คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ปีศาจจิ้งจอกขาว
“น่านะ เนี่ย สิริน สนใจเป็นเจ้าภาพประตูโบสถ์ซักบานไหม แค่ สองหมื่นเท่านั้นเอง ได้สลักชื่อบนบานประตูด้วยนะ” เสียงคนตรงหน้า จีบปากจีบคอพูดชักชวนฉันทำบุญสร้างโบสถ์อย่างยิ้มแย้ม
ป้านิด คนซอยถัดไปนั่นเอง ปกติถ้ามีงานบุญงานมักจะมาคอยบอกบุญฉันบ่อยๆ ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันก็ใส่ซองช่วยอยู่บ่อยๆ เพราะเห็นว่าบุญเนี่ยทำแล้วก็ไม่หายไปไหน มันก็อยู่กับตัวคนทำยันภพชาติต่อไปนั่นแหละ แต่บางครั้งบางทีฉันก็คงต้องขอผ่าน เพราะจำนวนเงินที่แกมาชักชวนมันไม่ใช่น้อยๆ เลย
“ไม่ไหวล่ะจ้ะป้า ฉันช่วยใส่ซองแค่ประธาน ซักห้าร้อยได้ไหม? ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้ทำงานด้วย ว่าจะไปอยู่วัดซักพักต้องเก็บเงินไว้บ้าง จะให้ไปนั่งกินนอนกินของวัดก็คงไม่ไหว” สิรินตอบไปตามตรง เพราะคิดว่าเงินที่แกชวนมันมากเกินไป
“งั้นสนใจทำซุ้มประตูไหมล่ะ แค่หมื่นเดียวเองนะ” ป้านิดยังคงชักชวนต่อ
“ไม่ไหวจริงๆ จ้ะป้า เดือนนี้รายได้มันจำกัดเพราะทำงานน้อย ขอใส่ซองแค่ห้าร้อยพอนะ” ฉันยังคงยืนยันตามเจตนาเดิม
“เฮอะ!!” น้ำเสียงป้านิดดูไม่ค่อยพอใจอย่างชัดเจนพอได้ยินฉันตอบไปแบบนั้น แต่ฉันก็ชินเสียแล้วล่ะ เพราะเข้าใจว่านิสัยแกเป็นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
อันที่จริงแล้วป้านิดเป็นคนค่อนข้างธรรมมะธรรมโม เขาวัดฟังธรรม ถือศีลกินเจ ทุกๆ วันอาทิตย์เขาจะเข้ากลุ่มกับเพื่อนคุยกันแต่เรื่องธรรมมะจึงมักจะมีงานบุญมาเรื่อยไรกันบ่อยๆ
“แล้ววันอาทิตย์นี้ไปคุยธรรมด้วยกันไหม?? เนี่ยคนมานัดก็เยอะนะ ท่านอาจารย์ถนอมชื่อดังก็มาด้วย ท่านเป็นร่างทรงของพระโพธิสัตว์เชียวนะ ทุกคนที่ไปไม่มีใครทานเนื้อสัตว์ ในงานสะอาด มีแต่ไอบุญทั้งนั้นเลย” ป้านิด เมื่อชักชวนฉันทำบุญไม่ได้ตามยอดที่ต้องการ คราวนี้ชวนฉันทำอย่างอื่นแทนแล้ว
ฉันเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเพราะไม่อยากขัดใจแก แต่พอไปแล้วก็ชวนทำบุญหลายรายการ ถึงฉันจะมีเงินพอกินพอใช้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้นเสียที่ไหน ฉันจึงตัดสินใจไม่ไปอีกเลย
“ฉันไม่ถนัดน่ะป้า คราวก่อนก็ลองไปฟังดูแล้ว คิดว่ามันคงไม่ใช่จริตของฉันเท่าไหร่ ฉันชอบฟังพระอาจารย์เทศน์มากกว่าฆราวาสน่ะ เพราะเห็นว่าท่านปฏิบัติจริงๆ” สิรินยังคงยืนยันไม่เข้ากลุ่มของป้านิดอย่างหนักแน่นเนื่องจากคิดว่าไม่ถูกจริตซักเท่าไหร่
“เฮอะ พกบัวใต้น้ำ ชวนทำบุญก็ไม่ทำ คงจะฉุดไม่ขึ้นแล้วล่ะ” ป้านิด กระแทกเสียงแล้วก็เดินกระฟัดกระเฟียดไปโดยไม่แม้แต่จะเอาเงินใส่ซองของฉันไปด้วย
ฉันถึงกับอึ้งเลยทีเดียว บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ดูใจเย็นพูดจาสุภาพเรียบร้อย ทำไมกับพูดจาดูถูกดูแคลนคนอื่นได้แบบนี้
พระพุทธองค์ท่านจำแนก บุคคลสี่จำพวกเปรียบเทียบกับบัวสี่เหล่า ดังนี้
* 1. เหล่าที่หนึ่ง พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
2. เหล่าที่สอง มีสติปัญญาดี เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
3. เหล่าที่สาม จัดเป็นพวกมีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
4. เหล่าที่สี่ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธา ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
ฉันอยากจะย้อนถามป้านิดเหมือนกันว่า เป็นคนพุทธแน่หรือเปล่า การที่เราปฏิบัติบูชานี่คือทางสายตรงที่ท่านสั่งสอนมา ทำไมถึงพูดว่าฉันเป็นบัวใต้ตม นี่ฉันได้เกียรติจากป้านิดให้เป็นบัวเหล่าที่สี่ คือไม่มีวันเจริญ รอคอยวันตายเป็นอาหารให้เต่าปลาอย่างนั้นเทียวรึ? เพียงเพราะการที่ฉันเอาแต่เข้าวัด ปฏิบัติสมาธิ และพูดคุยกับพระอาจารย์อย่างนั้น?? รู้สึกเป็นเกียรติยังไงก็ไม่รู้ ตั้งแต่นั้นฉันก็ยื่นคำขาดกับป้านิดว่าไม่ต้องมาหาฉันอีก แค่ลำพังด่าฉันด่าได้ แต่ด่าแบบนี้รู้สึกเหมือนโดนด่าไปถึงครูบาอาจารย์ยังไงอย่างนั้น สิรินจะไม่ทน!!!!
