ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาล..ภพ

    ลำดับตอนที่ #20 : ภพภูมิที่ตกค้าง

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 58


    ตอนที่ ๒๐ ภพภูมิที่ตกค้าง


            เรื่องราวแปลกๆ ที่หาคำตอบกับตัวเองไม่ได้มากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงระยะเวลาไม่นานนี้  ทำให้สิรินคิดว่าควรเดินทางไปปรึกษาพระอาจารย์ทันทีเมื่อมีเวลาว่าง ตามมารยาทแล้วการพูดคุยปรึกษากับผู้ทรงภูมิผู้น้อยควรจะเดินทางไปด้วยตัวเองไม่ใช่ฝากผ่านใครไปจึงต้องจัดสรรเวลาให้ลงตัวสำหรับการเดินทาง

             พอเริ่มมีเวลาจึงตัดสินใจออกเดินทางทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลามากนัก กระเป๋าถูกจัดอย่างง่ายๆ หากขาดเหลืออะไรก็ไปซื้อเอาข้างหน้า จุดหมายปลายทางคือวัดดังทางภาคเหนือที่ใครๆ ก็รู้จักหากเอ่ยชื่อ สถานที่แห่งนี้สิรินมาไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับสวนเวฬุวันแต่ก็มาบ้าง การที่เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ทรงภูมิหลายๆ ท่าน ย่อมดีกว่าท่านเดียว สิรินคิดเช่นนั้น

     

            สิรินขับรถขึ้นไปทางเหนือจนเกือบถึงสุดชายแดนพม่า ทิวทัศน์ข้างทางยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์เขียวขจีมองแล้วร่มรื่นสายตา สัญญาณโทรศัพท์เริ่มขาดๆ หายๆ เป็นบางช่วงเมื่อขับผ่านช่องเขา ล้อรถยังคงหมุนเคลื่อนตัวไปตามถนนดินลูกรังสีแดงจนฝุ่นคลุ้งฟุ้งขึ้นมาจนไม่เห็นสีรถเดิมว่าเป็นสีอะไร  บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ความเจริญยังไม่เข้าถึงมากและยังมีความสงบอยู่ เมื่อเข้ามาถึงบริเวณวัด ฉันขับรถไปจอดแอบไว้มุมที่คิดว่าไม่เกะกะผู้คนมากนัก เลือกเอาใต้ร่มไม้เพื่อช่วยลดความร้อนของแสงอาทิตย์ที่จะสาดส่องเข้ามายังตัวรถเพราะเวลาที่ไปถึงเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ตรวจตราความเรียบร้อยของตัวรถก็จัดแจงเดินตรงไปยังกุฏิรับรองของท่านอาจารย์ทันที

            เนื่องด้วยท่านพระอาจารย์มีแขกมาเยือนมากมายในแต่ละวันท่านจึงสร้างกุฏิรับรองไว้ด้านหน้าเพื่อให้ญาติโยมสามารถเข้าพบท่านได้โดยสะดวก ภายในกุฏิโปร่งโล่งทุกด้านไม่มีประตูปิดกั้น เพื่อให้ทุกคนสามารถมองเข้ามาได้อย่างถนัดและเปิดเผย ตัวกุฏิยกสูงทำจากไม้แกะสลักลวดลายวิจิตรจากการบริจาคมากมายของญาติโยมที่ร่วมกันสร้างขึ้นถวายท่านด้วยจิตศรัทธา สิรินเดินเข้าไปช้าๆ ก้มลงกราบท่านพระอาจารย์ 3 ครั้งตามที่ได้รับการสั่งสอนมาแล้วนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมกุฏิเพราะเห็นว่าท่านมีแขกอยู่ก่อนแล้วกลุ่มหนึ่ง  

            ท่านเพียงมองหน้าสิรินแวบนึงแล้วจึงหันกลับไปพูดคุยกับญาติโยมกลุ่มเดิม
     

           “โยมรู้ไหม ทำไมสัมภเวสีถึงมีมากมายนักบนโลกใบนี้?จู่ๆ ท่านพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    สิรินคิ้วขมวดสงสัยไปหลากหลาย ท่านกำลังจะเทศน์เรื่องอะไร??

          “บนโลกของเรานี้ ใต้แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ วิญญาณหรือพลังงานของภพภูมิที่ตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งนับจำนวนไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสรรพสัตว์หรือมนุษย์ เพราะมีการตายแล้วเกิด แล้วก็เกิดแล้วตาย ใต้แผ่นดินจึงมีภพภูมิวิญญาณพลังงานของมนุษย์และสรรพสัตว์ต่างๆ จึงซ้อนๆ กันอยู่

           ท่านพูดช้าๆ เว้นจังหวะให้ทุกคนให้ที่นั้นฟังจับใจความได้ ยกแก้วน้ำข้างๆ ขึ้นจิบนิดนึง แล้วจึงกล่าวต่อ

          “การคำนวณจำนวน "ปี" ของภพภูมินั้นให้เอา 50 คูณ เช่น นายดำ เขาให้เกิดมามีอายุ 60 ปี แต่ด้วยผลของกรรมจึงทำให้นายดำต้องตายเมื่ออายุ 40 ปี
    ถ้าเป็นปีการนับของมนุษย์ เช่น นายดำต้องมีอายุเหลืออยู่อีก 20 ปี

