คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ติ่งที่ 3
ติ่งที่ 3
มินซอกกลับมานั่งหลังขดหลังปั่นงานโปรเจ็คใหม่ที่ได้รับมาหลังจากหายป่วยอย่างรวดเร็ว จะว่าเพราะได้คุณหมอดี มินซอกก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับสักเท่าไหร่หรอก
ไม่ใช่อะไรนะ ก็แค่กลัวเสียฟอร์ม...ก็คนอย่างมินซอกที่ประกาศกร้าวว่าเกลียดเด็กแว่นหน้ายับนั่นจะเป็นจะตายกลับให้เจ้าอริคนนั้นมาดูแลเสียได้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แต่แน่นอนว่ามินซอกจะไม่ยอมให้ใครรู้หรอก มันต้องเป็นความลับไปจนดินกลบหน้าเขานั่นแหละนะ
จะว่าไปก็ไม่เจอเด็กนั่นมาเกือบอาทิตย์แล้วนี่นา...
โว้ย! แล้วนี่จะไปคิดถึงมันทำไมวะ?
มินซอกสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไป แล้วจึงเริ่มลงมือทำงานอีกครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะงานโปรเจ็คนี้ถือเป็นงานสำคัญมากงานหนึ่งที่เขาจะพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด หากไม่ตั้งใจทำให้ดีแล้วล่ะก็ ชื่อเสียงในหน้าที่การงานของเขาคงได้พังย่อยยับหมดสิ้นแน่ๆ
เสียงรัวคีย์บอร์ดดังก๊อกแก็กดังไม่ขาดสายพร้อมกับเพลงบรรเลงทำนองสบายรื่นหูที่มินซอกมักเปิดฟังในยามทำงาน ซึ่งช่วยให้สมองของเขาปลอดโปร่งและทำงานได้อย่างราบรื่น กระทั่งเวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษๆ เสียงกริ่งหน้าประตูห้องก็ดังขึ้นมา มินซอกนึกสงสัยว่าใครกันที่มาเอาตอนนี้ทั้งที่ปกติเขาแทบไม่มีแขกเลยนอกจากคยองซูและแบคฮยอน ซึ่งถ้าเป็นสองเพื่อนรักจริงก็มักจะโทรมาบอกกล่าวกันก่อนทุกครั้งว่าจะเข้ามาหา
แต่มินซอกลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเพิ่งได้เพื่อนบ้านคนใหม่มาไม่นานนี้เอง...
กว่าจะนึกได้ก็ตอนที่เปิดประตูห้องออกไปเจอหน้ายับๆ กับแว่น(ที่มินซอกคิดว่ามันดู)กะหลั่วๆ นั่นแหละ อยากจะปิดประตูหนีทันทีทันใด ถ้าไม่ติดว่าเจ้าเด็กไร้มารยาทจะใช้ท่อนแขนตัวเองมาขวางไว้เสียก่อน นี่คิดว่าตัวเองเป็นกัปตันอเมริกาหรืออย่างไรถึงได้กล้าทำแบบนี้ ถ้าเกิดเขาผลักประตูปิดเต็มแรง แขนอาจจะขาดไปแล้วก็ได้นะเด็กน้อยเอ๋ย
ก็นี่น่ะใคร มินซอกคนแมนนะเว้ย แรงน่ะมีเยอะ ไม่รู้หรือไง?
