คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : เหล็กไหล แร่กายสิทธิ์
กาล..ภพ
ตอนที่ ๒๖: เหล็กไหล แร่ กายสิทธิ์
เคยถูกผีหลอกกันหรือไม่? เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ฉันกลัวผีมาก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นเลยซักครั้ง พอโตขึ้นมาจึงพยายามจะพิสูจน์ว่าพวกมันมีจริงไหม เริ่มด้วยการเลี้ยงกุมารทองรักยม แม้แต่เล่นผีถ้วยแก้ว แต่ฉันก็ไม่สัมผัส ไม่รับรู้อะไรเลยซักอย่าง เล่นผีถ้วยแก้วที่ไหน วงนั้นเป็นนิ่งไม่เห็นผีมันจะจิ้มถ้วยวิ่งเลย จนฉันถอยออกมานั่นแหละผีมันถึงจะมา นี่มันผีจริงหรือผีปลอมกันแน่ เรียกว่าสัมผัสในเรื่องลี้ลับบอดสนิท คิดดูแล้วมันช่างไร้เหตุผล เจอก็ไม่เคยเจอซักครั้งเรายังจะไปกลัวมันทำไมกัน แต่ก็ไม่วายกลัวอยู่ดี ฉันเคยตั้งจิตอธิษฐานว่า หากฉันถูกผีหลอกฉันจะเลิกไหว้พระ เลิกสวดมนต์ เพราะฉันถือว่าขนาดไหว้พระสวดมนต์แล้วก็ยังไม่เห็นคุ้มครองฉันได้ แล้วจะสวดไปทำไม (ฉันมันประเภทฮาร์ดคอร์ซะด้วยสิ) แบบนี้ก็ไม่ดีเขาเรียกว่าทำดีหวังผล
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าครอสวิปัสนาที่สำนักสวนป่าไผ่ ฉันเข้าสมาธิสบายๆ กึ่งง่วงเล็กน้อยเพราะยังเป็นเวลาค่อนข้างเช้าอยู่ ปกติฉันเป็นคนนอนตื่นสายจะตาย พอมาอยู่ที่นี่ต้องปรับเวลาเป็นตีสามตื่นมาอาบน้ำเพื่อเตรียมเข้ากรรมฐานรอบเช้า ก็คงจะมีง่วงๆ เบลอๆ กันบ้าง
พวกเรานั่งสมาธิกรรมฐานรวมกันบนศาลาใหญ่มีพระอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและคอยกำหนดจับเวลาให้ ช่วงเช้าแบบนี้มักจะเป็นเวลาสั้นๆ เพียง 20 – 30 นาทีแล้วเปลี่ยนอิริยาบทเป็นเดิน นั่งสลับกันไป
ฉันนั่งนิ่งมองลมหายใจเข้าออกรอพระอาจารย์ส่งสัญญาณหมดเวลาทำสมาธิ จู่ๆ ก็มีบางอย่างวิ่งมาจากปลายเท้าขึ้นมากดคล่อมร่างฉันไว้ ฉันลืมตาขึ้นมาเห็นเพียงแขนของใครบางคนที่กดข้อมือทั้งสองช้างของฉันไว้กับพื้นศาลาแต่ช่วงลำตัวและหน้าของมันอยู่ต่ำกว่าช่วงเอวจึงไม่เห็นว่ามันคืออะไร ฉันตอนนี้อยู่ในท่านอนหงาย พยายามจะยกร่างของสิ่งตรงหน้าขึ้นดูให้รู้แน่ว่ามันเป็นใคร ยื้อยุดกันอยู่นานจนกระชากมันขึ้นมาอยู่ตรงหน้าได้สำเร็จ ลักษณะมันคล้ายแมลงมุมแต่มีใบหน้าเป็นคน เพียงแต่ใบหน้าของมันนั้นมีถึงแค่บริเวณจมูกเท่านั้นคือมีแค่ปากและจมูก นอกเหนือจากนั้นมองคล้ายถูกตัดตั้งแต่ช่วงจมูกขึ้นไป
“จับได้แล้ว”
