คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บท ๐๕ . ความบังเอิญ
5
ความบังเอิญ
ผมกำลังจะไปซื้อมือถือเครื่องใหม่ล่ะ ก็มือถือผมมันกระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นในบ่อน้ำพุแล้วนี่นา เมื่อวานนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้ผมลืมเรื่องมือถือไปเลย ไม่ได้เก็บกลับมาแม้แต่ซากด้วยซ้ำ มารู้ตัวอีกทีตอนที่แม่โทรเข้าโทรศัพท์บ้านที่ผมแทบไม่เคยแตะ ผมขอเงินแม่มาซื้อมือถือใหม่ รู้มั้ยว่าแม่ผมตอบว่าไง
‘มือถือของลูก ลูกมีปัญญาทำพัง ก็ต้องมีปัญญาซื้อเองสิ จะมาให้แม่ซื้อให้ได้ยังไง พ่อเด็กทุน’
นี่หรือ คือแม่ผู้บังเกิดเกล้าที่ลูกคนนี้เคารพนับถือ นอกจากไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติมอีก สุดท้ายผมเลยจำใจยอมควักกระเป๋าของตัวเองมาซื้อเนี่ยแหละ แล้วผมไปกับใครรู้มั้ย...
พี่คริสไง นายหน้าดุน่ะแหละ ก็หลังจากที่เมื่อวานพี่คริสพูดประโยคเหลือเชื่อนั่นขึ้นมา
‘นายก็มาเป็นคนของฉันจริงๆ ซะเลยสิ’
ผมกับแบคฮยอนก็อึ้ง ทึ่ง งงกันอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กจะพยายามยัดเยียดผมให้ไปเป็น..เอ่อ คนของพี่คริส แล้วผมทำไงล่ะ ปฏิเสธสิครับ ก็เล่นมาพูดกันตรงๆ แบบนี้ มันออกจะยังไงๆ อยู่นะ ผมว่าเขาคงพูดตัดปัญหาไปเท่านั้นเอง ก็เขาไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายปีดีดัก การที่จะคบกับใครซักคน อาจจะดูง่ายๆ ตามวัฒนธรรมตะวันตกอะไรประมาณนั้น
แล้วทำไมวันนี้ผมถึงต้องยอมมากับพี่คริสล่ะ โธ่ ก็นัดแบคฮยอนไว้ แต่พอมาถึงที่นัดหมาย คนที่โผล่มายืนรออยู่ดันกลายร่างมาเป็นพี่คริสน่ะสิ แล้วแบคฮยอนมันหายหัวไปไหนวะ
ถามพี่คริสก็ได้ความเงียบกลับมา ไอ้มินซอกอยากบ้า
ผมอยากจะโทรหาแบคฮยอนเพื่อถามแต่ก็ไม่มีโทรศัพท์ เลยบอกให้พี่คริสโทรหาแบคฮยอนให้หน่อย แต่พี่เขากลับเมินคำขอผมโดยการเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น
“ไง จะไปไหนก่อนล่ะ”
“อ่า..ไปซื้อมือถือไงครับ” เมื่อเห็นว่าไหนๆ ก็มาแล้วก็ไปซื้อมันซะเลย ส่วนเรื่องแบคฮยอนไว้ค่อยจัดการมันทีหลัง ผมเลยตอบไปตรงๆ
“ไม่ต้องสุภาพหรอกน่า พูดกับฉันเหมือนเมื่อวานตอนอยู่ตอนหน้าเพื่อนนายสิ ตอนนั้นไม่เห็นมีครับเลยนี่”
“ไม่ดีกว่าครับ มันดูไม่เคารพผู้ใหญ่ พี่แก่กว่าผมตั้งหลายปีนะครับ”
เมื่อวานเป็นการแสดงนี่นา ต้องดูสนิทสนมเพื่อความสมจริง แต่ตอนนี้...
