ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาล..ภพ

    ลำดับตอนที่ #35 : กรงลวกจิ้ม หอกทิ่มทะลวง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 73
      2
      22 เม.ย. 58

      กาล..ภพ

          ตอน ๓๕ : ลวกจิ้ม MK

     

     

     

       ถนนสองข้างทางยามค่ำคืนนี่มันช่างเวิ้งว้างเสียนี่กระไร วิสัยทัศน์ค่อนข้างแย่ มองออกไปได้ไกลแค่ประมาณ ๕ เมตรก็ไม่เห็นอะไรแล้ว รอบด้านมีเพียงหญ้าสูงชันท่วมหัว รถตู้ที่พวกเรานั่งเคลื่อนตัวด้วยความเร็วค่อนข้างช้า เพราะไฟริมถนนไม่ค่อยจะสว่างเท่าไหร่ แล้วสายตาของคนอายุเหยียบห้าสิบแบบพี่ศักดิ์จะให้ขับเร็วเหมือนพวกฉันก็คงไม่ได้ (กล้าพูดมาก ว่ายังวัยรุ่นอยู่)


                รถที่พวกเรานั่งเป็นรถตูขนาดสามตอน ที่เหยียดขาค่อนข้างกว้างขวาง โบ้ กับ บาส นั่งตอนหลังสุด ส่วนบอลนอนเหยียดยาวตลอดแถวตอนกลางคนเดียว ให้เหตุผลว่า ขออยู่ตรงกลางดีกว่าอบอุ่นดี เบญจากับฉันได้แต่ยิ้มขำในความคิดของบอล น้องเอ๊ย ต่อให้เบียดอยู่ตรงไหนถ้ามันจะสยอง มันก็สยองอยู่คนเดียวนั่นแหละ คนอื่นไม่ได้ร่วมสยองกับเอ็งหรอก มันเป็น ‘ปัจจัจตัง’ เรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน เบญจานั่งแถวแรก ส่วนฉันนั่งข้างคนขับเป็นเพื่อนพี่ศักดิ์

     

                “ทำไมพี่ถึงมาเป็นร่างทรงล่ะ?”

                ฉันเริ่มสัมภาษณ์พี่ศักดิ์ เพื่อทำลายบรรยากาศเงียบเชียบ ถึงแม้จะมีเสียงเพลงเบาๆ ก็ไม่ได้ทำลายความวังเวงของสองข้างทางลงไปได้เลย เท่าที่พอจะรู้มา ที่พี่เขาพาน้องๆ พวกนี้มาก็เพื่อทดสอบเซ้นเพื่อฝึกให้เป็นร่างทรงรุ่นต่อไป ฟังแล้วเหมือนทายาทอสูรยังไงยังงั้น


                “อืมมม”  เสียงพี่ศักดิ์รับคำเบาๆ จนคล้ายงึมงำในลำคอ

                “พี่ก็จำไม่ค่อยได้ ตั้งแต่พี่โตมา คนในบ้านพี่ก็เป็นร่างทรงมาตลอด ทุกอย่างมันถ่ายทอดมา ทั้งพิธีกรรมที่ทำกันต่อเนื่องในวันสำคัญ วันพระ จนพี่ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่พี่เลือก แต่เหมือนหน้าที่ ที่ต้องทำมากกว่า พอถึงเวลาก็คงจะต้องทำ ไม่เคยคิดสงสัยเหมือนกันนะ ว่าเราไม่ทำได้หรือไม่ แต่พี่มีความสุขกับการที่ได้ทำมันนะ”

                แววตาของพี่ศักดิ์ดูเป็นประกายสะท้อนแสงไฟ บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ของคนที่มีความศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างไม่สงสัย เมื่อได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบ ก็คงจะมีความสุขเช่นนั้นละมัง

                เป็นคำตอบที่น่าแปลกใจไม่ใช่น้อย มีแบบนี้ด้วยหรือ เท่าที่เคยได้ยินมาส่วนมากเขาจะว่ากันว่า ท่านนั้นท่านนี้มาจับร่างแล้วทำให้ต้องเป็นโดยไม่ได้เต็มใจ แต่ที่เต็มใจเป็นสืบทอดโดยวงศ์ตระกูลฉันเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก อาจจะมีอยู่บ้างแต่ฉันคงไม่รู้เองซะมากกว่า

     

                ‘เอี๊ยดดดดดด!!!’

