คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : GONE 03__ คนหนึ่งขอเพียงได้เคียงข้างกัน อีกคนคิดว่าแค่นั้นคงไม่พอ
3
คนหนึ่งขอเพียงได้เคียงข้างกัน อีกคนคิดว่าแค่นั้นคงไม่พอ
ณ บ้านไม้หลังเล็กแห่งหนึ่ง
ลู่หานนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ หน้าบ้าน ลมหนาวยังคงพัดมาคอยย้ำซ้ำเติมว่าเขานั่นโดดเดี่ยวมากเพียงไหน เขาจัดผ้าพันคอหนานุ่มให้เข้าที่เข้าทาง พลางฟังเสียงลมพัด เสียงใบไม้เสียดสีกัน และเสียงแมลงที่เริ่มส่งเสียงร้องออกมาในยามค่ำ บรรยากาศที่นี่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับที่ๆ เขาจากมาพอสมควร นั่นจึงทำให้ลู่หานยิ่งรู้สึก..คิดถึง..คนที่เขาจากมา
ตอนนี้ลู่หานไม่รู้เลยว่าการที่ตัวเองเป็นฝ่ายเดินจากมาแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือไม่ ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงแค่เขาจะต้องรักษาทุกสิ่งทุกอย่างของมินซอกเอาไว้ เขารู้ดีว่ามินซอกยินดีสละทุกอย่างเพียงเพื่อที่จะอยู่กับเขา แต่มันทำให้ลู่หานรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปหากมินซอกต้องสละทุกอย่างเพื่อเขา.. คนที่ไม่คู่ควรเลยแม้แต่น้อย
หากยังดึงดันที่จะอยู่ด้วยกัน.. ก็พาลแต่จะทำให้คนที่ตนรักยิ่งตกต่ำลงมา ลู่หานทนไม่ได้ที่จะต้องเจอเรื่องแบบนั้นถึงได้เลือกเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเอง ที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของเขา
เวลาแต่ละวันผ่านไป ไม่ทันไรก็เข้าสู่เดือนที่ยี่สิบเอ็ดนับจากวันที่เขาจากบ้านหลังใหญ่ของตระกูลคิมมา ชีวิตในบ้านหลังเล็กที่มีเพียงสองห้องนอน กับห้องนั่งเล่นและครัวเล็กๆ ก็เป็นอย่างทุกวัน ตื่นนอนในตอนสาย ออกมานั่งเล่นเดินเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วก็เข้านอนตอนหัวค่ำ ฟังแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาจะใช้เวลาในการนอนเยอะพอดู แต่เอาจริงๆ แล้วกว่าจะหลับลงได้ในแต่ละคืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บางคืนลู่หานยังคงตื่นอยู่ในตอนที่ได้ยินเสียงนาฬิกาบอกเวลาตีสาม ทุกๆ วันของลู่หานวนเวียนไปเช่นนี้ มันออกจะดูน่าเบื่อแต่ก็ยังดีที่ยังมีป้ามุนอาซึ่งเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ในรั้วบ้านหลังใหญ่ตามมาคอยดูแลเรื่องอาหารการกินและคอยเป็นเพื่อนคุยบ้างเป็นครั้งคราว ชีวิตของลู่หานจึงไม่ถือว่าน่าเบื่อจนเกินรับได้
หลายครั้งที่ลู่หานเปิดฟังข่าวจากโทรทัศน์แล้วก็ต้องปิดมันไปเพราะบังเอิญเปิดไปเจอข่าวเกี่ยวกับลูกชายนักการเมืองชื่อดังของเกาหลีคนหนึ่งเข้า...คิมมินซอก ลู่หานไม่ควรที่จะรับรู้เรื่องใดเกี่ยวกับมินซอกอีกต่อไป ในเมื่อเขาเป็นคนตัดสินใจเลือกเดินจากมาเองแล้วก็ต้องทำให้เด็ดขาด ลู่หานตัดสินใจแล้วว่าเขาจะลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับคิมมินซอกไปให้หมด
แต่น่าเสียดาย...ที่เขาไม่รู้เลยว่าต่อให้พยายามแค่ไหนเขาก็ไม่อาจทำได้
/ / /
ร่างเล็กๆ นอนเลื้อยอยู่ในห้องชุดราคาแพงกลางย่านคนรวยของกรุงโซล สภาพห้องที่เละเทะยิ่งกว่าผ่านสมรภูมิรบมาไม่ได้ทำให้มินซอกนึกอยากเก็บกวาดมันเลย เจ้าตัวเพียงแค่เขี่ยๆ มันไปอีกทางในยามที่เห็นว่ามันเริ่มเกะกะขวางทาง โทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่ถูกเปิดทิ้งไว้แต่ไร้คนสนใจที่จะดูมันยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในวันนั้นที่ลู่หานหายไปจากชีวิตของเขาก็เหมือนเอาทุกอย่างในชีวิตของมินซอกไปด้วย มินซอกรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า เขาโกรธลู่หานที่ทิ้งเขาไป แต่ก็ไม่เท่าที่เขาโกรธตัวเอง โกรธที่ไม่อาจทำให้ลู่หานมั่นใจว่าเขาจะพาทั้งคู่ฝ่าฟันเรื่องต่างๆ ไปได้ โกรธจนไม่รู้จะทำอย่างไร
มินซอกใช้เวลาในการตามหาลู่หานอยู่นาน ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนสุดท้ายแล้วมินซอกก็ไม่รู้เลยว่าคนที่ตนรักนั้นอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ แต่หลังจากคริสต์มาสของปีที่แล้วผ่านไป มินซอกก็เลิกตามหา เขาปล่อยให้ตัวเองทำตัวเหลวไหลไปเรื่อย แม้ว่าจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยขึ้นชื่อของเกาหลีได้ แต่การกระทำก็ไม่เหมาะสมกับการเป็นนักศึกษาของสถาบันอันทรงเกียรติเลย ทั้งเที่ยวเล่น กินเหล้า เล่นการพนัน ก่อเรื่องต่างๆ นาๆ ไปทั่วจนทำให้คิมจุนซูผู้เป็นพ่อต้องคอยตามเช็ดตามเก็บอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ถึงแม้จะเอือมระอากับลูกชายแค่ไหน คนเป็นพ่อก็ไม่คิดที่จะพาลู่หานกลับมา..