“มาทำไม?” สั้นๆ ได้ใจความ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้มากความอะไรทั้งสิ้น
คิมจงแดยกมุมปากขึ้นอย่างที่ชอบทำเสมอเวลาอยู่ใกล้พี่ชาย(ที่คิดว่าตัวเอง)สุดแมน ในขณะที่คนแมนก็เอาแต่ทำหน้ายู่บอกบุญไม่รับทุกครั้งเช่นกัน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ”
“ยุ่งจริง มีอะไรก็ว่ามาเร็วๆ คนจะทำงานทำการ” มินซอกกลอกตาไปมาเพราะไม่อยากมองหน้าอีกคน ขณะที่พิงกรอบประตูห้องตัวเองไปด้วย
จงแดไล่มองสารรูปของพี่ชายตรงหน้าแล้วถึงกับหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็พี่แมวเหมียวของเขาน่ะทำผมมัดจุกเปิดหน้าผากกว้างแต่ดูน่ารักน่าชัง ไหนจะเสื้อสีเขียวพาสเทลลายจุดขาว กางเกงขาสั้นเหนือเข่าขึ้นมานิดหน่อย และที่เด็ดสุดก็คงรองเท้าสลิปเปอร์ที่มีตุ๊กตากวางตัวโตติดอยู่นั่นแหละ
นี่สินะ การแต่งตัวของคนแมน...
“ขำอะไรไม่ทราบวะ” มินซอกที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอเจอคนที่ตัวเองหมั่นหน้าขำใส่ก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นแบบทวีคูณ พอไล่สายตามองตามนั่นแหละถึงได้กุลีกุจอรีบสะบัดรองเท้ากวางน้อยออกทันทีจนมันกระเด็นไปกระแทกกับตู้รองเท้าแล้วหล่นแหมะเอ้งเม้งอยู่บนพื้น
ฮือ ป่ะป๊าขอโทษนะกวางน้อย ที่สะบัดหนูแรงไปหน่อย...
“ใจเย็นครับพี่”
“หุบปากไปเลย ตกลงมีอะไรก็รีบพูดมาสักที!”
“คร้าบๆ นี่ครับ” เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนสีเข้มเห็นอีกคนหันกลับมาจ้องตาเขียวปั๊ดก็ยอมหยุดขำแล้วจึงชูของในมือขึ้นมา แน่นอนว่ามินซอกไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะมันอยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อน
“พอดีตอนเลิกเรียนผมไปทานเค้กกับเพื่อนมา เห็นเจ้านี่ดูเหมาะกับพี่ดีก็เลยซื้อมาฝาก เค้กร้านนี้อร่อยนะครับ” ว่าจบก็ยื่นถุงมาตรงหน้า
ฝ่ายมินซอกพอได้ยินว่าเป็นของกินก็ลืมเรื่องขุ่นเคืองเมื่อครู่ไปทันที ดวงตากลมใสลุกวาวด้วยความดีใจ ชะเง้อคอไปมาหวังจะส่องดูของข้างในแต่กลับไม่ยอมรับถุงไปสักที สุดท้ายก็เป็นจงแดนั่นแหละที่จับถุงยัดใส่มือพี่ชายตัวเล็กไป ก็เข้าใจหรอกว่าฟอร์มจัด แต่ถ้าจะทำท่าทำทางระริกระรี้ดีใจเสียขนาดนี้ก็ควรจะรีบรับๆ ไป
นี่ไม่กลัวจงแดเปลี่ยนใจไม่ให้บ้างหรือไง
พี่ชายตัวเล็กยิ้มแก้มปริจ้องถุงสีน้ำตาลในมือไม่วางตา ในใจก็คิด ‘อยากแกะดูจะแย่แล้ว อยากกินๆๆ อยากกินแล้วอ่า’ แต่เพราะอีกคนไม่ยอมกลับไปเสียที มินซอกก็เลยตีขรึมพร้อมกระแอมนิดๆ เพื่อปรับอารมณ์และสีหน้าตัวเอง
“ไม่กลับหรือไง” เปล่าไล่หรอกนะ...