                ‘ตุบ…’

                เสียงพี่ศักดิ์เบรกรถกระทันหัน ตามด้วยเสียงของบอลซึ่งนอนเอกเขนกกลิ้งกระแทกเบาะ

                มีอะไรหรือครับกู๋” เสียงบอลทักขึ้นด้านหลัง

                ฉันหันไปมองบอลที่ยกมือป้อยๆ ลูบหัวที่กระแทกขอบเบาะเบาๆ เห็นเขาตาเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าซุกกับเบาะตัวที่เบญจานั่งอยู่

                ‘ท่าทางบอลคงจะไม่ต้องการคำตอบแล้วกระมัง’ 

                หันกลับมามองภาพตรงหน้ารถที่มีแสงไฟจากหน้ารถสาดออกไปได้ในระยะเพียงแค่ ๕-๑๐ เมตร ตรงสุดระยะที่แสงไฟสาด เห็นเป็นเงาลางตั้งแต่ช่วงเอวลงมาของคนยืนนิ่งอยู่ ผิวหนังจ้ำช้ำ ไม่สวมใส่อาภรณ์ใดๆ มีเพียงเศษผ้ากันอุจาดตาเท่านั้น

                “ทำไมพี่ต้องจอดด้วยล่ะ?”

                ฉันหันไปถามพี่ศักดิ์ พลางเหลือบมองซ้ายขวา บรรยากาศก็มืดสงบ จะเอาเรามาฆ่าหมกป่า หรือเปล่าเนี่ย หรือว่าคนตรงหน้าเขาจะเหงา เลยหลอกเอาพวกเรามาเป็นเพื่อน แหม่ ช่างเป็นการโปรดสัตว์ที่ทุ่มทุนสร้างเสียเหลือเกิน

                “เขาตามไม่เลิกเลยนี่สิ ถ้าไม่จอดคุยกันให้รู้เรื่อง เดี๋ยวก็ตามไปจนถึงบ้าน”

                พี่ศักดิ์ค่อยๆ เลื่อนรถแอบข้างทาง เมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเปิดประตูรถพร้อมธูปในมือ ๑ กำ นั่งยองๆ ก่อนจะจุดธูปในมือยกขึ้นพนมหรือหัวอธิษฐานแล้วปักลงบนพื้นดิน

                ฉันเดินตามหลังพี่ศักดิ์ไปย่อตัวลงข้างๆ ปล่อยให้เบญจาดูแลเด็กๆ อยู่ในรถ มองแล้วมีเพียงบอลละมั้งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ก่อนจะเดินลงมาจากรถ ฉันแอบเห็นสองมือของบอลกำที่คอเสื้อเบญจาแน่นตอนที่เห็นฉันเปิดประตูลงไปหาพี่ศักดิ์ ประหนึ่งว่า ถ้าพี่ทิ้งผมล่ะน่าดู ถ้าไม่ติดว่ามีเบาะกั้นระหว่างเบญจากับบอล ดูท่าว่าจะได้ขึ้นไปนั่งตักกันเลยเชียว

     ส่วนโบ้กับบาสยังคงเล่นเกมส์เศรษฐีทอยเต๋าสร้างแลนด์มาร์กสุดฮิตกันอย่างไม่รู้สึกรู้สา ฉันแอบได้ยินเสียงเกมส์ ตุ๊ง ติ๊ง เป็นระยะๆ แว่วมากับคำว่า ‘อย่าเอาเมืองฉันไปหรือเสียง สบถของโบ้เวลาทอยตกแดนของฝ่ายตรงข้าม

    ดูมันสิ แลบลิ้นให้อีกโบ้หงุดหงิดบ่นคำนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่จำไม่ได้ อิโมชั่นแลบลิ้นในเกมส์นี้จัดได้ว่าน่าหงุดหงิดมาก 