           แต่ปีการนับของภพภูมินั้นคูณด้วย 50 ดังนั้น 50 คูณด้วย 20 ก็เท่ากับ 1,000 ปีมนุษย์ ซึ่งดวงวิญญาณของนายดำต้องวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์เป็น 1,000 ปี หรือบางดวงวิญญาณบางพลังงานที่มีความอาฆาตแค้นมาก ก็จะตามรังควานหลอกหลอนรบกวนผู้ที่ทำร้ายเขา หรือหลายๆ แห่งตามถนนที่เป็นทางโค้งจะมีคนได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บางครั้งพวกเขาก็มาปรากฏให้เห็น

           “เช่นนี้แล้ว หากมีโอกาสเมื่อถึงวันพระจึงผู้คนนิยมไปทำบุญที่วัดเพื่อจะได้แผ่บุญกุศลไปให้แก่วิญญาณของญาติพี่น้อง ซึ่งบางคนอาจจะตกอยู่ในสภาพของวิญญาณเร่ร่อน หรือเป็นสัมภเวสี หรือตกอยู่ในภพภูมิที่ต่ำ ได้รับความทนทุกข์ทรมาน

     

           ถึงตรงนี้ สิรินเกิดความสงสัย จึงถามท่านไปตามที่ใจคิด ทำบุญให้แล้วจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นได้อย่างไรค่ะท่าน? เพราะเคยแต่ได้ยินว่า กรรมใคร กรรมมัน ใครเป็นผู้กระทำ ย่อมต้องได้รับผลของกรรมนั้น

     

          ท่านหันมามอง ยิ้มเล็กน้อยอย่างเมตตาที่มุมปากพองามไม่ให้เสียมารยาท

     

          “บุญที่เหล่าญาติผู้เสียชีวิตอุทิศให้จะช่วยในการปรับภพภูมิแก่สัมภเวสีเหล่านั้น ปรับในที่นี้ คือการ ปรับให้ไปตามผลของกรรมการกระทำที่ทำไว้ มิได้หมายความว่าไปปรับให้จากวิญญาณหรือพลังงานเร่ร่อนไปเป็นเทวดา
     

           “ไปปรับให้ไม่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อน หากมีความดีก็ได้เสวยบุญตามที่ทำไว้ เร่งเวลาให้เร็วขึ้น เหมือนกับว่า แต่เดิมเราเป็นผู้ต้องหาหนีอาญา มีทั้งความดีความเลวคละกันไป อยู่แบบเร่ร่อนโดยไร้จุดหมาย แล้วบุญนี้แหละไปปรับให้ คือ ให้ไปขึ้นศาล ให้ศาลพิพากษาตัดสินไปเลย ไม่ต้องมาหลบหนีอยู่

          ท่านยกแก้วน้ำข้างๆ ขึ้นจิบน้ำดื่มอีกนิดแล้วพูดต่อ

          “แต่มันก็มีบ้างเหมือนกันที่ยึดติดกับสถานที่สิ้นลมหายใจ เช่น ยังยึดติดในสมบัติที่ตนฝังไว้ใต้ดิน ยึดติดในบ้าน ฯลฯ ยึดติดในภรรยา ลูก แบบนี้อาจจะต้องให้ผู้มีศีลมีธรรมไปโปรดโดยการไปเทศน์ ณ. สถานที่นั้นๆ เพื่อให้ดวงจิตเหล่านั้นปล่อยวางแล้วไปตามบุญตามกรรมที่ได้ทำไว้ไม่ต้องติดอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป

     

          ถึงตรงนี้สิรินรู้สึกเหมือนว่ากำลังฟังเรื่องที่ตัวเองเคยสงสัยมายังไงอย่างนั้น ใจยังรู้สึกสงสัยอีกหลายอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นถามอย่างไร ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ก็แจ้งแก่ญาติโยมว่า ถึงเวลาที่ท่านต้องไปพักผ่อนเตรียมทำวัตรเย็นแล้ว สิรินจึงตัดสินใจกราบลาพระอาจารย์

          มองดูนาฬิกาเป็นเวลาใกล้บ่ายสี่โมงแล้ว ถ้าหากขับรถกลับบ้านคงทัน..(จะอึดไปไหน?) ฉันตัดสินใจไม่แวะหาที่พัก แล้วเดินกลับทันที เพราะอีก 7 วัน ฉันมีความคิดที่จะกลับไปที่สำนักสวนป่าไผ่อยู่แล้ว คราวนี้ตั้งใจว่าจะอยู่ซัก 10 วัน เดี๋ยวค่อยไปจัดเต็มเอาคราวนั้นก็แล้วกัน ฉันคิดอย่างรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยสิ่งที่เข้าใจก็ไม่ได้ผิดไปจากคำสอนของท่านอาจารย์มากนัก ... 

         สิ่งที่ฉันเห็นมากมายในช่วงนี้มันเป็นอะไรกันแน่ บางทีฉันเองก็สงสัยเหมือนกัน  ....
     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×