ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ทหารหาญแห่งอโยธยา และ เวียงจันทร์ ที่ยังคงห่ำหั่นกันแม้ร่างเหล่านั้นได้สิ้นลม
แด่เหล่าทหารหาญ ผู้สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดิน
----------------
เคยไปเวียงจันทร์บ้างไหม?? บ้านพี่เมืองน้องฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่อยู่ห่างเพียงลำน้ำกั้นแบ่งอาณาเขตระหว่างประเทศแต่เราก็อยู่ร่วมกันมาได้เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดๆ ในกาลก่อน เมื่อก่อนเมื่อมีเวลาว่างฉันมักจะไปบ่อยๆ เพราะติดใจความสงบ ร่มรื่นของประเทศเพื่อนบ้านถึงขนาดเคยฝันไว้ว่าซักวันจะไปสร้างบ้านซักหลังเอาไว้พักผ่อนแบบสงบๆ เลยล่ะ
วิธีไปที่สะดวกที่สุดสำหรับฉันคือขับรถข้ามด่านตรงชายแดนหนองคายผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว๒ เข้าสู่เมืองเวียงจันทร์ หรือเขตเมืองหลวงของลาวที่ชาวลาวเรียกว่ากำแพงนคร การขับรถที่ประเทศเขาก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่เพียงแต่พวงมาลัยเขาจะสลับด้านกับเราเท่านั้น แต่พอลองได้ขับจริงๆ แล้ว เชื่อเถอะว่า คนไทยขับแย่กว่าเขาเยอะ เพราะประเทศเขามีกฏหมายควบคุมความเร็วที่ 60 km/hr แถมตำรวจนี่ชุมยิ่งกว่าหมาเสียอีก แต่เข้มงวดกวดขันวินัยจราจรมาก การขับรถในเมืองลาวจึงค่อนข้างปลอดภัยและไม่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนให้เห็นนัก การจะข้ามไปได้ต้องมีทั้งพาสปอร์ทรถ พาสปอร์ทคนและเล่มทะเบียนเท่านี้ก็เข้าไปเยี่ยมเยียนประเทศของเขาได้อย่างไม่ลำบากลำบนแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ เพราะระยะห่างของการเดินทางทำให้ฉันมักจะเลือกเดินทางในช่วงกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดของเมืองไทยและแสงแดดที่ร้อนขณะขับรถ อาจจะมีง่วงบ้างแต่ก็ยังขับได้เรื่อยๆ ฟังเพลงเย็นๆ ระหว่างทางหากไม่ไหวก็จอดพัก
ฉันชอบประเทศนี้มากๆจนเรียกว่าตกหลุมรักเลยล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ที่จำได้ เมื่อสมัยเล็กๆ ฉันเคยดูสารคดีของประเทศนี้ ผู้คนยังคงนุ่งซิ่นและดูมีวัฒนธรรม ภูมิประเทศช่างสงบเสียนี่กระไร
ฉันขับข้ามประเทศไปมา บางเดือนไป 4 หน ถึงแม้ไม่มีธุระอะไร ก็ขอให้ได้ข้ามไป เรียกว่าขับรถจนชินทางเหมือนบ้านตัวเองเลยว่างั้นเถอะ
เหตุการณ์ทุกครั้งก็เหมือนทุกที เดิมๆ ข้ามฝั่งไปนอนริมแม่น้ำโขงส่องพญานาค ถึงแม้จะไม่เคยได้มีบุญเห็นตัวเป็นๆ เลยซักครั้ง อยากจะรู้เหมือนกันนะถ้าได้เห็นแบบคนอื่นเขาจะเป็นยังไง ฉันอยากลองเห็นด้วยตาเนื้อจะๆ ดูซักครั้งให้เป็นบุญตาเหลือเกิน แต่ปู่นาคเคยบอกว่า มันมีกฏข้อห้ามที่ว่า 'เห็นก็ไม่ให้รู้ว่าเห็น' ฉะนั้นถ้าพวกเขาจะออกมาพบปะกับมนุษย์ เขาก็ไม่สามารถให้มนุษย์รู้ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