เสียงโทรศัพท์มือถือส่งเสียงลั่นเป็นสัญญาณว่ามีสายเข้ามา มินซอกยกมือขึ้นยีตาตัวเองแรงๆ ก่อนจะยื่นไปควานหาอุปกรณ์สื่อสารของตนขึ้น ปลายสายคือเพื่อนร่วมคลาสที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมแก๊งสำมะเลเทเมาของเขา ร่างเล็กผุดลุกขึ้นนั่ง กดรับสายแล้วยกมือถือขึ้นแนบหู
“มินซอก ตื่นแล้วมาที่มหา’ลัยได้แล้ว สายแล้วนะ” เสียงทุ้มของชานยอลเพื่อนร่วมแก๊งดังลอดมาตามสาย
“อือๆ ตื่นแล้ว เดี๋ยวไป”
“แน่นะ ลุกจากเตียงหรือยัง?” ปลายสายถามขึ้นเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
“อื้อ ลุกแล้วน่า”
เสียงเพื่อนรักกำชับให้รีบทำเวลาอยู่อีกสองสามครั้งก่อนที่มินซอกจะเป็นตัดสายทิ้งไปก่อนเอง วันนี้สาขาของเขามีทริปไปเป็นอาสาสมัครที่ไหนสักที่ซึ่งมินซอกจำไม่ได้ถึงรายละเอียดเหล่านั้น จริงๆ แล้วเขาอยากจะโดดกิจกรรมประเภทนี้เหมือนอย่างทุกครั้งแต่ติดที่ว่าหากคะแนนกิจกรรมไม่ถึงตามที่กำหนด เขาจะหมดสิทธิ์สอบในรายวิชานี้ และนี่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้คะแนนกิจกรรมเยอะพอที่จะเข้าสอบได้ สุดท้ายจึงจำใจต้องไปอย่างช่วยไม่ได้
มินซอกพาตัวเองเข้าทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยในชุดลำลองเนื้อดีใส่สบายแล้วก็หยิบจับเสื้อผ้าจากในตู้อีกสามสี่ชุดยัดลงกระเป๋าเป้แบรนด์ดังใบโตพร้อมของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย ไม่นานเขาก็พร้อมออกเดินทาง
ทันทีที่มาถึงมหาวิทยาลัย เพื่อนรักตัวสูงก็ปรี่เข้ามาล็อกคอแล้วลากขึ้นรถไปด้วยความเร่งรีบ ดูเหมือนว่ามินซอกจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย ชานยอลจับจองที่นั่งตรงกลางๆ ค่อนไปข้างหลังเล็กน้อยไว้ มินซอกเลือกนั่งชิดริมกระจกโดยที่ชานยอลก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
รถบัสของมหาวิทยาลัยเคลื่อนตัวเข้าสู่เขาชนบทในช่วงเย็น มินซอกที่หลับมาตลอดทางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาพบว่าอากาศที่นี่ดีมาก ดวงตาคมทอดยาวไปยังทิวทัศน์ข้างถนนที่รถแล่นผ่าน เขาเห็นหลายอย่างที่ดูแปลกตาสำหรับเขา รู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่มองไปเรื่อยๆ สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าบ้านหลังเล็กสีขาว ร่างที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยคุ้นเคยดี
“หยุดรถ!!!” มินซอกตะโดนลั่นหลังจากเรียกสติกลับมาได้ เพื่อนๆ หันมามองกันเป็นตาเดียวแต่เขาก็หาได้ใส่ใจ พยายามจะลุกจากที่นั่ง
“เป็นอะไรของนายน่ะมินซอก”
ชานยอลเอ่ยถามในขณะที่พยายามกันเพื่อนตัวเล็กที่พยายามลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะเกรงว่าอาจเป็นอันตรายได้ในเมื่อรถนี้ยังคงแล่นอยู่ แต่จนแล้วจนรอดมินซอกก็หลุดออกมายืนอยู่ตรงที่ว่างระหว่างที่นั่ง มือเล็กเกาะเกี่ยวเบาะที่นั่งแน่นพลางตะโกนบอกให้คนขับหยุดรถซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนขับรถต้องยอมแตะเบรกลงอย่างช้าๆ ก่อนที่ร่างเล็กจะก้าวฉับๆ ลงจากรถไปโดยไม่สนใจสายตาเพื่อนและอาจารย์ที่ปรึกษาเลย
ระยะทางจากจุดที่รถจอดไปยังบ้านหลังเล็กนั้นไกลพอสมควรแต่มินซอกก็ยังคงวิ่งไปด้วยใจที่เต้นระส่ำ เสียงทุ้มของเพื่อนตัวสูงร้องเรียกตามหลังมาแต่มินซอกก็ยังวิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงนั่นแผ่วลงไป และระยะห่างระหว่างตัวเขากับบ้านหลังเล็กนั่นเริ่มสั้นลงทีละน้อย จนเห็นมันอยู่ตรงหน้า