“นายบอกว่าฉันแก่งั้นเหรอ”
“เอ่อ ผมหมายถึงว่าพี่เป็นผู้ใหญ่กว่าผมน่ะครับ”
“ความหมายมันก็คือฉันแก่อยู่ดีน่ะแหละ”
“งั้นขอโทษก็แล้วกันคครับ”
อ้าก อะไรกัน ทำไมผมต้องมายืนเถียงกับพี่คริสแบบนี้ด้วยนะ แล้วทำไมต้องทำหน้าดุกันด้วยอ่า น่ากลัวเว้ย
“เลิกใช้คำสุภาพกับฉันซะ คุยปกติน่ะแหละ โอเคมั้ย ห้ามเถียง ไปเถอะ”
“อ่ะครับ...เอ้ย อืม” เผลอตอบแบบสุภาพไป คนสูงกว่าก็ส่งสายตาดุๆ มาให้ผมเลยต้องเปลี่ยนคำซะเดี๋ยวนั้น
พี่คริสเดินนำผมมาที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนสุดหรูของห้าง กรรม ผมจะไปซื้อมือถือนะ ไม่ได้จะมากินข้าว ผมกินมาแล้วเว้ย ไม่หิว
“พี่คริส คือว่าผมจะมาซื้อมือถือนะ”
“รู้แล้ว”
“อ่า แต่ที่นีมัน..”
“ฉันหิว กินก่อนเดี๋ยวค่อยซื้อ เวลาเยอะแยะ ฉันไม่รีบ”
พี่ไม่รีบแต่ผมรีบเว้ยย ผมไมได้ลางานที่มหาวิทยาลัยเพื่อมานั่งกินข้าวกับผู้ชายนะ แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมนั่งกินข้าวกับพี่คริสด้วยความจำใจ ก็ใครใช้ให้พี่เขาทำหน้าดุอย่างกับจะตีผมกันล่ะ ถึงหล่อแต่น่ากลัวผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน
พี่คริสสั่งอาหารมาสามสี่อย่างซึ่งผมแทบจะไม่แตะเลย คนมันไม่หิวนี่หว่า ส่วนพี่คริสก็นั่งกินไปซักพักก็เงยหน้าขึ้นมาถามผม
“นายไม่กินรึไง ฉันสั่งมาเผื่อนายด้วยนะ”
“อ้อ ผมไม่หิว พี่กินเถอะ”
“เยอะขนาดนี้ใครจะกินหมด ให้ฉันกินคนเดียวไม่ไหวหรอกนะ”
“แล้วใครสั่งให้สั่งมาเยอะกันล่ะ”
สาบานว่าประโยคสุดท้ายผมแค่บ่นเบาๆ กับตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าพี่คริสจะได้ยิน และกำลังส่งสายตาทิ่มแทงมาที่ผมอย่างน่ากลัว เง้อ หนูกลัวน้า เขาหรี่ตาลงนิดๆ ด้วย เหมือนพยายามจะจับผิดอะไรงั้นแหละ
“เมื่อกี้นายว่าไงนะ”
“เอ่อ ป่าวนะ โอ๊ะ นั่นอะไรติดผมพี่อยู่อ่ะ รีบเอาออกเร็ว”
ผมโกหก ไม่มีอะไรติดผมเขาทั้งนั้นก็แค่เบี่ยงเบนประเด็นเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้นล่ะ ฮู้วว เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ไอ้มินซอกเอ้ย
พี่คริส เอามือปัดๆ ที่ผม สองสามทีก่นจะหันมาถามผม
“ออกรึยัง”
“อ่า ยังอ่ะ ยังมีติดอยู่เลยอ่ะ นั่นๆๆ ตรงนั้นไง ดูเหมือนมันจะติดแน่นทนนานเลยนะ พี่” ผมแกล้งให้พี่เข้าปัดต่ออีกสักหน่อยแต่เหมือนว่ามันจะกลายเป็นผมขุดหลุมฝังตัวเองไปซะได้
“เอาออกให้หน่อย”
“เอ๊ะ อ้อ มันหลุดแล้วอ่ะ”
“โกหก ฉันยังไม่เห็นมีอะไรที่หลุดออกมาจากผมฉันเลย มันยังไม่หลุดใช่มั้ย เอาออกให้หน่อย”
กรรม หาว่าโกหกอีก จะบ้า ผมโกหกตั้งแต่แรกแล้วเว้ยเฮ้ย
“เร็วๆ ฉันจะได้กินต่อ”
เขาส่งสายตาทิ่มแทงมาอีกแล้ว เอาวะ แกล้งทำไปก็แล้วกัน
ผมยื่นมือเข้าไปจับผมเขานิดๆหน่อย แต่พี่คริสกลับดึง ไม่ใช่แค่ดึงหรอก กระชากต่างหาก เขากระชากผมไปใกล้ๆ ตกใจหมดเลย อะไรกันอีกล่ะเนี่ย
“อยู่ห่างแบบนั้นจะเห็นชัดมั้ยล่ะ”
ชัดเจนแจ่มแจ๋วแล้วครับพี่
ตอนนี้หน้าผมอยู่ใกล้หน้าของพี่คริสมาก เขินๆ ยังไงไม่รู้แฮะอยู่ใกล้ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักขนาดนี้ แถมเขายัง มองตาผมด้วย วาบหวิวเว้ย ผมรีบเบือนหน้าหนีก่อนจะเงยไปมองผมของเขาแล้วทำทีเป็นปัดๆ ที่ผมของเขาสองสามที ผมอยากจะรีบเอาหน้าเอาห่างๆ จากพี่คริสเหลือเกิน อยู่แบบนี้มันแปลกๆ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอย่างที่คิด ผมกลับต้องนิ่งและอึ้ง เมื่อสิ่งที่ผมเห็นอยู่ด้านหลังพี่คริส คือ..
