ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาล..ภพ

    ลำดับตอนที่ #30 : กุมารทอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 410
      2
      27 มี.ค. 58

    กาล..ภพ
          ตอน ๒๙ : กุมารทอง

     

    นั่งคิดอะไรอยู่แม่

    เสียงใสๆ เล็กๆ ของ เจ้าบุญเพิ่มเด็กชายตัวอ้วนพี สุดแสบทักฉันนุ่มๆ  หลังจากเห็นฉันนั่งเหม่อ บุญเพิ่มเป็นเด็กผิวขาวน้ำนม อายุประมาณ 4 ขวบ ฉันเอียงคอจ้องกุมารทองตรงหน้านิ่งๆ เมื่อก่อนฉันเคยจินตนาการพวกเขาไว้แบบไหนกันนะ

    บุญเพิ่มเป็นกุมารทองที่ฉันเลี้ยงเอาไว้หลายปีก่อน สมัยนั้นฉันยังไม่เคยเห็นพวกเขาหรอกนะ แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็น อยากพิสูจน์ในสิ่งลี้ลับจึงเริ่มหากุมารทองมาบูชา จากหนึ่งตน สองตน สามตน จนมีล้นบ้านเต็มไปหมด มีกี่ตนกี่องค์ ฉันก็เกินจะนับแล้วเหมือนกัน ช่างเป็นคนเลี้ยงที่ใช้ได้ไม่เลยจริงๆ ตอนนี้พอได้เห็นแล้วจะยกให้คนอื่นก็คงทำไม่ได้เสียแล้ว แต่ฉันเลี้ยงดูพวกเขาแบบไม่ผูกมัด คือได้ให้เพื่อนๆ ล้างอาคมให้หมดแล้ว ใครจะอยู่ ใครจะไปก็เชิญตามสบาย มีกุมารหลายตนเลือกที่จะไปฝึกงานเพื่อเพิ่มบารมีของตนเองเหมือนกัน อย่างเจ้าตัวที่ชื่อ ‘ทรงฤทธิ์ เดี๋ยวจะพูดถึงต่อจากนี้

    ฉันลุกขึ้นสะบัดความง่วงออกเอาปลายเท้าเขี่ยก้น ‘เจ้าบุญเพิ่มเบาๆ ตัวของมันกลมกลิ้งหลุนๆ ไปชนเจ้าฉัตรแก้ว กุมารพรายตัวน้องสุดท้องที่อยู่ไม่ไกล ‘เหมือนสารคดีสัตว์โลก’ แต่ละองค์กลิ้งไปกลิ้งมาเป็นแพนด้าเชียวนะ ฉัตรแก้วเป็นกุมารทองตนสุดท้ายของฉัน เช่ามาจากเวบไซร์เมื่อหลายปีก่อน ก่อนจะตัดสินใจเลิกเช่าบูชากุมารทองในที่สุด (ได้พบได้เห็นจนสะใจแล้ว)

    เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่ากุมารทองเป็นสิ่งที่น่ากลัว  ยิ่งหนังผีในละครรอบดึกที่มักจะสร้างให้กุมารทองมีอิทธิฤทธิ์เกินจริง ในละครชอบสร้างให้ผีกุมารลุกขึ้นมาฆ่าหักคอผู้เลี้ยงซึ่งมันออกจะเกินความจริงไปซักหน่อย เพราะที่เห็นตรงหน้าเป็นลูกหมูซนๆ ตัวเล็กๆ ที่แสนน่ารักเท่านั้นเอง

    บุญเพิ่ม อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย?”

    ฉันถามเด็กน้อยตรงหน้าทางความคิดเบาๆ ไม่ได้อ้าปากพูดอะไร มันชะงัก หยุดเล่นกับฉัตรแก้วหันมามองฉันนิ่ง ด้วยแววตาที่ ให้ตายเถอะ กวนสุดๆ เลยเชียวล่ะ

    “แม่นี่ ยังไม่ทันแก่ แต่ความจำเสื่อมแล้วงั้นเรอะ”

