คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : nothing else . บทสอง
02 | NOTHING ELSE บทสอง
หากความรู้สึกเป็นทุกข์
จะสามารถแบ่งเบาได้ง่ายดายเหมือนความสุข...ก็คงดีไม่น้อย
โอเซฮุนหลับไปในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา โดยที่มีแบคฮยอนนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฟากของห้องพยาบาล ไม่มีเหตุผลเลยกับการที่ต้องมานั่งเฝ้าอีกคนหลับแบบนี้ มันดูไร้สาระและไม่เข้าท่าที่สุด คิดไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ก็ชะงักความคิดตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็ไปนั่งเฝ้ามองรุ่นน้องตัวสูงหลับในยามพักกลางวันแทบทุกวันได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
นี่สินะ อิทธิพลของความรู้สึก…
เมื่อชอบก็สามารถทำอะไรได้ทุกอย่างแม้มันจะดูงี่เง่าสักแค่ไหน แต่ในทางกลับกัน หากไม่ชอบแล้วล่ะก็...ไม่ว่าจะพยายามทำความเข้าใจและยอมรับเท่าไหร่ ก็ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นอยู่ร่ำไป
แบคฮยอนพรูลมหายใจออกมาเบาๆ สายตาทอดไปยังร่างโปร่งที่นอนหงายอยู่บนเตียงพยาบาล ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังหลับสบาย เห็นแบบนี้แล้วคนตรงหน้าก็ดูไม่มีพิษภัยใดๆ เลย
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนอย่างโอเซฮุนจะมากลั้นแกล้งเขาทำไม แบคฮยอนตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาควรหาทางออกของเรื่องนี้เสียที และอย่างแรกที่คิดจะทำก็คือตามหาสาเหตุของเรื่องนี้ แต่ครั้นจะให้ถามกับเจ้าตัวเองก็ดูท่าว่าจะไม่ได้คำตอบ ดังนั้นเป้าหมายในครั้งนี้จึงถูกยกไปที่คิมจงอิน เพื่อนสนิทของโอเซฮุนแทน
รอก่อนนะคิมจงอิน... จงอินคงตอบคำถามที่เราคาใจได้ใช่ไหม?
เสียงฮีตเตอร์ที่ดังแผ่วๆ ในห้องที่เงียบเช่นนี้กำลงทำให้เขาเริ่มอยากงีบบ้าง เพราะเมื่อคืนก็นอนดึกไม่น้อยกว่าจะแก้โจทย์การบ้านได้ แล้วยังต้องตื่นแต่เช้าอีก ความง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำแบคฮยอนทีละน้อยจนในที่สุดก็ทนไม่ได้ ตัดสินใจพาร่างตัวเองไปยังเตียงอีกหลังที่อยู่ติดกันกับของเซฮุน เพียงแต่มีผ้าม่านคั่นกลางไว้
สถานการณ์อันตราย..
แบคฮยอนพบว่าเตียงที่ตัวเองเคยนอนอยู่ลำพัง บัดนี้กลับมีอีกคนมานอนร่วมเตียงด้วย บ้ากันไปใหญ่แล้ว... ตาเรียวเล็กเบิกโพลงด้วยความตกใจก่อนจะเขยิบหนีอีกคนที่นอนหงายอยู่ใกล้ๆ แต่เพราะเตียงนี้เล็กจนเกินไปและพื้นที่ทางฝั่งแบคฮยอนก็น้อยนิดเสียจนตอนนี้เขาแทบจะแนบกับผนังห้องอยู่แล้ว จึงทำได้แค่นอนนิ่งอยู่อย่างนั่นจนกระทั่งมั่นใจว่าอีกคนหลับอยู่ถึงได้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ
ทำไมโอเซฮุนถึงมานอนเตียงเดียวกับเขาได้?
คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ... ตอนนี้ในห้องพยาบาลก็ยังมีแค่เราสองคนอย่างเคย อาจารย์ประจำห้องพยาบาลยังไม่กลับมา แบคฮยอนสำรวจตัวเองก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเรียนคาบสุดท้ายแล้ว และแน่นอนว่าแบคฮยอนไม่อยากขาดคาบนี้เพราะวันนี้มีการควิซเก็บคะแนน เขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง ดังนั้นการสอบควิซเพื่อคะแนนที่แม้จะทำได้ไม่มากเท่าไหร่นักก็ยังดีกว่าการขาดควิซแล้วต้องไปลุยเก็บคะแนนสอบปลายภาคให้ได้เยอะๆ แทนเสียอีก
แต่ถึงอยากจะไปเข้าห้องเรียนใจแทบขาด แต่อีกคนที่เคยขู่ไว้ว่าไม่ให้ไปไหนจนกว่าจะตื่นนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้น
ควรปลุกเขาไหมนะ?
