ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ((( exo . lumin . complicated )))

    ลำดับตอนที่ #9 : บท ๐๘ . เสียงสะอื้น

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 56


    8

    เสียงสะอื้น

     

    [Luhan’s part] 

     

                เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ผมนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนโซฟาตัวยาว พอหยิบมือถือสีดำมาดูก็พบว่าเป็นสายของชานยอล เพื่อนตัวโย่งของผมเอง หมอนี่โทรมาก็มีไม่กี่เรื่องหรอก ผมกดรับสายแล้วยกมือถือแนบหูก่อนจะกรอกเสียงลงไป

                “ว่าไง?”

                “ไอ้ลู่ มึงมาผับไอ้จงอินเดี๋ยวนี้เลย กำลังสนุกว่ะ สาวๆ เพียบ เด็ดทั้งนันอ่ะมึง”

                และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ชานยอลโทรหาผมก็มีแค่เรื่องชวนเที่ยวนี่แหละ

                “โทษทีว่ะ ช่วงนี้ไม่อยากเที่ยว”

                “เฮ้ย เป็นอะไรไปอีกวะ”

                “เออน่า มึงสนุกกันไปเถอะ”

                “อย่าบอกนะว่าโดนมินซอกบ่นมาอีกแล้ว”

                ชานยอลพอรู้อยู่บ้างว่าผมรู้สึกอย่างไรกับมินซอกและอย่างที่ชานยอลพูด มินซอกมักจะบ่นผมอยู่เสมอเมื่อผมเที่ยวบ่อยเกินไป เพราะชานยอลสนิทกับผม เวลาปัญหาก็คุยกันได้ตามแบบฉบับผู้ชายคุยกัน  แต่ถึงอย่างนั้นเพื่อนผมคนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องปัญหาระหว่างผมกับมินซอกในตอนนี้ แค่คิดขึ้นมามันก็โหวงๆ ในท้องแล้ว

                “เปล่า แค่เบื่อๆ พวกนายเที่ยวกันไปเถอะ”

                “เออๆ ตามใจแล้วกัน”

                ทันทีที่ปลายสายกดวางไป ผมก็นั่งจมกับความคิดของตัวเอง แม้ว่าช่วงวันสองวันมานี้ผมพยายามจะไม่คิด เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บ แต่ภาพและถ้อยคำที่มินซอกทำร้ายจิตใจกันมันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมราวกับภาพหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมา

                ผมเฝ้าคิดหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเจอแต่ทางตัน มินซอกดื้อรั้นเป็นที่หนึ่งและใจแข็งยิ่งกว่าใครที่ผมเคยรู้จักมา ทางออกดูจะริบหรี่เหลือเกิน

                ผมพยายามสลัดภาพมินซอกออกจากหัว ก่อนจะลากตัวเองไปยังโต๊ะทำงานที่มีโน้ตบุคเครื่องบางวางไว้ ผมเปิดจอที่ฟบไว้ขึ้นมา หน้าจอยังคงปรากฏงานที่ผมทำคั่งค้างไว้มานานหลายวัน แม้สมองจะว้าวุ่นเรื่องความรักมากแค่ไหน แต่งานและการเรียนก็ยังคงต้องเดินต่อไป

                ผมลงเรียนเพิ่มในช่วงซัมเมอร์ไว้ และนี่ก็เป็นโปรเจ็ครายวิชาที่ใกล้กำหนดส่งแล้ว จริงๆ แล้วงานนี้จะต้องทำร่วมกันสองคน ซึ่งคนที่ร่วมงานกับผมก็คือคิมมินอา คนที่อยู่กับผมในวันที่เราเจอมินซอกนั่นแหละ วันนั้นผมกับมินอานัดกันเพื่อแบ่งงานกัน และหลังจากคุยเรื่องงานกันเสร็จสรรพเธอก็บ่นว่าหิว ก็เลยตั้งใจจะไปทานข้าวด้วยกันก่อนกลับ แต่แจ็กพ็อตดันมาแตกเสียนี่