ครั้งนี้ก็เหมือนเช่นทุกครั้ง ฉันขับรถออกจากกรุงเทพประมาณ สี่ทุ่ม ขับเรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่ง จอดพักหลายรอบเพราะง่วง ไปถึงจังหวัดอุดรประมาณใกล้รุ่งสาง เริ่มเห็นพระบิณฑบาต ฉันชอบมองพระบิณฑบาตนะ มันทำให้รู้สึกว่านี่แหละเมืองพุทธ ทั้งๆ ที่ตัวฉันเนี่ยนอนตื่นสายตะวันโด่งฟ้าเลยล่ะ ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสใส่บาตรเท่าไหร่
ฉันไปถึงก่อนเวลาด่านเปิดมากโขอยู่ ปกติเวลาทำการด่านข้ามประเทศจะเปิดเวลา 7 โมงเช้า ฉันไปถึงประมาณ ตี 5 ครึ่ง จะให้เปิดโรงแรมก็เสียดายกลัวว่าจะสิ้นเปลืองเพราะเดี๋ยวข้ามฝั่งไปก็คงจะได้เข้าที่พักที่จองเอาไว้แล้ว จึงตัดสินใจล๊อครถทั้งสี่ด้าน แล้วเอนหลังนอนมันริมฝั่งแม่น้ำโขงภายในรถเพื่อรอเวลาด่านเปิดริมถนนมันตรงนั้นนั่นแหละ
ครั้งนั้นฉันไปเพื่อติดต่อกับลูกค้าเพื่อเปิดฐานตลาดใหม่ที่ประเทศลาวและนัดกับนักข่าวสาวของทางลาวเอาไว้เพื่อตกลงนำเสนอสินค้าให้เขาดู เอนหลังลงนอนฉันจำได้ว่ามันไม่นานเลยนะ เพราะเวลามีแค่ ไม่ถึง 2 ชม.ดี ฉันก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาทำเรื่องข้ามเขตแดนแล้วเชคอินเข้าที่พักหาที่นอนอุ่นๆ นอน มันน่าจะดีกว่านอนข้างถนนแบบนี้แน่ๆ แต่ฉันก็หลับลึกมากพอสมควรเลยล่ะ
จนรู้สึกว่ามีเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอกตัวรถนั่นแหละ ถึงได้ลืมตาขึ้นมามอง... ภาพที่เห็นนี่ทำเอาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
'นี่ฉันย้อนยุคมาหรือยังไงกัน?' ภาพเบื้องหน้า เห็นชายหนุ่มมากมายจับอาวุธในมือกำลังฟาดฟันห่ำหั่นกันอย่างดุเดือด ส่วนมากล้วนไม่ใส่เสื้อ เปลือยอก แต่งกายด้วยกางเกงคล้ายผ้าเตียวตัวเล็กสีแดงคล้ำเพียงชิ้นเดียว หลายๆ คนมีเชือกสีแดงผูกไว้ที่ต้นแขน มองๆ แล้วทั้งสองฝั่งแต่งตัวค่อนข้างคล้ายกันมากๆ แต่ละคนล้วนขะมุกขะมัว มอมแมมจากฝุ่นที่ฟุ้งตลบอบอวล.. เคยดูหนังพระนเรศวรหรือศึกบางระจันไหม เขาทำได้ค่อนข้างเหมือนภาพตรงหน้านะ แต่ความชุลมุนวุ่นวายยังน้อยกว่ามาก ฝุ่นฟุ้งตลบสูงขึ้นไปหลายเมตรจนทัศวิสัยย่ำแย่ แต่จากสายตาที่เห็นนี้ มันแทบไม่มีที่ยืนเลยล่ะ มันแน่นสุดลูกหูลูกตาไปด้วยคนที่กำลังฆ่ากัน มีทั้งหอก ทั้งดาบ ที่จ้วงแทงใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณี จากสายตาที่มองแล้วไม่น่าต่ำกว่าพันคน มันตั้งตาตั้งตาฆ่ากันเหมือนว่าแค้นเคืองกันมาจากชาติปางไหน (วินาทีนั้น สารภาพเลยว่าไม่มีอารมณ์จะมองว่าใครล่ำ ใครไม่ล่ำมั่ง ทั้งๆที่มันผิดวิสัยหญิงไทยใจหื่นแบบฉันมากนัก แต่ตอนนั้นบอกเลยว่ากลัวสุดชีวิต รู้สึกเหมือนปวดฉี่หน่วงๆ ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียวเชียวล่ะ)