มันพูดเสียงแหบฟังแล้วชวนสะท้าน ใจฉันสั่นกลัวแต่ว่าไม่รู้ทำไม กลับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดกระชากมันขึ้นมาเหวี่ยงมันทิ้งไป ร่างมันละลิ่วไปอัดกำแพงศาลา แทนที่ฉันจะวิ่งหนีกลัว กลับวิ่งตามมันไป หมายจะกระทืบมันให้ตายคาเท้า ทั้งๆ ที่ใจฉันยังเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น คือกลัวก็กลัวแต่คิดว่าปล่อยมันเอาไว้ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะกลับมาอีก
“หายใจเข้าช้าๆ สมควรแก่เวลาให้กำหนดทำจิตให้เป็นสมาธิแผ่เมตตา”
เสียงพระอาจารย์ดังขึ้นดึงสติฉันกลับมา ฉันยังอยู่ในท่าทำสมาธิเหมือนตอนแรก แล้วเมื่อกี้มันคืออะไร? แค่ 15 นาที ฉันหลับ หรือว่าผีหลอก? บวชมาก็ไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่เคยเจอผีหลอกเลยซักครั้ง นี่มันเล่นหลอกกันซึ่งๆ หน้า กลางศาลาเลยงั้นรึ
ฉันกำหนดจิตคิดถึงนาคบาสที่ปู่พญานาคเคยให้เอาไว้ป้องกันภูตผีให้มันขยายร่างกลายเป็นงูใหญ่ล้อมรอบตัวฉันเอาไว้ แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็รู้ว่าคงได้ทำพลาดไปแล้ว
เมื่อถึงเวลาสอบอารมณ์ครั้งสุดท้ายก่อนจะลาศีลกลับบ้าน พระอาจารย์ให้เข้าไปสอบอารมณ์ทีละคนตามลำดับจนถึงคิวของฉัน ท่านพูดขึ้นมาคำหนึ่ง
“อย่าได้สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์เพราะมันไม่มีประโยชน์”
ฉันสะดุ้งคิดตามคำพระอาจารย์ ‘เราไปสนใจอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์อะไรตรงไหนฟร่ะ’ คุยก็ไม่คุย มองก็พยายามไม่มอง (เท่าที่ทำได้) แล้วนะ จนเดินคล้อยหลังออกมาจากพระอาจารย์นั่นแหละ ถึงคิดได้ว่าเมื่อซักครู่ฉันเพิ่งจะวิ่งไล่ตบตีผีแล้วก็เรียกงูยักษ์ตัวเท่าศาลาออกมาไล่กระซวกพวกมันอยู่หมาดๆ แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรอกนะ อาจจะกำลังหลับฝันก็ได้
‘แค่แผ่เมตตาแล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน’
คำพูดของพระอาจารย์ที่เคยบอกไว้ลอยเข้าหัวขึ้นมา พลาดไปแล้วจริงๆ ด้วยสิเรา
บอกตรงๆ ว่า เมื่อก่อนฉันชอบดูรายการริวจิตสัมผัส ชอบเรื่องลี้ลับ ชอบคุยกับคนที่เขาบอกว่าเห็นผี และพวกเขาก็ไม่เคยบอกห้ามไม่ให้ฉันคุยกับพวกผี เลยซักครั้ง แต่พอมาถึงมือพระอาจารย์ พวกท่านหลายรูปล้วนแต่บอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจ อย่าพูด อย่าคุย ในขณะที่ตัวท่านเองกลับมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับผีๆ ให้ฉันได้สงสัยใคร่อยากจะพิสูจน์สารพัด