    แทนที่มันจะตอบ กลับย้อนถามด้วยคำถามที่ชวนสะอึก นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของฉันไปเล็กน้อย กุมารทองพวกนี้นอกจากความน่ารักแล้ว มักจะมีนิสัยปากสุนัขเป็นของแถม ไม่ใช่ว่าฉันจะจำไม่ได้เสียที่ไหน บุญเพิ่มเคยบอกฉันว่าอายุประมาณ สองพันปี แต่การที่มันเอาแต่เล่นเหมือนเด็กซนๆ แบบนี้ ทำให้ฉันคิดไม่ค่อยออกว่า คนอายุสองพันปีทำไมถึงไม่เบื่อการละเล่นแบบนี้อีก

    “ถามหน่อยสิ พวกที่พูดจาสุภาพ จะจ๋า คะขา มีบ้างไหม?”  ฉันตัดสินใจเปลี่ยนคำถามใหม่ ท้าวคางนอนจ้องหน้าบุญเพิ่ม วันนี้ตั้งใจว่าจะคุยกันดูซักหน่อย หลังจากไม่ได้คุยกันมาเนิ่นนาน

    “มีสิ หนูนี่ไง” เสียงใสๆ ของมณีจันทร์เด็กหญิงผมจุกผิวขาววัยประมาณห้าขวบเดินเข้ามานั่งพับเพียบข้างๆ

    ภาพของเด็กหญิงในชุดคอกระเช้าแบบเด็กไทยโบราณนั่งพับเพียบเรียบร้อย ‘มณีจันทร์’ ชื่อนี้ฉันตั้งตามตัวเอกในนิยายเรื่องทวิภพที่ฉันชื่นชอบ ในวันแรกที่ฉันนำมณีจันทร์เข้าบ้าน เด็กหญิงคนนี้มารายงานตัวทางความฝันด้วยการร้อยพวงมาลัยจากมะลิมาให้ฉัน นั่นเป็นเพียงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในการเข้าฝันของมณีจันทร์ การเข้าฝันของกุมารทองทำไม่ได้ง่ายๆ นักหรอกนะ มีกุมารเพียง 3-4 องค์เท่านั้นที่มาเข้าฝันฉันได้ จนป่านนี้ฉันยังฝันถึงกุมารที่เลี้ยงไว้ไม่ครบซักที อาจจะเพราะบารมีเขาที่มีไม่มากพอ หรือเพราะเราไม่ได้มีบุญสัมพันธ์กันเท่าที่ควร แต่เชื่อเถอะว่าเขายังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา แม้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

    ในความฝันนั้น มือน้อยๆ ของมณีจันทร์ บรรจงวางพวงมาลัยมะลิสีขาวบิดๆ เบี้ยวๆ ตรงหน้าฉัน จากความไม่สวยงามของพวงมาลัยทำให้เดาได้ว่าน่าจะทำขึ้นเอง ฉันนึกว่าเขาอยากได้อะไรเขาก็เสกขึ้นเอาตามใจชอบเสียอีก ฉันหยิบมันขึ้นมาดม กลิ่มของดอกไม้ทิพย์หอมอบอวล ความหอมรุนแรงของพวงมาลัยนั้นมากจนทำให้ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งอมยิ้มเมื่อนึกถึงฝันที่ค่อนข้างสมจริงและชัดเจนที่เพิ่งผ่านมา

    จนถึงตอนนี้แม้ผ่านมาหลายปีแล้วฉันยังคงจำได้เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ฉันไม่เคยเจอกุมารตัวไนแสดงความรักให้ฉันได้อย่างน่ารักน่าชังเท่ามณีจันทร์มาก่อน

    “คิดยังไง ถึงมาเป็นกุมารทองล่ะ?”

    ฉันถามบุญเพิ่มต่อ บุญเพิ่มเป็นกุมารที่พูดเก่ง น่ารัก ช่างฉอเลาะ ส่วนกุมารตนอื่นๆ ไม่ค่อยออกมาให้เห็นเท่าไหร่นัก อาจจะเพราะพลังและบารมีไม่มากเท่าไหร่ การแสดงตัวก็ยากเท่านั้น