..ลู่หาน
[ Luhan’s part ]
ตอนนี้ผมรู้สึกแย่มากๆ มินซอกดูเย็นชากับผมมากเลย ทั้งๆ ที่ผมรู้สึกดีกับเขา ผมไม่อยากจะบอกหรอกนะ ผมชอบมินซอกมานานแล้ว ก็ตั้งแต่ปีที่แล้วนั่นแหละ ที่ผมขอมันเป็นแฟน มันคิดว่าผมเล่นๆ และไม่จริงจังอะไรกับเรื่องนี้ แต่เปล่าเลย ผมจริงจังมากและเพราะไม่อยากให้ใครหน้าไหนมาแย่งมินซอกไปจากผม ผมถึงได้ขอคบ และบอกกับใครๆ ว่าเราแป็นแฟนกัน
แม้ว่ามินซอกจะยังคิดว่าผมเป็นเพื่อนเขาก็ตาม
ผมทนเก็บความรูสึกเอาไว้ เพราะมินซอกไม่เคยมองผมในฐานะอื่นเลย นอกจากเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็ก แค่เพื่อน..เท่านั้น ผมกลัวว่าถ้าผมบอกไปผมอาจจะต้องเสียคนๆ นี้ไปจริงๆ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
เราอยู่ด้วยกันมาตลอด จนเมื่อเราสองคนเข้ามหาวิทยาลัย นั่นเป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้เรียนด้วยกัน มันทำให้รู้สึกว่าเราเริ่มห่างกัน แม้ว่าบ้านเราจะใกล้กัน และผมมักจะแวะเวียนไปหาเขาบ่อยๆ ก็ตาม แต่พักหลังเขามักจะปฏิเสธคำชวนต่างๆ นาๆ ของผม ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราชอบเที่ยวเล่นด้วยกัน เราแค่เจอกันตอนที่ผมไปรับไปส่งเขาที่มหาวิทยาลัยแค่นั้น นั่นล่ะที่ทำให้ระยะห่างของเราเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็ทำให้ผมซ่อนความรู้สึกนี้ได้ง่ายขึ้น
แต่ความรู้สึกของผมที่นับวันมันยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นานไปก็เริ่มยากที่จะเก็บซ่อนไว้ ผมเห็นเพื่อนหลายคนพาแฟนมาเปิดตัว ได้โอบกอดใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองรักแล้วผมก็รู้สึกอิจฉา ผมอยากสัมผัส อยากโอบกอดมินซอกคนที่ผมรักบ้าง แต่คำว่าเพื่อนก็ยังค้ำคอผมอยู่
จนกระทั่งวันนั้น ผมได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดมากๆ ลงไป ผมจูบเขา ทั้งที่ผมพยายามแล้ว ที่จะไม่ทำอะไรแบบนั่น แต่วินาทีนั้น หัวใจผมมันสั่งให้ร่างกายผมทำอย่างนั้น และจากนั้น มินซอกก็ขว้างกุญแจใส่ผม ต่อยหน้าผม และจากไป.. ทิ้งผมยืนอยู่ลำพังตรงที่เดิมนั้น ในหัวสับสนไปหมด และหัวใจผมแทบแตกสลาย
มินซอกบอกผมว่า เขาไม่รู้จักผม และเขาอยากได้ลู่หานคนเดิมของเขากลับมา..
