ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กาล..ภพ

    ลำดับตอนที่ #14 : สวดมนต์ข้ามปี กับเพื่อนผี ผี ผี

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 58


    .......

     

     

     

    "สวัสดีปีใหม่" ......  เสียงทักทายข้างหลังพร้อมแขนที่โอบเข้ามารอบลำคอฉันจากด้านหลังหลวมๆ 

    "ไงธีร์ สบายดีไหม??" ฉันทักเพื่อนตรงหน้า.. แน่นอนถ้าโผล่มากระทันทันแบบนี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ล่ะ ธีร์นี่ จัดเป็นผีตนแรกที่โดนฉันล่อลวงไปทิ้งไว้ ณ. สถานปฏิบัติเลยเชียวนะ นับเป็นผีรุ่นบุกเบิก

     

    "สบายดีมากก ...." แล้วเสียงก็ขาดหายไป ดูสีหน้าเขาผงะไปนิดหนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาพบว่ารอบกายฉันไม่ได้มีแค่ฉันเหมือนเช่นทุกที

     

    มองตามสายตาเขา เห็นซานย่ะฮ์ฺ จ้องแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าแบบไม่วางตา หน้าบอกอารมณ์ขรึมนิดๆ ธีร์ปลดแขนที่โอบรอบคอฉัน ค้อมศีรษะเหมือนทำความเคารพแก่ซานย่ะฮ์ฺ ทำสีหน้ายังกะกินยาขมแล้วถ่ายไม่ออกยังไงยังงั้น จากที่เห็นแล้วเหมือนธีร์จะดูเกรงๆ ซานย่ะฮ์ฺ อยู่ไม่น้อย สังเกตุจากสีหน้าที่ดูซีดลงจนรู้สึกได้ ฉันมองแล้วก็คิด ถ้าเทียบลำดับชั้นแล้ว ธีร์จัดเป็นโอปปาติกะ หรือที่มนุษย์เรียกรวมๆ ว่า ผี นั่นแหละนะ แต่เป็นผีที่ออกจะมีฤทธิ์มากซักหน่อยกึ่งมารไม่ใช่ผีที่เกิดจากจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปแล้ว ขอจัดพวกให้เป็นโอปปาติกะแทนพวกผีก็แล้วกัน 

     

    ตอนที่ฉันเจอธีร์ครั้งแรก ตอนนั้นฉันยังไม่เห็นอะไรแบบนี้หรอกนะ นับย้อนหลังไปก็ประมาณ 4 ปี ที่แล้ว

     

    เหตุช่วงนี้เป็นช่วงปลายพุทธกาลที่เหล่ามารมีอำนาจ และพุทธศาสนากำลังจะล่มสลาย ธีร์จัดเป็นพวกมารเหล่านั้นแหละที่พยายามแสวงหาอำนาจบารมีด้วยการรวมสมัครพรรคพวกออกหลอกชาวบ้านสร้างศรัทธา ธีร์มาหาฉันโดยความฝัน เข้าฝันติดๆ กันทุกวัน เป็นเวลาหลายเดือน ตอนนั้นทั้งแปลกใจ ทั้งสงสัย เวลาปกติฉันก็ไม่ค่อยฝันอะไรนะ นี่ทำไมฝันถึงคนๆ เดิมตลอดทุกคืน ทุกคืน เขาพาไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ หรือบางทีก็คุยกันสัพเพเหระ เราก็เลยรู้จักกันไปเองตามเวลา เหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เจอกันเพียงยามค่ำคืน

     

    จากที่เคยเห็นกันแค่ในฝัน เพียงไม่นาน ฉันเริ่มได้ยินเสียงของธีร์แว่วอยู่ข้างหู ฉันสามารถสื่อสารกับธีร์ได้แม้ไม่ได้นอนหลับฝัน เหมือนเสียงเขาจะเข้ามาเอง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไม่ได้เริ่มฝึกจิตอย่างจริงจังเท่าไหร่ด้วย จากเหตุการณ์ครั้งนี้นั่นเองที่ทำให้ฉันเริ่มจริงจังกับการฝึกจิตทำสมาธิ ฉันเองอยากจะสื่อสารกับเขาให้มากกว่านี้ ตอนนั้นมันเป็นเรื่องแปลกใหม่และน่าตื่นเต้นไม่น้อย

     