    กุมาร สามารถแบ่งง่ายๆ ได้ 2 ประเภท คือพวกที่เป็นกุมารเทพ พวกนี้จะมีสรรพนาม เป็นองค์  และ อีกประเภทคือกุมารพราย หรือคนเรียกกันง่ายๆ ว่าผี นั่นแหละ เราเรียกสรรพนามพวกนี้ว่า ตนแต่ฉันเรียกพวกนี้รวมๆ ว่า ตัว’ ไม่ได้แยกว่าผีหรือเทพ เจ้าบุญเพิ่มเป็นกุมารเทพ หรือจัดเป็นเด็กเทวดา

    บุญเพิ่มหันมามองหน้าฉันทำสีหน้าประหนึ่งคล้ายกับจะบอกว่า ทำไม แม่ ถึงได้โง่ขนาดนี้'

    “คิดว่าอยากจะมาเป็นกุมารทองนักหรือไง?” มันไม่เคยตอบให้ตรงกับถามเลย เชื่อฉันเถอะ!!! ถึงปากมันจะเรียกฉันว่าแม่ แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะคิดว่าฉันเป็นทาสของมันซะมากกว่า

    “แล้วทำไม ถึงไม่มาแบบผู้ใหญ่ล่ะ” ฉันยังคงถามต่ออย่างไม่สนใจคำตอบกวนๆ ก่อนหน้าของมันนัก

    “แล้วคิดว่า ถ้ามาเป็นแบบโตแล้ว ใครมันหน้าไหนจะเอาหนู?” คำตอบของบุญเพิ่มนี่ มันชวนเท้ากระตุกดีจริงๆ

    ‘อืมม ฉันคิดภาพตาม ถ้าเจ้าบุญเพิ่มเป็นผู้ใหญ่ ฉันก็คงไม่เอามาเลี้ยงอย่างที่มันว่าไว้จริงๆ นั่นแหละ เพราะคงดูไม่น่ารักน่าชังเท่าไหร่

    “กุมารเทพ กับ ผี ต่างกันยังไงล่ะ” ฉันยังไม่คิดจะหยุดถาม

    “พวกหนู ไม่ขึ้นกับมนต์ใดๆ ไม่มีมนต์ไหนจะผูกติดพวกหนูกับหุ่นปัญญาอ่อนพวกนั้นไว้ได้ (ดูปากพี่บุญเพิ่มนะท่าน) ขึ้นกับความพอใจของพวกเราเท่านั้น ถ้าใครเลี้ยงเราไม่ดี เราก็แค่ทิ้งร่างพวกนั้นไปเสีย ส่วนพวกผีพวกนั้น มันเลือกไม่ได้หรอก ก็เหมือนกันหมูหมา กาไก่ที่เขาเอาไปวางขายในตลาดนั่นแหละ พวกเขามีกรรมที่ต้องชดใช้ หนูเองก็เช่นกัน หนูก็ชดใช้กรรมอยู่ ถึงได้มีรูปร่างอ้วน เตี้ย ป้อม สั้น แบบนี้ยังไงล่ะ”

                ฉันเอื้อมมือไป ลูบหัวกลมๆ ของบุญเพิ่มเบาๆ อ้วน เตี้ย ป้อม สั้น แบบที่มันว่าจริงๆ นั่นแหละ


    “แล้วกุมารเทพ มีความเป็นมายังไงล่ะ?” ฉันยังคงถามต่อ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอรู้อีกซักหน่อยเถอะ

    “บางองค์ใกล้จะหมดบุญ ถ้าไม่อยากไปเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ ก็เลือกลงมาเป็นกุมารทองให้มนุษย์เลี้ยงดู ร่วมกันสร้างบุญไปกับมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของ บางคนต้องมาเป็นกุมารเพราะทำผิดกฏสวรรค์ 'พูดไปโง่ๆ แบบแม่ก็คงไม่เข้าใจหรอก' (ยังไม่วายปากสุนัขอีก อยากจะเอาไฟเผาพวกมันนัก แต่เผาไม่ได้เพราะมันเป็นเทพ) พวกที่โดนลงโทษให้ต้องมาเป็นกุมารทองจะถูกกำหนดว่าต้องอยู่ในสภาพของเด็กไปกี่ปี ก็เหมือนกับพวกเหล็กไหลหรือเครื่องรางของขลังที่ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูแลนั่นแหละ กุมารแบบพวกเราก็ต้องลงมาดูแลหุ่นที่ถูกพวกมนุษย์หรือพระสงฆ์ผู้มีฤทธิ์ท่านอัญเชิญปลุกเสกมา แต่รับรองเลยว่า แทบจะไม่มีใครอยากจะเป็นกุมารทองแบบนี้หรอก พวกเราอยากเป็นเทพผู้ใหญ่รูปร่างสวยงามกันทั้งนั้น”