“อะไรกันครับ ผมก็อยากกินเหมือนกันนะ ยังไม่เคยลองเจ้านี่เลยด้วยสิ” ทำตาแป๋วอ้อนพี่ชายตัวเล็กสักหน่อย
อันที่จริงจงแดก็ไม่ได้อยากทานสักเท่าไหร่หรอก เขาน่ะทานที่ร้านมาจนท้องจะแตกแล้ว เพราะเพื่อนตัวดีที่สั่งกันมาแบบไม่ดูกำลังตัวเองเลยว่าจะทานหมดหรือไม่ สุดท้ายพอสู้ไม่ไหวก็เป็นหน้าที่จงแดนี่แหละที่ต้องคอยเก็บกวาดเค้กที่เหลืออยู่ประจำ อีกอย่างเขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะแค่เอาเค้กมาให้แล้วก็รีบกลับไปทำรายงานที่ห้อง แต่พอมาเจอพี่แมวเหมียวทำท่าทางแบบนี้แล้วก็เลยเปลี่ยนใจขออยู่แกล้งต่ออีกหน่อยแล้วกัน
“อะไรวะ ซื้อมาฝากคนอื่นเขาแล้วยังจะมาขอกินด้วยอีกเหรอ” พอรู้ว่าอีกคนจะมาแย่งกินก็ชักสีหน้าทันที
“ผมยังไม่ได้บอกเลยนะว่าซื้อมาให้พี่คนเดียวน่ะ... ฝากตัวด้วยนะคร้าบ”
ถือวิสาสะถอดรองเท้าผ้าใบออกวางอย่างเรียบร้อยแล้วเบียดเจ้าของห้องเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยรูปหนึ่งในสมาชิกบอยแบนด์ชื่อดัง เดินอาดๆ เข้าไปหย่อนเป้ที่สะพายอยู่ลงบนโต๊ะทานข้าวในโซนห้องครัว เก้าอี้ไม้สีขาวสไตล์โมเดิร์นถูกลากออกจากโต๊ะ ก่อนคนลากจะหย่อนก้นตัวเองลงไป
มินซอกมองตามการกระทำเหล่านั้นไปอย่างทำอะไรไม่ถูก เข้าใจคำว่า ‘เงิบ’ ที่วัยรุ่นชอบใช้กันก็ตอนนี้แหละ เด็กคนนี้ไร้มารยาทเกินไปจนเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว คันปากอยากจะด่าให้ยับเหลือเกิน แต่ติดที่ว่าเด็กเหี่ยวนั่นเป็นเจ้าของถุงสีน้ำตาลสุดน่ารักในมือเนี่ยแหละ
คิมมินซอกคนนี้จะยอมความไปก่อนก็ได้ แต่กินเสร็จเมื่อไหร่รับรองว่าได้โดนเตะออกจากห้องทันทีแน่ๆ ไอ้เด็กหน้าเหี่ยว!
นี่ไม่ได้เห็นแก่กินเลยนะ สาบาน!!!
หลังจากจัดการกับเค้กดาร์กช้อกโกแลตรูปแมวเหมียวอ้วนฉุที่จงแดบอกว่าเหมือนมินซอกมากจนโดนมินซอกขู่ฟ่อใส่ไปพลางกินเค้กไปพลางแล้ว มินซอกก็ปล่อยร่างกายตัวเองให้รวมร่างกับเก้าอี้ไปเป็นที่เรียบร้อย ปากก็บ่นงุบงิบว่าไม่อิ่มอยากกินอีก ทั้งทีตัวเองก็ฟาดคนเดียวแทบทั้งก้อน จงแดน่ะได้กินแค่ชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียวเท่านั้นแหละ