มินซอกพาร่างของตนเคลื่อนเข้าสู่บริเวณบ้านที่มีรั้วไม้เตี้ยๆ ล้อมรอบอยู่ เดินตัดสนามหญ้าด้านหน้าไปจนถึงชานบ้านที่ถูกยกพื้นขึ้นเล็กน้อย เก้าอี้ที่เคยเห็นอีกคนนั่งอยู่นั้นตอนนี้กลับว่างเปล่าเสียแล้ว เขาก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้ด้วยใจที่เต้นระรัว หลังบานประตูนี้จะมีคนที่เขาเฝ้าตามหาหรือไม่ มินซอกไม่มั่นใจเลย บางทีเขาอาจจะตาฝาดไปเหมือนอย่างทุกทีที่คิดถึงคนที่ตัวเองรักยิ่งกว่าสิ่งใด หลังจากยืนชั่งใจอยู่นาน มือเล็กก็ยกขึ้นเคาะที่บานประตูตรงหน้าเบาๆ สามครั้ง มินซอกได้ยินเสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาจากหลังบานประตูก่อนที่มันจะถูกเปิดออก...คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่มินซอกตามหา แต่เป็นหญิงสูงวัยที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตา
“คุณหนู..” หญิงตรงหน้าเอ่ยเรียกแผ่วออกมาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
“ใครมาเหรอครับป้า”
คนที่มินซอกถวิลหาที่สุด...อยู่ตรงหน้าแล้ว...
/ / /
“คุณหนูมาที่นี่ได้ยังไงคะ” เสียงแหบพร่าตามแบบฉบับคนที่มีอายุเอ่ยถามขึ้น ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าบ้านกับป้ามุนอา และลู่หานยังอยู่ข้างในบ้าน
“บังเอิญน่ะครับ”
“คุณหนูไม่ควรมาที่นี่เลยค่ะ ถ้าคุณท่านรู้เข้าคงได้เป็นเรื่องเป็นราวไปกันใหญ่อีก”
“ถ้าป้าไม่บอก ผมไม่บอก ใครมันจะไปรู้ล่ะครับ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ แต่คุณก็ไม่ควรพบกับลู่หานอยู่ดีนะคะ ป้าว่าคุณหนูกลับไปเถอะค่ะ ป้าขอร้อง ป้าไม่อยากให้ทั้งคุณหนูและลู่หานต้องเจอเรื่องลำบากไปมากกว่านี้แล้ว”
ที่นี่ก็อยู่ในที่ห่างไกลเสียขนาดนี้ มินซอกมั่นใจว่าคงไม่มีคนของพ่อแม่เขาอยู่ด้วยแน่ๆ มินซอกมองลอดกระจกหน้าต่างเข้าไป ลู่หานอยู่ข้างในนั้น อยู่ตรงนั้นแล้ว เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ความปริ่มเปรมใจที่ได้พบคนรักที่แยกจากมานานส่งผลให้เขารู้สึกจุกแน่นในอก จุกเพราะความสุขที่อัดแน่นอยู่ข้างใน จุกเพราะเหมือนมีคำพูดนับพันอยากจะเอ่ยออกมาแต่ก็เรียบเรียงมันออกมาไม่ได้ ทว่า..ทั้งที่อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้แล้วเขาก็ไม่อาจที่จะได้สัมผัสเลยอย่างนั้นหรือ?
“ป้ารู้ไหมว่าตลอดเวลาเกือบสองปีผมทรมานแค่ไหน ผมมีคนที่ผมรักจริงแต่กลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกอยากร้องไห้ในทุกๆ วันเลย” เขาพูดโดยที่สายตายังไม่ละไปจากผู้เป็นที่รัก
“ผมร้องไห้มากจนคิดว่าบางทีน้ำตาของผมมันอาจหมดลงสักวันก็ได้..”
“...”
“นะครับป้า ให้ผมเจอลู่หานเถอะนะครับ”
หญิงสูงวัยทำหน้าอึดอัดใจก่อนจะถอนหายใจออกมา มินซอกคิดเอาเองว่านั่นคือสัญญาณบ่งบอกถึงการยอมแพ้ เขาเอ่ยขอบคุณป้ามุนอาก่อนจะก้าวขาเรียวของตนเข้าไปในบ้าน
ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก ลู่หานหันไปตามต้นเสียง เขาคิดว่าคงเป็นป้ามุนอาที่กลับเข้าบ้านมาหลังจากคุยกับแขกเสร็จแล้ว แต่เสียงฝีเท้าหนักที่ต่างไปจากเดิมทำให้ปลายคิ้วขมวดน้อยๆ แต่ก็ยังไม่เอะใจอะไร เอ่ยเรียกหาป้าที่ดูแลตนมาตลอดอย่างแผ่วเบาแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ จนกระทั่งได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยมา..