                มินซอกจะรู้สึกอย่างไร? จะคิดว่าผมหลายใจ? โลเล หรือเข้าในผิดไปไกลกว่านี้ไหม? สีหน้าและแววตาที่เย็นชาของมินซอกทำให้ผมเกือบลืมหายใจไปชั่วขณะในยามที่นึกถึงขึ้นมา อยากอธิบายแต่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์นั้น รู้ว่าอีกคนคงไม่ฟัง

                จนแล้วจนรอดผมก็พับจอโน้ตบุคลงอีกครั้ง ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรเลย ผมย้ายตัวเองไปทิ้งตัวลงบนเตียงหนาของตัวเอง ก่อนความเหนื่อยล้าในจิตใจจะพาผมด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทราที่ไม่รู้ว่าจะมีฝันร้ายรอคอยผมอยู่หรือเปล่า

     

     


     

                เสียงเคาะประตูห้องรัวๆ ปลุกผมให้ตื่นขึ้นก่อนที่เสียงโหวกเหวกที่แสนจะคุ้นจะตามมา มแงดูนาฬิกาเรือนโตบนผนังห้องก้พบว่าตอนนี้เวลาเกือบเที่ยงคืน ผมขยี้ศีรษะตัวเองพลางเดินไปเปิดประตูรับเพื่อนรักทั้งสองของผม

                “มีไรวะ ชานยอล จงอิน”

                เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟายาวตัวเดิมที่เคยนั่งนอนอยู่บ่อยๆ ร่างสูงโปร่งของเพื่อนทั้งสองก้าวเข้ามาในห้อง ผมเพิ่งสังเกตว่าในมือของทั้งสองมีถุงพลาสติกใบโตอยู่ด้วย ชานยอลวางถุงนั้นลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนจะรับอีกถุงจากจงอินมาวางไว้ จงอินเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องครัวก่อนจะกลับมาพร้อมแก้วเปล่าสามใบ

                “กูเห็นช่วงนี้มึงดูเครียดๆ ซดสักหน่อยสิมึง เผื่อจะช่วยได้” จงอินพูดขึ้นมาในขณะที่เริ่มเทน้ำสีอำพันในขวดลงแก้วก่อนจะยื่นมันให้ผม

                “กูบอกแล้วไงว่าไม่อยาก”

                “เฮ้ย ไอ้ลู่ เอาหน่อยน่า พวกกูอุตส่าห์ทิ้งสาวๆ ที่ผับมาอยู่กับมึงเนี่ย” ชานยอลพูดขึ้นและพยักเพยิดให้ผมยกแก้วขึ้นกระดก แต่ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏเสธก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ  

                “กูบอกว่าไม่อยากก็คือไม่อยาก” ผมเห็นเพื่อนทั้งสองทำหน้าราวกับหนักใจ และในที่สุดชานยอลก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

                “ก็ได้ จริงๆ วันนี้พวกกูตั้งใจมอมเหล้ามึง เผื่อมึงจะยอมระบายเรื่องหนักหัวมึงออกมาบ้าง เพราะกูรู้ว่าถ้าถามมึงตรงๆ แบบนี้มึงคงไม่บอก”

                “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

                “ไม่มีเหี้ยอะไร มึงทำตัวเอื่อยเฉื่อยอย่างกับเบื่อโลกแบบนี้มาหลายวันแล้วนะเว้ย” ชานยอลจับไหล่ของจงอินที่ดูเหมือนจะเริ่มของขึ้นไว้

                “มึง..ยังเห็นพวกกูเป็นเพื่อนมึงมั้ยวะ?”

              !!!