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเก็บกวาดกล่องและจานพร้อมทำความสะอาดให้เสร็จสรรพ ในขณะที่อีกคนยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม เพียงแต่เปลี่ยนท่าเป็นฟุบหน้าลงกับโต๊ะหลังจากที่จงแดจัดการเช็ดโต๊ะให้แล้ว ทีแรกก็คิดว่าแค่นอนฟุบเล่นๆ แต่พอคนเป็นแขกล้างจานเรียบร้อยแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะถึงได้รู้ว่าเจ้าของห้องน่ะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แถมดูจากสีหน้าผ่อนคลายนี้แล้ว ท่าทางจะเป็นฝันดีเสียด้วยสิ
มือหนาถูกส่งเช็ดคราบครีมที่ติดมุมปากให้พี่ชายตัวเล็ก นอกจากทำตัวเหมือนเด็กแล้วนิสัยการกินก็เด็กไม่แพ้กัน กินเลอะเทอะไปหมด เมื่อเห็นว่าสะอาดดีแล้วก็ชักมือกลับมาเท้าคางจ้องมองอีกคนไม่วางตา ตอนไหนก็ไม่รู้ที่มือหนาข้างเดิมถูกส่งออกไปวางแหมะลงบนเรือนผมสีเข้ม กว่าจะสำนึกได้ว่าตัวเองเผลอทำตัวไม่เคารพคนอาวุโสกว่าไปก็ตอนที่ลูบมือขึ้นลงบนเรือนผมนั้นไปหลายรอบแล้วนั่นแหละ
ก็ใครใช้ให้คนแก่นอนหลับได้น่าเอ็นดูขนาดนี้กันล่ะ
/ / /
คิมจงแดไม่ใช่เด็กเรียน แถมยังขี้เกียจอยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผลการเรียนของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ด้วยความที่เป็นคนหัวไวเลยเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว แค่ให้ใครสักคนอธิบายให้ฟังหน่อยก็สามารถเข้าใจได้ แถมยังเข้าหัวได้ดีกว่าตอนเรียนในห้องเรียนเสียอีก
แต่ใครสักคนที่ว่าก็มีอยู่แค่คนเดียวนั่นแหละ ซึ่งก็คือโอเซฮุนผู้มีมันสมองที่ฉลาดปราชญ์เปรื่องแปรผกผันกับบุคลิกและหน้าตาอย่างยิ่ง ถึงแม้โอเซฮุนจะเป็นบุคคลที่สนิทสนมกับจงแดจนถึงขั้นตบหัวกันได้โดยไม่มีโกรธเคืองก็ตาม แต่เวลาของเพื่อนคนนี้ช่างเป็นเงินเป็นทองเสียจนปลีกตัวมาติวให้เขาได้อย่างยากเย็น
ดังนั้นการจะนัดติวแต่ละครั้ง ต้องขึ้นอยู่กับคนติวอย่างโอเซฮุนเพียงผู้เดียว
มันจะไม่มีปัญหาให้จงแดได้หงุดหงิดได้อย่างที่เป็นอยู่นี้ หากเพื่อนซึ่งพ่วงตำแหน่งอาจารย์ประจำตัวไม่ได้โทรมาตามให้เขาออกไปติวเอาตอนนี้ที่ไม่ว่าจงแดจะตีลังกาดูอย่างไร เจ้านาฬิกาดิจิตอลเรือนสวยบนผนังก็ยังคงบอกเวลาสองทุ่มยี่สิบห้านาทีอยู่ดี มันเป็นเวลาที่เขาตั้งใจว่าจะทำรายงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นไปเสียที แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเลื่อนไปก่อน
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาให้ปั่นอยู่อีกเกือบทั้งสัปดาห์...