จริงๆ แล้วหากท่านอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ควรสนใจ น่าจะดีกว่าเพียงแค่บอกว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นไหนๆ แต่ฉันก็ไม่กล้าถามอะไรพวกท่านนักหรอก ได้แต่ปฏิบัติไปตามที่ท่านสอน คือพูดคุยมองพวกนั้นให้น้อยที่สุด ซึ่งมันก็คงทำไม่ได้หรอก จริงๆ นะ ไม่มองแต่ดันเห็นเองก็มี ที่ทำได้ก็แค่พยายามมีสติรู้ให้เท่าทัน เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่ต้องไปสนใจ (แม้บางทีมันจะตามมาให้สนใจ) ต้องอาศัยลูกเฉยเท่านั้น 'เห็นหนอ เห็นหนอ' ท่องไว้แล้วอย่าไปสนใจมัน เดี๋ยวมันเบื่อมันก็ไป
หลังจากลาศีลเสร็จ ผู้ปฏิบัติทุกคน กราบลาพระอาจารย์แล้วกลับที่พักเพื่อจัดเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
ฉันหยิบเอาเหล็กไหลขึ้นมาเหน็บคอเสื้อไว้เป็นเครื่องราง เหล็กไหลน้ำหนึ่งที่เรียกออกมาจากผนังถ้ำย้อยลงมากินน้ำผึ้งแบบนั้น ฉันไม่มีหรอกนะ แต่ที่ฉันมีเป็นเหล็กไหลน้ำสองคืออยู่ในสภาพแข็งตัวแล้ว เหล็กไหลพระเภทนี้มีหลายแบบตามแต่สถานที่กำเนิด เช่น เหล็กไหลตาน้ำ เหล็กไหลบารมี เหล็กไหลเจ้าป่า โคตรเหล็กไหล (หรือที่เขาเรียกกันว่าเหล็กไหลเขาอึมครึม)
ตามปกติแล้วเหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีบุคคลจากโลกทิพย์จากเบื้องบนมาปกปักรักษาเพราะถือว่าเป็นแร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์จึงให้ฤทธิ์ในด้านป้องกันคุณไสย์ ภูตผีวิญญาณชั้นล่างอย่างได้ผลนัก ว่ากันว่าหากบูชาดีๆ ท่านจะงอกใหญ่ขึ้นกว่าเดิมได้ ฉันมันพวกชอบพิสูจน์เสียด้วยสิ ฉันจับท่านวัดขนาดชั่งน้ำหนักทุกๆ 3 เดือนเลยล่ะว่าโตขึ้นหรือไม่
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ตั้งแต่พกเอาไว้ อาการปวดหัวทุกวันโกนวันพระทุเลาลงไปมาก ฉันจึงมักพกติดตัวไว้เสมอๆ เวลาไปต่างจังหวัดหรือสถานที่แปลกๆ ใครบอกว่าพกพระแล้วปลอดภัย ขอบอกเลยว่าผีไม่กลัวพระแต่แค่เกรงใจพุทธคุณที่อยู่ในองค์พระเท่านั้นแหละ พระท่านมีเมตตาจะมามัวไล่ตีผีให้เราก็คงไม่ใช่ ให้ลองนึกภาพสิครูที่ใจดีมีเมตตาไม่เคยตีเด็กเลยซักครั้ง กับครูที่ดุด่าเวลาทำผิดก็ตีไม่ยั้งแบบไหนที่นักเรียนจะเกรงกลัวมากกว่ากัน? จริงอยู่ครูที่มีเมตตานักเรียนอาจจะเกรงใจ ครูดุทีก็เงียบที แต่ยังไงก็ไม่เด็ดขาดเท่าครูที่ดุ ผีมันก็เหมือนกันแหละ มาเมตตามันมากๆ บางทีมันก็ไม่ได้อยากให้เราเมตตามันหรอก มันต้องเด็ดขาดกันไปข้าง
ฉันเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินมาบ้าง ที่เขาว่าเวลาโดนผีอำ สวดมนต์ยกมาทั้งตู้พระไตรปิฏกผีมันไม่ยักกะกลัวซ้ำยังนั่งหัวเราะเยาะเสียอีก ฉันจึงต้องพกเครื่องรางที่มันได้ผลในเรื่องปราบผีชงัดเอาไว้บ้างเพื่อลดภาระทางจิตของตัวเองลง