    เป็ดเถอะคับคุณท่าน ช่องมีเป็นล้านไม่ตก’ บาสเองก็บ่นไม่แพ้กัน ตอนอยู่ในรถฉันนั่งฟังเด็กๆ บ่นไป ขำไป ศัพท์พวกนี้ ฉันเองก็เคยใช้เหมือนกัน เวลาเล่นทอยแต้มแพ้ทีมคู่ต่อสู้เดินไปตกช่องของเขาทั้งๆ ที่เหลือเงินอยู่ไม่มาก ก็แหม่ อุส่าห์อัพซะจนเลเวลเต็มพิกัด ดันแพ้การ์ดเลเวลต่ำต้อย มันน่าแค้นใจไม่หยอก

    พวกเด็กๆ รับรู้เพียงว่าพี่ศักดิ์คงจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างก็เลยเดินออกไปสำรวจ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อยๆ อยู่แล้ว เขาเพียงแค่นั่งรอเงียบๆ เล่นเกมส์ฆ่าเวลา จนกว่าพี่ศักดิ์จะธุระก็เท่านั้น

    หลังพี่ศักดิ์ปักธูปเสร็จ จึงหันหน้ามาทางฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ แน่นอน ฉันยิ้มแป้นรอเขาอยู่แล้ว เพราะแขกตรงหน้าคงไม่ใช่ของใครนอกจากของฉันเป็นแน่

    “พี่เปิดทางขอแม่ธรณีและปู่ยมให้เขาอยู่เล่าเรื่องตรงนี้ชั่วคราว”

    พี่ศักดิ์หันมาอธิบายการกระทำเมื่อครู่กับฉัน พี่ศักดิ์พอจะรู้คร่าวๆ ว่าฉันกำลังจะหาข้อมูลดิบเกี่ยวกับเรื่องผีอยู่บ้างถึงได้ขอมาด้วยในครั้งนี้ ตอนแรกก็คงคิดว่าฉันจะมาช่วยมองผี แต่คงไม่คิดว่า ฉันมันจะเป็นตัวนำพาผีมาให้ แต่จะว่าไปข้อมูลพวกนี้ก็ค่อนข้างจะดิบไปซักนิดนะ ดิบชนิดเลือดสาดกลิ่นคาวคละคลุ้งกันเลยทีเดียว

    “นรกอีกแล้วสิพี่?” ฉันพูดยิ้มๆ นรกอีกแล้ว… 

    นรกขุมนี้ที่ข้าอยู่ สำหรับผู้ที่ชอบทรมาณสัตว์น้อยใหญ่ เข่นฆ่าชีวิตผู้อื่นด้วยความคะนองเป็นสำคัญ’

    ผู้ตรงหน้ากล่าวน้ำเสียงเย็นเบาหวิวคล้ายไร้เรี่ยวแรง น้ำเสียงไม่ค่อยปะติดปะต่อ เหมือนค่อยๆ รำลึกถึงเรื่องราวในอดีตของตน

    เขาค่อยๆ ก้าวพ้นจากเงามืดมาอยู่ตรงหน้าจนเห็นสภาพได้ชัดเจน จนฉันต้องเบือนหน้าแอบเหลือบตาเข้าไปมองคนที่อยู่ในรถ เห็นบอลกระโดดข้ามมานั่งอยู่กับเบญจาเรียบร้อยแล้ว ในสภาพที่แหม่ กอดรัดฟัดเหวี่ยงจนแทบจะหลอมกายเป็นเนื้อเดียวกันเป็นก้อนกลม กับหุ่นอวบๆ ของเบญจา อยากจะขยับไปสลับที่กับเบญจาเสียตอนนี้เลยทีเดียว

           'ฉันอยู่กับผี แต่เอ็งได้อยู่กับหนุ่มน้อย ขาว ตี๋ เกาหลีเชียวนะ'