สนีกเกอร์สีแดงคู่โปรดย่ำไปตามพื้นฟุตบาทกระทั่งหยุดลงที่ร้านกาแฟเล็กๆ ที่อยู่ถัดจากซอยที่จงแดอาศัยอยู่เพียงสองซอย ที่นี่เป็นที่ประจำที่เขามักใช้ในการติวหนังสือ เนื่องจากเป็นร้านที่เงียบและมีส่วนที่เป็นส่วนตัวสำหรับคนที่ต้องการมาติวหนังสือด้วยโดยเฉพาะ แถมยังเปิดจนถึงตีสอง ไม่เพียงแค่นี้แต่กาแฟของที่นี่ยังอร่อยถูกปากจงแดอีกด้วย การได้ดื่มกาแฟรสดีในระหว่างติวหนังสือถือเป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่าของมิสเตอร์คิมจงแดเลยทีเดียว
“ไง มาได้สักที สายไปเจ็ดนาทีนะ” ทันทีที่ย่างเท้ามาถึงโต๊ะประจำ เพื่อนรักที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็ส่งเสียงทักทายมาทันที
โอเซฮุนยังคงอยู่ในชุดนักเรียน เพียงแต่ไม่ได้สวมเสื้อนอกและชายเสื้อนักเรียนสีขาวหลุดลุ่ยออกมาจากกางเกง แถมยังยับยู่ยี่อีกต่างหาก มองสภาพของเซฮุนตอนนี้แล้วจงแดมั่นใจมากว่าหากอาจารย์ฝ่ายปกครองมาเห็นเข้า ก็คงต้องขบเขี้ยวเคี่ยวฟันเป็นแน่แท้
ก็บอกแล้วว่าบุคลิกท่าทางไปจนถึงนิสัยของหมอนี่น่ะหาได้เข้ากับสมองอันชาญฉลาดเลยแม้แต่น้อย ใครจะไปคิดว่าคนที่ทำตัวเกเรแบบนี้จะเรียนเก่งจนถึงขั้นติดท็อปของระดับชั้นได้กันล่ะ
“รีบดิ มีเวลาถึงแค่ห้าทุ่มครึ่งนะเว้ย กูต้องกลับบ้านก่อนเที่ยงคืนว่ะ” โอเซฮุนทำหน้าเบื่อโลกในขณะที่จงแดทำท่าจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เดี๋ยวๆ มึงลืมอะไรป่ะ ชานมกูล่ะ”
ครับ คิมจงแดลืมบอกไปว่าโอเซฮุนชอบ..ไม่สิ ต้องเรียกว่ารักและหลงใหลชานมไข่มุกยิ่งกว่าอะไรบนโลกใบนี้ ย้ำว่าต้องมีไข่มุกด้วยนะ นี่คืออีกเรื่องที่ขัดกับบุคลิกขวางโลกของมัน
“เออ เดี๋ยวไปสั่งให้ ไหนบอกรีบ นี่กูก็ตั้งใจจะเรียนเต็มที่แต่มึงมาใช้กูซื้อชาไข่มุกซะงั้น เสียเวลามั้ยครับมึง” ร่ายยาวก่อนสะบัดก้นไปที่เคาน์เตอร์ แน่นอนว่าเซฮุนก็แค่ทำปากขมุบขมิบเลียนแบบอย่างไม่หยี่ระเท่านั้นแหละ
หลังจากได้ชานมไข่มุกกับอเมริกาโน่เย็นมาไว้ในครอบครอง ทั้งสองก็เริ่มต้นบทเรียนกันได้เสียที การติวดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบมากนัก เสียงทุ้มฟังรื่นหูของเซฮุนพร่ำสอนออกมาเรื่อยๆ ตามเนื้อหาบทเรียน มีบ้างที่หยุดให้ลูกศิษย์ได้ไถ่ถามในส่วนที่ไม่เข้าใจ กระทั่งเสียงจากโทรศัพท์มือถือของเซฮุนดังขึ้น เจ้าตัวขอตัวออกไปรับสายที่อื่น แต่จงแดก็แอบได้ยินเสียงปลายสายที่ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนักดังลอดออกมา
เซฮุนกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมใบหน้ายุ่งๆ
“โอเคมั้ยมึง”
“เหมือนจะ แต่ไม่โอเคว่ะ”
“ทะเลาะกันอีกแล้วหรอ” จงแดถามด้วยความเป็นห่วง
พ่อแม่ของเซฮุนมักทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่สำหรับคนที่ต้องทนกับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้นั้นถือเป็นเรื่องที่โหดร้ายพอสมควร และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เซฮุนทำตัวออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง เซฮุนไม่ใช่คนเข้มแข็งอะไร เพียงแต่เขาต้องเลือกสวมหน้ากากไว้เพื่อซุกซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง ทำราวกับไม่มีอะไรอยู่เสมอ
