ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EXO | NOTHING ELSE (CY BH SH)

    ลำดับตอนที่ #2 : nothing else . บทหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 57



    01 | NOTHING ELSE บทหนึ่ง

     

     

    หากยอมรับกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้
    แล้วต่อไปเราก็จะไม่เจ็บอีก...ใช่ไหมนะ

     

     

    วันแล้ววันเล่าที่เฝ้ามองร่างสูง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่แบคฮยอนรีบตื่นมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อจับจองม้านั่งข้างสนามบอล เป้าหมายที่แท้จริงคือการแอบมองอีกคนที่มักจะหลบมานอนหลับบนอัฒจรรย์ของฝั่งตรงข้ามของสนาม

     

    นี่คือความจริงอีกข้อของปาร์คชานยอลที่แบคฮยอนเพิ่งรู้ได้ไม่นานนัก และตั้งแต่นั้นมาแบคฮยอนก็ตื่นเช้าทุกวัน... การเฝ้ามองรุ่นน้องตัวสูงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของแบคฮยอนไปโดยที่ไม่รู้ตัว รู้แค่ว่ารู้สึกตัวทีไรก็คอยแต่จะมองหาอีกคนอยู่ทุกครั้งไป

     

    เสียงเพลงที่ชมรมกระจายเสียงเปิดในยามเช้าดังแทรกผ่านลำโพงออกมา แบคฮยอนโคลงศีรษะไปตามจังหวะเพลงที่เบาสบายในขณะที่ดวงตาเรียวใต้กรอบแว่นสีดำจดจ้องมองไปยังร่างสูงของรุ่นน้องที่อยู่อีกฟากของสนามอย่างไม่รู้สึกเบื่อ

     

    จะเบื่อได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึง ปาร์คชานยอลที่ตนแอบปลื้ม…

     

    คงจะดีกว่านี้หากบรรยากาศในยามอันแสนสบายเช้าเช่นนี้ไม่มีเสียงโวยวายของกลุ่มนักเรียนชายสองสามคนดังมาจากสนามบาสเก็ตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามฟุตบอลมากนัก และถึงไม่อยากจะหันไปมองแต่เพราะความขัดอกขัดใจน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในใจก็ทำให้ต้องหันศีรษะทุยๆ ของตัวเองไปตามเสียงนั้น

     

     

    โอเซฮุน... ทำไมถึงต้องมาอยู่แถวนี้ในเวลาอย่างนี้ด้วยนะ

     

     

    น่าแปลกที่คนอย่างโอเซฮุนจะสามารถตื่นเช้าขนาดนี้ได้...

     

    แม้ว่าอยากจะแอบมองร่างสูงบนอัฒจรรย์ฝั่งตรงข้ามอีกสักหน่อยแต่เพราะร่างสูงโปร่งของอีกคนที่ตะโกนโหวกเหวกอยู่ในสนามบาสเก็ตบอลนั้นคอยแต่จะตามมากวนใจแบคฮยอนอยู่ตลอด สุดท้ายจึงต้องตัดใจเดินหลบออกจากม้านั่งอย่างเงียบๆ แล้วเดินเข้าตึกเรียนไปจนได้

     

    ถ้าไม่หลบ ก็อาจจะได้เจ็บตัวเข้าเปล่าๆ...

     

    บาดแผลที่ข้อศอกขวาจากการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆ ด้วยการอัดลูกบอลใส่เข้าอย่างจังจนล้มลงกลางสนามในคาบวิชาพละครั้งก่อนเพิ่งจะเริ่มตกสะเก็ดเท่านั้น แบคฮยอนยังไม่อยากได้แผลเพิ่มในตอนนี้นัก หากเลือกได้เขาก็อยากเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและกล้าที่จะสู้มากกว่านี้ แต่ด้วยร่างกายเล็กๆ ออกจะบอบบางไม่สมชายนี้ แค่จะต่อต้านแรงผลักของอีกคนเอาไว้ได้ก็ยังดูยากเย็นเกินไปแล้ว

     

    ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะสู้แรงของอีกคนได้…

     

     

    แบคฮยอนเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสามซึ่งเป็นชั้นเรียนของตน เงยหน้ามองแผ่นป้ายหน้าห้องเรียนที่มีข้อความ ปี 1 ห้อง B’ ติดอยู่เล็กน้อยก่อนจะหยุดลงหน้าประตูห้องเรียนฝั่งหลังห้อง

     