...มินซอก ฉันคงกลับไปเป็นลู่หานคนเดิมของนายไม่ได้แล้วล่ะ เพราะหัวใจฉันมันส่งเสียงออกมาอย่างชัดเจนตั้งแต่วินาทีนั้น วินาทีที่ฉันจูบนายหัวใจฉันมันร้องบอกว่าฉันไม่สามารถคิดกับนายแค่เพื่อนได้อีกต่อไป
ฉันรักนาย...
ผมไม่ได้ติดต่อมินซอกตั้งแต่นั้นมา จนวันที่ผมไปเดินเล่นแก้เซ็งที่ห้างตามคำชักชวนของชานยอลและบังเอิญเดินไปชนมินซอกเข้า ทำให้มือถือของเขากระเด็นไปตกอยู่ในบ่อน้ำพุ เขาหันมาจะต่อว่า แต่พอเห็นว่าเป็นผมก็เงียบไป เราสองคนเงียบไปซักพัก ผมจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน แต่กลับได้รับเพียงความเย็นชากลับมา
แม้วินาทีแรกที่ได้เจอคนตัวเล็กตรงหน้าจะรู้สึกดีใจ เพราะความคิดถึงจากการไม่ได้เจอหน้ามาร่วมสัปดาห์ แต่พอได้เห็นสีหน้าเย็นชาและทุกคำพูดจาที่คอยแต่จะทิ่มแทงใจผมแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดอย่างหนักที่ยอมรับคำชวนของชานยอลวันนี้
มินซอกยังคงเหมือนเดิม.. ใจแข็งและเด็ดเดี่ยว.. นั่นเป็นข้อดีของมินซอกที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
ในวันนั้นมินซอกแนะนำคนๆ นึงให้ผมได้รู้จัก.. แฟนของมินซอก
ผมรู้ได้ในทันทีว่าทั้งหมดเป็นการจัดฉาก เป็นเพียงการเล่นละคร มินซอกไม่เคยมีใคร ผมคอยเฝ้ามองเขาตลอด ทำไมผมจะไม่รู้ แต่การที่เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะปฏิเสธผมแบบนี้มันทำให้ผมเจ็บปวด แม้จะรู้แก่ใจว่าผู้ชายที่ชื่อคริสอะไรนั่นจะไม่ได้เป็นอะไรกับมินซอกจริงๆ แต่การที่มันใช่คำว่า ‘คนของผม’ กับมินซอก แล้วก็ทำให้ผมอยากจะตรงเข้าไปซัดหมัดลุ่นๆ ใส่มันสักหมัดสองหมัดเหลือเกิน
แต่สุดท้ายผมก็ทำได้แค่อวยพรให้ด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินจากมาอย่างเจ็บปวด..
เหมือนเช่นตอนนี้ที่ผมกำลังมองมินซอกกับใครอีกคนอยู่ด้วยกัน..
ผมคงต้องเดินจากไปด้วยความเจ็บปวดเหมือนเดิมใช่มั้ย?