ฉันห้อยพระองค์เล็กๆ คล้องคอไว้ 1 องค์ เพื่อเอาไว้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ห้อยเทพหรือสิ่งอื่นใด แล้วก็มีบางครั้งนานๆ นั่นแหละจึงพกเหล็กไหลไว้หากต้องไปในที่ๆ ไม่คุ้นเคย
เหล็กไหลนอกจากคุ้มครองผู้ที่บูชาแล้วยังเตือนภัย หลายๆ ครั้งที่เขาเข้ามาเตือนทางความฝันในรูปแบบต่างๆ กัน
มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันฝันว่ามีงูตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาฉกฉันในความฝันแล้วมีชายหน้าตาถมึงทึงผิวกายดำแดงพุ่งตรงเข้ามากระชากงูตัวนั้นทิ้งไป กำหนดจิตตามดูถึงได้รู้ว่าเป็นจิตของผู้ที่อยู่ในเหล็กไหล มาเตือนทางฝันโดยให้งูเป็นตัวแทนของพวกอวิชชาหรือคุณไสย์
เมื่อครั้งที่ฉันได้เหล็กไหลก้อนนี้มาใหม่ๆ ตอนนั้นฉันไม่เคยสนใจว่ามีจิตใดอยู่บ้างหรือไม่ แล้วบังเอิญเจอสัมภเวสีดักเล่นงาน ยอมรับว่าเมื่อก่อนฉันเป็นคนอารมณ์ร้อน (ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเท่าไรนัก) เมื่อพบว่ามีใครมาเกะกะระราน ฉันก็พุ่งเข้าใส่ แถมยียวนด่า กวนประสาทกันทางวาจาไม่เคยเว้น ศัตรูก็เลยค่อนข้างจะมีเยอะแยะตามรายทางเต็มไปหมด
การทะเลาะกันของคนกับผี ส่วนมากจะต้องใช้เวลาเล่นงานให้สังขารเสื่อมโทรม ไม่เหมือนคนกับคนเมื่อไม่พอใจกันก็คว้ามีดไล่แทงกันตายรวดเร็วจบสิ้นกัน แต่ของคนกับผีต้องใช้เวลานานบางทีอาจหลายวันหลายเดือน จนสุดท้ายเมื่อสังขารทนไม่ไหวดวงจิตก็ออกจากร่างไปที่เรียกกันง่ายๆ ว่าตาย เคยเห็นพวกที่โดนของกันไหม? พวกนั้นต้องโดนกันเป็นเดือนกว่าจะทรุดโทรมจนรู้ว่าโดน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าจิตใจยังเข้มแข็งพวกมันก็เล่นงานยากซักหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หากฉันยังขยันหาเรื่องเรื่อยๆ ไม่แน่ซักวันก็อาจจะโดนดีเข้าจนได้นั่นแหละ การไม่สร้างศัตรูน่าจะดีที่สุด
ครานั้นเมื่อฉันโดนสัมภเวสีที่มันดักรอเล่นงานทีเผลอโผล่เข้ามา ฉันไม่รู้ตัวหรอกจนกระทั่งปวดหัวจี๊ดหนึบขึ้นมาจนทนไม่ไหว จู่ๆ ก็ปรากฏมีชายตาโปนผิวเนื้อดำแดงผมหยิกนุ่งโจงกระเบนเหน็บชายสีแดงรูปลักษณ์คล้ายยมทูตถือไม้ออกมาไล่พวกมัน ตอนแรกฉันตกใจนิดหน่อย เพราะลักษณะเขาค่อนข้างน่ากลัว ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เป็นใคร แต่หลังจากกำหนดจิตตามดูจึงได้รู้ว่าเป็นดวงจิตที่อยู่ในเหล็กไหลนั่นเอง ในยามที่บำเพ็ญตนเขาจะแต่งชุดขาวดูสะอาดตาแต่ในยามที่ต้องคุ้มครองผู้บูชาเขาจะออกมาในรูปแบบที่น่าเกรงขาม