ไม่หรอก..คงไม่ใช่
ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ และคิดว่าอาจเป็นเพราะอารมณ์คิดถึงที่ทำให้เขาฟุ้งซ่านจนคิดไปเองว่ากลิ่นที่ตนสัมผัสอยู่นี้คือกลิ่นกายของคนที่ตนรัก แม้เวลาจะผ่านมานานนับปี แต่น่าแปลกที่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังจำมันได้ทั้งหมด ลู่หานรู้สึกได้ว่าร่างของอีกคนกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ และกลิ่นหอมที่ติดอยู่ปลายจมูกนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“มินซอก...” เอ่ยแผ่วเบาออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
“ยังรู้ทันเหมือนเดิมเลยนะ” มินซอกจุดยิ้มที่มุมปาก นึกไปถึงทุกครั้งยามที่เขาเข้าใกล้ ร่างสูงก็มักจะรู้ตัวก่อนเสมอ ลู่หานบอกว่ากลิ่นของเขาไม่เหมือนใคร ถึงได้จดจำได้เป็นอย่างดี และจนถึงวันนี้ลู่หานก็ยังจำเขาได้
“มินซอกจริงๆ เหรอ”
“อื้อ”
ลู่หานรู้สึกได้ว่าใจตัวเองกระตุกวูบ เขาตระหนักได้ในตอนนี้เองว่าไม่ว่าจะพยายามลบเลือนเรื่องราวของมินซอกออกไปสักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วหัวใจของเขาก็จะยังจดจำมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่มินซอกมาอยู่ตรงหน้า เรื่องราวเก่าๆ ของเขาทั้งสองก็ย้อนเข้ามาเรื่องแล้วเรื่องเล่า รู้สึกได้ถึงฝ่ามือนุ่มที่ยื่นเข้ามาจับมือหนาของเขาไว้ ก่อนจะยกมันขึ้นกอบกุมแก้มนิ่มไว้ราวกับจะย้ำเตือนว่านี่คือคิมมินซอกตัวจริงเสียงจริง
“มินซอกจริงๆ สินะ มินซอก...คิมมินซอก” ลู่หานย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับกลัวว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหก
“คิดถึง..” เป็นมินซอกที่เอ่ยออกมายามที่กอบกุมมือหนาที่สัมผัสใบหน้าของตนอยู่อีกที และตอนนี้ลู่หานรู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่นที่รินไหลบนใบหน้านิ่มนี้ มือหนาบรรจงปาดซับน้ำตานั้นให้แห้งเหือดไปเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
“คิดถึงเหมือนกัน”
/ / /
มินซอกได้รับโทรศัพท์จากชานยอลบอกว่าตอนนี้ทุกคนถึงที่หมายกันแล้ว และให้เขาหาทางตามไปที่นั้นเอง แต่มินซอกไม่อยากไปเลยจริงๆ เขาเพิ่งเจอคนที่เขาตามหา คนที่เขารักและคิดถึงยิ่งกว่าสิ่งใด กลัวเหลือเกินว่าหากลับสายตาแล้วลู่หานอาจจะหนีไปอีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการต้องทนทรมานติดอยู่กับรอยแผลที่เรียกว่าความคิดถึงนี้ แค่เวลายี่สิบเอ็ดเดือนก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
ตอนนี้เขาอยากใช้เวลาที่มีทั้งหมดกับลู่หานแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่ลู่หานไม่คิดเช่นนั้น...
ไม่ใช่ว่าลู่หานไม่รู้อะไรเลย เขารู้ดีว่ามินซอกแย่ลงถึงเพียงไหนหลังจากที่เขาจากมา แน่นอนว่าข่าวเกี่ยวกับมินซอกที่เขาบังเอิญเปิดเจอทางโทรทัศน์นั้นไม่ได้พ้นไปจากเรื่องที่มินซอกก่อปัญหาเลย เขาได้ยินมันอย่างน้อยก็มากว่าสี่ครั้งและหลังจากนั้นเขาก็เลิกที่จะเปิดโทรทัศน์เฉพาะตอนที่มีละครเท่านั้น
หลังจากได้ยินเสียงเพื่อนของมินซอกที่คอยย้ำถึงปัญหาหากมินซอกขาดกิจกรรมในครั้งนี้ลอดดังมาตามโทรศัพท์ เขาก็บังคับให้มินซอกต้องยอมกลับไปร่วมค่ายจนได้ ซึ่งก็ต้องเอ่ยยืนยันหลายต่อครั้งว่าจะไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน มินซอกถึงได้ยอมออกจากบ้านไปอย่างอ่อยอิ่ง
ลู่หานเคยหนี..และเขาเพิ่งรู้ว่าการหนีมันทำให้ทรมานกันทั้งสองฝ่าย แม้จะหลอกตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่าตัวเองทำถูกแล้ว และควรลืมมินซอกไปเสียที แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงของมินซอก.. ไม่สิ ทันทีที่ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคยของมินซอกลอยมาแตะจมูก เขาก็สาบานกับตัวเองเลยว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นซ้ำสอง
ทั้งเขาและมินซอกเจ็บมามากเกินพอแล้ว...เจ็บเพียงลำพัง และจากนี้ไป หากต้องเจออะไรขวางกั้น เขาก็จะผ่านมันไปด้วยกัน จะไม่มีคำว่า ‘ลำพัง’ อีกแล้ว แต่จะเป็นคำว่า ‘เรา’ เข้ามาแทนที่
/ / /