บรรยากาศโดยรอบฝุ่นตลบจนฉันต้องก้มหัวลงกลัวว่ามันจะเข้าตาเข้าจมูก รู้สึกว่าแสบจมูกแสบตาขึ้นมาทันทีเลย ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแค่ ... 'ชิบหายล่ะ นี่เรายังไม่ทันได้ข้ามไปเจรจากับลูกค้า ต้องมาตายห่านตรงนี้แล้วเรอะว่ะ' ไม่ได้คิดสงสัยเลยด้วยซ้ำว่าภาพตรงหน้ามันไม่ใช่ยุคสมัยของฉัน แล้วทำไมรถของฉันมันย้อนไปสมัยนั้นได้ยังไง คือตัวฉันเหมือนหลงยุคเข้าในท่ามกลางสนามรบพร้อมกับรถคันที่ฉันใช้นอนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นั่นแหละ
วินาทีนั้นไม่ได้สงสัยอะไรเลยซักนิด ใจรู้แค่ว่ากลัวมาก กลัวชิบหาย ถ้าไม่เกรงใจนี่ฉี่แทบราดเลยล่ะ ใจฉันนี่เต้นแรงยิ่งกว่ากลองที่มันตีในสนามรบอีกจนถึงตอนนี้ฉันยังจำได้เลยว่ากลัวมากแค่ไหน ใจนี่ภาวนาอย่าให้พวกมันเห็นฉันที่ซุกอยู่ในรถ พยายามหดหัวก้มลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทรกตัวลงใต้ท้องรถได้ คงทำไปแล้ว (คงช่วยได้นะ รถคันบะเร่อบะร่า พวกมันคงไม่เห็นฉันเล๊ยยยย )
พลันสิ่งที่ฉํนคิดมันก็บังเกิด พวกมันบางคนสังเกตุเห็นสิ่งแปลกปลอมที่โผล่ขึ้น หันหน้าชี้มาทางฉัน
"เฮ้ยยย มันอยู่นั่น" มันตะโกนชี้มาทางฉันเสียงดัง เหมือนอยู่ข้างหู ..
'กูตายแน่' ตอนนั้นคิดแค่นี้ ใจแป้วไม่เหลือแล้ว ไม่รู้จะไปหลบได้ที่ไหน
พวกมันพาพวกมันนับสิบกรูกันเข้ามาทุบกระจกปึงปัง เหมือนพยายามจะทำให้แตก
"ลากมันออกมา มันอยู่นั่น ลากมันออกมา เอาไฟเผามันให้ตาย" พวกมันประเคนทั้งหอก ทั้งดาบฟาดกระจกรถฉัน ที่ไม่รู้ว่ามันจนทนต่อไปได้ซักกี่น้ำ
'คงตายตรงนี้แล้วละ ... ' ฉันคิด พวกมันเยอะเหลือเกินมองยังไงก็คงไม่รอด แค่พวกเอ็งวิ่งมาทางฉันก็แทบจะหัวใจวายตายแล้ว ไม่ต้องคิดไปถึงว่าเอาไฟเผา เอามีดแทงเลย ไปไม่ถึงเหตุการณ์ที่พวกเอ็งพูดถึงแน่ๆ กุยอมกัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียตรงนี้ดีกว่า .. ตอนนั้นฉันคิดจะฆ่าตัวตายในรถเลยล่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์มันจวนตัวจริงๆ ตายด้วยน้ำมือตัวเองมันคงน่าจะอภิรมณ์กว่าตายด้วยคมหอกคมดาบพวกนั้นเป็นแน่ มืองี้ควานหามีดพับอันเล็กที่มักพกไว้ตัดของในรถเลย ไม่ได้คิดจะไปสู้กับพวกมันนะ เอามาเชือดคอตายหนีพวกมันให้รู้แล้วรู้รอดไป
เริ่มเห็นกระจกมีรอยแตกร้าว ...
พวกมันกำลังจะคว้าตัวฉันได้แล้ว !!!!!
ฉัน!!! ฉัน!!!!