ฉันก้มมองเหล็กไหลในมือ เพ่งดูพิจารณา ท่าทางปู่เหล็กไหลอยู่กับฉันคงจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย ตอนได้ท่านมาใหม่ๆ ตัวท่านส่องประกายสีรุ้งแวววาว สวยงามจับตา เพราะติดใจในความงามของท่าน อยากได้ท่านมาไว้ในครอบครองมากจนต้องเอ่ยปากขอญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ยกให้ฉัน แล้วเขาก็มอบให้ฉันมาบูชาโดยไม่คิดมูลค่าอะไรสมใจ
หลังจากฉันบูชาเพียงไม่กี่เดือน เปลือกผิวสีรุ้งของท่านกลับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทมืดมิดดั่งนิลกาฬ ความวาวของท่านยังมีอยู่อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ หลายคนบอกว่าเหล็กไหลของฉันแวววาวดำขลับสวยงามนัก แรกๆ ฉันก็ยิ้มภาคภูมิใจ ความงามของเหล็กไหลจะขึ้นกับบารมีของผู้บูชา แต่พอมองๆ ไป ฉันคิดว่าก่อนหน้านี้เคยสวยกว่านี้มาก เขาว่ากันว่าเหล็กไหลจะดูดกลืนสิ่งไม่ดีต่างๆ จากผู้ครอบครองเก็บเอาไว้ สภาพแวดล้อมรอบๆ ฉันมันคงจะอึมครึมและย่ำแย่ เหล็กไหลของฉันถึงได้ดำปิ๊ดปี๋แบบนี้
ฉันถอนหายใจนิดๆ มันคงต้องถึงเวลาปลดระวางท่านขึ้นหิ้งพระให้ท่านได้ปลดปล่อยสิ่งไม่ดีต่างๆ ที่ท่านกักเก็บเอาไว้กับตัวออกเสียบ้าง ดังคำพระท่านว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ฉันเองก็จะมัวมาพึ่งแต่เครื่องรางของขลังคงไม่ได้ ต่อไปนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปแล้วกัน
เมื่อถึงบ้านฉันบรรจงถอดปู่เหล็กไหลวางแนบกับฐานพระเพื่อให้ท่านรับพลังพุทธคุณ ต่อไปนี้แค่ฉันเลิกมอง เลิกสนใจพวกภูตผี ฉันก็คงไม่มีเรื่องให้ต้องทะเลาะกับพวกมันนักหรอก พระอาจารย์ท่านคงพูดดักไว้ไม่ให้ฉันแกว่งเท้าหาเสี้ยนนั่นแหละ นับจากนี้ขอให้ปู่พักผ่อนให้สบายๆ
ผู้อ่านทุกท่านควรรับรู้ไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างมักจะมีบุคคลจากโลกทิพย์คอยรักษา ไม่ว่าจะพวกมณีนาคา แก้วขนเหล็ก พระที่ปลุกเสก เครื่องรางของขลังต่างๆ หากมีเวลากำหนดจิตทำสมาธิอุทิศกุศลแผ่ไปถึงท่านที่ปกปักรักษาเหล่านั้น ก็จะเป็นผลดีแก่ตัวท่านเช่นกัน
สภาพ Before & After เห็นแล้วรู้สึกเศร้าใจนัก
นี่ฉันใช้แรงงานหนักแม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เชียวรึนี่
เขียนไป งง ไป นอนเถอะ ดึกแล้ว -___-'' คราวหน้ากลับมาเรื่องของพระอาจารย์ดีกว่า ท่านมีเรื่องสนุกๆ เพียบเลยเชียว
ความคิดเห็น