ลู่หานยืนอยู่นอกร้าน ในมือถือถุงอะไรบางอย่าง และกำลังมองผมกับพี่คริสด้วยสายตาที่ผมไม่เข้าใจ ผมรู้แค่ว่ามันทำให้ผมเจ็บ เจ็บที่ใจมากๆ
พี่คริสคงเห็นผมนิ่งไปก็พยายามที่จะผลักผมให้ลงไปนั่งตามเดิม และมองตามสายตาผมออกไป ในขณะที่ลู่หานเดินเข้ามาในร้านและหยุดลงที่โต๊ะของผม
“ไง มากินข้าวหรอ”
พี่คริสทักขึ้นและทำหน้าเหมือนไม่มีอะไร เขาก็ปกติอยู่แล้ว จะต้องมีอะไรล่ะนะ ไม่เหมือนผมที่ตอนนี้ในใจมันเต้นโครมครามอย่างกับหัวใจมันจะหลุดออกมาจากอกแล้ว ผมทำหน้าไม่ถูกเลยตอนที่ลู่หานมองหน้าผม และเขาก็แทบไม่ได้สนใจพี่คริสเลยด้วย ลู่หานยังคงมองหน้าผมและยกถุงที่เขาถืออยู่มาวางบนโต๊ะ
“พอดีฉันบังเอิญเดินไปเจอ เลยซื้อมาให้น่ะ หวังว่าจะชอบ”
“อะไรหรอ”
“เปิดดูเองเถอะ ฉันไปก่อนนะ แล้ว..กินข้าวให้อร่อยนะ”
ลู่หานยิ้มและหันหลังเดินจากไป ยิ้มของเขามันไม่ใช่ยิ้มแบบยินดีหรือดีใจ มันเป็นยิ้มที่ดูเศร้าและเจ็บปวด ลู่หานไปแล้ว ผมมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างหดหู่ อะไรกัน ทำไมผมต้องมาเจอลู่หานในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
แต่..มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการแต่ต้นแล้วนี่ การที่เขาเห็นผมอยู่กับพี่คริส อาจจะทำให้เขาเลิกสนใจผมได้ซะที
หลังจากเจอลู่หานที่ร้านอาหาร จิตใจผมก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พี่คริสพยายามชวนผมคุยต่างๆ นาๆ ชวนผมไปดูหนัง และอื่นๆ ที่เขาคิดว่าจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอีก และเอาแต่นั่งคิดทบทวนเรื่องลู่หาน
“นี่ เลิกทำหน้าซังกะตายอย่างนี้ซักทีได้มั้ย ฉันเห็นแล้วเซ็ง”
พี่คริสพูดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่พยายามอย่างมากที่จะทำให้ผมดีขึ้น ซึ่งมันไม่สำเร็จ และเขาก็เงียบไปได้ซักพัก
“ถ้าพี่เซ็ง พี่ก็กลับไปก่อนก็ได้นะ ผมไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง ก็เห็นอยู่ หน้านายมันเหมือนคนที่ดูสบายดีงั้นเหรอ”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ พี่กลับเถอะ ผมก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”
“งั้นฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ใครว่าฉันห่วงนายกัน แค่ไม่อยากให้ใครมองฉันไม่ดี นายมากับฉัน แล้วจะปล่อยให้กลับเองได้ไง”
“ไม่เห็นมีใครเขาสนใจเราเลย”
นี่พี่คริสเขาเป็นอะไร บังคับกันอยู่ได้ ผมทำหน้าเซ็งๆ คิ้วผมขมวดมาชนกันแล้วนะ แต่พอเหลือบไปดูพี่คริส ...คิ้วเขาผูกกันเป็นโบว์เลย น่ากลัวแฮะ
“เลิกเถียงได้แล้ว ฉันจะไปส่ง รออยู่นี่แปปนะ ขอไปธุระนิดหน่อย ห้ามหนีกลับก่อนล่ะ”
“...”
อยากจะบ้า จะไปส่งผม แต่ดันให้ผมมานั่งรออีก
...
ผมนั่งรอได้ซักพักพี่คริสก็กลับมาพร้อมกับถุงอะไรบางอย่าง เขาจัดการกับค่าอาหาร และจากนั้นก็หยิบถุงสองใบ(ของลู่หานและของเขาเอง)เดินนำผมออกไปที่ลานจอดรถ โดยไม่พูดอะไรเลย เป็นอะไรอีกเนี่ย ผู้ชายคนนี้ เดาใจไม่ออกจริงๆ เขาเปิดประตูรถให้ผมด้วย พาลให้นึกไปถึงเมื่อครั้งที่ลู่หานเปิดประตูรถให้ผม วันที่เขาบอกว่ามันคือเดท ...แล้วผมวกกลับมาคิดเรื่องลู่หานอีกทำไมเนี่ย ผมสะบัดหัวตัวเองสองสามทีเพื่อสลัดลู่หานให้ออกไปจากสมอง