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฉันคงต้องตื่นแล้วล่ะ ถึงขนาดนี้ถ้ายังไม่ตื่นคงหัวใจวายแน่ๆ
ฉันสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมาในรถคันเดิมที่นอนหลับไปตอนแรก มือเย็นเฉียบแต่หัวใจยังเต้นรัวเหมือนกลองศึก ตายังเหลือบมองกระจกรถว่า เมื่อกี้ฝันหรือว่าเรื่องจริง (ตอนนั้นจำได้ว่า ไม่กล้ามองออกไปกลัวว่าจะเห็นพวกมันตัวเป็นๆ ยืนกันสลอนแบบในฝันซะด้วยซ้ำ)
ถ้าถามฉันว่า ระหว่างเห็นทางจิต กับฝัน กลัวอะไรมากกว่ากัน บอกเลยว่ากลัวความฝัน เพราะมันสมจริงและบังคับกันไม่ได้ แต่การเห็นทางจิตมันเป็นการแบ่งประสาทสัมผัสเพียงแค่ไม่กี่ % ไปรับรู้ตรงนั้นเท่านั้น ความฝันคือเราไม่รับรู้สัมผัสทางกาย หู ตา คอ จมูก แต่ส่วนจิตวิญญาณเราไปเต็มๆ มันสมจริงและน่ากลัวกว่าเยอะเหมือนหลุดเข้าไปในเหตุการณ์นั้นจริงๆ เลยล่ะ
มองนาฬิกาเพิ่งจะ 6.15 ตั้งแต่ต้นจบเกือบหัวใจวายเวลาผ่านไปแค่ไม่ถึง 1 ชม. ตอนนี้ไม่มีความง่วงแล้ว ด่านก็ยังไม่เปิดแต่จะให้กลับไปหลับต่อคงไม่ไหวแน่ๆ พลางคว้าโทรศัพท์มือถือโทรหาพิมพา
"ฉันคิดว่าฉันโดนผีหลอกว่ะแก" ฉันพูดไปตามที่คิดทันที ที่พิมพารับสาย
"ขอส่วนบุญ" พิมพาตอบนิ่มๆ กลับมา
"หะ!!!... ขอส่วนบุญกันแบบนี้รึ"
"ใช่สิ แกคิดว่าเขาจะ นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบทอง มาก้มกราบแกงามๆ แล้วพูดจาหวานหูหรือยังไงกัน ตอนเขาตาย เขาตายแบบไหน เขาก็มาหาแกแบบนั้นแหละ มาแสดงให้รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่"
ฉันได้ยินแบบนั้น คิดไปถึงเพื่อนสาวคนหนึ่งที่ทำงานในโรงบาล inter ย่านพระรามเก้า มันบอกว่ามันเจอผีคนตายมาเข้าฝันแทบทุกคืน มายืนกรอกยาให้มันดู ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนมากเป็นฝรั่งท้ังนั้นเลย เพราะมันทำงานเป็นล่ามและให้กับพวกคนไข้ล่ามนั้น ไปจนถึงคอยติดต่อญาติฝ่ายคนไข้ในกรณีฉุกเฉิน ในฝันเพื่อนบอกจำได้ว่าเป็นพวกคนไข้ในโรงพยาบาล คิดทบทวนดู น่าจะเป็นตามที่พิมพาบอก เขาตายแบบไหน เขาก็ออกมาสื่อแบบนั้น ไอ่ฉันนี่คิดไปเป็นตุเป็นตะเลยว่า สงสัยชาติที่แล้วคงจะเกิดเป็นทหารแล้วเคยฆ่าพวกมันเอาไว้ พอมันมาเห็นฉันเข้ามันเลยตามมาล้างแค้นเอา
ขอกันแบบนี้มันจะมีคนอุทิศส่วนบุญให้พวกเขาบ้างไหมล่ะ ฉันคิดถึงเหตุการณ์ย้อนหลังก่อนหน้านั้น ภาพยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อซักครู่นี้ พวกเขาน่าสงสารเหลือเกิน เลือดทุกหยดก็หลั่งเพื่อชาติ จนเวลาผ่านมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้วก็ยังไม่ได้มาเกิดใหม่ ถ้าฉันเคยร่วมชาติกับพวกเขามาก่อน ให้นับชาติเกิดคงมาเกิดแล้วตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ฉันยังคิดถึงพวกเขาอยู่ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว และยังคงอุทิศให้อยู่เรื่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อว่าวันใดพวกเขาจะสามารถหลุดพ้นจากตรงนั้นได้ ไม่ว่าจะทั้งฝั่งเรา หรือฝั่งเขาก็เป็นผู้สูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าหากมีใครผ่านมาอ่านถึงตรงนี้ อยากให้น้อมระลึกถึงบุญกุศลใดๆ ที่ได้เคยทำมา อุทิศให้แก่ดวงจิตของเหล่าทหารกล้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ให้ช่วยน้อมนำดวงจิตเขาสู่ภพภูมิที่ดีเหมือนหยดน้ำที่หยดลงให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดิน แม้จะดูเล็กน้อย หากรวมกันหลายๆ หยดผืนดินนั้นคงชุ่มน้ำได้ซักวัน
ขออนุโมทนา
----------
ผู้เขียนติดนิยายของนักเขียนท่านอื่นอยู่
กำลังอ่านเรื่อง อาณาจักรจิตเสมือน สนุกมากขอรับ
สเน่ห์ของนิทานท่านอื่นๆ คืออ่านต่อเนื่องและลุ้นไปกับตัวละคร ของเรามันจบเป็นตอนๆ อาจจะไม่ลุ้นไม่น่าติดตาม แต่เราว่ามันคงไม่ค้างคาเนอะ
----------------
เคยไปเวียงจันทร์บ้างไหม?? บ้านพี่เมืองน้องฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่อยู่ห่างเพียงลำน้ำกั้นแบ่งอาณาเขตระหว่างประเทศแต่เราก็อยู่ร่วมกันมาได้เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดๆ ในกาลก่อน เมื่อก่อนเมื่อมีเวลาว่างฉันมักจะไปบ่อยๆ เพราะติดใจความสงบ ร่มรื่นของประเทศเพื่อนบ้านถึงขนาดเคยฝันไว้ว่าซักวันจะไปสร้างบ้านซักหลังเอาไว้พักผ่อนแบบสงบๆ เลยล่ะ
วิธีไปที่สะดวกที่สุดสำหรับฉันคือขับรถข้ามด่านตรงชายแดนหนองคายผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว๒ เข้าสู่เมืองเวียงจันทร์ หรือเขตเมืองหลวงของลาวที่ชาวลาวเรียกว่ากำแพงนคร การขับรถที่ประเทศเขาก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่เพียงแต่พวงมาลัยเขาจะสลับด้านกับเราเท่านั้น แต่พอลองได้ขับจริงๆ แล้ว เชื่อเถอะว่า คนไทยขับแย่กว่าเขาเยอะ เพราะประเทศเขามีกฏหมายควบคุมความเร็วที่ 60 km/hr แถมตำรวจนี่ชุมยิ่งกว่าหมาเสียอีก แต่เข้มงวดกวดขันวินัยจราจรมาก การขับรถในเมืองลาวจึงค่อนข้างปลอดภัยและไม่มีอุบัติเหตุบนท้องถนนให้เห็นนัก การจะข้ามไปได้ต้องมีทั้งพาสปอร์ทรถ พาสปอร์ทคนและเล่มทะเบียนเท่านี้ก็เข้าไปเยี่ยมเยียนประเทศของเขาได้อย่างไม่ลำบากลำบนแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ เพราะระยะห่างของการเดินทางทำให้ฉันมักจะเลือกเดินทางในช่วงกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดของเมืองไทยและแสงแดดที่ร้อนขณะขับรถ อาจจะมีง่วงบ้างแต่ก็ยังขับได้เรื่อยๆ ฟังเพลงเย็นๆ ระหว่างทางหากไม่ไหวก็จอดพัก
ฉันชอบประเทศนี้มากๆจนเรียกว่าตกหลุมรักเลยล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ที่จำได้ เมื่อสมัยเล็กๆ ฉันเคยดูสารคดีของประเทศนี้ ผู้คนยังคงนุ่งซิ่นและดูมีวัฒนธรรม ภูมิประเทศช่างสงบเสียนี่กระไร