    เหมือนกับเร่งวันเวลาแล้วก็รอคอยให้ถึงเวลากลางคืนเพื่อจะพบกับใครซักคนหนึ่ง เขาดูน่าค้นหา น่าตื่นเต้น และดูมีพลังอำนาจลึกลับ บางครั้งเขายังเข้าสิงใครต่อใครรอบกายฉันแล้วเข้ามานั่งคุยกันเสมือนเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันกำลังตกหลุมที่เขาขุดไว้โดยไม่รู้ตัว

     

    อยู่มาวันหนึ่ง ฉันไม่อยากรอให้ถึงกลางคืนเพื่อพบเจอ หรือแม้แต่รอกลางวันเพื่อให้เขาสิงร่างใครมาคุยกับฉัน ฉันอนุญาตให้เขาใช้ร่างของฉันได้เพื่อสื่อสารกัน มันคงคล้ายๆ กับพวกร่างทรงนั่นกระมั

    แต่เขาก็ไม่สามารถใช้ร่างของฉันได้ อาจจะเพราะสิ่งที่คุ้มครองกายสังขารของฉันไม่ยินยอมเช่นนั้น ฉันเคยฝันว่า มีชายหนุ่มหน้าตาผ่องใส ผิวขาวเหมือนน้ำนม อายุคร่าวๆ ไม่น่าเกิน 21 ปี เอาหุ่นพญาครุฑสีทองอำพันดั่งทองคำขนาดองค์ประมาณฟุตครึ่งเดินเข้ามาที่ฉัน

    เราให้เขาพูดแค่นั้นแล้วก็จากไป ฉันคงเป็นเด็กมีสังกัดสินะ บังเอิญสังกัดรอบๆ กายฉันนี่ก็มีแต่หนุ่มๆ ทั้งนั้นเสียด้วยสิ ฉันมี พญาครุฑหุ่นล่ำหนาคุ้มครองประหนึ่งเงาตามตัว ธีร์เกรงใจท่านพญาครุฑจึงทิ้งระยะห่างไว้ แค่เพียงการพูดคุย เคยถามท่าน ท่านว่าให้เรียกท่านว่า อนาฆินทร์ หรือปู่ครุฑตามที่เรียกเหล่านาคาพวกนั้นก็ได้ เพราะอายุของท่านก็ไม่ใช่น้อยๆ (เพียงแต่ก็ไม่มากเท่าปู่ๆ พวกนั้น) คิดถึงตรงนี้น้ำลายฉันก็แทบจะกระฉอกออกมาให้เช็ดแทบไม่ทัน เมื่อนึกถึงหนุ่มๆ ทั้งหลายรอบๆ กายฉันล้วนแล้วแต่หล่อล่ำ ก้ามปูทั้งนั้นสินี่ 

     


    เมื่อธีร์ ไม่สามารถใช้ร่างกายของฉันได้ คงนับว่าเป็นความโชคดีมากๆ ในขณะที่หลายๆ คนกลับเป็นฝ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายมารและโดนยึดเอาสังขารไปใช้งานแทนอย่างไม่ทันรู้ตัว พวกนี้มักจะหลอกมนุษย์ว่าเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ มุขนี้ใช้ได้กับมนุษย์ที่ยังอยากได้อยากมีและคงใช้ได้ต่อไปจนกว่ากิเลสของมนุษย์จะหมดไปนั่นแหละ (แน่นอนฉันก็เคยตกหลุมนี้ไปเหมือนกัน แต่ติดที่ว่าต้นสังกัดเขาไม่อนุญาต) เรียกได้ว่าฉันรอดมาได้แบบฉิวเฉียด สุดท้ายในภายหลัง ฉันตัดสินใจไม่พูดไม่คุยกับสิ่งเหล่านี้ไปเลย เพราะฉันรู้แล้วล่ะว่า ฉันคงไม่เก่งพอที่จะแยกแยะว่าสิ่งใดลวงสิ่งใดดี ขนาดคนแท้ๆ ฉันยังแยกไม่ออก นับประสาอะไรกับผีเล่า

