ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาล..ภพ

    ลำดับตอนที่ #24 : โทษของคนโกง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 58


    ตอนที่ ๒๓ โทษของคนโกง




             ฉันนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยบนมานั่งหินอ่อนท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่นที่ทางสวนป่าไผ่จัดไว้ให้ คิดทบทวนเรื่องที่ท่านพระครูเล่าให้ฟังเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม? 
     
        ท่านเล่าให้ฟังถึงประสพการณ์ เมื่อครั้งทิดมิ่งนิมนต์ท่านไปเยี่ยมมารดาที่จังหวัดลพบุรี 
        
                "หลวงพ่อช่วยให้แกพูดหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ?" ภรรยาของมิ่งเอ่ยเมื่อท่านพระครูไปถึง 
     
                "ให้แกพูดอะไรหรือโยม คนจะไปแล้ว ทำไมต้องให้พูดด้วย?" ท่านย้อนถาม 
     
               "ก็แกจะไปแล้ว แต่แกยังไม่แบ่งสมบัติ ที่นาจะยกให้ใครบ้านจะยกให้ใคร เงินในธนาคารจะยกให้ใคร เกิดไปตอนนี้ลูกๆ หลานๆ ไม่ทะเลาะกันแย่หรือเจ้าค่ะ" ลูกสะใภ้คนเจ็บพูดถึงเรื่องแบ่งสมบัติทั้งๆ ที่คนเจ็บยังนอนอยู่ตรงหน้า
     
        ท่านพระครูมองคนเจ็บก็รู้ว่าคนเจ็บยังพูดได้ ติดแค่น้อยใจลูกๆ หลานๆ ที่ห่วงแต่สมบัติแต่ไม่ได้ห่วงแก 
     
                "อาตมาก็นึกว่าพวกโยมห่วงคนเจ็บ ที่แท้ก็ห่วงสมบัตินี่เอง" 
     
        ท่านพระครูมองคนเจ็บอีกครั้ง นึกแปลกใจที่เห็นหนอนตัวโตขนาดเท่านิ้วก้อยไต่ออกมาจากผ้าห่ม
     
               "นี่ทำไมถึงปล่อยให้หนอนมาไต่ตัวคนป่วยแบบนี้เล่า?" ท่านพระครูถามแกมตำหนิ ที่ปล่อยให้หนอนไต่ยั้วเยี้ยอยู่ที่ตัวผู้ป่วย
     
               "เก็บไปทิ้งหลายตัวแล้วขอรับ มันไต่ออกมาจากแผลข้างหลัง" ทิดมิ่งกล่าวพร้อมพลิกร่างมารดาให้ท่านพระครูดู เห็นเป็นจริงตามที่ทิดมิ่งพูด แผลด้านหลังลึกไปถึงกระดูกมีหนอนเจาะกินน้ำเหลืองน้ำเลือดกันยุ่บยั่บ แลดูคล้ายซากศพที่ยังมีลมหายใจ
     
                ท่านพระครูกำหนดจิตดูกรรมมารดาของทิดมิ่งแล้วก็ได้รู้ได้เห็นกฏแห่งกรรมของแกอย่างชัดแจ้ง
     
                นางกิมมารดาของทิดมิ่งสะสมบาปไว้มากตั้งแต่สาวยันแก่ ทั้งปล่อยเงินกู้ ค้าขายก็โกงตาชั่ง ฉ้อโกงลูกค้าและลูกหนี้จนร่ำรวยมีสมบัติมากมายให้ลูกให้หลานมานั่งแก่งแย่งชิงกันอยู่ทุกวันนี้ 
     
               "ถ้าอยากให้คนเจ็บพูด อาตมาขอให้ทุกคนออกไปก่อนจนกว่าอาตมาจะเรียกให้เข้ามา" ลูกหลานทุกคนจึงจำใจออกไปโดยเหลือไว้เพียงท่านพระครู กับคนขับรถและผู้ป่วยภายในห้อง
     
               "โยม อาตมารู้ว่าโยมพูดได้ แต่ที่ไม่พูดเพราะโกธรลูกหลานใช่ไหม?" ท่านพระครูเอ่ยถามคนป่วยที่นอนหายใจรวยรินใกล้ถึงเวลาไปเต็มที
     
               "ใช่แล้วหลวงพ่อ อิฉันโกธรพวกมัน เกลียดพวกมันทุกคน" คนป่วยพูดด้วยเสียงแหบพร่าแต่ท่านพระครูกำหนดจิตฟังจึงได้ยินอย่างชัดเจน
     
              "อาตมาอยากให้สติ ถ้าโยมโกธรเกลียดพวกเขาโยมจะไปไม่ดี ไหนๆ ก็จะไปแล้วขอให้โยมทำใจให้สบายๆ จัดการอะไรต่อมิอะไรให้เรียบร้อย รู้ตัวหรือไม่ว่าโยมน่ะสะสมบาปเอาไว้มาก อาตมาเห็นหมดแล้ว โยมอยากให้อาตมาช่วยไหม?" ท่านถามด้วยความเมตตาแม้ว่าคนที่ท่านพูดคุยด้วยจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็ตาม
     