ฉันมองตามหลังป้าแกไป … เห็นเงาขาวๆ รางๆ ซ้อนทับอยู่บนร่างป้าแก ฉันส่ายหน้าช้าๆ ‘เฮ้ออ นี่ละหนา คนเรามัวเมาในบุญโดยไม่ลืมหูลืมตา สบช่องให้พวกมารเข้าแทรก’
มารสมัยนี้มีหลายประเภท ทั้งประเภทที่เข้ายึดครองสังขารมนุษย์เพื่อสร้างศรัทธาด้วยหวังลาภยศสรรเสริญ ดังที่เราเห็นได้จากร่างทรงทั้งแท้ ทั้งเทียม อีกประเภทก็พวกเกาะกินบุญของมนุษย์ พวกนี้ไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องแสดงตัวให้มนุษย์รู้แค่ล่อหลอกดลจิตดลใจให้มนุษย์ทำบุญแล้วคอยเกาะกินผลบุญนั้นๆ สบายไปทั้งชาติ หากมนุษย์มีสติซักนิด ทำบุญอย่างมีเหตุผลจะไม่พ่ายแก่มารพวกนี้เลย มารที่ฉํนเห็นเกาะอยู่กับป้านิด เป็นมารจิ้งจอกขาว เคยได้ดูหนังจีนกำลังภายในไหม ปีศาจจิ้งจอกเป็นปีศาจที่บำเพ็ญเพียรบารมีมาหลายอสงขัย แต่ก็ยังไม่หลุดพ้น ฉันเคยเห็นจิตวิญญาณแฝงตามคนทั่วไปมากมาย พวกนี้มักจะเกาะกับมนุษย์คอยดลจิตดลใจให้มนุษย์ทำความดีแบบไม่ลืมหูลืมตา ประมาณว่าหลงบุญ ยิ่งทำยิ่งอยากทำต่อ ทำแล้วมันหึกเหิม ร้อนรุ่มอยากจะหาทำบุญต่อไปเรื่อยๆ อยากชักชวนคนนั้นคนนี้มาทำบุญ ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้วรู้สึกกระวนกระวายเหมือนเป็นคนบาป แต่ถ้าใครไปขัดความคิดเขาก็จะมองว่าคนๆ นั้นใจคอหยาบด้านธรรมมะเข้าไม่ถึง คนพวกนี้น่าสงสารไม่เคยได้รู้สึกถึงความสงบในจิตใจของตัวเองเลย มีแต่ความรู้สึกว่าต้องทำอีก ยังไม่พอ อยากทำบุญมากกว่านี้อีก 'เหมือนพวกหิวบุญ'
มันแน่นอนว่าเขาทำบุญ ย่อมต้องได้ผลบุญนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าบุญของเขานั้นเจือไปด้วยกิเลส คือความอยากอยู่ภายใน
อันที่จริงแล้ว บุญนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงการไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็ได้บุญแล้ว อย่าคิดแค่เราสร้างวัดวาอาราม งดทานเนื้อสัตว์ ปล่อยนกปล่อยปลาเท่านั้นคือบุญ บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่คือการเป็นคนดี
‘ทำความดี แม้แต่โจรมันยังทำได้ แต่ละเว้นความชั่วเนี่ย ทำยากกว่ามาก’ ศาสนาพุทธจึงเน้นในเรื่องของการดูตัวเราเองเป็นหลัก โดยไม่ต้องเอาเราไปเทียบกับใครเขา
หากถามฉันว่า แล้วแบบนี้เราจะป้องกันตัวเองได้ยังไง พวกนี้มันจะไม่สามารถแฝงได้เลยเพียงแค่มนุษย์มีสติ ไม่ทำอะไรตามใจกิเลสและความอยากของตนเป็นที่พึ่ง นั่งคิดอะไรเพลินๆ มาถึงตรงนี้ ฉันก็ลุกไปจัดกระเป๋า สงสัยคงต้องเบนทิศกลับเข้าวัดเสียแล้วไม่รู้กิเลสมันพอกขึ้นมาเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
--- เอวัง ---
-----------
*ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/บัวสี่เหล่า
ความคิดเห็น