     “แต่ก็ยังมีกุมารเทพที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหลายองค์ ที่เป็น ไอดอลของพวกเรานะแม่ อย่างเทพนาจาไง” บุญเพิ่มพูดแววตาเป็นประกายด้วยสีหน้าชื่นชม

    “อยากจะเป็นแบบท่านหน่าจา ว่างั้นเถอะ?” ฉันถามแบบหมั่นไส้ หวังซะสูงเชียวนะเจ้านี่

    เทพนาจา คือเด็กผมแกละที่มักจะพบถูกปั้นอยู่กับท่านพระโพธิสัตว์กวมอิม ท่านเป็นกุมารเทพที่มีฤทธิ์เดชค่อนข้างมากในด้านปราบมาร มีศาลเจ้าใหญ่ของเทพนาจาที่เป็นที่รู้จักตรงจังหวัดชลบุรี ที่จริงท่านมีรูปร่างในแบบผู้ใหญ่ด้วยเพียงแต่ไม่ค่อยมีคนบูชาในลักษณะนั้น  ท่านก็จัดว่าเป็นกุมารเทพโดยกำเนิด คือ ถือกำเนิดมาด้วยรูปร่างแบบเด็ก อายุของท่านไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่แต่ที่แน่ๆ ฉันว่าน่าจะเกินหลักล้านปีแน่ๆ

    “แล้วพวกกุมารผีล่ะ?” ฉันหันไปทาง ฉัตรแก้วกับ ทรงฤทธิ์

    ‘ทรงฤทธิ์ ดูหน้าตาอิดโรยเดินเข้ามาหา รูปร่างผอมสูงของเด็กอายุประมาณ 7 ขวบผิวคล้ำดำแดง

    “ไง สนุกไหม?” ฉันทักทายลูกชายสุดห้าว ทรงฤทธิ์เป็นกุมารผีที่โดนเกจิฆราวาสปลุกเสกเพิ่มฤทธิ์เดชให้มีอำนาจในการปราบผี และมีบริวารเป็นเจตภูตถึง 9 ตน 'กุมารผี' ตนแรกที่ฉันตัดสินใจเลี้ยงดู

          เพราะตอนนั้นอยากเห็นผีมากยิ่งเฮี้ยนยิ่งดี เลยเอาเจ้าตัวนี้มาอยู่ด้วย จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เคยเห็นเขา แต่กลายเป็นคนที่บ้านเห็นเขากันถ้วนหน้า ฆราวาสรวมไปถึงสงฆ์ที่มีอำนาจจิตสูงๆ สามารถแบ่งอำนาจปลุกเสกจิตเพิ่มฤทธิ์ให้กับกุมารเหล่านั้นได้ ทำให้พวกกุมารมีฤทธิ์มากกว่าผีธรรมดา แต่ก็มีเหมือนกันพวกที่ไม่มีอำนาจเท่าไหร่แต่อยากทำกุมารทอง ก็ปลุกเสกออกมาได้แค่เอาลูกผีธรรมดาๆ มาเลี้ยงเท่านั้นแหละ ไปหาเก็บเอาตามวัดหรือสุสานก็ได้ เพียงแต่ถ้าเราไปเก็บเองโดยไม่มีมนต์กำกับก็อาจจะเป็นอันตรายกับผู้เลี้ยงซักหน่อย ถ้าย้อนเวลาได้ ฉันจะไม่เลี้ยงพวกเขาเลยเพราะพวกเขาล้วนโดนบังคับมาโดยไม่เต็มใจและน่าสงสาร ตอนนี้เลี้ยงไปแล้วทำยังไงได้ ก็ต้องดูแลกันต่อไป