                ผมมองหน้าจงอินที่จ้องมาด้วยสายตาคาดคั้น ทำไมจะไม่ล่ะ? ในบรรดาเพื่อนๆ แล้วคนที่จริงใจกว่าใครก็เห็นจะเป็นชานยอลกับจงอินนี่แหละ ยิ่งจงอินด้วยแล้ว หมอนี่เป็นเพื่อนที่โครตจริงใจ เป็นคนตรงไปตรงมาและรักเพื่อนยิ่งกว่าอะไร

                “ถ้ายังเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ ก็เล่าออกมาบ้างเถอะ มึงไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว”

                “มันไม่ใช่เรื่องของพวกมึง กูจัดการ..”

    ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค หมัดหนักๆ ของจงอินก็ถูกซัดเข้าที่หน้าผมอย่างจัง ความเจ็บแปลบแผล่ซ่านอยู่ที่มุมปากที่ผมคิดว่ามันแตกและคงจะมีเลือดออกด้วย

                “เหี้ยจงอิน มึงใจเย็นดิวะ”

    ชานยอลเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาแยกจงอินออกไปแม้ว่าจงอินจะพยายามขืนตัวไว้แต่ด้วยแรงของชานยอลที่เยอะพอสมควรจึงทำให้เป็นไปได้ยากที่จะหลุดจากการเกาะกุมนั้น

    “ลู่ มึงลองคิดดูใหม่ดีๆ นะ”

    ชานยอลทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็จะใช้พยายามอย่างมากในการพาตัวจงอินออกจากห้องไป และในที่สุดห้องกว้างๆ นี้ก็กลับมาเหลือเพียงผมคนดียวกับขวดเหล้าราคาแพงบนโต๊ะ

    ผมไม่เคยเชื่อว่าการดื่มเหล้าจะช่วยคลายเศร้าหรือลืมเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำได้ มันก็แค่ข้ออ้างทั้งนั้น ไม่มีใครลืมเรื่องพวกนั้นได้เพียงเพราะเหล้าหรอก มีแต่พวกโง่เง่าที่คิดแบบนั้น ผมจะดื่มเหล้าก็เพราะอยากดื่มเอง ไม่ใช่เพื่อลืมบางสิ่ง..

                แต่ครั้งนี้ความคิดของผมเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งเรื่องมินซอกที่ยังหาทางออกไม่ได้ และเรื่องของจงอินอีก... บางทีสิ่งนี้มันอาจช่วยได้เพียงชั่วคราวแต่ก็ไม่มีอะไรจะเสียที่จะลองดู หลังจากที่ชั่งใจอยู่นานในที่สุดผมก็ยกแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันเพียวๆ อยู่ขึ้นจรดริมฝีปาก ความขมปร่าที่คุ้นเคยไหลผ่านปลายลิ้นเข้าไปเรื่อยๆ ผมต้องยู่หน้าเล็กน้อยและรู้สึกถึงความเจ็บบนใบหน้าในส่วนที่โดนเพื่อนต่อยมา ผมยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นปาดรอยเลือดที่มุมปากเบาๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง..

                จนกระทั่งเวลาผ่านไป..สติของผมก็พร่าเลือน..

     

    [End Luhan’s part]

     

     

    . . .



     

                ผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำในยามดึก พอทำธุระเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือของผมกำลังสองสว่างอยู่ แน่นอนว่าเป็นมือถือเครื่องใหม่ที่ผมไปซื้อมาเอง ส่วนอีกสองเครื่องของคนสองคนที่มอบให้ผมมานั่นถูกวางไว้อยู่ในถุงบนโต๊ะทำงาน

                ผมหยิบมือถือสีดำของผมขึ้นมาสไลด์ปลดล้อคแล้วก็พบว่ามีข้อความเข้ามาในแอพสนทนาออนไลน์ และรูปที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอนั้นก็คือรูปของคนที่ผมคุ้นเคย        

    ...ลู่หาน

                แม้ว่าตั้งใจที่จะไม่ดูแต่มันก็เห็นไปแล้ว มันเป็นข้อความที่สั้นมากๆ

                [มินซอก...]