มินซอกไปทำกิจกรรมกับทางค่ายโดยไม่ลืมที่จะขอเบอร์โทรศัพท์ของที่บ้านลู่หานไว้ ยามที่มีเวลาเขาก็จะโทรมาหา พูดคุยเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย และพอตกเย็นหลังจากตารางกิจกรรมของวันหมดลง มินซอกก็จะกลับมาที่บ้านหลังเล็กและใช้เวลาทั้งคืนอยู่กับลู่หาน ทั้งคู่นอนเตียงเดียวกัน โอบกอดกันอย่างเขินอายก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยกันทั้งรอยยิ้ม แม้ไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ แต่ทั้งคู่ต่างพึงพอใจกับมันแล้ว มันเป็นความสุขที่เขาทั้งคู่รอคอยมานานแสนนาน
กิจกรรมค่ายสิ้นสุดลงในวันที่สี่ มินซอกตัดสินใจไม่เดินทางกลับพร้อมรถบัสของมหาวิทยาลัย แม้ชานยอลจะพยายามถามไถ่ถึงเหตุผลสักเท่าไหร่ มินซอกก็แต่ยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น อันที่จริงมันก็เป็นเช่นนี้มาตลอดสามวันที่ผ่านมาแล้วที่โลกของมินซอกดูสดใสขึ้น ไม่เซื่องซึมอย่างเมื่อก่อน ชานยอลจึงถือว่ามันเป็นเรื่องดีและไม่ติดใจอะไรมากนัก เพื่อนตัวสูงกำชับมินซอกให้ดูแลตัวเองและกลับบ้านอย่างปลอดภัยก่อนที่จะขึ้นรถบัสกลับไปยังโซล
ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กสีขาวนั้น ทุกวันของพวกเขามีแต่ความสุข ลืมไปแทบหมดสิ้นถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เคยได้พานพบมาก่อนหน้านี้ ราวกับว่าช่วงเวลาปัจจุบันคือสิ่งที่ดีที่สุด และน่าจดจำที่สุดสำหรับทั้งคู่ กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป มินซอกได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนตัวสูงคนเดิมที่โทรมาตามให้เขากลับไปเข้าเรียนได้เสียที แน่นอนว่ามินซอกปฏิเสธแทบจะในทันที เขาไม่อยากจากลู่หานคนที่เขารักไปไหนอีกแล้ว แต่พอลู่หานรู้เข้าก็พยายามที่จะให้มินซอกกลับไปเรียนตามเดิม ลู่หานคิดว่ามันสำคัญกับชีวิตของมินซอกและเขาไม่อยากจะทำลายสิ่งนั้นไป แม้จะสัญญากันแล้วว่าจะไม่พรากกันไปไหนอีกก็ตาม แต่เรื่องที่ต้องทำมันก็ควรต้องทำอยู่ดี สุดท้ายมินซอกจึงเลือกที่จะให้ทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกัน ทั้งเรื่องเรียนและรัก..
มินซอกพาลู่หานกลับมายังโซลด้วยกันท่ามกลางความพยายามที่ยกเหตุผลต่างๆ นาๆ มาอ้างของลู่หานและป้ามุนอา แต่จนแล้วจนรอดความดื้อรั้นของมินซอกก็ชนะทุกอย่าง
“มันจะดีจริงๆ เหรอมินซอก” ลู่หานเอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าเป็นกังวล
ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในห้องชุดสุดหรูของมินซอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มินซอกลากกระเป๋าเสื้อผ้าของลู่หานเข้าไปเก็บในห้องนอนก่อนจะเดินกลับออกมานั่งลงบนโซฟาหนาที่มีร่างขอลู่หานนั่งอยู่ก่อนแล้ว มินซอกจับมือหนาของคนรักไว้ ความอบอุ่นถูกส่งผ่านถึงกัน
“ดีสิ เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ มันต้องดีสิลู่หาน” น้ำเสียงนุ่มแต่หนักแน่นของมินซอกเอ่ยขึ้นเพื่อย้ำให้ลู่หานได้มั่นใจ
“แล้วถ้าคุณท่านรู้ล่ะ”
“สัญญากันไว้แล้วไม่ใช่หรือไง”
ลู่หานนึกย้อนไปถึงคำสัญญาที่ทำร่วมกันไว้ ณ บ้านหลังเล็กนั้น คำสัญญาที่ว่าจะอยู่ด้วยกันและไม่ว่าอะไรจะเป็นอุปสรรค ทั้งคู่ก็จะฝ่าฝันไปด้วยกันให้ได้ ลู่หานจำมันได้ดี เพียงแต่แค่ยังรู้สึกเกรงอยู่ เรื่องตัวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนตรงหน้าเขาต่างหากที่เขาเป็นห่วง ความรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะพาให้อีกคนตกต่ำลงมันยังคงอยู่ แม้จะพยายามปัดทิ้งไปจากสมองเท่าไหร่ก็ตาม
“อย่ากลัวอะไรไปเลยนะ ถ้าจะกลัว... ก็กลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันดีกว่า”
แม้จะรู้ว่ามินซอกขอเพียงแค่ได้อยู่เคียงข้างกันก็ไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว แต่ลึกๆ ลู่หานรู้ดีว่าเพียงแค่นี้มันไม่เพียงพอเลย ลู่หานอยากเหลือเกิน อยากที่จะปกป้องมินซอกได้ อยากที่จะเคียงข้างคนที่เขารักได้อย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ใช่คนที่คอยเป็นภาระแบบนี้ เขาอยากทำให้มินซอกมีความสุข ได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ไม่ต้องอับอายที่รักคนแบบเขา ไม่ต้องหลบซ่อนคนที่บ้าน แต่เขาก็ได้แค่อยาก... เพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างที่ใจต้องการเลย
ลู่หานจำใจต้องยอมรับความจริงข้อนี้...