               "อยาก" นางกิมตอบเสียงแผ่วในลำคอ
     
               "ถ้าอยากก็ต้องขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน พอจะจำได้บ้างไหมว่าทำผิดกับใครเขาไว้บ้าง" ท่านถามพร้อมกับแผ่เมตตาให้คนป่วย นางกิมรู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นระลึกรู้บาปกรรมที่เคยทำไว้ 
     
               ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยได้ก่อกรรมไว้ไม่ว่าจะขายของให้ลูกค้าแล้วเจตนาให้ของไม่ครบทำให้เด็กหญิงผู้ที่มาซื้อของกับนางกิมโดนมารดาตีเสียจนเลือดซิบเพราะเข้าใจว่าเด็กหญิงโกงเงินค่าซื้อของ หรือเรื่องที่นางโกงตาชั่งเวลามีชาวบ้านนำพืชผลมาจำหน่าย นางก็จะใช้ไม้ยันกันเข่งขณะชั่งของทำให้ได้ของเพิ่มขึ้นมาถึงเข่งละ 3-5 กิโลกรัม เมื่อชั่งหลายๆ เข่งเข้า เท่ากับวันๆ นางโกงเขาเกือบ 50 กิโล
     
              ถัดจากเรื่องโกงตาชั่งก็เป็นเรื่องโกงลูกหนี้ นางโกงดอกเบี้ยลูกหนี้ ทำหลักฐานปลอมสารพัดที่นางกิมจะสรรหาวิธีมาโกงเพื่อกอบโกยทรัพย์สมบัติเข้าใส่ตัว ทำให้ถูกหนอนเจาะกินทั้งๆ ที่ยังไม่ตายแล้วไหนจะต้องทุกข์ใจที่ลูกหลานแย่งสมบัติที่นางหวงแหนต่อหน้าต่อตา ไม่ได้รักอาลัยนางเลย
     
              เมื่อเห็นว่านางกิมดูจะสำนึกผิดบาปที่ตัวเองทำได้แล้ว ครั้นจะให้นำไปคืนกับคนที่เคยโกงเขามาทั้งหมดก็คงไม่ทันกาลเพราะนางกิมก็จะไปอยู่แล้ว ท่านพระครูจึงเอ่ยแนะนำไป
     
              "เดี๋ยวอาตมาจะสอนให้ขออโหสิกรรม แล้วโยมต้องสอนลูกหลานให้เลิกหากินในทางทุจริต ทำบุญทำทานอุทิศกุศลไปให้โยม โยมทำได้ไหม" 
     
              "ทำได้ อิฉันทำได้" นางกิมรับคำท่านพระครูด้วยความกลัวบาป
     
              ท่านพระครูได้ยินดังนั้นจึงสั่งคนขับรถให้เปิดประตูเพื่อให้ลูกหลานของนางกิมเข้ามา

              ลูกหลานรู้สึกแปลกใจที่นางกิมสามารถพูดได้ชัดถ้อยชัดคำทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่แม้แต่จะพูดซักคำ เพราะท่านพระครูคอยแผ่เมตตาให้อยู่ข้างๆ นางจัดการแบ่งสมบัติให้ลูกหลาน สั่งสอนให้หากินในทางสุจริต

              "อย่าทำแบบฉัน ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกหนอนกินตั้งแต่ยังไม่ตายแล้วจะรู้ว่ามันทรมาณมาก" นางกิมกล่าวจบค่อยๆ ข่มความทรมาณนอนหลับตาลงช้าๆ นางพยายามนึกถึงหน้าของพระครูจนกระทั้งลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุดลงในวันนั้นเอง

             ลูกหลานทุกคนส่งเสียงร้องระงม เพิ่งจะเห็นคุณค่าของคนที่จากไปทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยใยดี ท่านพระครูต้องคอยปลอบใจอยู่หลายนาทีกว่าจะพวกเขาจะระงับความเศร้าลงได้

              "เอาละ เขาไปดีแล้ว หมดหน้าที่ของอาตมาจะได้ลากลับเสียที อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายด้วย เขาจะได้ไม่ต้องรับโทษนาน" ท่านพระครูย้ำแล้วจึงลากลับ



     
         ***********************************


          
            ฉันยังคิดไปเรื่อยเปื่อย กรรมบางอย่างก็ส่งผลช้า กรรมบางอย่างก็ส่งผลเร็ว ขนาดกรรมที่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจยังส่งผลก็มี เพราะฉะนั้นคำที่เขาบอกต่อๆ กันว่า ให้มองที่เจตนาเป็นหลักคงจะใช้ไม่ได้กระมัง