                ผมมองชื่อตัวเองที่อยู่ในแอพสนทนา ไม่มีคำอื่นใดนอกจากนี้ ผมไม่ตอบอะไรกลับไปและเลือกที่จะวางมือถือไว้ที่เดิมก่อนจะซุกตัวเข้าไปใต้ผ่าห่มบนเตียงนอน ไม่นานเสียงเตือนก็ดังขึ้นมาจากมือถือเครื่องเดิมอีกครั้งพร้อมกับไฟหน้าจอที่สว่างโร่ขึ้นมาท่ามกลางห้องที่มืดมิด

                ผมยื่นมือไปหยิบมือถือมาเปิดดูข้อความแล้วก็พบกับคำเดิมๆ อีกครั้ง

                [มินซอก]

                เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ตอบ ผมตัดสินใจปิดเสียงเตือนของแอพแล้วทิ้งตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงไว้ พยายามข่มตาให้หลับลงไป แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังเอาแต่คิดถึงคนเดิมๆ เจ้าของข้อความนั้น..

    ลู่หาน นายต้องการอะไร?

                ในที่สุดความค้างคาใจก็เอาชะผมได้ ผมเปิดผ้าห่มออกแล้วหยิบมือถือขึ้นดูอีกเป็นครั้งที่สาม ข้อความเดิมๆ ในแอพสนทนาถูกส่งมาอีกราวสิบกว่าครั้ง และดูเหมือนมันจะยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น หรือบางที่ลู่หานอาจจะเพี้ยนไปแล้ว

                ผมมองดูเวลาที่มมุมขวาบนของจอก็พบว่าตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว

              มันใช่เวลาเล่นมั้ย? ลู่หาน นายทำอะไรของนายนะ

                ผมตัดสินใจกดต่อสายไปยังลู่หานแทนที่จะตอบข้อความเหล่านี้ เสียงรอสายดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่หัวใจของเต้นรัว ถ้าหากมันทะลุออกมาอยู่นอกอกได้คงทำไปแล้ว... เสียงรอสายยังคงดังต่อไป จนผมคิดว่าบางทีลู่หานคงจะไม่รับแล้วแน่ๆ

                แต่ในเสี้ยววินาทีที่ผมกำลังจะกดตัดสาย เสียงรอสายก็เงียบลงและแทนที่ด้วยเสียงของคนที่ผมกำลังรอ..

                (มินซอก..)

                นายเล่นอะไร?ผมเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกรอกเสียงลงไป

                “นายบ้าหรือเปล่า นี่มันกี่โมงแล้วรู้มั้ย”

                (...)

                เงียบ... ผมเกลียดความเงียบ..

                “มีอะไรก็พูดสิ นายเอาแต่เรียกชื่อฉัน ฉันไม่รู้หรอกว่านายต้องการอะไร”

                (...มินซอก)

    ลู่หานกลัวผมลืมชื่อตัวเองหรือยังไงกันนะ ผมกำลังจะต่อว่าออกไปอีกรอบแต่เสียงหนึ่งที่ดังเล็ดลอดออกมาจากปลายสายก็ทำให้ผมต้องกลืนถ้อยคำทั้งหลายกลับลงคอไป

    ...เสียงสะอื้นไห้ของผู้ชายที่ชื่อว่า...ลู่หาน

    ราวกับลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะหนึ่ง.. ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดมาจากปลายสายอีกเลยนอกจากเสียงสะอื้นของลู่หาน ทำไมผมถึงได้รู้สึกจุกแน่นในอกอย่างนี้นะ ยิ่งได้ยินก็ยิ่งจุก เสียงสะอื้นราวกับจะขาดใจเสียให้ได้ยังไงอย่างงั้น ผมไม่เคยเจอลู่หานในโหมดนี้มาก่อน ผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างลู่หานกำลังร้องไห้...