    โต๊ะเรียนของชานยอลซึ่งอยู่ติดริมประตูห้องด้านหลังพอดิบพอดีมันช่างเหมาะเจาะในการที่แบคฮยอนจะแอบสอดส่องเสียเหลือเกิน ใต้โต๊ะเรียนมีเพียงหนังสือสองเล่มกับปากกาหนึ่งด้ามที่หมิ่นเหม่ทำท่าจะหล่นจากโต๊ะ ถือวิสาสะยื่นมือไปดันปากกาด้ามสีฟ้าเข้มนั่นกลับเข้าไปก่อนจะยกยิ้ม ได้ทำอะไรเพื่อปาร์คชานยอลบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็รู้สึกภูมิใจราวกับสอบได้ที่หนึ่ง

     

    โต๊ะของผมมีอะไรแปลกเหรอครับเสียงทุ้มที่ดังอยู่ตรงหน้าทำให้ร่างเล็กที่กำลังยืนมองโต๊ะพลางยิ้มภูมิอกภูมิใจอยู่ถึงกับสะดุ้งตัวโยนก่อนจะละสายตาจากโต๊ะขึ้นมองไปยังที่มาของเสียง

     

     

    ปาร์คชานยอล…

     

     

    ฝันไปหรือเปล่านะพยอนแบคฮยอน ปาร์คชานยอลตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังพูดกับเขา

     

    ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้แบคฮยอนยิ่งทำตัวไม่ถูก ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะมีวันนี้... วันที่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าปาร์คชานยอลในระยะประชิด วันที่ได้ยินเสียงทุ้มหูเอื้อนเอ่ยทักเขา แบคฮยอนคิดว่าคนตรงหน้าเจิดจรัสกว่าตอนแอบมองจากที่ไกลๆ เป็นไหนๆ

     

    เพราะส่วนสูงที่แตกต่างกันพอสมควรทำให้รุ่นน้องตัวสูงต้องก้มลงมองด้วยดวงตากลมโตที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ สองมือหนาล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงสเลคสีเทาเข้มของเครื่องแบบนักเรียน ชายเสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยออกมาเล็กน้อยขับให้ร่างสูงยิ่งดูดีในแบบที่แบคฮยอนเองก็ไม่เข้าใจ เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันดูเข้ากับปาร์คชานยอลเสียเหลือเกิน

     

    และคงเพราะไร้เสียงตอบจากปากเล็กบางของแบคฮยอน ปาร์คชานยอลจึงเลิกที่จะสนใจใคร่รู้แล้วลากเก้าอี้ออกมาก่อนจะหย่อนก้นตามลงไป มือหนาหยิบกระเป๋าเป้ที่แขวนไว้ข้างโต๊ะเรียนขึ้นมาควานหาบางอย่างโดยไม่สนใจร่างเล็กของแบคฮยอนอีกเลย...

     

    ก็รู้ดี... แบคฮยอนรู้ดีว่าปาร์คชานยอลเป็นคนประเภทที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง... เขารู้ดีเพราะคอยมองอยู่ตลอดและคิดว่านิสัยแบบนั้นก็ดูเข้ากันดีกับร่างสูงอย่างน่าประหลาด และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายใดๆ เลย

     

    หากแต่วันนี้... เขากลับรู้สึกอยากให้รุ่นน้องคนนี้สนใจสิ่งรอบข้างมากกว่าเดิมบ้าง... เผื่อจะสัมผัสได้สักนิดว่ารุ่นพี่ที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ นั้นกำลังตื่นเต้นและหัวใจเต้นกระหน่ำมากเพียงใด

     

     

    เสียงพูดคุยดังเข้ามาในโสตประสาทเรียกให้ร่างเล็กหลุดจากภวังค์ แบคฮยอนพบว่าตอนนี้นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งจำได้รางๆ ว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกับปาร์คชานยอลกำลังเดินตรงมายังห้องเรียนนี้ สองขาสั้นๆ จึงได้ถอยหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วกลับห้องเรียนของตนบ้าง

     

    เพราะมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ จากที่มีเพียงนักเรียนไม่กี่คนเท่านั้น จนตอนนี้เริ่มคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนชายหญิงที่พูดคุยหยอกล้อ เล่าเรื่องต่างๆ นาๆ ที่ตนได้ประสบพบเจอกันดังเซ็งแซ่ไปหมด

     