ทุกวันที่มินซอกต้องเข้าเรียน เขาจะออกไปและกลับมาทันทีที่เลิกเรียนจนชานยอลยังแปลกใจที่เพื่อนตัวเล็กรีบร้อนกลับบ้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่ลู่หานนอนเล่นอยู่บนเตียงบ้าง ฟังข่าวหรือรายการวาไรตี้จากโทรทัศน์บ้าง มันออกจะน่าเบื่อที่ต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีสนามหญ้า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีเสียงนกร้อง หรือแม้กระทั่งเสียงลมพัดเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่นอกเมือง แต่ลู่หานจะพยายามคิดว่าอีกเดี๋ยวมินซอกก็กลับมาแล้ว และมินซอกจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังเหมือนเช่นทุกวัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ชีวิตของทั้งคู่หมุนวนไปเช่นนี้ ฤดูหนาวปีนี้กลับรู้สึกไม่หนาวเหมือนอย่างปีก่อน เพราะความอบอุ่นที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กันและกัน
/ / /
ไม่ทันไรช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงก็มาถึง ตามถนนต่างถูกประดับไปด้วยไฟหลากสี ดนตรีที่ถูกเปิดจากร้านรวงต่างๆ และต้นคริสมาสต์ที่ถูกตกแต่งสวยงามก็มีให้เห็นไปทั่วทั้งเมือง วันนี้เป็นวันคริสมาสต์อีฟ มินซอกออกมาเลือกซื้อของกินกลับไปทำอาหารทานที่ห้อง และไม่ลืมที่จะซื้อของขวัญให้กับลู่หานด้วย อันที่จริงแล้วเขาเองก็อยากพาลู่หานออกมาเดินรับบรรยากาศเหมือนกัน แต่เพราะคนที่แน่นขนัด เกรงว่าลู่หานอาจเป็นอันตรายได้จึงตัดสินใจออกมาคนเดียวและรีบซื้อของให้เร็วที่สุดเพื่อกลับไปหาคนรักที่รอคอยเขาอยู่
พอกลับมาถึงห้องก็พบว่าลู่หานกำลังร้องเพลงคลอไปกับเสียงเพลงในโทรทัศน์อยู่ ร่างเล็กเดินเอาข้าวของไปเก็บในครัวแล้วจึงกลับมาสวมกอดอีกคนที่ร้องเพลงอย่างมีความสุขอยู่ เมื่อเพลงเล่นไปจนถึงท่อนฮุค มินซอกจึงร้องคลอตามไปด้วย ทั้งคู่กอดกันและร้องเพลงไปจนจบพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
มื้อค่ำวันนี้เป็นอาหารง่ายๆ ที่มินซอกพอจะทำได้อย่างสปาเก็ตตี้ หลังจากทั้งคู่ทานมื้อค่ำเสร็จก็พากันมานั่งดูหนังในห้องนั่งเล่น โซฟาสีเข้มถูกใช้เป็นที่อิงแอบของร่างสองร่าง มินซอกพิงศีรษะลงบนไหล่กว้างของลู่หาน พลางอธิบายฉากเด็ดๆ ในจอสีเหลี่ยมให้ลู่หานได้นึกภาพตาม ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันยามที่เจออะไรตลกๆ
“จริงสิ ฉันมีของขวัญมาให้ด้วยนะ” มินซอกนึกขึ้นได้ตอนที่กำลังเอาแผ่นดีวีดีออกมาจากเครื่องเล่น
ลู่หานแปลกใจเล็กน้อยเพราะเขาเองไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย มินซอกเดินกลับเข้าห้องนอนแล้วออกมาพร้อมของขวัญในมือ เขานั่งลงข้างลู่หานอีกครั้งและเปิดกล่องของขวัญเล็กๆ ออกมา มันคือแหวนคู่ที่ดูเรียบๆ คู่หนึ่ง มินซอกจับมือซ้ายของลู่หานขึ้นมาและบรรจงสวมมันลงบนนิ้วนางของลู่หาน ส่วนลู่หานก็แปลกใจยิ่งกว่าเดิมเพราะไม่นึกว่าของขวัญที่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่บนนิ้วของเขาในตอนนี้ ลู่หานยกมือขวาขึ้นลูบบนแหวนวงนั้นเบาๆ ก่อนจะผลิยิ้มออกมา
“ใส่พอดีเลยใช่มั้ยล่ะ ลู่หานใส่ให้ฉันบ้างสิ” ว่าเสร็จก็วางแหวนอีกวงลงที่มีขนาดเล็กกว่าบนมือของลู่หานที่แบรอรับ
มือหนาจับมือเล็กของมินซอกที่ยื่นมาสัมผัส ค่อยๆ จับไล้ไปทีละนิ้วจนถึงนิ้วนาง เขาบรรจงสวมแหวนลงไปบนนิ้วเล็กๆ อย่างตั้งใจแล้วจึงยกมือข้างนั้นของมินซอกขึ้นมาจูบแผ่วเบา
“ขอบคุณนะลู่หาน” คิ้วทั้งสองข้างของลู่หานขมวดเข้าหากันเพราะความสงสัย
“ฉันสิต้องขอบคุณมินซอก ไม่ใช่มินซอกมาขอบคุณฉัน ฉันไม่มีของขวัญอะไรให้มินซอกเลย” มินซอกมองใบหน้าที่ดูหงอยลงใบก่อนจะยกยิ้ม
“ขอบคุณที่กลับมาอยู่ด้วยกันไง ไม่รู้หรือไงว่านี่คือของขวัญที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ ตอนนี้ฉันมีความสุขมากเลย” ไม่ว่าเปล่า มินซอกจับมือคนรักขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขา บังคับให้นิ้วสากแตะลงบนปากอิ่มของตน
“นี่ไงล่ะ ฉันกำลังยิ้มอยู่นะ”