    น้ำตาของลูกผู้ชายที่ไหลออกมานั้น..เพราะผมสินะ

    ทั้งๆที่รู้ว่ายิ่งได้ยินก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดแต่ผมก็ตัดใจตัดสายทิ้งไปไม่ได้ เนิ่นนานจนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นคนตัดสายไปเองแต่ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เสียงสะอื้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผม..

    พร้อมกับหัวใจที่แตกร้าว...

     

     

     

    ผมรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องของลู่หานแล้ว ยื่นมือไปกดรหัสผ่านของประตูบานเดิมที่คุ้นเคย เพราะแวะเวียนมาบ่อย ด้วยความเป็นเพื่อนรักกันจึงไม่แปลกที่จะรู้รหัสห้องของอีกฝ่าย

    พอคิดมาถึงคำว่า เพื่อนก็แทบสะอึก..

    เสียงเตือนดังว่ารหัสผ่านถูกต้องและเสียงปลดล้อคประตูก็ตามมาผมจับที่จับประตูแน่นก่อนจะผลักประตูห้องเข้าไป ภาพตรงหน้าราวกับมีดที่กรีดลึกลงไปในใจของผม

    ลู่หานนั่งพิงโซฟาอย่างหมดสภาพอยู่บนฟื้น ข้างๆ มีขวดเหล้าแบรนด์ดังกับเศษแก้วที่แตกละเอียด ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ดูเหมือนว่าเศษแก้วพวกนั้นจะไม่ได้บาดลู่หานตรงไหนเลย ผมมองดูลู่หานในสภาพเมามายไม่ได้สติก้มหน้าจนคางชิดอก

    “ลู่หาน..”

    “อื้อ” ดูเหมือนอีกคนยังพอรู้สึกตัวอยู่บ้าง

    “นายเป็นอะไรเนี่ย” เป็นคำถามที่โง่ที่สุด ผมกล้าถามไปได้ยังไงว่าเป็นอะไรทั้งที่รู้แก่ใจว่าต้นเหตุของเรื่องมันก็คือตัวผมเอง

    “...”

    ผมจับลู่หานให้เงยหน้าขึ้น คราบน้ำตายังคงเกรอะกรังอยู่บนใบหน้าแม้ว่าในยามนี้อีกคนจะไม่ได้ร้องสะอื้นเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่ดูจากสภาพก็รู้ว่าร้องไห้มาหนักแค่ไหน ใบหน้าที่ฟกช้ำและรอยเลือดที่มุมปากทำให้ผมตกใจนิดๆ

    ไปมีเรื่องกับใครที่ไหนมา?

    แต่ลู่หานไม่ใช่คนที่ใช้ใช้กำลังหรืออารมณ์มาตัดสินปัญหา

    บางทีอาจเมาจนสะดุดล้มไปชนอะไรเข้าก็เป็นได้...

    “ลู่หาน..”

    เอื้อนเอ่ยชื่อของเขาออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไรจึงได้แต่ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้อง หลังจากที่พยายามสงบจิตใจได้สำเร็จผมก็พยุงร่างของลู่หานเข้าห้องนอนด้วยความยากเย็นเพราะร่างกายที่หนักอึ้งของลู่หาน หลังจากจัดการให้อีกคนนอนบนเตียงเรียบร้อยจึงเดินเข้าห้องน้ำแล้วออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กและน้ำในกะละมัง

    ผมใช้ผ้าชุบน้ำแล้วบิดจนหมาดก่อนจะซับเบาๆ ที่มุมปากของลู่หาน หวังที่จะเช็ดรอบเลือดนั้นออกไป ลู่หานที่ยังพอรู้สึกตัวอยู่บ้างสะดุ้งนิดๆ กับความเย็นที่สัมผัสบนใบหน้า ผมเช็ดไปเรื่อยๆ เพื่อลบรอยคราบน้ำตาบนสองแก้มออกไป

    “ลู่หาน.. นายเป็นถึงขนาดนี้เลยหรอ”