    และแบคฮยอนก็เพิ่งตระหนักได้ว่า เขาใช้เวลาทั้งเช้าไปกับปาร์คชานยอล…

     

    แบคฮยอนเดินเข้าห้องเรียนที่อยู่ถัดจากห้องของรุ่นน้องที่ตนแอบปลื้มมาเพียง 3 ห้อง เลื่อนเก้าอี้ตรงโต๊ะเรียนริมหน้าต่างด้านหน้าสุดออกมานั่ง แบคฮยอนไม่ใช่นักเรียนดีเด่นหรือมีผลการเรียนสูงใดๆ เลย เขาเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาทั่วไปที่เรียนอยู่ห้อง E เสียด้วยซ้ำ แต่เพราะบุคลิกท่าทางที่จัดได้ว่าเรียบร้อย บวกกับแว่นตาที่ทำให้ดูเป็นเด็กเรียนนั้นแล้ว ทุกคนในห้องเรียนจึงลงมติยัดเยียดที่นั่งตรงหน้าสุดให้กับเขาซึ่งเขาเองหาได้ต้องการไม่ แต่ก็ขัดไม่ได้... ยังดีที่เป็นโต๊ะริมหน้าต่างให้เขาได้มองออกไปยังสนามฟุตบอลไปในยามที่รู้สึกไม่ดี…

     

     

    แว่น!!”

     

     

    เสียงติดออกจะแหบเล็กน้อยที่แบคฮยอนจำได้ดีแม้ไม่อยากจำดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ปรากฏตัวอยู่ตรงประตูห้องเรียน เสื้อนักเรียนที่หลุดลุ่ยและผมที่ชื้นเพราะเหงื่อจากการเล่นบาสเก็ตบอลนั้นคงจะเป็นใครไปไม่ได้

    หากไม่ใช่คนที่แบคฮยอนอยากออกห่างที่สุด…

     

    โอเซฮุน

     

     

    นี่คืออีกเรื่องที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกอยากร้องไห้... คนที่คอยกลั้นแกล้งเขาเมื่อตอนปีหนึ่ง คนที่ไม่ชอบมากๆ และอยากอยู่ให้ห่างที่สุด ตอนนี้ตามมารังควาญเขาอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน นึกเกลียดคนจัดห้องเรียนเสียเหลือเกินที่ทำให้ตนต้องเรียนร่วมห้องกับคนๆ นี้ในปีสองหรือบางที...โชคชะตาอาจจะเล่นตลกกับชีวิตของเขามากเกินไป

     

    ร่างโปร่งสาวเท้าเข้าห้องเรียนมาก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ของตนลงบนโต๊ะของแบคฮยอนที่เริ่มหน้าเสีย

     

    เหมือนว่าเมื่อกี้ฉันจะเจออะไรดีๆ นะ

     

    อะ..อะไรเหรอใช่ว่าอยากจะสนทนาด้วย แต่เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ไร้เสียงตอบยามพูดคุยด้วยแล้ว ก็จำใจต้องเอ่ยกลับอย่างติดๆ ขัดๆ

     

    ริมฝีปากเล็กของโอเซฮุนเหยียดยิ้มก่อนยกมือเรียวยาวของตนขึ้นเคาะโต๊ะเรียนของแบคฮยอนเป็นจังหวะ

     

    ไม่บอก

     

    อยากจะสวนกลับไปเหลือเกินว่าเขาไม่ได้อยากรู้เลยแม้แต่น้อย เรื่องดีๆ ของโอเซฮุนก็คงไม่ใช่เรื่องดีของเขาอย่างแน่นอน แต่จะให้บอกออกไปอย่างใจคิดก็ทำไมได้ เพราะคงได้แผลกลับมาข้อหาพูดจากวนเข้าให้อีก จึงทำได้เพียงแต่นั่งนิ่งๆ ปากบางคว่ำลงราวกับคนอยากจะร้องไห้...