    ด้วยความที่ ทรงฤทธิ์มีฤทธิ์ค่อนข้างมากกว่าผีทั่วๆ ไป ทำให้เขาออกจะหยิ่งและมั่นใจตัวเองผิดๆ คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันใช้เขาไปถอนคุณไสย์ออกจากคนรู้จัก ด้วยความที่เขาเป็นผีเขาถึงพ่ายแพ้และไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องเดือดร้อนพวกกุมารเทพอ้วนตุ้ยนุ้ยที่ดูไม่มีฤทธิ์มีเดชเป็นคนจัดการแทน เขาถึงตระหนักได้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า หรือกว่ากุมารผีแบบเขาก็คือกุมารเทพ ตอนนั้นฉันถึงได้รู้ว่า ไม่มีมนต์ตราใดๆ จากมนุษย์ จะทำอันตรายกุมารเทพได้

    แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสั่งกุมารเทพได้นะ กุมารเทพหยิ่งในตัวเองค่อนข้างมาก เขาไม่ค่อยรับใช้มนุษย์นักหรอก เขาเป็นเทวดานะ สามารถเลือกผู้เลี้ยงได้โดยชอบธรรมถึงแม้เขาจะอยู่ในสภาวะชดใช้กรรมแต่ก็ถือว่าเป็นภพภูมิที่สูงกว่ามนุษย์อยู่ดี โดยมากเขาจะทำบุญหรือปฏิบัติภาวนาเงียบๆ เสียมากกว่า 

     

    คนที่เลี้ยงกุมารเทพจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นิ่งเงียบเป็นศิลา ถ้าจะเลี้ยงเอาไว้ช่วยเรื่องค้าขาย หรืออยากเห็นมันออกมาวิ่งเล่น เลี้ยงไว้ดลจิตดลใจแล้วล่ะก็ บอกเลยว่า ไปเลี้ยงกุมารผีจะให้ผลได้มากกว่า เพราะผีจัดว่ามีจิตหยาบและใกล้เคียงกับมนุษย์ คิดซะว่าสงเคราะห์เด็กผีตาดำๆ เลี้ยงเขาแล้วก็หมั่นทำบุญให้เขาปรับภพภูมิได้ไวๆ แต่ถ้าเลี้ยงไว้หวังผลแคล้วคลาดคุ้มครองดูแล กุมารเทพจะดูแลได้ดีกว่า แต่เขาจะคุ้มครองดูแลผู้เลี้ยงหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องนะ เพราะไม่มีใครบังคับเขาได้

    สาเหตุของความอิดโรยของ ทรงฤทธิ์ เกิดจากการปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อปรับภพภูมิหรือเพิ่มบารมีของพวกผี หรือเทวดามีได้หลายทาง ทางแรกคือการภาวนา อีกทางคือรับใช้องค์เทพ หรือที่เรียกว่าขึ้นสังกัดนั่นแหละ ว่าจะไปเป็นเด็กของใคร

    ทรงฤทธิ์หลังจากที่ฉันปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ พี่คนรู้จักของฉันซึ่งเป็นร่างทรงและมีจิตผ่านของท่านปู่พญายมราช ได้ชักชวนให้ ทรงฤทธิ์ไปทำงานกับปู่ยม ไปช่วยยมทูตเก็บวิญญาณ เหมือนการสังกัดกรมกระทรวงในโลกมนุษย์นั่นแหละ เพียงแค่ ทรงฤทธิ์ตกลงรับปากว่าจะไปทำงานกับปู่ยมเท่านั้น โจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มเก่าๆ ของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงและมีเข็มขัดสีแดงหัวเข็มขัดกลมๆ คาดไว้ คงเปนสัญลักษณ์อะไรซักอย่าง ฉันก็เห็นไม่ชัดเท่าไหร่ จากเด็กผีธรรมดากลายเป็นเด็กของปู่ยมดูดีขึ้นมาทีเดียว หลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นเขาอีกเลยจนวันนี้ ท่าทางจะสนุกกับอิทธิฤทธิ์ใหม่ที่เขาได้รับ

    พวกร่างทรงนี่ ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนะ แต่เท่าที่ลองเปิดใจมองๆ ดู มันก็พบว่ามีทั้งของจริง มีทั้งผีมาสิง หลายครั้งฉันไม่เข้าใจว่า เทพจะมายุ่งทำไมกับร่างกายเหม็นๆ ของมนุษย์แบบพวกเรา เทพก็อยู่ส่วนเทพไปสิ ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่พอสมควรว่า เรื่องบางอย่างมันก็เกินอำนาจของเทวา และบางเรื่องต้องให้พวกมนุษย์เป็นคนทำ