คำถามที่ผุดมานี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันลิบลับ... ครั้งก่อนกับปาร์คชานยอล แต่ครั้งนี้กับโอเซฮุน ดูอย่างไรก็แตกต่าง…
หากเขาปลุกเซฮุนตอนนี้ สิ่งที่ได้ตอบแทนกลับมาคงไม่ใช่ประโยคจำพวก ‘เดินไปด้วยกันไหม’ อย่างที่ปาร์คชานยอลพูดแน่ๆ หากแต่อาจจะเป็นคำพูดคำจาที่เสียดแทงให้เจ็บช้ำใจ หรือไม่ก็อาจเป็นกำปั้นลุ่นๆ ที่ฝากมาประทับหน้าข้อหารบกวนเวลานอนแทนก็เป็นได้
ไม่รู้ว่าการตัดสินนี้จะผิดหรือเปล่าแต่แบคฮยอนเลือกที่จะทิ้งโอเซฮุนไว้แล้วหนีไปเข้าห้องเรียนเพียงลำพัง แต่ก็เหมือนเกิดเดจาวูอย่างไรอย่างนั้น เพราะทันทีที่เลื่อนมือไปจับลูกบิดประตู เสียงเดิมก็แทรกเข้ามาเสียก่อน
“จะไปไหน?” น้ำเสียงเย็นๆ ที่ฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจยิ่งทำให้แบคฮยอนผวา
“เราจะไปเข้าห้องเรียนน่ะ คาบสุดท้ายมีควิซ...”
แบคฮยอนตอบทั้งๆ ที่มือยังจับลูกบิดอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลบไปมองด้วยซ้ำ
“ฉันเรียนห้องเดียวกับนายหรือเปล่า?” เสียงเดิมถาม
แน่นอนว่าโอเซฮุนอยู่ห้องเดียวกับแบคฮยอน จึงพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไป เสียงจิ๊ปากดังขึ้นอย่างที่โอเซฮุนมักจะทำในยามที่รู้สึกขัดใจ
“แล้วใจคอจะไม่ปลุกฉันไปสอบด้วยหรือไง”
แบคฮยอนเบิกตาโพลง เขามัวแต่นึกถึงเรื่องตัวเองจนลืมคิดว่าไปอีกคนก็ต้องไปสอบเช่นเดียวกัน ความรู้สึกผิดที่เกือบจะทิ้งอีกคนไว้แล้วหนีไปสอบคนเดียวก่อตัวขึ้นในใจแบคฮยอน มือไม้สั่นไปหมดเพราะกลัวว่าอีกคนจะโมโหและลงไม้ลงมือกับเขาอีก
“เรา... เราขอโทษ เราไม่ได้...”
“จะบอกว่านายไม่ได้ตั้งใจงั้นสิ เลิกพูดคำนี้ซะที!”