ลู่หานรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มของมินซอก แม้ไม่ได้เห็นด้วยตาแต่สัมผัสที่ประทับอยู่บนนิ้วมือของเขาก็บ่งบอกมันได้ดี ลู่หานค่อยๆ ไล้นิ้วมือไปตามริมฝีปากนุ่มช้าๆ เลื่อนไปบนแก้มกลมนิ่มก่อนจะวกกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง วนเวียนอยู่เช่นนี้เนิ่นนาน รู้ตัวอีกทีจากที่ใช้นิ้วมือสัมผัส ตอนนี้กลับกลายเป็นริมฝีปากของลู่หานเองที่ประทับอยู่บนตำแหน่งเดียวกันของอีกคน มินซอกหลับตานิ่งปล่อยให้ลู่หานละเลียดชิมรสหวานจากริมฝีปากตัวเองไปเรื่อยๆ จากความนุ่มนวลค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลิ้นสากเกี่ยวกระหวัดกันในโพรงปากนุ่ม เก็บเกี่ยวความหอมหวานอย่างไม่รู้เบื่อจนมินซอกเริ่มไร้เรี่ยวแรง และในที่สุดแผ่นหลังเล็กก็แนบกับโซฟาหนานุ่มโดยมีร่างของอีกคนโน้มตามลงมาพร้อมเสียงครางในลำคออย่างรื่นรมย์
และเพราะลู่หานไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา จึงทำให้ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นยิ่งชัดเจนในความรู้สึก และความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งทวีขึ้นจนแทบหยุดไม่อยู่
“อื้อ.. ลู่หาน” มินซอกครางออกมาเมื่อลู่หานละจากริมฝีปาก ปากอิ่มกอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนที่มันจะถูกปิดลงอีกครั้ง
มือเล็กเลื่อนไปเกาะไหล่หนาของลู่หานไว้ส่วนอีกข้างก็โอบรอบลำคอแกร่ง มือของลู่หานเริ่มอยู่ไม่สุข ค่อยๆ ลูบไล้ร่างกายเล็ก มินซอกรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาแม้จะมีสเวตเตอร์ตัวหนากั้นไว้ มือหนาค่อยๆ ไล้และสอดใต้เสื้อหนาในเวลาต่อมา ปากได้รูปผละออกมาดูดซับความหวานที่ซอกคอระหงของร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้มพร้อมเอียงคอรับสัมผัสนั้น
เสียงครางดังไม่ขาดสายแม้ร่างเล็กจะพยายามกลั้นมันไว้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทำได้ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ความนุ่มนวลอ่อนโยนที่ลู่หานมอบให้ทำให้รู้สึกดีมากเหลือเกินจนเผลอส่งเสียงเรียกอีกคนอยู่หลายครั้ง โดยไม่รู้ว่ามันยิ่งทำให้ลู่หานสติหลุดลอยไปจนไม่อาจห้ามได้
สัมผัสเหล่านี้มันวาบหวามและร้อนรุ่มจนแทบลืมไปเลยว่าตอนนี้เป็นวันนคริสต์มาสที่อากาศช่างหนาวเย็น ลู่หานปล่อยให้ความรู้สึกนำทางเขาไป ทั้งสองร่างสอดประสานกัน พากันก้าวผ่านความเจ็บปวดที่แสนวาบหวานนั้นไปด้วยกันและพบกับความสุขที่แสนอบอุ่นอยู่ที่ปลายทางนั้น…
/ / /
เช้าของวันคริสต์มาสมาเยือนพร้อมอากาศที่เย็นจัด แต่ร่างสองร่างกับรู้สึกอบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน มินซอกนอนซบอยู่บนแผงอกเปลือยเปล่าของลู่หานใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงกว้าง หลังจากอ่อยอิ่งอยู่นาน มินซอกก็ยอมลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวและเตรียมอาหารสำหรับเช้านี้ ลู่หานถูกปลุกขึ้นมาหลังจากเตรียมสำรับอาหารเสร็จสรรพ
“ขอโทษนะ” จู่ๆ เสียงแหบพร่าก็เอ่ยขึ้นในตอนที่มินซอกพาอีกคนมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
“ก็.. เมื่อคืน..ไม่เจ็บเหรอ” มินซอกหน้าขึ้นสีทันทีที่นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน ในขณะที่อีกคนกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับไม่ได้ตั้งใจจะขอโทษแต่เพียงแค่อยากแหย่เขาเล่นเท่านั้น ร่างเล็กเลยจัดการตีเบาๆ ลงที่แขนอีกคนด้วยความหมั่นไส้
“อะไรเล่า กินข้าวไปเลยนะลู่หาน เดี๋ยวนี้ทะเล้นนะ” ว่าเสร็จก็ตักอาหารส่งเข้าปากคนรักไปพร้อมกับทานของตัวเองไปด้วย
ในที่สุดมื้อเช้าก็ผ่านไปด้วยดีแม้จะมีสงครามย่อยๆ เกิดขึ้นเพราะความทะเล้นของลู่หานที่ขยันแซวคนตัวเล็กเสียเหลือเกิน ทั้งสองคนออกมายืนรับบรรยากาศยามเช้าที่ระเบียง โอบกอดกันและกันไว้ด้วยความสุขและรอยยิ้มที่ต่างก็ประทับอยู่บนใบหน้า
แต่ว่ากันว่า...ความสุขมักอยู่กับเราได้ไม่นาน..