            เรื่องนี้จึงถือเป็นจุดกำเนิดของคนบางคนที่ลงมาเกิดด้วยหน้าที่บางอย่าง บางทีมันก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนจนฉันเลิกสนใจในที่สุด แต่วิธีจำแนกพวกร่างทรงหลักๆ ที่เห็นได้ชัดเลยนะ เทพแท้ๆ เขาจะไม่เรี่ยไร ไม่เก็บเงิน และจะแนะนำให้มนุษย์ผู้นั้นไปทำบุญทำทานด้วยตัวเอง ไม่มีมานั่งทำพิธีหรือเก็บเงินสำหรับค่าของสะเดาะห์เคราะห์เด็ดขาด หากมีการเก็บเงินเท่ากับเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเดือดร้อน แบบนี้ให้จัดไปเป็นพวกของปลอมไม่ต้องสงสัย

          เรื่องการลงมาเกิดด้วยหน้าที่นั้นน่าอัศจรรย์ บางคนรู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร บางคนเกิดจนตายก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ฉันเคยมีรู้จักอยู่ท่านหนึ่ง เป็นพวกมีจิตสัมผัสคล้ายๆ ริวจิตสัมผัสนี่แหละ เขาชอบทำบุญสร้างวัด บูรณะศาสนสถาน วันหนึ่งเขาบอกว่า 'จะอยู่อีก 2 ปีเท่านั้น แล้วเขาจะไปที่ชอบ ที่ชอบ'

               ฉันหัวเราะแซวเขาว่า พี่พูดยังกับว่าพี่จะไปตาย ในใจตอนนั้นคิดว่าเขาสร้างวัดหลังนี้เสร็จคงจะปลีกวิเวกไปบวชสินะ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน อีก 2 ปีตามกำหนดก็ได้ข่าวว่าเขาเป็นมะเร็งตาย จนตอนนี้ฉันยังเก็บเขาไว้เป็นเพื่อนในเฟสบุค ยังคงเก็บบทความของเขาที่เขียนเอาไว้อ่าน คนบางคนเขาถูกกำหนดมาเพื่อทำงานบางอย่าง เมื่อทำจบแล้วเขาก็กลับไปยังที่ๆ เขาจากมา...

              ชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม? ยังเป็นเรื่องที่ฉันสงสัยมาตลอด


    “กุมารผีพวกนี้มักจะมาจากวิญญาณเด็กที่ตายก่อนกำหนด หรือสมัยนี้โดยมากก็เป็นวิญญาณของเด็กที่โดนทำแท้งนั่นแหละ บางทีก็เป็นผีที่ตายตอนโตแต่เพราะกรรมที่เคยทำไว้สมัยมนุษย์ อาจจะเป็นพวกเล่นของมาก่อนหรือไปเคยกดขี่บีบบังคับใครไว้ ทำให้ต้องถูกมนุษย์ใช้มนตราเรียกมาบังคับใช้งานในรูปแบบกุมารทองน่ะแม่

    เจ้าทรงฤทธิ์พูดเจื้อยๆ ด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ทิ้งตัวลงนั่ง เหยียดขายาวลงข้างๆ ฉัน ฉันมองเขามีสายสังวาลสีทองคล้องทแยงไหล่ทั้งสองด้านไม่สวมเสื้อ สวมโจงกระเบนสีแดงประกายทองดูดีขึ้นมาก เมื่อก่อนเขามีแค่โจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มเก่าๆ ไม่สวมเสื้อ ผิวเนื้อดำแดง แต่ตอนนี้ถึงผิวจะดำแดงแต่ก็ดูดีมีออร่าสีแดงๆ กระจาย เด็กปู่ยมสินะ