แบคฮยอนสะดุ้งที่โดนตะคอกใส่ แม้ไม่ได้เผชิญหน้าตรงๆ แต่ก็ยังรู้สึกน่ากลัวไม่ต่างกัน แอบสงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรที่เขาทำแล้วโอเซฮุนจะรู้สึกชอบใจบ้าง เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร แบคฮยอนก็ดูจะผิดไปเสียหมดในสายตาเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนนี้
ร่างโปร่งของเซฮุนลุกขึ้นยืน ขายาวก้าวเพียงสองสามก้าวก็ถึงประตูห้อง ส่งแขนแกร่งทั้งสองข้างไปกักกั้นร่างเล็กไว้ทั้งที่อีกคนยังยืนหันหน้าเข้าประตูอยู่อย่างนั้น แบคฮยอนรู้สึกชาวาบเมื่อสัมผัสได้ถึงอกหนาที่แนบทาบกับแผ่นหลังของตนเองอยู่ พยายามหนีห่างแต่ด้วยแขนของเพื่อนรวมชั้นที่กักขังเอาไว้ด้านข้างจึงทำให้ไม่สามารถหลบหนีได้อย่างใจคิด
“นายมันอ่อนแอ น่ารำคาญ”
รู้... แบคฮยอนรู้ดีว่าอีกคนรำคาญเขาแค่ไหน คำพูดที่แค่ฟังในแบบปกติก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ในครั้งนี้เป็นเสียงเย็นเยือกที่กระซิบแนบชิดใบหูทำให้แบคฮยอนยิ่งเจ็บปวดเหมือนมีเข็มเป็นพันเล่มจิ้มทั้งร่างของเขา ร่างโปร่งลดแขนทั้งสองข้างออกจากบานประตู ออกแรงกระแทกที่ไหล่ของอีกคนเบาๆ ร่างเล็กก็เซไปไม่น้อย เซฮุนมองด้วยหางตาก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเดินออกจากห้องไป
แบคฮยอนยืนกลั้นน้ำตาอยู่ในห้อง เขาอ่อนแอ เรื่องนี้เขารู้ดีกว่าใคร เขาพยายามเข้มแข็งแต่เหมือนมันไม่ง่ายเลย เขาอยากเข้มแข็งอยากกล้าเงยหน้าสบตาและสู้ใครก็ตามที่คอยก่อกวนได้บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วน้ำตาก็ยังคงพาลจะไหลลงมาทุกที
“ไม่เข้าห้องเรียนหรือไง” เสียงเดิมดังลอดมาตามประตูห้องที่เปิดค้างไว้อยู่ แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะยังยืนรออยู่หน้าห้องพยาบาล จัดการกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อคลอบนหน่วยตาเรียวด้วยหลังมืออย่างลวกๆ ก่อนจะแทรกตัวผ่านบานประตูออกไป
ตลอดทางที่เดินกลับห้องเรียนด้วยกันนั้น ไม่มีคำใดปริออกมาจากปากของทั้งคู่ แบคฮยอนแค่สาวเท้าเร็วๆ เพื่อให้ตามอีกคนให้ทันก็เท่านั้น พยามยามลืมเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกแย่ก่อนหน้าไปเพื่อที่จะได้จดจ่อกับการทำควิซ จนกระทั่งการควิซเก็บคะแนนผ่านไปด้วยดี แม้ว่าแบคฮยอนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักกับคำตอบในหลายๆ ข้อที่ตัวเองตอบลงในกระดาษคำตอบนั้น แต่ก็ยังใจชื้นที่อย่างน้อยก็ทำได้เยอะกว่าที่คิดไว้
เพิ่งจะสังเกตว่าท้องฟ้าที่เคยสดใส ตอนนี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆหนาสีเทาเข้ม และอีกไม่นานฝนก็คงจะเทลงมาอย่างแน่นอน นึกแปลกใจเล็กน้อยที่ช่วงนี้ก็เริ่มสู่หน้าหนาวแล้วแต่ฝนก็ยังจะตกลงมา แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนักเพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว แบคฮยอนตัดสินใจกลับบ้านเร็วกว่าทุกวันเพราะเกรงว่าหากชักช้าฝนตกหนักขึ้นมาจะยิ่งลำบาก เก็บของต่างๆ ของตนหย่อนลงเป้ก่อนจะบอกลาเพื่อนร่วมชั้นสองสามคนที่เอ่ยถามแล้วเดินออกจากห้องเรียนอย่างเร่งรีบ
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันที่จะพ้นออกจากหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน ฝนก็ดันตกลงมาเสียก่อน ร่างบางวิ่งเข้าไปหลบฝนที่ป้อมยามของโรงเรียนที่ตอนนี้มีนักเรียนมาจับจองพื้นที่เพื่อใช้หลบฝนอยู่ไม่น้อย
ผ่านไปราวสามสิบนาทีสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาราวกับพายุก็ดูจะซาลง แบคฮยอนยื่นมืออกไปนอกชายคาป้อมยามก็พบว่าเม็ดฝนเล็กๆ ยังคงร่วงหล่นลงมากระทบกับมือเรียว แต่ก็เบาบางลงจนพอที่จะเดินฝ่าไปจนถึงป้ายรถเมล์ได้โดยที่ไม่ถึงกับเปียกโชกทั้งตัว
แบคฮยอนพาร่างของตัวเองฝ่าสายฝนปรอยๆ มาถึงป้ายรถเมล์ทันกับที่รถเมล์สายประจำจอดเทียบริมฟุตบาทพอดี แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะหาที่นั่งว่างๆ สักที่สำหรับเขา ที่ทำได้ก็เพียงมองหาที่เพื่อยืนโหนราวจับไปเท่านั้น ยืนไปได้ไม่นานรถเมล์ก็เบรกกะทันหันจนทำให้ร่างเล็กๆ เซไปชนกับอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง พอหันไปหมายจะกล่าวขอโทษก็พบว่าคนที่ตนเพิ่งจะชนไปนั้นคือรุ่นน้องตัวสูงที่ตนแอบปลื้มอยู่
ดูเหมือนชานยอลจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่มากนัก ร่างสูงเพียงแค่ปรายตามองมาก่อนจะสนใจกับทิวทัศน์ด้านนอกรถต่อไป...
บางทีชานยอลอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยคุยกับแบคฮยอน
แบคฮยอนพยายามตัดความคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่ออกจะไร้สาระไปเสีย ร่างเล็กๆ เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้ได้องศาที่จะสามารถแอบมองอีกฝ่ายได้โดยที่ไม่ดูจงใจมากเกินไป พลางคิดว่ายังมีบางเรื่องที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับชานยอลอีกเยอะ อย่างเช่น คนตัวสูงพักอยู่ที่ไหน และปกติเดินทางกลับบ้านอย่างไร... และดูเหมือนว่าวันนี้ก็ได้รู้แล้ว แต่ที่น่าแปลกคือทั้งๆ ที่แบคฮยอนก็อาศัยรถเมล์สายนี้ในการเดินทางไปกลับโรงเรียนอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่กลับไม่เคยเจอชานยอลมาก่อนเลย
ตาเรียวเล็กมองตามร่างสูงของรุ่นน้องที่เดินลงจากรถเมล์ก่อนจะถึงป้ายที่แบคฮยอนลงเพียงแค่สองป้าย คิดอยากจะตามอีกคนไปด้วยอยากรู้ว่ารุ่นน้องที่ตนปลื้มพักที่ไหนอยู่เหมือนกันแต่ติดที่ว่าสายฝนเริมเทหนักลงมาอีกครั้ง... ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจกับแบคฮยอนเลย สุดท้ายจึงทำได้แค่มองตามแผ่นหลังกว้างที่วิ่งฝ่าสายฝนไปด้วยสายตาละห้อยเท่านั้น
แบคฮยอนกลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วจึงลงมาทานมื้อเย็นกับพ่อแม่ บ้านหลังเล็กแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเคล้าเสียงหัวเราะทำให้แบคฮยอนมีความสุขจนลืมเรื่องราวแย่ๆ ที่พบเจอไปได้บ้าง
พ่อและแม่ของเขาเลี้ยงดูเขามาด้วยความอบอุ่น หากแต่ก็ยังสอนให้มีความเข้มแข็งด้วย ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะทำได้ไม่ดีนักในเรื่องความเข้มแข็งแต่แบคฮยอนก็เก่งในเรื่องการให้กำลังใจตัวเอง เขามักจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าไม่เป็นไร สักวันเรื่องราวร้ายๆ ต้องผ่านพ้นไป เพราะเชื่อและคิดอย่างนั้นแบคฮยอนถึงได้ก้าวผ่านปัญหาต่างๆ มาได้เสมอ
มันก็เหมือนทฤษฏีแรงดึงดูด ที่บอกว่า... ‘หากเราเชื่อมั่นในสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้นตามต้องการ’
หลังจากจัดการมื้อเย็นเรียบร้อย แบคฮยอนจึงขอตัวขึ้นไปทำการบ้านบนห้อง แต่สิ่งที่แบคฮยอนหยิบขึ้นมาเป็นอย่างแรกทันทีที่ถึงห้องนอนก็คือ สมุดบันทึกเล่มหนึ่ง... แบคฮยอนเปิดมันไปยังหน้าสุดท้ายที่ได้เขียนได้ไว้ในครั้งก่อน หยิบปากกาขึ้นมาและบรรจงเขียนลงไป
อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบเขียนไดอารี่ประจำวันหรืออะไรทำนองนั้น เพราะชีวิตที่ออกจะเรียบง่ายไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นเต้นพอที่จะต้องจดบันทึกไว้เป็นสิ่งเตือนความใจให้ระลึกถึง แบคฮยอนจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่นั่นเป็นความคิดก่อนที่แบคฮยอนจะได้พบกับปาร์คชานยอล
สมุดบันทึกสีเหลืองสดที่ได้รับตอนวันเกิดปีที่สิบสี่ถูกนำออกมาใช้หลังจากที่เก็บเอาไว้ในกล่องมานาน เนื้อความในกระดาษสีนวลตาล้วนแต่เป็นเรื่องของปาร์คชานยอล เขามักจะจดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ได้รู้เกี่ยวข้องกับชานยอลลงไป แม้ว่าจนถึงตอนนี้จะไม่ได้มากมายนัก แต่แบคฮยอนเชื่อว่าสักวันเขาจะได้รับรู้เรื่องราวของชานยอลมากกว่านี้ มากจนเต็มสมุดเล่มนี้ มากจนต้องใช้สมุดใหม่ มากจนถึงขั้นที่ไม่มีอะไรให้แบคฮยอนได้จดมันลงไปอีก
ทุกวันแบคฮยอนจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอน ขลุกตัวอยู่กับสมุดบันทึกเล่มสีเหลือง กลั่นกรองสิ่งต่างๆ ที่ได้รับรู้มาลงไปผ่านปลายปากกาหลากสี... แต่มันก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปาร์คชานยอลเท่านั้น...
ถ้าจะให้พูดถึงความรู้สึกของแบคฮยอนที่มีต่อชานยอลแล้ว แบคฮยอนคงไม่สามารถบรรยายออกมาผ่านตัวอักษรได้ คงไม่อาจพูดออกมาว่ามันมากมายมหาศาลเพียงไหน ในช่วงจังหวะอารมณ์ที่รู้สึกปลาบปลื้มชื่นชม หรือแม้แต่ตกหลุมรักใครสักคนนั้น มันไม่อาจหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ หลายคนบอกว่ามันอาจเป็นเหมือนสายลมอุ่นๆ ในหน้าหนาว และอาจเป็นน้ำเย็นๆ ชื่นใจในหน้าร้อน แบคฮยอนเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะจนถึงวันนี้เขาก็ไม่อาจหาคำตอบเหล่านั้นได้ ที่รู้ตอนนี้ก็แค่รู้สึกมีความสุขจนล้นอกเวลาได้เห็นคนๆ นั้นยิ้ม...
แม้ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เห็นรอยยิ้มนั้น แต่แบคฮยอนก็พอใจ แต่ในทางตรงกันข้าม หากอีกคนทุกข์ใจ แบคฮยอนเองก็รู้สึกเหมือนจะตายทั้งเป็นตามไปด้วย อย่างเช่นครั้งหนึ่ง...