    เขาคนนี้ มีผิวหนังเป็นจ้ำช้ำเป็นจุดๆ คล้ายโดนของแหลมทิ่มแทง ฝ่าเท้าไหม้ลักษณะเหมือนเนื้อตายสีดำแดงน้ำเหลืองไหลย้อยจนเปรอะพื้น ช่วงน่องยังมีรูโหว่จากอาวุธแหลมคม บางแผลบาดช่วงเนื้อหายไปเป็นก้อนจนมองทะลุเห็นอีกฝั่งจนเลือดไหลเป็นทาง ตามตัวตามแขนมีรอยแผลจากอาวุธทิ่มแทงสดใหม่หลายจุดกระจายไปทั่ว ทั้งลำตัวและท่อนแขน

    ตอนข้ามีชีวิต ไม่เคยคิดเห็นค่าของชีวิตสัตว์อื่น ชอบทรมาณสัตว์ สร้างแต่บาป บุญแทบไม่เคยทำ ตื่นแต่เช้า ยิงนกตกปลา แม้จะเกินกว่าที่จะใช้สำหรับกินก็ยังเที่ยวเข่นฆ่าปล่อยให้ตายทิ้งอย่างไร้ค่า”

    “มีครั้งหนึ่ง ไล่จับกระต่าย มันวิ่งหนีมุดเข้าไปอยู่ในโพรงก็ไล่ขุดเข้าไปเจอครอบครัวของมัน จึงฆ่าถลกหนังพวกมันทิ้งทั้งครอบครัวด้วยความสนุกสนาน แล้วทิ้งซากของมันไว้โดยไม่โดยไม่เหลียวแลขอให้ได้ฆ่าเพียงเพื่อความสะใจ”

    “เจอนกสวยๆ บินอยู่ตามต้นไม้ก็เที่ยวไล่ส่องไล่ตามจับมัน มันก็ไม่เคยยอมให้จับแต่โดยดี ซ้ำบินหนีพยายามหนีตะเกือกตะกายเพื่อให้พ้นจากความตาย แต่ข้าไม่เคยสงสารหรือหวั่นไหว เหมือนกับยิ่งหนียิ่งยั่วโทสะข้า หนอยแนะไอ่พวกนกบ้านี่ไม่ยอมตายแต่โดยดี หากจับมันได้ก็จะฟาดร่างมันกับต้นไม้จนร่างมันแหลกเหลวขาดใจ หรือบางครั้งก็หักคอทั้งเป็นๆ พวกมันดิ้นพล่านๆ ยิ่งทรมาณข้ายิ่งชอบใจนัก


    เขาดูเงียบไปราวกับสลดกับการกระทำของตัวเอง ฉันจ้องมองบาดแผลทั่วร่างของเขาก็พอจะเข้าใจ ตอนนี้เข้าคงโดนกรรมที่ทำนั้นสนองเข้าให้อย่างจัง 


    “เรื่องยิงนกข้าคล่องเรื่องจับปลาข้าก็ถนัด ข้ามักจะสานหวายไม้ไผ่เป็นชะลอมคลอบปลาแล้วใช้ไม้แหลมทิ่มมันขึ้นมา พวกปลามันยังไม่ตายก็ดิ้นทุรนทุรายทั้งๆ ไม้ยังเสียบทะลุร่างอยู่อย่างนั้น”

    “บุญไม่ค่อยทำ สร้างแต่บาปกรรม เมื่อถึงเวลาตายข้าร้อนรนดิ้นทุรนทุรายเหมือนไฟนรกสุม เมื่อดวงวิญญาณหลุดออกจากร่าง พวกเขาก็พาข้ามาชดใช้กรรมในนรก”

    ขณะที่เขาเล่า น้ำเหลืองค่อยๆ ไหลหยดออกจากรูตรงแขนตรงขามีบ้างเป็นก้อนไขมันปนน้ำเลือดที่เริ่มจับตัวแห้งเป็นลิ่มๆ ทำให้บริเวณที่เขานั่งเล่า กระจายเป็นวงกว้างด้วยเลือดและน้ำหนอง