     

    อย่าทำหน้าแบบนั้น” เสียงแหบออกคำสั่งอย่างขัดใจเมื่อเห็นหน้าอีกคน “ขัดหูขัดตา

     

    จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อทำอะไรก็ดูจะขัดอกขัดใจโอเซฮุนไปเสียหมด ขนาดอยู่เฉยๆ ก็ยังไม่วาย…

     

    “เมื่อไหร่จะเลิกปากเสียวะไอ้เซฮุน” เสียงร่างสูงอีกคนผู้เป็นเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเอ่ยปรามเพื่อน

     

    คิมจงอินเป็นเพื่อนสนิทของเซฮุน และมักจะเป็นคนคอยห้ามปรามเมื่อเพื่อนทำอะไรเกินเหตุ ซึ่งแบคฮยอนรู้สึกขอบคุณมากที่แม้ว่าโชคชะตาจะส่งซาตานอย่างเซฮุนมาในชีวิตเขา แต่ก็ยังมีเมตตาพอที่จะส่งจงอินมาด้วย อย่างน้อยหลายๆ ครั้งก็มีจงอินนี่แหละคอยช่วยเหลือ

     

    โอเซฮุนเดาะลิ้นด้วยความขัดใจแต่ก็ยอมรามือ เกี่ยวเอากระเป๋าเป้ของตนเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเรียนหลังห้องของตน ส่วนแบคฮยอนเมื่อเห็นว่าหลุดจากสถานการณ์ที่เรียกว่าอันตรายสำหรับเขาเองแล้วก็ก้มหน้าให้จงอินเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ

     

    ขอโทษแทนมันด้วยแล้วกันนะ

     

    อื้อ ไม่เป็นไรหรอก แล้วก็ขอบคุณมากนะ

     

    คิมจงอินเดินไปสมทบกับอีกคนด้านหลังห้องปล่อยให้แบคฮยอนนั่งอยู่กับตัวเอง แม้ว่าจะลองคิดทบทวนอยู่บ่อยครั้งว่าอะไรที่ทำให้โอเซฮุนจงเกลียดจงชังจนต้องคอยกลั่นแกล้งเขาได้ทุกวี่ทุกวันเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลยเคยคิดที่จะถามเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้ากัน สติของแบคฮยอนก็ดูจะหลุดลอยหายไปจนลืมที่จะเอื้อนเอ่ยถามออกไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่กล้าที่จะถามด้วยก็เป็นได้ สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันเป็นไปเช่นเดิม

     

     

    วนลูปซ้ำๆ จนเริ่มจะชินชา..

     

     

    การเรียนในช่วงเช้ายังคงน่าเบื่อเช่นทุกวัน แบคฮยอนทำทีเป็นตั้งใจฟังบทเรียนที่คุณครูสอนแม้ว่าจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม ตอบคำถามที่คุณครูถามบ้างเป็นครั้งคราว และปล่อยให้มันดำเนินไปจนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง สองมือเล็กเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบทันทีที่ได้ยินเสียงออดบอกเวลาพัก...ช่วงเวลาที่เขารอคอย

     

    เพียงแค่นึกถึงยามที่ได้มองใบหน้าของรุ่นน้องคนเดิมนั้นก็ทำให้แบคฮยอนใจเต้นแรงแล้ว สองขาก้าวเท้าออกนอกห้องเรียนด้วยท่าทางร่าเริง เดินผ่านหน้าห้องเรียนที่เคยแวะเวียนมาเมื่อเช้าก็พบว่าไร้ร่างของคนที่ตนแอบปลื้มอยู่ แม้อย่างนั้นแล้วแบคฮยอนก็หาได้นึกเสียใจ เพราะเขารู้ดีว่าวันนี้เขาจะได้เจอปาร์คชานยอล ณ ที่แห่งเดิมอีกเช่นเคย

     

    แบคฮยอนทานอาหารง่ายๆ เป็นมื้อกลางวันเพราะไม่อยากรอนานจนพาลเสียเวลาดีๆ ของตนไป ไม่ลืมที่จะแวะซื้อน้ำชามะนาวที่ตนชอบติดมือมาด้วย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกวิทยาศาสตร์ที่เดี๋ยวนี้เขาแวะเวียนมาบ่อยเหลือเกิน

     

    ทันทีขึ้นมาถึงดาดฟ้า แบคฮยอนก็จับจองที่นั่งตรงมุมประจำที่สามารถแอบมองอีกคนได้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เพราะตามเฝ้าดูถึงได้รู้ว่าปาร์คชานยอลมักจะนั่งลงที่เดิมซึ่งก็คือริมผนังใกล้ๆ ประตูเสมอ

     

     

    ทำไมวันนี้ชานยอลมาช้าจังเลย

     

    หลังจากที่นั่งรอจนดูดน้ำชามะนาวหมดแก้ว หลงเหลือไว้เพียงน้ำแข็งที่เริ่มละลายลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่เฝ้ารอ แบคฮยอนจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย เพราะคิดว่าวันนี้รุ่นน้องตัวสูงอาจจะไม่มาแล้วก็เป็นได้