วันที่ปาร์คชานยอลยืนอยู่ตรงหน้าป้ายโรงเรียนในตอนที่แบคฮยอนเดินทางมาถึงโรงเรียน ใบหน้ารุ่นน้องที่แบคฮยอนชอบมองนักหนานั้นดูไม่สู้ดีนัก คิ้วทั้งสองขมวดเป็นปมและน้ำเสียงทุ้มที่หลุดออกมาจากปากก็ฟังดูแย่ ในตอนนั้นชานยอลกำลังคุยกับใครบางคนผ่านโทรศัพท์มือถือที่แนบหูอยู่
แบคฮยอนยืนห่างจากร่างสูงอยู่ราวสิบเมตร แม้จะได้ยินที่ชานยอลพูดไม่ชัดและจับใจความไม่ได้ แต่น้ำเสียงและท่าทางนั้นก็บ่งบอกชัดเจนว่าชานยอลกำลังหงุดหงิดอย่างมาก แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองยืนนิ่งมองภาพด้านข้างของชานยอลอยู่นานเท่าไหร่ อาจจะสักหนึ่งนาที หรืออาจจะห้านาที แต่ในที่สุดเสียงทุ้มนั้นเงียบลง ชานยอลเก็บโทรศัพท์มือของตนใส่ในกระเป๋ากางเกง มืออีกข้างก็ยกขึ้นเสยผมตัวเองแบบลวกๆ และในตอนนั้นเองที่แบคฮยอนได้เห็นใบหน้าของชานยอลที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
มันก็เป็นอีกครั้งหลังจากวันที่ได้เจอปาร์คชานยอลครั้งแรกที่แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งเหมือนกับว่าโลกทั้งใบมันหยุดหมุนเสียดื้อๆ รู้สึกถึงความจุกแน่นในอกเพียงเพราะสีหน้าแบบนั้นของชานยอล เพียงไม่กี่วินาทีในความเป็นจริง หากแต่กลับเนิ่นนานในความรู้สึกของแบคฮยอน กว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาดำเนินไปตามทางของมันก็ตอนที่วงหน้าได้รูปนั้นกลับเป็นปกติ สติที่เหมือนจะหลุดลอยหายไปชั่วขณะกลับมาอีกครั้ง แบคฮยอนคิดว่าเขาควรจะทำใจให้สงบและเดินเข้าโรงเรียนไปได้เสียที แต่ในจังหวะที่เดินผ่านหน้าปาร์คชานยอลที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนนั้น เขาได้ยินเสียงสบถแทรกผ่านโสตประสาทมาอีกครั้ง
ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมอง แต่ก็รับรู้ได้ดีถึงความคับข้องใจนั้น...
ไม่ชอบ...ไม่ชอบเอามากๆ ที่เห็นรุ่นน้องตัวสูงเป็นแบบนี้ แบคฮยอนชอบที่จะเห็นใบหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์มากกว่าใบหน้าตึงเครียดและเจ็บปวด พอใจกับความเงียบมากกว่าเสียงทุ้มที่ปล่อยคำสบถออกมา ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็รู้ตัวดีว่าไม่อาจจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นได้
แม้อยากจะทำให้ชานยอลมีความสุขมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่การเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะช่วยแบ่งเบาความปวดร้าวเหล่านั้นได้เลย