    อาาาาสุกี้ MK ตับมาเป็นลิ่มเลือด เมื่อกี้ฉันเพิ่งหิวมาม่าไปหมาดๆ ตอนนี้ในหัวฉัน มันมาอีกเมนูแล้ว’

    “เมื่อตกนรกไป โดนทรมาณด้วยการจับใส่กรงตะแกรงขังขนาดพอดีตัวมีซี่เหล็กร้อนล้อมไม่ให้ข้าหนี อสูรกายร่างใหญ่โตจับตะแกรงขึ้นจุ่มในกะทะที่มีน้ำกรดร้อนแดงไอพวยพุ่ง ร้อนจนไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับสิ่งใดที่ข้าเคยเจอ มันร้อนยิ่งกว่าไฟบนโลกที่ใช้ทำอาหารเสียอีก พวกเขากดตะแกรงกรงที่ใส่ข้าเอาไว้จนมิดน้ำกรดนั้น แล้วยกขึ้น แล้วกดลงไปอีกหัวเราะเสียงร่าราวกับสนุกสนานเมื่อเห็นข้าทรมาณร้องโหยหวล”

    “เท่านั้นยังไม่พอ เขายกกรงที่ใส่ร่างข้าซึ่งโดนกรดนรกนั่นกัดจนเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ เหลือแต่กระดูก ขึ้นค้างไว้กลางอากาศเอาหอกทิ่มแทงไปทุกอณูร่างกาย พร้อมๆ กันจากทุกทิศทาง ไม่ว่าข้าจะเบี่ยงหลบไปทางไหน ก็ไม่อาจจะพ้นไปจากกรงขังอันแข็งแกร่งนั้นได้เลย”

    “ราวกับได้ยินเสียงหัวเราะร่าด้วยความสะใจของตัวเองที่เคยก่อกรรมไว้ลั่นก้องอยู่ในหัว เวลานี้ภาพทุกภาพที่เคยกระทำไว้ไหลย้อนมาตอกย้ำข้าจนไม่อาจลืมเลือนถึงความชั่วที่เคยได้กระทำ ข้าสำนึกผิดในทุกการกระทำที่เคยได้ทำไว้ และกำลังชดใช้อย่างสาสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

    ขณะที่เขาหยุดเว้นช่วงจังหวะการเล่าฉันสังเกตุเห็นหยดเลือดค่อยๆ ไหลหยดออกจากเบ้าตาคล้ายกับเขากำลังร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด 

    อากระชอมลวกจิ้มเอ็มเคซักหน่อยล่ะได้เลย นั่นลำไส้ไหลออกมาจากรูแผล แล้วนั่นเศษเนื้อเละๆ สีชมพู และดูเหมือนเนื้อหมูสับทรงเครื่อง

    “วันนี้เป็นวันพระ ข้าถึงได้สิทธิ์ขึ้นมาเล่าเรื่องบาปกรรมของข้าในครานี้ ยังมีมนุษย์อีกมากมายนักที่เห็นชีวิตสัตว์อื่นร่วมโลกเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของตนโดยไม่เคยสนใจว่าจะต้องชดใช้กรรมหนักหนาเท่าไหร่เมื่อตายไป หากข้าพ้นจากบาปกรรมตรงนี้ได้เมื่อไหร่ ไม่รู้จะต้องเกิดเป็นสัตว์ชดใช้อีกซักกี่ชาติถึงจะหมดกรรม ได้แต่หวังว่าบุญจากเรื่องเล่าของข้าจะช่วยหนุนเป็นกุศลให้ข้าได้บ้างในคราวหน้า”


                ฉันรีบกล่าวขอบคุณชายตรงหน้าเมื่อเห็นร่างของเขาค่อยๆ จางจนเกือบจะลางเลือนหายไป

    ขอบคุณ ที่อย่างน้อยจากมาม่าต้มยำ พี่ทำให้หนูหิวเอ็มเคสุกี้ชุดครอบครัวขึ้นมาแทน

     

    ## พักนี้อากาศมันร้อนจุง (ข้ออ้างให้อู้ไหมเนี่ย)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×