ฉันขับข้ามประเทศไปมา บางเดือนไป 4 หน ถึงแม้ไม่มีธุระอะไร ก็ขอให้ได้ข้ามไป เรียกว่าขับรถจนชินทางเหมือนบ้านตัวเองเลยว่างั้นเถอะ
เหตุการณ์ทุกครั้งก็เหมือนทุกที เดิมๆ ข้ามฝั่งไปนอนริมแม่น้ำโขงส่องพญานาค ถึงแม้จะไม่เคยได้มีบุญเห็นตัวเป็นๆ เลยซักครั้ง อยากจะรู้เหมือนกันนะถ้าได้เห็นแบบคนอื่นเขาจะเป็นยังไง ฉันอยากลองเห็นด้วยตาเนื้อจะๆ ดูซักครั้งให้เป็นบุญตาเหลือเกิน แต่ปู่นาคเคยบอกว่า มันมีกฏข้อห้ามที่ว่า 'เห็นก็ไม่ให้รู้ว่าเห็น' ฉะนั้นถ้าพวกเขาจะออกมาพบปะกับมนุษย์ เขาก็ไม่สามารถให้มนุษย์รู้ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
ครั้งนี้ก็เหมือนเช่นทุกครั้ง ฉันขับรถออกจากกรุงเทพประมาณ สี่ทุ่ม ขับเรื่อยๆ ไม่ได้รีบเร่ง จอดพักหลายรอบเพราะง่วง ไปถึงจังหวัดอุดรประมาณใกล้รุ่งสาง เริ่มเห็นพระบิณฑบาต ฉันชอบมองพระบิณฑบาตนะ มันทำให้รู้สึกว่านี่แหละเมืองพุทธ ทั้งๆ ที่ตัวฉันเนี่ยนอนตื่นสายตะวันโด่งฟ้าเลยล่ะ ทำให้ไม่ค่อยได้มีโอกาสใส่บาตรเท่าไหร่
ฉันไปถึงก่อนเวลาด่านเปิดมากโขอยู่ ปกติเวลาทำการด่านข้ามประเทศจะเปิดเวลา 7 โมงเช้า ฉันไปถึงประมาณ ตี 5 ครึ่ง จะให้เปิดโรงแรมก็เสียดายกลัวว่าจะสิ้นเปลืองเพราะเดี๋ยวข้ามฝั่งไปก็คงจะได้เข้าที่พักที่จองเอาไว้แล้ว จึงตัดสินใจล๊อครถทั้งสี่ด้าน แล้วเอนหลังนอนมันริมฝั่งแม่น้ำโขงภายในรถเพื่อรอเวลาด่านเปิดริมถนนมันตรงนั้นนั่นแหละ
ครั้งนั้นฉันไปเพื่อติดต่อกับลูกค้าเพื่อเปิดฐานตลาดใหม่ที่ประเทศลาวและนัดกับนักข่าวสาวของทางลาวเอาไว้เพื่อตกลงนำเสนอสินค้าให้เขาดู เอนหลังลงนอนฉันจำได้ว่ามันไม่นานเลยนะ เพราะเวลามีแค่ ไม่ถึง 2 ชม.ดี ฉันก็ต้องรีบตื่นขึ้นมาทำเรื่องข้ามเขตแดนแล้วเชคอินเข้าที่พักหาที่นอนอุ่นๆ นอน มันน่าจะดีกว่านอนข้างถนนแบบนี้แน่ๆ แต่ฉันก็หลับลึกมากพอสมควรเลยล่ะ
จนรู้สึกว่ามีเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอกตัวรถนั่นแหละ ถึงได้ลืมตาขึ้นมามอง... ภาพที่เห็นนี่ทำเอาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
'นี่ฉันย้อนยุคมาหรือยังไงกัน?' ภาพเบื้องหน้า เห็นชายหนุ่มมากมายจับอาวุธในมือกำลังฟาดฟันห่ำหั่นกันอย่างดุเดือด ส่วนมากล้วนไม่ใส่เสื้อ เปลือยอก แต่งกายด้วยกางเกงคล้ายผ้าเตียวตัวเล็กสีแดงคล้ำเพียงชิ้นเดียว หลายๆ คนมีเชือกสีแดงผูกไว้ที่ต้นแขน มองๆ แล้วทั้งสองฝั่งแต่งตัวค่อนข้างคล้ายกันมากๆ แต่ละคนล้วนขะมุกขะมัว มอมแมมจากฝุ่นที่ฟุ้งตลบอบอวล.. เคยดูหนังพระนเรศวรหรือศึกบางระจันไหม เขาทำได้ค่อนข้างเหมือนภาพตรงหน้านะ แต่ความชุลมุนวุ่นวายยังน้อยกว่ามาก ฝุ่นฟุ้งตลบสูงขึ้นไปหลายเมตรจนทัศวิสัยย่ำแย่ แต่จากสายตาที่เห็นนี้ มันแทบไม่มีที่ยืนเลยล่ะ มันแน่นสุดลูกหูลูกตาไปด้วยคนที่กำลังฆ่ากัน มีทั้งหอก ทั้งดาบ ที่จ้วงแทงใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ปราณี จากสายตาที่มองแล้วไม่น่าต่ำกว่าพันคน มันตั้งตาตั้งตาฆ่ากันเหมือนว่าแค้นเคืองกันมาจากชาติปางไหน (วินาทีนั้น สารภาพเลยว่าไม่มีอารมณ์จะมองว่าใครล่ำ ใครไม่ล่ำมั่ง ทั้งๆที่มันผิดวิสัยหญิงไทยใจหื่นแบบฉันมากนัก แต่ตอนนั้นบอกเลยว่ากลัวสุดชีวิต รู้สึกเหมือนปวดฉี่หน่วงๆ ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียวเชียวล่ะ)
บรรยากาศโดยรอบฝุ่นตลบจนฉันต้องก้มหัวลงกลัวว่ามันจะเข้าตาเข้าจมูก รู้สึกว่าแสบจมูกแสบตาขึ้นมาทันทีเลย ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแค่ ... 'ชิบหายล่ะ นี่เรายังไม่ทันได้ข้ามไปเจรจากับลูกค้า ต้องมาตายห่านตรงนี้แล้วเรอะว่ะ' ไม่ได้คิดสงสัยเลยด้วยซ้ำว่าภาพตรงหน้ามันไม่ใช่ยุคสมัยของฉัน แล้วทำไมรถของฉันมันย้อนไปสมัยนั้นได้ยังไง คือตัวฉันเหมือนหลงยุคเข้าในท่ามกลางสนามรบพร้อมกับรถคันที่ฉันใช้นอนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นั่นแหละ
วินาทีนั้นไม่ได้สงสัยอะไรเลยซักนิด ใจรู้แค่ว่ากลัวมาก กลัวชิบหาย ถ้าไม่เกรงใจนี่ฉี่แทบราดเลยล่ะ ใจฉันนี่เต้นแรงยิ่งกว่ากลองที่มันตีในสนามรบอีกจนถึงตอนนี้ฉันยังจำได้เลยว่ากลัวมากแค่ไหน ใจนี่ภาวนาอย่าให้พวกมันเห็นฉันที่ซุกอยู่ในรถ พยายามหดหัวก้มลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทรกตัวลงใต้ท้องรถได้ คงทำไปแล้ว (คงช่วยได้นะ รถคันบะเร่อบะร่า พวกมันคงไม่เห็นฉันเล๊ยยยย )
พลันสิ่งที่ฉํนคิดมันก็บังเกิด พวกมันบางคนสังเกตุเห็นสิ่งแปลกปลอมที่โผล่ขึ้น หันหน้าชี้มาทางฉัน
"เฮ้ยยย มันอยู่นั่น" มันตะโกนชี้มาทางฉันเสียงดัง เหมือนอยู่ข้างหู ..
'กูตายแน่' ตอนนั้นคิดแค่นี้ ใจแป้วไม่เหลือแล้ว ไม่รู้จะไปหลบได้ที่ไหน
พวกมันพาพวกมันนับสิบกรูกันเข้ามาทุบกระจกปึงปัง เหมือนพยายามจะทำให้แตก
"ลากมันออกมา มันอยู่นั่น ลากมันออกมา เอาไฟเผามันให้ตาย" พวกมันประเคนทั้งหอก ทั้งดาบฟาดกระจกรถฉัน ที่ไม่รู้ว่ามันจนทนต่อไปได้ซักกี่น้ำ
'คงตายตรงนี้แล้วละ ... ' ฉันคิด พวกมันเยอะเหลือเกินมองยังไงก็คงไม่รอด แค่พวกเอ็งวิ่งมาทางฉันก็แทบจะหัวใจวายตายแล้ว ไม่ต้องคิดไปถึงว่าเอาไฟเผา เอามีดแทงเลย ไปไม่ถึงเหตุการณ์ที่พวกเอ็งพูดถึงแน่ๆ กุยอมกัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียตรงนี้ดีกว่า .. ตอนนั้นฉันคิดจะฆ่าตัวตายในรถเลยล่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์มันจวนตัวจริงๆ ตายด้วยน้ำมือตัวเองมันคงน่าจะอภิรมณ์กว่าตายด้วยคมหอกคมดาบพวกนั้นเป็นแน่ มืองี้ควานหามีดพับอันเล็กที่มักพกไว้ตัดของในรถเลย ไม่ได้คิดจะไปสู้กับพวกมันนะ เอามาเชือดคอตายหนีพวกมันให้รู้แล้วรู้รอดไป
เริ่มเห็นกระจกมีรอยแตกร้าว ...
พวกมันกำลังจะคว้าตัวฉันได้แล้ว !!!!!
ฉัน!!! ฉัน!!!!