     

    ถึงจะแอบเสียดายนิดหน่อยแต่ก็ต้องทำใจยอมรับ วันนี้ไม่เจอพรุ่งนี้ก็ยังมี

     

    แบคฮยอนพาร่างเล็กๆ ของตัวเองไปยืนเกาะขอบรั้วดาดฟ้า สายตามองไปยังสนามฟุตบอลเบื้องล่างที่มีนักเรียนกำลังเตะฟุตบอลกันอยู่ สายลมพัดแผ่วๆ ทำให้ปลายผมของเขาพลิ้วไหวเป็นจังหวะ แต่ยังไม่ทันได้ซึมซับความรู้สึกของสายลมสักเท่าไหร่นัก เสียงประตูด้านหลังก็ดังขึ้น

     

    ...ชานยอล

     

    ทั้งที่นึกว่าวันนี้จะไม่มาแล้วแท้ๆ แต่บัดนี้ร่างสูงกำลังก้าวเดินผ่านประตูออกมา เสียงเอ่ยชื่อแผ่วเบาที่ออกจากปากบางของแบคฮยอนไม่ได้ดังพอที่จะเรียกความสนใจของอีกคนได้ ขายาวของปาร์คชานยอลก้าวไปหยุดลงตรงที่ประจำอย่างเคย

     

    น่าแปลกที่แม้ว่าแบคฮยอนจะยืนอยู่ในรัศมีที่สามารถมองเห็นได้ไม่ยากเย็น จริงๆ แล้วออกจะสะดุดตาเกินไปเสียด้วยซ้ำ แต่นอกจากเจ้าของดวงตากลมโตนั้นจะไม่เหลียวมาแลเขาเลยแล้วก็ยังทำราวกับว่าดาดฟ้านี้มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้นอีกด้วย

     

    ปาร์คชานยอลจะไม่สนใจสิ่งรอบตัวมากเกินไปหรือเปล่านะ?

     

    หรืออาจจะเห็นแต่ไม่ใส่ใจกันแน่...

     

    ได้แต่ถามตัวเองในใจเท่านั้น  เพราะคำตอบเป็นอย่างไรคนที่รู้ก็มีแค่ตัวปาร์คชานยอลอยู่ดี

     

    สุดท้ายเมื่อสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่งจนพบว่าร่างสูงไม่มีวี่แววจะใส่ใจ จึงถือวิสาสะยืนมองอยู่ที่เดิมไปเสียอย่างนั้น ราวกับย้อนกลับไปยังเมื่อครั้งแรกที่ได้พบเจอกัน สถานที่เดิม ตำแหน่งเดิม และบรรยากาศเดิมๆ สายลมพัดแผ่วๆ ในขณะที่อีกคนเริ่มขยับตัวเล็กน้อย

     

    เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ คนหนึ่งกำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ในขณะที่อีกคนก็เสพติดการจ้องมองอีกคน เนิ่นนานจนในที่สุดแบคฮยอนก็รู้สึกตัว มองนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งบ่งบอกว่ากำลังจะหมดช่วงพักกลางวันแล้ว

     

    ทุกครั้งปาร์คชานยอลจะเป็นฝ่ายลุกออกไปก่อนหมดเวลาพักประมาณสิบนาที จากนั้นแบคฮยอนจึงค่อยตามออกไป แต่วันนี้ไม่ใช่ เพราะอีกไม่ถึงห้านาทีก็จะหมดเวลาพักแล้ว ร่างสูงที่นั่งพิงผนังอยู่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเลย

     

     

    เราควรปลุกไหมนะ?

     

     

    แบคฮยอนสาวเท้าเข้าไปใกล้รุ่นน้องอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งใกล้ๆ ใบหน้าได้รูปกับจมูกที่โด่งเป็นสันช่างน่าหลงใหล ไหนจะดวงตากลมโตที่กำลังหลับพริ้มกับแพขนตางอนยาวนั่น ยิ่งได้มองใกล้ๆ ก็ยิ่งน่าหลงใหลยิ่งขึ้นไปอีก

     

    แบคฮยอนสะบัดความคิดต่างๆ ที่ประดังเข้ามาออกจากหัวไป ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือปลุกอีกคนเพื่อที่จะได้ไปเข้าเรียนช่วงบ่ายต่อ มือเรียวเล็กค่อยๆ ยื่นเข้าหาคนตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     

    นี่..

