสเต็กในจานของผมเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ
“นายชอบบ่นเสมอเวลาหั่นสเต็กนี่ ที่นี้จะได้ไม่ต้องบ่นไง”
เขายังจำได้ว่าผมมักจะบ่นเสมอเรื่องการหั่นสเต็ก และลู่หานก็มักจะจิกกัดผมด้วยการบอกว่าถ้าลำบากนักก็ไม่ต้องกิน แต่เพราะสเต็กเป็นอาหารที่ผมชอบมากๆ อย่างหนึ่ง สุดท้ายลู่หานก็ต้องคอยพาผมมากินอยู่บ่อยๆ อยู่ดี แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะหั่นสเต็กให้ผมอย่างครั้งนี้
ลู่หานยื่นจานสเต็กกลับมาวางที่เดิมหลังจากจัดการกับมันเสร็จ ผมสังเกตุเห็นว่าแบคฮยอนแอบยิ้มและแหล่มองมาที่ผมด้วยท่าทางที่เหมือนจะชอบใจเสียเหลือเกิน ผมเอ่ยขอบคุณลู่หานเบาๆ และเริ่มลงมือทาน ส่วนลู่หานก็กำลังยิ้มน้อยๆ ขณะที่มองมาที่ผม
ทำไมหัวใจของผมต้องเต้นแรงอย่างนีด้วยนะ?
“นายไม่กินหรือไง”
“กินดิ”
ผมเขี่ยเส้นแครอทกับมะเขือเทศในสลัดไว้ริมจานเพราะเป็นของที่ผมไม่ชอบ ลู่หานเองก็รู้ถึงได้เอื้อมมาตักทั้งสองอย่างนั้นไปใส่จานตัวเอง แล้วตักข้าวโพดในจานเขามาใส่จานผม
“แลกกันไง เหมือนอย่างทุกที” ผมพยักหน้ารับกับลู่หานเบาๆ
ใช่ ทุกครั้งที่ทานสลัด เราจะแลกกันอย่างนี้เสมอ ไม่ใช่เพราะลู่หานไม่ชอบข้าวโพด แต่เพราะเขาเห็นว่าผมเอาแครอทกับมะเชือเทศให้เขาไปแล้ว เขาจึงสละข้าวโพดซึ่งเป็นของโปรดผมให้เป็นการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลกัน
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ตกลงกนว่าจะเดินเล่นในห้างใหอาหารย่อยสักพักก่อนแล้วจึงค่อยกลับ แต่เดินได้แปปเดียวแบคฮยอนก็บ่นว่าเมื่อย เราจึงหยุดนั่งกันที่ม้านั่งก่อน
“เราไม่ได้มาเดินเล่นในห้างกันอย่างนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ”
เป็นผมเองที่พูดเปรยขึ้นมา ลู่หานยิ้มบางที่มุมปาก ทำท่าราวกักำลังรำลึกความหลัง
“นั่นสินะ”
ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากของเราสองคนอีก เหมือนต่างคนต่างตกเข้าสู่ห้วงของความทรงจำ ผมนึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เรามาเดินเล่นด้วยกัน เดินเข้าออกร้านโน้นทีร้านนี้ทีดยไม่คิดจะซื้อ ไม่ก็ขลุกตัวอยู่ในเกมเซ็นเซอร์แข่งกันเล่นกันต่างๆ นาๆ ไปเรื่อย ทำตัวบ้าบอไร้สาระ
คิดถึงจัง วันเวลาที่อยู่ด้วยกันอย่างสบายใจเหมือนตอนนั้น...คิดถึงจริงๆ
“มินซอก มีไรจะบอกว่ะ” แบคฮยอนที่นั่งเงียบตั้งหน้าตั้งตาเล่นมือถืออยู่ที่ม้านั่งอีกตัวใกล้ๆ กันเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ผมหันไปหาเขาที่ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดอะไรสักอย่าง
“อะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“พี่คริสมารับฉันแล้วอ่ะ”
“ห๊ะ?”
“โทษที พอดีพี่คริสมาธุระที่นี่พอดี”
“’งั้นนายนั่งรอคนเดียวได้มั้ย ฉันไปก่อน ไม่อยากเจอจริงๆ” ผมกระซิบเบาๆ เพื่อไม่ให้ลู่หานได้ยิน
“เสียใจว่ะ มาโน่นแล้ว”
ผมมองไปตามทางที่แบคฮยอนชี้ ผู้ชายตัวสูงกับผมสีทองในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ กำลังเดินมาทางนี้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ แต่ที่ผมรู้คือ..
สายตาหม่นๆ ของพี่คริสที่กำลังมองมา และ..
..แรงบีบที่ข้อมือจากคนที่นั่งอยู่ข้างผม
TBC.
แซน "สามสิบกว่าเปอร์หลังมันไม่มีอัลไลเบย กำกำกำ
ขอตัดฉากพี่คริสไปไว้ตอนหน้า เกรงว่าจะยืดเยื้อ = = ช่วงนี้เหลงาหงอยจังเลย ไม่ค่อยมีแรงจะอัพจริงๆ
ปล.คำผิดบาน โดยเฉพาะ ไม่หันอากาศหาย พอดีคีย์บอร์ดบางปุ่มมันไม่ค่อยจะติดแล้ว 555"
ปล.
ฝากฟิคไร้สาระไว้ในอ้อมออกอ้อมใจอีกสักเรื่องนะ
เฉินหมินแอนด์เดอะแก็งค่ะ
ปลสอง. ใครจะรวมเล่มฟิคแล้วยังหาคนทำปกฟิคให้ไม่ได้
ลองดูนะ เราเพิ่งเปิิดรับทำ ราคาถูกๆ @squaxrยังไม่มีผลงานไรหรอก
แต่ฝีมือก้พอได้อยู่แหละ #ถุ้ยตัวเอง
ความคิดเห็น