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ฉันคงต้องตื่นแล้วล่ะ ถึงขนาดนี้ถ้ายังไม่ตื่นคงหัวใจวายแน่ๆ
ฉันสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมาในรถคันเดิมที่นอนหลับไปตอนแรก มือเย็นเฉียบแต่หัวใจยังเต้นรัวเหมือนกลองศึก ตายังเหลือบมองกระจกรถว่า เมื่อกี้ฝันหรือว่าเรื่องจริง (ตอนนั้นจำได้ว่า ไม่กล้ามองออกไปกลัวว่าจะเห็นพวกมันตัวเป็นๆ ยืนกันสลอนแบบในฝันซะด้วยซ้ำ)
ถ้าถามฉันว่า ระหว่างเห็นทางจิต กับฝัน กลัวอะไรมากกว่ากัน บอกเลยว่ากลัวความฝัน เพราะมันสมจริงและบังคับกันไม่ได้ แต่การเห็นทางจิตมันเป็นการแบ่งประสาทสัมผัสเพียงแค่ไม่กี่ % ไปรับรู้ตรงนั้นเท่านั้น ความฝันคือเราไม่รับรู้สัมผัสทางกาย หู ตา คอ จมูก แต่ส่วนจิตวิญญาณเราไปเต็มๆ มันสมจริงและน่ากลัวกว่าเยอะเหมือนหลุดเข้าไปในเหตุการณ์นั้นจริงๆ เลยล่ะ
มองนาฬิกาเพิ่งจะ 6.15 ตั้งแต่ต้นจบเกือบหัวใจวายเวลาผ่านไปแค่ไม่ถึง 1 ชม. ตอนนี้ไม่มีความง่วงแล้ว ด่านก็ยังไม่เปิดแต่จะให้กลับไปหลับต่อคงไม่ไหวแน่ๆ พลางคว้าโทรศัพท์มือถือโทรหาพิมพา
"ฉันคิดว่าฉันโดนผีหลอกว่ะแก" ฉันพูดไปตามที่คิดทันที ที่พิมพารับสาย
"ขอส่วนบุญ" พิมพาตอบนิ่มๆ กลับมา
"หะ!!!... ขอส่วนบุญกันแบบนี้รึ"
"ใช่สิ แกคิดว่าเขาจะ นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบทอง มาก้มกราบแกงามๆ แล้วพูดจาหวานหูหรือยังไงกัน ตอนเขาตาย เขาตายแบบไหน เขาก็มาหาแกแบบนั้นแหละ มาแสดงให้รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่"
ฉันได้ยินแบบนั้น คิดไปถึงเพื่อนสาวคนหนึ่งที่ทำงานในโรงบาล inter ย่านพระรามเก้า มันบอกว่ามันเจอผีคนตายมาเข้าฝันแทบทุกคืน มายืนกรอกยาให้มันดู ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนมากเป็นฝรั่งท้ังนั้นเลย เพราะมันทำงานเป็นล่ามและให้กับพวกคนไข้ล่ามนั้น ไปจนถึงคอยติดต่อญาติฝ่ายคนไข้ในกรณีฉุกเฉิน ในฝันเพื่อนบอกจำได้ว่าเป็นพวกคนไข้ในโรงพยาบาล คิดทบทวนดู น่าจะเป็นตามที่พิมพาบอก เขาตายแบบไหน เขาก็ออกมาสื่อแบบนั้น ไอ่ฉันนี่คิดไปเป็นตุเป็นตะเลยว่า สงสัยชาติที่แล้วคงจะเกิดเป็นทหารแล้วเคยฆ่าพวกมันเอาไว้ พอมันมาเห็นฉันเข้ามันเลยตามมาล้างแค้นเอา
ขอกันแบบนี้มันจะมีคนอุทิศส่วนบุญให้พวกเขาบ้างไหมล่ะ ฉันคิดถึงเหตุการณ์ย้อนหลังก่อนหน้านั้น ภาพยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อซักครู่นี้ พวกเขาน่าสงสารเหลือเกิน เลือดทุกหยดก็หลั่งเพื่อชาติ จนเวลาผ่านมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้วก็ยังไม่ได้มาเกิดใหม่ ถ้าฉันเคยร่วมชาติกับพวกเขามาก่อน ให้นับชาติเกิดคงมาเกิดแล้วตายไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ฉันยังคิดถึงพวกเขาอยู่ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว และยังคงอุทิศให้อยู่เรื่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อว่าวันใดพวกเขาจะสามารถหลุดพ้นจากตรงนั้นได้ ไม่ว่าจะทั้งฝั่งเรา หรือฝั่งเขาก็เป็นผู้สูญเสียทั้งสองฝ่าย ถ้าหากมีใครผ่านมาอ่านถึงตรงนี้ อยากให้น้อมระลึกถึงบุญกุศลใดๆ ที่ได้เคยทำมา อุทิศให้แก่ดวงจิตของเหล่าทหารกล้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ให้ช่วยน้อมนำดวงจิตเขาสู่ภพภูมิที่ดีเหมือนหยดน้ำที่หยดลงให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดิน แม้จะดูเล็กน้อย หากรวมกันหลายๆ หยดผืนดินนั้นคงชุ่มน้ำได้ซักวัน
ขออนุโมทนา
----------
ผู้เขียนติดนิยายของนักเขียนท่านอื่นอยู่
กำลังอ่านเรื่อง อาณาจักรจิตเสมือน สนุกมากขอรับ
สเน่ห์ของนิทานท่านอื่นๆ คืออ่านต่อเนื่องและลุ้นไปกับตัวละคร ของเรามันจบเป็นตอนๆ อาจจะไม่ลุ้นไม่น่าติดตาม แต่เราว่ามันคงไม่ค้างคาเนอะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น