จะมีก็แต่คิมจงแดที่คบกันมานานนี่แหละที่เซฮุนยอมถอดหน้ากากให้ได้เห็น
“ไปนอนห้องกูป่ะ พอดีเลย ตั้งแต่กูย้ายห้องมึงก็ยังไม่เคยมาเยี่ยมชมเลยสักครั้งนี่หว่า”
“เออ ดีเหมือนกันกูอยู่กับมึงแล้วสบายใจ ไม่ต้องคิดห่าอะไรเลย ถ้าอยู่สักเดือนนึงได้ป่ะ”
พูดทีเล่นทีจริงไปอย่างนั้น แต่กลับโดนเพื่อนโบกกบาลเข้าให้ เซฮุนรู้ดีว่าถึงจงแดจะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายแต่ก็เป็นพวกรักสันโดษสูง ชอบใช้ชีวิตคนเดียวถึงได้ย้ายออกมาอยู่หอตั้งแต่มัธยมต้นปีสาม ทั้งที่ที่บ้านก็ออกจะสะดวกสบาย ให้เซฮุนไปอยู่สักวันสองวันคงได้ แต่อยู่เป็นเดือนมีหวังไม่จงแดลงแดงตายก็คงโอเซฮุนเองที่ทนอยู่ไม่ไหว
...ก็บทจะเงียบ มันก็เงียบจนน่าขนลุกน่ะสิ
ขากลับคอนโดฯ เร็วกว่าขาไปอยู่มากโข เพราะไม่ต้องเดินแต่นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเซฮุนกลับมาแทน โอเซฮุนวิจารณ์เรื่องคอนโดฯ มาตลอดทางที่เดินทางขึ้นมายังห้องพักของจงแด แน่สิ ในสายตาของโอเซฮุนเคยมีอะไรดีถูกใจบ้างล่ะ
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าบานประตูห้องของตน จงแดก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่ลูกบิดประตูมีถุงพลาสติกสีชมพูแขวนอยู่
“เดี๋ยวนี้มีสาวเอาของมาห้อยหน้าห้องด้วยเหรอวะ ไม่ใช่เล่นๆ นะเนี่ยเพื่อน” เซฮุนตบบ่าจงแดแปะๆ พลางยิ้มล้อเลียน
“สาวอะไรมึง มีที่ไหนกันล่ะ นี่กูก็งงอยู่ ใครเอามาแขวนผิดห้องป่ะวะ”
ความสงสัยเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยอะไร ต้องอาศัยความกล้าและสอดรู้สอดเห็นด้วย เพราะอย่างนั้นแล้วเจ้าของร่างสูงเพรียวจึงยื่นมือมาคว้าถุงเจ้าปัญหาไปจากมือของจงแด ก่อนจะจัดการเปิดมันดู
“นี่มัน...อะไรวะ”
ดูจากปฏิกิริยาและสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนแล้วจงแดก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นผสมกับไม่อยากดูไปด้วย แต่สุดท้ายความสงสัยก็ชนะทุกอย่าง จัดการชะโงกหน้ามองดูในถุงสีชมพูน่ารักก่อนจะค่อยๆ หยิบมันออกมาอย่างระมัดระวังแล้วถึงได้พบว่ามันคือก้อนอะไรสักอย่างสีดำๆ ที่น่าจะเป็น...
คุกกี้???
“มึงย้ายมาอยู่ไม่นาน มีคนเกลียดขี้หน้าถึงขั้นส่งของน่ากลัวแบบนี้มาให้แล้วเหรอวะ” พูดจบก็กุมท้องหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างมีความสุข
สภาพมันก็น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ...
เด็กหนุ่มพยายามไม่สนใจเจ้าก้อนน่าเกลียดน่ากลัวนั่น แต่หยิบกระดาษที่อยู่ในถุงด้วยออกมาดูแทน
‘ขอบคุณที่เลี้ยงเค้ก+เป็นคุณหมอให้’
หายกันแล้วนะเหี่ยว :(
_____________________________
@salynnxan #ฟิคแมวติ่ง
ความคิดเห็น