     

    ออกแรงเขย่าไหล่รุ่นน้องเบาๆ แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล เมื่อคนตรงหน้ายังคงหลับตาพริ้มอยู่อย่างเดิม

     

    “ตื่นเถอะ ได้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ” แบคฮยอนออกแรงมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว

     

    และมันก็ได้ผล ปาร์คชานยอลขยับตัวเล็กน้อยก่อนที่ตากลมโตจะเบิกกว้างขึ้น แบคฮยอนเผลอสบดวงตาคู่สวยนั้นไปเต็มๆ ด้วยความที่ตั้งใจกับการปลุกรุ่นน้องมากไปหน่อย จึงได้ยื่นหน้าเข้าใกล้เสียจนเหลือระยะห่างระหว่างกันเพียงน้อยนิด แบคฮยอนขยิบตาถี่ๆ ก่อนจะถอยกรูดออกมา

     

    “ด..ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว”

     

    ร่างสูงเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้นแล้วจึงยันตัวเองเพื่อลุกขึ้น

     

    “ขอบคุณที่ปลุกนะครับรุ่นพี่”

     

    ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่นักที่คนตัวสูงรู้ว่าตนเป็นรุ่นพี่ เพราะโรงเรียนนี้แบ่งแยกชั้นปีได้จากสีของเนคไทซึ่งแบคฮยอนใช้สีน้ำเงินเข้มที่เป็นของปีสอง ในขณะที่ปาร์คชานยอลใช้สีแดงเลือดนก ส่วนชั้นปีสามนั้นใช้สีเขียวเข้ม

     

    แบคฮยอนพรายยิ้มบางให้กับรุ่นน้องตัวสูงแล้วจึงลุกขึ้นเต็มความสูงบ้าง ในขณะที่ชานยอลหยิบมือถือออกมาสไลด์ดูอะไรเล็กน้อยซึ่งแบคฮยอนเชื่อว่าคงดูเวลาเท่านั้น ก่อนจะหย่อนมันเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม

     

     

    “รุ่นพี่จะลงไปด้วยกันเลยไหมครับ”

     

     

    ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งชั่วครู่ ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าอีกคนจะออกปากชวนเช่นนี้ทั้งที่ก็ไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรกันเลย แม้ว่าคนอื่นอาจมองเป็นเรื่องน้อยนิดไม่ได้น่าตื่นเต้นหรือสลักสำคัญอะไร แต่สำหรับแบคฮยอนที่คอยเฝ้ามองปาร์คชานยอลอยู่ตลอดแล้วนั้น ประโยคนี้ก็ดั่งสวรรค์ดีๆ นี่เอง

     

    “ว่าไงครับรุ่นพี่” แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลงไปด้วยเสียงที่สั่นและใจที่เต้นระรัว

     

    “...ได้สิ ไปสิ”

     

    ชานยอลเปิดประตูดาดฟ้าแล้วแทรกตัวเข้าไป รอจนแบคฮยอนเดินตามมาแล้วจึงปิดประตูอย่างเบามือ ตึกวิทยาศาสตร์เป็นตึกเก่าตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงเรียนจึงยังไม่มีลิฟต์เหมือนอย่างตึกเรียนใหม่ๆ ทำให้ต้องเดินลงบันไดอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะเคยแอบบ่นอยู่ในใจบ่อยๆ ยามที่เดินขึ้นลงตึกนี้ แต่ครั้งนี้ดูจะต่างออกไป เพราะว่ามีปาร์คชานยอลเดินร่วมทางไปด้วยกันนั่นเอง

     

    ...นึกเสียดายที่ตึกวิทยาศาสตร์มีเพียงแค่สี่ชั้นก็วันนี้แหละ

     

    “อ๊ะ!!