เพราะมันคือข้อจำกัดของคำว่า “แอบชอบ”
/ / /
เสียงฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ของเพื่อนรักทำให้จงอินที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงห้องนอนของตัวเองต้องหันมองด้วยความสงสัย เซฮุนเป็นคนอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ข้อนี้จงอินรู้ดีที่สุดเพราะเป็นเพื่อนกันมานานพอควร เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งดูดเอาสารนิโคตินเข้าปอดจนกระทั่งเกือบหมดมวนก่อนจะบี้ก้นบุหรี่ลงกระถางต้นไม้ใกล้ๆ ที่ดูใกล้ตายเต็มที
“ขัดใจอะไรมาอีกล่ะ”
เซฮุนกำลังนอนพาดยาวไปกับเตียงหลังใหญ่ราวกับว่าเป็นเจ้าของห้องเองอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาเรียวแฝงความเบื่อหน่ายเหยียดมองเพื่อนที่เดินกลับเข้าห้องมาเพียงชั่วอึดใจ ผ่อนลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ แล้วก็เอ่ยปฏิเสธออกมา
“เปล่า”
“เปล่าอะไรของมึง”
เซฮุนนิ่ง จงอินจึงไม่คิดที่จะต่อความให้มันยาวยืด เพราะหากเซฮุนไม่อยากพูด ต่อให้เอาคีมมาง้างปากก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ กระทั่งเวลาผ่านไปราวสิบนาทีเสียงพ่นลมหายใจก็ดังขึ้นอีกครั้งจากคนเดิมที่นอนอยู่บนเตียง
เซฮุนผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียงหนา หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับกำลังแคลงใจกับอะไรบางอย่างอยู่
“เบื่อ” สั้นๆ คำเดียวจบ
“ตีดอทสักหน่อยไหม”
ถ้าเป็นตามปกติแล้วน้อยครั้งที่เซฮุนจะปฏิเสธ แม้ไม่ได้ติดเกมอย่างวัยรุ่นหลายๆ คน แต่มันก็เป็นกิจกรรมแก้เซ็งชั้นดี ถึงอย่างนั้นก็ตามมันกลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเซฮุนในตอนนี้ได้เลย ใบหน้าเรียวแต่คมเข้มส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงจะเบื่อก็ตามทีแต่ตอนนี้เขาไม่อยากทำอะไรเลย มันเป็นอารมณ์ที่ขัดแย้งกันเองในตัวของผู้ชายที่ชื่อโอเซฮุน อารมณ์ที่ยากจะเข้าใจ
แน่นอนว่าเพื่อนอย่างคิมจงอินก็ชินเสียแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่สรรค์หาเรื่องใหม่มาคุยแก้เบื่อให้เพื่อนก็เท่านั้น
“ว่าแต่ตอนบ่ายหายหัวไปไหนมา” จงอินตั้งคำถามขณะที่หมุนเก้าอี้ไปมา “นึกว่าจะไม่เข้าสอบคาบสุดท้ายแล้วซะอีก”
น่าเสียดายแทนจงอิน ที่มันเป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ...
เซฮุนกำลังดำดิ่งสู่ห้วงความคิดของตัวเอง เขาหวนคิดไปถึงเรื่องราวในวันนี้ที่เขาบังเอิญเจอเพื่อนร่วมห้องตัวเล็กที่เห็นทีไรก็รู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูกทุกที ภาพเจ้าของใบหน้าติดจะซึมเศร้าอยู่ตลอดเวลาที่เดินอยู่ในทางเดินตึกไปยังห้องพยาบาลนั้นทำให้เซฮุนเผลอมองตามจนกระทั่งบานประตูนั้นปิดลง และก็ไม่รู้อะไรที่ดลจิตดลใจ แต่รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังบิดลูกบิดประตูห้องพยาบาลเข้าไปเสียแล้ว
ทั้งที่ปากก็บอกว่ารำคาญแต่ทำไมกันถึงได้เอาแต่คอยจะเข้าหาและกลั่นแกล้งอีกคนอยู่เสมอ แม้กระทั่งตอนอีกคนจะเดินหนีก็เป็นเขาเองที่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ให้อยู่ต่อ แน่นอนว่าตอนที่บอกว่าจะนอนนั้น เซฮุนไม่ได้หลับเลยสักวินาทีเดียว หรือแม้แต่ตอนที่อาจารย์ห้องพยาบาลเดินเข้ามา แทนที่เขาจะทำอย่างเคยคือทักทายหยอกล้อกับครูสาวที่สนิทสนมกันอย่างทุกครั้ง แต่เขากลับเลือกที่จะแทรกตัวผ่านผ้าม่านสีขาวข้ามไปยังอีกเตียงที่อยู่ด้านในอย่างเงียบเชียบแทนเสียอย่างนั้น แม้กระทั่งตอนที่คุณครูคนสวยเดินออกจากห้องพยาบาลไปอีกครั้งแล้ว เซฮุนก็ยังไม่คิดจะขยับเขยื้อนพาร่างกายของตัวเองกลับไปยังเตียงที่เคยนอน...
เพราะเหตุใดถึงได้ทำอะไรผิดนิสัยตัวเองแบบนั้น...
นี่ก็เป็นคำถามที่โอเซฮุนเองก็หาคำตอบไม่ได้…
“มึงว่าช่วงนี้กูแปลกไปบ้างหรือเปล่าวะ?” เซฮุนเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบอยู่นานจนจงอินหันกลับไปสนใจกับการ์ตูนต่อ
“หือ ถามอะไรของมึงเนี่ย? ตัวของมึงเอง มึงยังไม่รู้ แล้วกูจะไปรู้กับมึงไหม?”
จงอินคว่ำหนังสือการ์ตูนที่อ่านค้างไว้บนโต๊ะ หมุนเก้าอี้เข้าหาเตียงพลางมองเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจตัวเอง บางครั้งคิมจงอินก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตจำเป็นให้กับเพื่อนตัวเองไปแล้ว เรื่องอื่นล่ะทำอย่างกับว่าฉลาดนักหนา แต่เรื่องของตัวเองนี่โง่มาเชียว
“ช่วงนี้กูอารมณ์แปรปรวนไงก็ไม่รู้ว่ะ เดี๋ยวๆ ก็อยากยิ้ม สักพักกูก็รู้สึกหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ หรือว่ากูควรไปหาจิตแพทย์ดีวะ”
“อาการของคนมีความรักหรือเปล่ามึง?”