“นายทำอะไรน่ะ”
“อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร”
ผมหันไปยิ้มแหยๆ ให้พี่คริสที่กำลังมองผมอย่างสมเพช เออ ผมมันน่าสมเพชจริงๆนั่นแหละ พี่คริสสตาร์ทรถแล้วหันมาถามทางไปบ้านผม จากนั้นก็ออกรถ
พี่คริสขับรถไปเงียบๆ ส่วนผมก็นั่งมองไปนอกรถ ไม่มีใครพูดอะไร อีกแล้ว!! ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้จริงๆ เลย มันแย่สุดๆ แต่ผมก็คิดไม่ออกว่าจะชวนพี่คริสคุยเรื่องอะไร เราสองคนก็ใช่ว่าจะสนิทกันซักหน่อย เพิ่งเจอกันเมื่อวานเองนะ พี่เขาก็ดูเหมือนจะอึดอัดอยู่นิดหน่อย เลยเริ่มฮัมเป็นทำนองเพลงๆ หนึ่งซึ่งคุ้นมาก แต่ผมนึกไม่ออกหรอกว่าเป็นเพลงอะไร มันตะขิดตะขวงใจ อยากรู้นะ เคยเป็นมั้ยล่ะ แบบว่ารู้สึกคุ้นกับอะไรบางอย่าง แต่กลับนึกไม่ออก มันน่าขัดใจชะมัดเลย
“เพลงนี้เพลงอะไรอ่ะพี่”
“ห๊ะ ว่าไงนะ”
“ผมถามว่าเพลงที่ฮัมอยู่น่ะ ชื่อเพลงอะไร”
“ทำไม นายชอบหรอ”
“เปล่า ก็แค่คุ้นๆ น่ะ เลยอยากรู้”
“ฉันชอบมากเลยนะเพลงนี้ ฟังกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลย ความหมายก็ดีนะ”
ใครเขาอยากรู้ความเห็นของพี่กัน แค่อยากรู้ชื่อเพลง จะสาธยายให้มากความทำไมกันเนี่ย
“คือผมแค่อยากรู้ชื่อเพลงน่ะ”
“ใจเย็นสิ อ้าว ถึงซอยบ้านนายแล้ว หลังไหนล่ะเนี่ย”
ผมหันไปมองนอกรถ เออ ถึงแล้วจริงๆ ด้วย ขับเร็วจังแฮะ ผมเพิ่งนั่งได้แปปเดียวเองนะ ผมบอกให้พี่คริสขับต่อไปนิดหน่อยจนมาจอดหน้าบ้านผม พี่คริสก็เดินลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาจะเปิดประตูให้ผม แต่ผมเกรงใจเลยแย่งเปิดเองซะก่อน เลยกลายเป็นว่าผมทำเอาเขาหน้าแตกไปนิดหน่อย
ผมขอบคุณพี่คริสที่มาส่ง และบอกลาเขา จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าบ้าน แต่ก็โดนพี่คริสเรียกไว้ซะก่อน
“ว่าไงครับ”
“บอกว่าไม่ต้องพูดครับไง ..นายลืมของน่ะ”
พี่คริสพูดพร้อมกับชะโงกเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในรถ
..ถุง..ของลู่หาน ผมลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าลู่หานเอาถุงนี่มาให้ผม ผมมองถุงใบนั้นแล้วเดินเข้าไปรับมาจากพี่คริส แต่มันไม่ได้มีแค่ใบเดียว
“เอ่อ พี่คริส ผมว่าถุงนี่มันของพี่นะ ของผมใบนี้ใบเดียว”
“เปล่า นั่นของนาย”
“เห? มันจะเป็นของผมได้ยังไงกัน ก็พี่เป็นคนซื้อมาไม่ใช่หรอ เอาไปสิ”
ผมเดินตามพี่คริสที่กำลังเดินไปขึ้นรถ แล้วพยายามยัดถุงของเขาคืนไป แต่พี่คริสก็ผลักมันกลับมาให้ผม แล้วสตาร์ทรถก่อนพูด
“แต่ฉันให้นาย มันเป็นของนายแล้ว”
“ให้ผมหรอ เอามาให้ผมทำไม แล้วของนี่คืออะไร”
“ก็ของที่นายตั้งใจจะไปซื้อวันนี้ไง ผมไปล่ะ”
พี่คริสขับรถออกไปแล้ว ผมยังคงยืนงงอยู่หน้าบ้านของตัวเอง ของที่ผมตั้งใจจะไปซื้องั้นเหรอ ก็มือถืออ่ะดิ เห้ย ของแพงนะนั่น เอามาให้ผมได้ไงกัน
บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ผู้ชายชื่อคริสกำลังคิดอยู่เลย...
TBC.
ทวงฟิค @salynnxan #พี่หมินใจแข็ง
ความคิดเห็น