     

    เพราะมัวแต่เหม่อมองแผ่นหลังของคนข้างหน้าทำให้เผลอก้าวพลาดจนเสียหลักล้มลง ยังดีที่ตกจากความสูงเพียงสามขั้นเท่านั้น ทำให้ไม่เป็นอะไรมากนักนอกจากความเจ็บแปลบที่ศอกซ้ายเพราะกระแทกเข้ากับขั้นบันได ปากบางคว่ำลงราวกับคนจะร้องไห้เมื่อเห็นว่าปาร์คชานยอลยังคงเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเขาเลย

     

    รุ่นน้องคนนี้มีอิทธิพลมากกับพยอนแบคฮยอนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

     

    ยกมือเรียวของตนดันแว่นตาที่เลื่อนให้เข้าที่ก่อนจะนิ่งไว้อาลัยให้กับตัวเองอยู่ชั่วครู่

     

     

    “เป็นอะไรมากไหมครับ” ในที่สุดชานยอลก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้เดินตามไปด้วยถึงได้หันกลับมามองอีกครั้งทั้งที่เดินไปจนเกือบจะถึงอีกฟากของตึกแล้ว

     

    แบคฮยอนส่ายหน้าให้กับชานยอลที่สาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วก้มตัวลงช่วยฉุดดึงให้ลุกขึ้น แบคฮยอนสำรวจแผลที่ซ้ำรอยเก่าที่โอเซฮุนเคยทำไว้ ทั้งที่ตกสะเก็ดแล้วแท้ๆ และอีกไม่นานก็คงหาย แต่ตอนนี้สะเก็ดแผลหลุดลอกออกไปจนเห็นเลือดสีแดงสดซึมออกมาแถมแผลยังดูหนักหนากว่าคราก่อนอยู่พอควรอีกด้วย ร่างเล็กสูดปากเพราะความเจ็บแสบที่เริ่มแล่นริ้วเข้ามามากขึ้นหลังจากได้เห็นบาดแผลของตน

     

    “เลือดออกแบบนี้ ผมว่าไปห้องพยาบาลดีกว่า” ชานยอลเสนอออกมาพลางยื่นมือมาจับพลิกแขนบางของแบคฮยอนสำรวจอย่างแผ่วเบา

     

    “อื้อ เดี๋ยวพี่ไปเอง ไปเข้าห้องเรียนเถอะ”

     

    “ครับ เดินระวังนะครับรุ่นพี่”

     

    ชานยอลเดินจากไปเงียบๆ แม้แบคฮยอนจะแอบหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าคนตัวสูงอาจจะอาสาพาไปส่งที่ห้องพยาบาลแต่ดูเหมือนว่าเขาจะหวังมากเกินไป แบคฮยอนก็แค่คนๆ หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใส่ใจอะไร ก็แค่คนที่บังเอิญหกล้มอยู่ใกล้ๆ แค่เข้ามาช่วยฉุดเขาลุกขึ้นก็บุญแค่ไหนแล้ว

     

    กะอีแค่แผลเล็กๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องมีใครช่วยพยุงสักหน่อยนี่นะ พยอนแบคฮยอน

     

    นึกปลอบใจตัวเองก่อนจะพาร่างเล็กๆ ของตนเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลซึ่งอยู่อีกด้าน

     

     

    รอยแผลได้รับการฆ่าเชื้อและปิดไว้ด้วยผ้าก๊อซอย่างเรียบร้อย แบคฮยอนโค้งขอบคุณคุณครูสาวประจำห้องพยาบาลที่เขาเองก็จำชื่อไม่ได้ก่อนที่คุณครูคนที่ว่านั้นจะขอตัวออกไปธุระก่อน แบคฮยอนตัดสินใจที่จะนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องพยาบาลอีกสักหน่อยเพราะไม่อยากเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์เสียเท่าไหร่นัก

     

     

    แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิด...

     

     

    บางทีการเข้าเรียนวิชาประวัติศาสตร์อาจจะดีกว่าเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้องพยาบาล และคนๆ นั้นก็คือ...โอเซฮุน

     

    “อ้าวแว่น โดดเรียนกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?” เสียงติดจะแหบที่แบคฮยอนไม่ชอบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับกำลังชอบใจ

     

    ไม่ชอบเลย  ทำไมต้องมาเจอตอนนี้ด้วยนะ ทั้งที่อยากจะอยู่เงียบๆ คิดอะไรคนเดียวสักหน่อย

     

    “ว่าไง อย่างนายโดดเรียนเป็นด้วยเหรอ” เซฮุนถามอีกรอบในขณะที่เดินเข้ามาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงของห้องพยาบาล

     

    “เปล่า คือเราปวดหัวน่ะ” เลือกที่จะตอบไปแบบนั้น

     

    งั้น...เซฮุนยกยิ้มมุมปาก “แล้วนั่นอะไร?”