ตอนสายของวันประตูห้องชุดถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของผู้เป็นแม่ของมินซอกที่หวังจะเข้ามาเยี่ยมลูกชายที่ไม่กลับบ้านมานานแล้ว แต่กลับแจ็กพ็อตแตกเจอเข้ากับคนที่เธอกีดกันให้ออกห่างจากชีวิตลูกชายเข้าเสียได้ มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในสายตาของคนเป็นแม่ที่ต้องการจะให้ลูกได้รับแต่สิ่งดีๆ ไม่ใช่คนที่มีแต่ตำหนิเช่นนี้
“มินซอก!! พามันมาอยู่ด้วยนานเท่าไหร่แล้ว นี่สินะถึงไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง”
“แม่ครับ..”
“กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เธอโทรเรียกคนของเธอให้มาพาตัวลูกชายกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ชานเมือง มินซอกพยายามอธิบายหว่านล้อมให้คนเป็นแม่เข้าใจเขาแต่สุดท้ายเขาก็โดนชายสองคนหิ้วปีกเพื่อพาตัวกลับบ้าน มินซอกใช้แรงทั้งหมดเพื่อที่จะสลัดคนของแม่ให้หลุดแต่เขาเป็นเพียงผู้ชายตัวเล็กจะไปสู้แรงของชายร่างกำยำถึงสองคนได้อย่างไร
“ลู่หาน!!”
ลู่หานยืนอยู่กลางห้อง เขาเจ็บปวดที่ได้ยินเสียงคนที่รักพยายามร้องเรียกและดิ้นรนที่จะหนี เสียงมินซอกกรีดแทงลึกลงในใจของเขา แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แม้จะรู้และทำใจไว้บ้างแล้วว่าสักวันเวลานี้ต้องมาถึง แต่ในช่วงที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดีและเขาทั้งคู่ต่างก็มีความสุขมากจนลืมที่จะตั้งตัวรับเรื่องเหล่านี้ได้ทัน
“ลู่หาน..ปล่อยผม!! ปล่อย!! ลู่หาน!!!”
มินซอกตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายก็โดนพาออกจากห้องชุดไปจนได้ หญิงสูงวัยในชุดราคาแพงดูดีเดินกลับมายังลู่หานที่ยืนนิ่ง ก่อนจะออกแรงตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของลู่หานโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตากลมโตไร้แววเบิกโพลงด้วยความตกใจแต่ก็ยังทำได้แค่ยืนนิ่งมองความมืดตรงหน้าต่อไปเท่านั้น
“ฉันนึกว่าเธอจะเข้าใจแล้วเสียอีกว่าตัวเธอกำลังทำให้ลูกชายของฉันตกต่ำ แต่ทำไมถึงยังหน้าด้านกลับมาอีก นี่กลับมานานแค่ไหนแล้ว กลับมาทำไม?” เธอตะคอกใส่ลู่หานจนรู้สึกหน้าชาไปหมด
ลู่หานอ้าปากพะงาบพยายามที่จะเปล่งเสียงออกไป เขาอยากอธิบายทุกอย่างแต่ดูเหมือนว่าคำพูดทุกคำมันติดอยู่ที่คอจนไม่อาจจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้เลย
“ฉันจะกลับมาจัดการเธอทีหลัง”
เธอว่าก่อนหันหลังเดินปึงปังกลับออกไปจากห้อง ทันทีที่เสียงประดูปิดลงลู่หานก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คนอย่างลู่หานไม่อาจปกป้องมินซอกได้เลยจริงๆ มีแต่ทำให้มินซอกต้องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่สัญญากันแล้วว่าจะสู้กับปัญหาทุกอย่างไปด้วยกันแต่จนแล้วจนรอดเขาก็ทำได้แค่ยืนเฉยๆ และปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปเช่นนี้
เขาทำอะไรไม่ได้เลย...นอกจากฟังเสียงอันเจ็บปวดของมินซอก
ลู่หานคนนี้ทำอะไรเพื่อคนที่เขารักไม่ได้เลยจริงๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตอนต่อไป
คนหนึ่งตาบอดด้วยโชคชะตา อีกคนตาบอดเพราะความรัก
(ตอนจบ)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
คุยกับแซนแฟนมินซอกสักเล็กน้อย
จริงๆ กะให้จบตอนนี้ แต่แบบคือมันยาวเกินไป มันจบไม่ลงอ่ะ
คือยาวมากเกินเลยตัดสินใจตัดแบ่งไปเป็นตอนที่สี่ ตอนหน้าจบแน่ๆ แล้วค่ะ แหะๆ
แอบเปลี่ยนชื่อตอนของตอนนี้นะคะ เพราะชื่อตอนอันเก่ามันเป็นของตอนจบค่ะ
ตอนจบใกล้เสร็จแล้ว จะพยายามรีบเอามาอัพนะ TT
#ficGONE @salynnxan
ความคิดเห็น