    เป็นเพียงคำถามที่ถามขึ้นลอยๆ ไม่ได้หวังจะได้คำตอบกลับมา แต่ผิดคาดที่อีกคนกลับตอบออกมาด้วยเสียงที่แหบและสั่นเครือ

    “ใช่ น่าสมเพช..ใช่มั้ย”

    ข้อมือซ้ายของผมถูกพันธนาการไว้ด้วยมือหนาของอีกคน ผมไม่มั่นใจว่าสติของลู่หานกลับมาครบถ้วนแล้วหรือไม่ แววตาเศร้าสร้อยที่จ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกโหวงในช่องออก ราวกับหัวใจผมหายไปไม่ได้อยู่ในที่ๆ ที่ควรจะอยู่

    ก่อนที่ผมจะตัดสินใจจะทำอะไรได้ มือหนาที่กอบกุมข้อมือผมไว้ก็ฉุดรั้งร่างของผมให้เข้าหาตัวเอง  ดวงตาคู่เดิมบัดนี้ลอยเด่นชัดอยู่ตรงหน้ายิ่งกว่าเดิมเพราะระยะห่างที่สั้นลง และในเสี้ยววินาทีร่างทั้งร่างของผมก็ถูกอีกคนพลิกให้ไปอยู่ใต้ร่างของเขาแทน

    มือหนาของลู่หานกดลงบนไหล่ทั้งสองของผม ไร้หนทางจะหลบหนีด้วยแรงที่น้อยกว่า คนที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ อย่างผมไม่มีทางจะสู้แรงของคนที่ชอบเล่นกีฬาอย่างลู่หานได้เลย พยายามยกแขนขึ้นมาทุบตีให้อีกคนปล่อยแต่ก็กลายเป็นขุดหลุมฝังตัวเองเมื่อลู่หานทนไม่ไหวและปล่อยมือจากไหล่ของผมไปพันธนาการข้อมือทั้งสองไว้แทน

    “ปล่อย!” ตอนนี้ที่ทำได้ก็คือการแหกปากโวยวายเท่านั้น

    “ฉันรักนายจริงๆ นะ”

    แทนคำพูดที่เพิ่งจะเอ่ยจบไป ใบหน้าได้รูปของลู่หานก็แนบชิดเข้ามา ผมพยายามเบือนหน้าหนีแต่ลู่หานก็ยังคงคอยตามมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั้งริมฝีบางเล็กของลู่หานแนบชิดกับส่วนเดียวกันของผม ผมปิดปากแน่นจนแทบจะกลายเป็นการกัดปากตัวเอง ดีดดิ้นทั้งที่รู้ว่าไร้แรงตานทาน

    จูบครั้งที่สองของผมกับลู่หาน..

    ทำไมถึงได้เจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งก่อนมากถึงขนาดนี้นะ?

    เมื่อคิดว่าอับจนหนทางที่จะหลบหนีผมจึงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม ผมเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยราวกับไม่มีแรงจะทำอะไรได้อีกแล้ว.. ผมหยุดดิ้นและแต่ก็ยงคงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ลู่หานผละจากริมฝีปากของผมไปก่อนจะเลื่อนจมูกไปซุกอยู่ที่คอของผมแทน

     

    แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง...

     


     

    TBC.


     

    แซน “เราแต่งอะไร?????? ตามสัญญาว่าจะมาต่อคืนนี้ เราก็มาต่อจนจบตอนแล้ว แต่ความดราม่าต่อจากนี้มันยังไม่จบ คือจริงๆ ตอนนี้คิดไว้ไกลกว่านี้นะ แต่แบบขอตัดไปตอนหน้าเลยละกัน 5555555 จะพยายามไม่ดองนะฮรึ๊งงงงง”


    ไปสกรีมกันในทวิตได้นะ เวิ่นเว้อติดแท็กกันตามสบายเลย เราชอบอ่าน
    @salynnxan #พี่หมินใจแข็ง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×