    เป็นช่วงที่ใกล้กับวันหยุดยาวช่วงปีใหม่ ไม่ใช่ธีร์แค่ผู้เดียวหรอกนะ ที่พยายามจะเข้ายึดสังขารของฉัน แต่ธีร์มาแบบเนียนๆ ค่อยๆ แฝงกายมาอย่างมิตร ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกถึงการโดนบีบบังคับทำให้ใจฉันยอมรับเขาเข้ามาทีละน้อยๆ เราต่างกลายเป็นเพื่อนของกันและกันไป ประกอบกับสังขารของฉันเองก็เริ่มอ่อนล้าจากการโดนแฝงกินบุญโดยไม่รู้ตัว เคยได้ยินไหม มนุษย์ที่โดนแฝงจะค่อยๆ โดนดึงทั้งพลังงานชีวิตและพลังบุญออกไปจนหมดซึ่งสง่าราศี ฉันคงโดนไปเยอะแล้วล่ะ เพราะช่วงนั้นจัดได้ว่าโผเผ สโลสเลจะลุกจะเดินก็ไม่ค่อยไหว อยากจะนอนกองอยู่บนเตียงตลอดเวลา


    ฉันคิดแค่ว่าทำอย่างไร เขาถึงจะมีความสุขในภพของเขา ตัวฉันเองก็อ่อนล้า อยากให้เราทั้งคู่ก็มีความสุขในสถานะของตน หนนั้นฉันคิดถึงใครไม่ออกเลยไม่รู้จะปรึกษาใคร โบราณว่า หนีผีให้หนีเข้าวัดสินะ … (เพิ่งรู้ว่าหนีผิด ในวัดนี่ผีเยอะกว่าข้างนอกเสียอีก)

     

    ธีร์ ไปบวชกันไหม?ฉันเอ่ยชวนเขา เพราะเห็นว่าปีใหม่นี้ยังไม่มีโปรแกรมไปที่ไหน

    ไปสิเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ หรือเพราะไม่อาจจะปฏิเสธได้ก็ไม่รู้ ในเมื่อฉันไปไหนเขาก็คงต้องติดตามไปด้วยเป็นจิตแฝงอยู่เช่นนี้

    เมื่อถึงสถานฝึกจิตแห่งหนึ่งฉันเองก็ไม่เคยมาที่นี่เสียด้วยสิ สถานที่โดยล้อมห้อมรอบด้วยต้นไม้ขึ้นครึ้มร่มรื่น ฉันเรียกมันว่า 
    สำนักสวนป่าไผ่ เพราะมันมีต้นไผ่ขึ้นเต็มไปหมด สถานที่พักแบ่งเป็นสัดส่วน ฉันรู้สึกเหมือนร่างกายได้รับการพักผ่อน จากบรรยากาศที่ดูน่ารื่นรมณ์และสงบเงียบเช่นนี้ ท่านอาจารย์ของฉันท่านสร้างสถานที่แห่งนี้ไว้รับรองลูกศิษย์บางส่วนที่อยู่ห่างไกล แม้ตัวท่านเองจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ก็มีวิทยากรและอาจารย์ท่านอื่นคอยควบคุมดูแล


    ฉันเก็บข้าวของและลงมือปฏิบัติตามที่ทางสำนักกำหนดไว้ก่อนจะเข้านอนในช่วงพลบค่ำ …

    ปวดฉี่อ่ะ’  ฉันคิดในใจ

    ตกดึกคืนนั้น ด้วยความไม่คุ้นชินกับสถานที่ที่มันดูวังเวงวิเวกวิโหวงเหวง .. ลมก็แรง อากาศก็หนาว ช่วงปีใหม่นี่นะ พระจันทร์ก็เจียนจะเต็มดวงเต็มที คืนวันพรุ่งนี้จะเป็นคืนวันเพ็ญ ซึ่งเท่ากับวันนี้เป็นวันโกนสินะ ฉันเดินออกมาจากที่พักด้วยใจตุ่มๆ ต่อมๆ

     

    ถึงจะไม่ได้อยู่ในวัดเป็นแค่สำนักปฏิบัติ แต่มันก็เป็นอาณาเขตของสงฆ์นะเฟร๊ยยย อย่าคิดจะมาหลอกมาหลอนกันเชียว ฉันคิดแบบนี้ พลางนึกไปถึงธีร์


    ธีร์ ตามฉันมาด้วยนะ ถ้าเห็นผีช่วยสะกิดฉันทีนะฉันบอก

    “…..” เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

    ได้ยินไหม? ฉันย้ำอีกที
    อย่าบอกนะ ว่ากลัวผี?” เขาถาม

    ไม่ได้กลัว แค่เกรงใจฉันตอบตามที่ใจคิดแบบกลัวเสียหน้า
    เธอเป็นผี เธอเห็นได้ดีกว่าฉันแน่ๆ เห็นแล้วสะกิดทีนะ อย่าให้ฉันเผลอเดินเซ่อซ่าเข้าไปหามันล่ะ
    แล้วที่คุยอยู่ด้วยนี่ ไม่ใช่ผีหรือ???” เขาถามกลับ จนฉันอึ้ง