    “ดูดีขึ้นมากนะ” ฉันเอ่ยชมทรงฤทธิ์ตรงๆ ยิ้มลูบหัวเขาเบาๆ

    ฉันไม่รู้ว่ากุมารทองของคนอื่น มีความเป็นอยู่แบบไหน แต่กุมารทองของฉันทั้งหมด สามหรือสี่สิบตัว ฉันไม่ได้บูชาด้วย ธูปเทียน หรือดอกไม้ มีแต่น้ำเปล่าเท่านั้นที่ฉันให้ได้ ขนมบ้างเดือนละหน หรือบางที สองเดือนหน แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้อดอยากเท่าไหร่ อยากกินอะไรไปขอเพื่อนกินได้ หรือให้กุมารเทพที่มีฤทธิ์มากเสกให้กินได้ ฤทธิ์ของพวกเขาเกิดจากบุญภาวนากรรมฐานที่ฉันอุทิศให้อยู่ทุกวัน พวกเขาบอกว่าบุญจากสมาธิภาวนาอิ่มเอิบกว่าอาหารใดๆ และอิ่มได้นานกว่ามากเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งต่อให้เจ้าของทำบุญให้พวกเขาซักเพียงใด ก็ไม่สู้พวกเขาทำด้วยตัวเอง ไม่มาทางเทียบได้เลย

             ‘เพียงแต่บางครั้ง พิซซ่าซักถาดก็ดีนะ’


            เสียงเล็กๆ เบาๆ ลอยแว่วเข้ามาตอนที่ฉันกำลังนั่งเขียนบทความบทนี้ เจ้าตัวแสบพวกนี้เรียกร้องค่าตัวทันทีเชียว

     

    พวกเขาเคยบอกฉันว่า ขนมของกิน หรือบุญบริจาคที่ผู้เลี้ยงทั่วๆ ไป ซื้อมาปรนเปรอกุมารทองนั้น เทียบไม่ได้กับอ้อมกอดเพียงหนึ่งครั้ง เพราะเด็กเหล่านั้นล้วนถูกผู้เป็นแม่ทอดทิ้ง จะมีผู้เลี้ยงซักกี่คนกันที่ฝึกฝนตนจนสามารถพูดคุยและโอบกอดพวกเขาได้ "1 ในหมื่นเลยนะแม่" นี่เป็นเหตุผลที่ยังไม่ค่อยยอมไปจากฉันถึงแม้จะปล่อยพวกเขาไปแล้วก็ตาม 

          พวกเด็กๆให้เหตุผลว่า นอกจากฉันจะพูดกับเขาได้ ฉันยังมีสามารถติดต่อกับผู้ใหญ่บางท่านได้ อย่างของทรงฤทธิ์ที่ฉันแอบฝากให้เขาเป็นเด็กเส้นได้อัพเกรดจากเด็กผีธรรมดา ไปเป็นเด็กเก็บวิญญาณ พวกเขาบอกว่า การที่ได้มารู้จักกับฉันมันน่าเหลือเชื่อมาก มากเกินกว่าที่ผีธรรมดาอย่างพวกเขาจะทำได้ แค่หาคนที่คุยกับพวกเขาได้มันก็หายากจะตายอยู่แล้ว ฉันเคยถามปู่ยมเหมือนกันว่า ทำไมคนที่ฝึกจิตจึงได้สิทธิ์ในการไปเที่ยวนรกสวรรค์ ท่านให้เหตุผลว่า เพราะเป็นมนุษย์ไงล่ะ ยังมีสิทธิ์เลือกว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ แต่เมื่อไหร่เมื่อหลุดพ้นออกจากการเป็นคน ถึงตอนนั้นต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฏแห่งกรรม เป็นผีก็ไม่มีสิทธิ์ไปสวรรค์ เป็นเทวดาก็ไม่สามารถไปนรก เขาจะไม่ด้าวข้ามเขตแดนของกันและกัน เมื่อเรายังมีสิทธิ์ในการเลือกตอนนี้ เราก็ไม่ควรจะปล่อยให้มันเสียไปโดยเปล่า
       
          ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงมีสิทธิ์พิเศษกว่าคนอื่น จริงๆ แล้วก็อาจจะไม่มากกว่าคนอื่นหรอก เพียงแค่พวกเขาไม่เห็นไม่รู้ว่ารอบๆ ตัวเขานั้นมีใครอยู่บ้าง เพื่อนฝูงที่มีก็ดูเหมือนฉันกันทุกคน เขาก็ดูว่าจะเห็นของพวกนี้กันเป็นปกตินี่นา บางคนเป็นหมอดู (แน่นอน อาจจะขึ้นสังกัดกับเทพบางท่าน ด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ฉันไม่อยากจะพยายามเข้าใจมันแล้วล่ะ) บางคนบอกว่าทุกๆ ค่ำคืนจะมีคนมาพาเขาออกจากร่างไปช่วยเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณที่ตกค้างในโลกมนุษย์ คนๆ นี้ใช้ชีวิตแบบกึ่งผี กึ่งวิญญาณ ตอนตื่นเป็นคน ตอนนอนล่องลอยออกไปเป็นดวงจิตแล้วกลับมาในตอนเช้า 

            ตอนแรกที่ฟังฉันออกจะค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่ถ้าไม่เพราะเป็นคนรู้จักกัน แล้วเขาจะโกหกฉันให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องของเทพกับคน มันวุ่นวายมาก จนฉันเริ่มสับสน มาตาสว่างหายสับสนตอนที่เปิดใจคุยกับพระอาจารย์นั่นแหละ ท่านบอกเพียงแค่ การฝึกสมาธิเราฝึกเพื่ออะไร? อยากจะได้ฤทธิ์ หรือว่า อยากได้ทางหลุดพ้น? ถ้าอยากได้ฤทธิ์ออกไปวิ่งไล่ปราบผี ชาตินี้ก็คงจะเสียชาติเกิดไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้ความน่าสนใจในเรื่องของเทพเทวดาลดลงไปได้มากเลยทีเดียว



    ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างขี้เกียจ มองเผินๆ เหมือนนอนเอกเขนกสบายเพียงลำพังบนเตียงใหญ่ แต่ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่ามีเด็กๆ อ้วนพี ทั้งผีทั้งเทพนอนกลิ้งอยู่ข้างๆ หลายสิบรวมไปถึงซานย่ะฮ์ฺแม่นมผู้ไม่เคยห่างจากฉันแม้แต่นาทีเดียว แม้ว่าฉันจะไม่พูดอะไรกับเขา เขายังคงคอยตามติดยิ่งกว่าเงา เงายังมีวันหายหากไร้แสง แต่ซานย่ะฮ์ฺไม่เคยมีซักครั้งจะหายไป

           ‘กรรมของพวกเอ็งแท้ๆฉันถอนหายใจเบาๆ กรรมของฉันด้วยเช่นกัน’ ถ้าพวกเราไม่มีกรรมมาผูกกัน คงไม่ได้เดินทางมาเจอกันแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ตรงนี้ ฉันตัดสินใจหยุดสร้างกรรมต่อโดยการเลิกเช่าบูชากุมารทอง มันอาจจะช้าไปซักหน่อยเพราะตอนนี้มีเกือบครึ่งร้อยเข้าไปแล้ว ส่วนพวกที่มีอยู่ตรงนี้ก็ดูแลผลักดันจนกว่าจะปรับภพปรับภูมิกันไปก็แล้วกัน


    หึฉันหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ขณะนอนมองเพดานห้องสีขาวหม่น
     

    ฉันกำลังหัวเราะขำในความช่างสงสัยของตัวเอง จะมีใครที่มันช่างสงสัยได้แบบฉันไหมนะ? ฉันเคยสงสัยขนาดที่ว่า พวกเทพเทวดาทั้งหลายเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า ทำไมเวลาที่ไหว้ครู ถึงได้มีการรวม พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัส ซึ่งเป็นชื่อดาวต่างๆ เป็นทวยเทพเข้าไปด้วย แปลว่าพวกเทพเหล่านี้อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาว? เป็นความสงสัยที่ไม่คิดว่าจะได้คำตอบ แต่เมื่อวันหนึ่งได้รู้คำตอบ ก็ทำให้ฉันอึ้งปนตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย มันเป็นเรื่องของมิติทับซ้อนที่ฉันคิดว่าจะพยายามเรียบเรียงมาเล่าในคราวหลังถึงแหล่งที่อยู่ของพวกท่านเหล่านั้น

    ฉันนอนกลิ้งตัวพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงนุ่ม วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ของีบต่ออีกซักครู่แล้วค่อยลุกไปหายัยเบญจาก็แล้วกัน


     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×