           ท่านพระครูเคยเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านกวาดลานวัดเห็นไม้ท่อนหนึ่งจึงหยิบมันเหวี่ยงทิ้งไปโดนสุนัขที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เลือดอาบพุ่งทะลักเต็มไปหมด แม้ท่านจะพยายามดูแลรักษามันจนหายเจ็บก็ยังถือเป็นกรรมอยู่ดี กรรมจากการกระทำครั้งนั้นส่งผลให้เมื่อครั้งที่ท่านไปฉลองพัดยศเจ้าคณะจังหวัด ขณะกำลังเจริญพระพุทธมนต์อยู่ ทันใดนั้นเกิดลมกรรโชกขึ้น ความแรงพัดเสาเต๊นท์ซึ่งเป็นท่อนเหล็กยาวพุ่งเข้าใส่ท่านพระครู ถูกปากถูกจมูกท่านเลือดแดงฉานจนคนตะลึงไปทั้งงาน 

            ท่านรู้สึกเจ็บมากจึงกำหนด 'เจ็บ หนอ' กระทั้งจิตเป็นสมาธิ กฏแห่งกรรมก็ฉายแวบขึ้นระลึกได้ถึงการกระทำโดยไม่ตั้งใจต่อสุนัขตนนั้น อุตส่าห์ฝึกสติอย่างดี เพียงเผลอไปยังต้องชดใช้กรรมถึงเพียงนี้ แล้วคนที่ทำกรรมโดยเจตนาจะต้องชดใช้กรรมสักเพียงไหน

           นั่งคิดถึงคำสอนของท่านพระครูที่ว่า พวกเราควรจะมีสติระลึกรู้ตัวให้ได้มากที่สุด แม้จะเดิน นอน นั่ง ของพวกนี้เป็นปัจจัจตัง (รู้ได้เฉพาะตน) โดยแท้ เพราะถึงจะพยายามคิดแค่ไหนฉันก็ไม่อาจเข้าใจได้ 

           มองนาฬิกาเกือบจะบ่ายสี่โมงแล้วใกล้ได้เวลาขึ้นศาลาฟังธรรม ฉันลุกจากม้านั่งหินอ่อนตัวที่ฉันมักจะใช้นั่งเป็นประจำแล้วเดินตรงขึ้นไปยังศาลาด้านบน หลายๆ ครั้งฉันเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ... ว่าตัวฉันเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่จิตใต้สำนึกส่วนลึกบอกว่าให้ทำต่อไป 

     
    ซักวันฉันคงจะได้รู้ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร ฉันหวังไว้เช่นนั้น 
           
     
    บวชกลับมาคราวนี้ ผู้เขียน อาจจะเขียนแปลกไป คือตอนแรกตั้งใจว่าจะแต่งแนวสนุกๆ แบบกฏแห่งกรรม หรือแนวปราบผี แต่โดนพระอาจารย์ท่านปรามมาว่า อย่าได้ใส่ใจในเรื่องของอิทธิฤทธิ์เพราะมันหาได้มีประโยชน์อะไรต่อแนวทางปฏิบัติ (การจะเขียนแนวบู๊ ถึงเราจะไม่จัดเอง เราก็ต้องคอยถามเพื่อนๆ อยู่ตลอดเอามาเป็นพลอตเรื่อง) ทำให้ตัวละครหลายๆ ตัวที่ตั้งใจจะกล่าวถึงต้องกลายเป็นหมันไป ทั้งเรื่องผีงูเกงกอง หลุมมิติ กุมารทอง คนโดนจิตแฝง ผู้เขียนยังไม่แกร่งกล้าพอ ขอข้ามไปเลยแล้วกัน ขอเขียนในเรื่องที่พอจะพิสูจน์ได้ในชาตินี้ 
    ผู้เขียนยังจะไม่แก้เนื้อหาเกริ่นเรื่อง (คือยังคิดไม่ออกว่าจะไปทางไหนต่อ เจอพระอาจารย์เบรกหัวทิ่มไปแล้ว จะกดปิดเรื่องเลยก็กระไรอยู่) เอาเป็นว่าเนื้อหาต่อจากนี้อาจจะเปลี่ยนเล็กน้อย โดยเน้นในเรื่องกฏแห่งกรรมเป็นหลักเพราะพลอตเรื่องในมือยังพอมีจะเยอะมากจากเรื่องเล่าของพระอาจารย์ ทั้งเรื่องผีเปรตที่ท่านเจอมา ทั้งเรื่องกรรมที่ทำโดยเจตนา หรือไม่เจตนา ... ตามนั้น   
    ส่วนตัวละครเดิมๆ เดี๋ยวเขียนให้ถึงตอนกลับจากสวนป่าไผ่ก่อน จะมีคนปรับภพภูมิไปในทางที่ดีขึ้นจ้า ไปบวชตั้ง 10 วัน ขอเอาเรื่องเล่าพระอาจารย์มาฝากกันเยอะๆ แบบเต็มอิ่มหน่อยนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×