     

    แบคฮยอนหันหลบซ่อนแขนข้างซ้ายของตนไว้เมื่อเห็นว่าโอเซฮุนพยักเพยิดมาทางแผลที่มีผ้ากอซปิดอยู่ ในใจนึกอยากจะวิ่งหนีออกจากห้องนี้ไปเสีย การอยู่ร่วมห้องกับคนๆ นี้เพียงลำพังนั้นดูอย่างไรก็ไม่เข้าท่าเลย ไม่แน่ว่าวันนี้แบคฮยอนอาจจะได้แผลเพิ่มมาอีกสักแผลสองแผลก็เป็นได้

     

    “ฉันถาม”

     

    “ม..ไม่มีอะไร” เพราะออกจะหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยทำให้เสียงที่เปล่งออกมาติดขัด

     

    “ไม่มีแล้วจะหลบทำไม! มานี่!” ส่งคำสั่งมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

     

    แบคฮยอนจำใจเดินเข้าไปใกล้ๆ เตียงที่เซฮุนกำลังผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เซฮุนจับเขาหันข้าง ยกแขนขึ้นสำรวจ

     

    “นี่ที่ฉันทำ? ยังไม่หายอีกเหรอวะ”

     

    แบคฮยอนหลบสายตาที่จ้องมองมา ก้มหน้าจนคางแทบชิดอกอย่างที่ชอบทำเวลาเจอร่างโปร่งนี้ มือไม้เริ่มสั่นอย่างที่คุมเอาไว้ไม่อยู่ ปากบางคว่ำลงราวกับจะร้องไห้อีกครั้งทั้งที่รู้ว่าอีกคนไม่ชอบ แต่มันก็ห้ามไม่ได้

     

    “จะร้องทำไมวะ”

     

    เซฮุนจิ๊ปากด้วยความขัดใจ ไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กนี่จะอ่อนแอ อ่อนไหวอะไรนักหนา เห็นหน้าเขาก็จะร้องไห้เสียทุกครั้งแบบนี้ยิ่งทำให้โอเซฮุนหงุดหงิด

     

    ...เขาไม่ชอบเห็นใครร้องไห้

     

    ...เขาเกลียดความอ่อนแอ

     

    และพยอนแบคฮยอนกำลังทำทั้งสองอย่างที่ว่านี้ต่อหน้าเขา

     

     

    “อย่าร้อง!!

     

     

    “ยังไม่ไดร้องสักหน่อย เรา...เราแค่...” แบคฮยอนก้มหน้ามองพื้นอยู่อย่างนั้น แต่เพราะเซฮุนนั่งอยู่บนเตียงทำให้สายตาอยู่ในระดับที่พอจะมองเห็นใบหน้าของอีกคนที่บ่งบอกว่ากำลังจะร้องไห้ออกมาเต็มแก่

     

    “เออ ก็อย่าร้องแล้วกัน ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย”

     

    “เราขอโทษ”

     

    “น่ารำคาญ”

     

     

    !!!

     

     

    แบคฮยอนแทบสะอึก เมื่อคนตรงหน้าแสดงความไม่พอใจเขาออกมาถึงขนาดนี้ สองขาเล็กก้าวตรงไปที่ประตูห้องอย่างงุ่นง่าน ในเมื่อรำคาญเขาก็ควรจะไปจากที่นี่เสียที ไปให้พ้นหน้าโอเซฮุน... คิดได้ดังนั้นก็สาวเท้าต่อไป แต่ในขณะที่ยื่นมือไปจับลูกบิตประตู เสียงแหบนั้นก็ท้วงถามขึ้น

     

    “จะไปไหน”

     

    แบคฮยอนชะงักมือไว้ น้ำตาที่กลั้นไว้ใกล้จะไหลออกมาเต็มที่แล้ว ทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็งแต่พอเจอคนๆ นี้สิ่งที่คิดไว้ก็ทำไม่ได้เลยสักอย่าง

     

    “ก็เซฮุนบอกว่ารำคาญเราก็เลยจะไป”

     

    “รำคาญ แต่บอกหรือไงว่าให้นายไปได้ นั่งอยู่นี่จนกว่าฉันจะตื่น”

     

    “...”

     

    “ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอ คงรู้นะว่าจะเกิดอะไร”

     

     

    เคยคิดว่าเคยชินกับสิ่งที่คนๆ นี้ทำมากเสียจนชินชาและยอมรับมันได้ แต่ไม่เลย ทุกครั้งก็ยังคงเจ็บอยู่ในใจเสมอ...เจ็บทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ

     

     

     

     

     

    _________________________

    #นตอ @salynnxan


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×