ก็ไม่รู้สินะ คิมจงอินก็แค่พ่นไปแบบไม่ได้คิดอะไร แต่ปฏิกิริยาตอบกลับเนี่ยสิที่มันทำให้จงอินต้องกลับมาคิดใคร่ครวญดูอีกรอบว่าทำไมถึงได้ทำให้โอเซฮุนนั่งนิ่งเหมือนสติหลุดหายไปกับอากาศอยู่อย่างนี้
หรือว่าเพื่อนของเขาจะมีความรักจริงๆ วะ?
แต่น้ำหน้าอย่างโอเซฮุนเนี่ยนะจะรักใครเป็น กิจกรรมที่ทำแต่ละวันก็หนีไม่พ้นเล่นบาสฯ เตะบอลตามประสาหนุ่มๆ เที่ยวกลางคืนก็ไม่ค่อยได้เที่ยวเพราะเจ้าตัวบอกว่าเบื่อความวุ่นวาย วันๆ ก็เห็นเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับเพื่อน กลั่นแกล้งคนนั้นทีคนนี้ทีตามประสาหัวโจกในโรงเรียนก็เท่านั้น แทบไม่ได้สนใจหญิงสาวหน้าไหนเลยด้วยซ้ำไป
เว้นแต่ว่ามันจะมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน อันนี้ก็ค่อยน่าคิดหน่อย...
แต่คิมจงอินก็ภาวนาว่าคนๆ นั้นคงไม่ใช่เขาหรอกนะ
“มึงไม่ได้เป็นเกย์ใช่ไหม?”
คำถามที่หลุดจากปากทำเอาเซฮุนหน้าเหวอจนจงอินเผลอหลุดขำออกมา เซฮุนยกเท้าขึ้นถีบเก้าอี้เพื่อนรักแรงๆ หนึ่งทีแล้วสบถเบาๆ
“เกย์เหี้ยไร... มึงถามอะไรของมึงเนี่ย?”
“เอ้า ก็มึงอารมณ์แปรปรวน พอกูบอกว่ามึงมีความรักมึงก็เสือกเงียบใส่ไม่โต้ไม่เถียงเลย แล้วปกติมึงก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงที่ไหน วันๆ ก็อยู่แต่กับเพื่อนผู้ชาย กูก็เลย...” พูดไม่ทันจบก็ขำอีกชุดใหญ่
“เลยคิดเอาเองว่ากูเป็นเกย์? เกย์บ้านมึง แมนๆ แบบกูเนี่ยนะ”
“เอ้าคุณเซฮุน แมนก็เกย์ได้ครับคุณ มึงดูดาราฮอลลี่วู้ดดิ แมนชิบหายแต่ประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ เดี๋ยวนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ใครจะไปรู้ บางทีมึงอาจจะเป็นแต่แค่ยังไม่รู้ตัวก็ได้”
“เงียบไปเลย ถ้ายังไม่อยากโดนกูไล่ออกจากห้อง”
“นี่ห้องกูครับ” จงอินยกนิ้วชี้หน้าตัวเองพร้อมสีหน้าแสดงความเป็นเจ้าของสุดฤทธิ์ “มึงสิกลับบ้านกลับช่องได้แล้ว กะจะอยู่บ้านกูยาวเลยไหม เสื้อผ้าก็ใส่ของกู ไม่เกรงใจกูก็สงสารแม่กูที่ต้องมาคอยซักผ้าให้คนที่ไม่ใช่ลูกเต้าอย่างมึงบ้าง”
จงอินได้ทีก็บ่นแบบไม่จริงจังนัก ออกจะติดตลกด้วยซ้ำไป เซฮุนเบ้ปากแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้เพื่อนรักเป็นการปิดฉากบทสนทนาอย่างไร้เยื่อใย
_________________________
ความรู้สึกเหมือนมันสั้นๆ แต่มันก็สี่พันกว่าคำเท่าบทหนึ่งนะ 555
รู้สึกแต่งแล้วไม่ลื่นไหล เพราะห่างหายไปนานหลายเดือน ทุกคน...เราขอโทษ
จะพยายามไม่หายไปนานๆ อีกแล้วค่ะ แง
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ อัพช้าให้มาทวงได้เลยค่ะ ยิ่งทวงเรายิ่งฮึด
#นตอ @salynnxan
ความคิดเห็น