    “….” เออว่ะ

    นี่มันผีคนรู้จัก อันนั้นมันผีแปลกหน้า มันไม่เหมือนกันเว้ยยฉันยังเถียงเขาไปแบบมีเหตุมีผล ใช่แล้วฉันเป็นคนมีเหตุผล (ข้ออ้าง) เสมอแหละ

    เหมือนได้ยินเสียงเขาหัวเราะลอยมากับสายลม หึหึ


    วันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคม ทางสำนักปฏิบัติ เริ่มมีคนนอกเข้ามาตั้งโรงทานเพื่อรองรับคนนอกที่มีจิตศรัทธาเข้ามาสวดมนต์ข้ามปี ผู้คนหลั่งไหลทยอยมา ฉันเห็นธีร์ ถือลูกชิ้นปิ้งเดินมาแต่ไกล.. 

    "เฮ้ยย?? เอามาจากไหน เอามากินได้ยังไง??" ฉันถาม ถึงตรงนี้แหละ ที่ฉันเห็นความแตกต่างระหว่างธีร์ และซานย่ะฮ์ฺ ซานย่ะฮ์ฺหรือพวกปู่ๆ ไม่เคยกินอะไรให้ฉันเห็นเลยซักครั้ง เหมือนกันว่าเขาดูจะอิ่มทิพย์ตลอดเวลา แต่ธีร์ยังคงต้องการอาหารหยาบอยู่ หลายๆ ครั้งฉันก็ยังต้องซื้อแล้วเรียกเขาทานเหมือนเรียกกุมารทองทานแบบนั้นแหละ

    "เขาเอามาแจกเป็นทานน่ะ" ธีร์ตอบในขณะที่ปากยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างน่าเอร็ดอร่อย 
    "กินไม่ได้ล่ะสิ" เขายังคงเย้า
    "เออดิ" วันนั้นฉันถือศีลแปด หลังเที่ยงก็ทานอะไรไม่ได้แล้วพวกที่ตั้งโรงทานนี่ช่างทรมาณกะเพาะฉันดีจริงๆ ของกินเยอะแยะมากมายตั้งยั่วอยู่ตรงหน้า เวลานั้นก็เป็นเวลาบ่ายสามเข้าไปแล้ว ฉันทานอะไรไม่ได้ซักอย่างนอกจากน้ำเต้าหู้ ฉันเดินเลี่ยงเข้าไปทางศาลาใหญ่ที่เริ่มมีการสวดมนต์ข้ามปีกัน พลางคิดในใจ .. เอาจริงดิ นี่เขาเริ่มสวดกันแล้วรึ?? นี่เพิ่งบ่ายสี่เองนะ จะสวดกันยันเที่ยงคืนเลยรึไง ตอนนั้นยังคิดเล่นๆ ไม่จริงจังนักหรอกนะ 

    แต่พอเริ่มสวดไปเรื่อยๆ จนถึง สองทุ่มเท่านั้นแหละ ฉันเริ่มซึ้งกับคำว่าสวดมนต์ข้ามปีทีละนิด ทีละนิด เกิดมาไม่เคยสวดมนต์ข้ามปีกับเขามาก่อน ไอ่ที่คิดว่าเล่นๆ ท่าทางจะเป็นจริง เมื่อพระอาจารย์ทั้งหลายยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสวดลงตอนไหน หนังสือสวดมนต์เล่มหนา สวดวนแล้ววนอีกเหมือนจะให้คำสวดเหล่านั้นตราตรึงซึ้งเข้าไปในดวงจิต 

    ขอโทษเถอะ วินาทีนั้นฉันคงซึ้งไม่ค่อยจะออก กิเลสฉันเยอะนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวน้ำ แล้วก็เริ่มง่วงแล้วด้วย นี่เพิ่งจะสองทุ่มเอง ยังเหลืออีก 4 ชม. กว่าจะเที่ยงคืน

    'ตายๆๆๆ ตรูตายแน่ๆ' ฉันคิด ไอ่เจ้าธีร์ไม่รู้ไปไหน แต่ดูมีความสุขกับอาหารมากมายก่ายกองตรงนอกศาลาเหลือเกิน 
    'หนอย ไอ่ผี ลั๊ลลา'


     

     คืนนั้นจำไม่ได้ว่าได้แอบหลับไปกี่งีบขณะสวด แต่ก็ไม่ได้แอบลุกไปไหน ฉันตั้งใจมาก ปากนี่สวดตามแต่ตานี่แทบปิดเลยล่ะ (ไม่รู้ว่าสวดตรงท่อนหรือเปล่า หรือว่าละเมอสวดในความฝัน) 
    มาบวชคราวนี้ ธีร์พาเพื่อนมาด้วยอีก 3 ตน แต่ฉันไม่ค่อยได้สุงสิงเพราะไม่รู้จัก (จำเป็นต้องรู้จักไหม?) จนถึงเวลาประมาณห้าทุ่มครึ่งจังหวะสวดค่อยๆ เร่งขึ้นเหมือนกับว่าจะบอกเวลาข้ามปี หน้าด้านศาลามีนาฬิกาบอกเวลา อีกไม่นานจะเข้าสู่ปีใหม่ เราสวดมนต์เพื่อรับสิ่งดีๆ เข้าสู่ชีวิต ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่รู้ว่าปีถัดมาจากนั้นเป็นปีที่ผีเข้ามาในชีวิตฉันมากที่สุด

    จากที่ฉันไม่เคยเห็น...ฉันเห็น จากที่ไม่เคยรู้...ฉันรู้ จากที่ไม่เคยได้ยิน...ฉันเจอจัดเต็ม พระเจ้า.. จัดมาชุดใหญ่เป็นคอมโบพร้อมสเปเชียลเอฟเฟคแบบ 4D ทุกทิศทางทั้งภาพ กลิ่น เสียงและสัมผัสหวิวๆ เป็นระยะระยะ มันสมจริงถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวเชียวล่ะ

    เสร็จสิ้นการสวดมนต์คืนนั้น ฉันออกมานั่งมองพระจันทร์ด้านหน้าส่วนพักผ่อน พลางคิดในใจสถานที่ๆ เต็มไปด้วยกลิ่นไอบุญเช่นนี้ ทำไมไม่มีผีเลยเนอะ... 

    โบราณว่า เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ เข้าวัดอย่าพูดถึงผี มันใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ ให้ตายเถอะ
    คิดยังไม่ทันจะขาดห้วง ตรงหน้าก็เจอเลย ชายชุดขาวขาดวิ่น ท่าทางมอมแมมนั่งห่อตัวลีบเล็กอยู่ตรงม้านั่งริมทางเดิน เขานั่งขดหดตัวแทบจะราบติดพื้นดินมองดูสลัวๆ เป็นเงาตะคุ่ม ๆ ...
    'ถ้าฉันขวัญอ่อน จะให้ชอคตายอีกกี่หนก็คงไม่พอ จะมาก็อย่ามาแบบหลอนๆ ได้มะ'

    'มันไม่ใช่คนแน่ๆ' ที่นี่เป็นเขตสงฆ์ซ้ำยังเป็นเขตที่ท่านอาจารย์คุ้มครองดูแล ผีที่เข้ามาได้มันคงไม่ใช่ผีเลวร้ายซักเท่าไหร่ ฉันก้มลงไปมองดีๆ ผีตนนั้นไม่สบตาแต่พนมมือนิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดอะไร 

    'คาดว่าน่าจะขอส่วนบุญ' คิดได้เท่านั้น จึงกำหนดจิตอุทิศส่วนกุศลให้เท่าที่พอจะมีแก่เขา เห็นเสื้อผ้าขาดวิ่นของเขาเปลี่ยนเป็นผ้าใหม่ เขายิ้มแล้วจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลยซักคำ นอกจากค้อมศีรษะลงนิดนึงเหมือนเป็นการขอบคุณ 

     

    คิดแล้วก็รู้สึกเวทนาอยู่ในใจ จะมีผีอีกมากแค่ไหนที่กำลังหิว ตอนเป็นคนทำไมถึงไม่คิดเผื่อเวลาตายเอาไว้บ้าง สะสมแต่สมบัติมนุษย์แต่ไม่สะสมสมบัติเผื่อโลกหน้ากันเลย ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันคิดว่า ฉันเจอผีเข้ามาขอส่วนบุญ มันจะมีสถานที่ใดๆ ให้พวกเขาสามารถสะสมบุญให้ตัวเองโดยไม่ต้องมานั่งขอจากมนุษย์ได้บ้างไหมนะ?? ฉันคิด 

    มองไปโดยรอบ สถานที่แห่งนี้มีเทวดาอยู่มากมาย และก็มีจิตวิญญาณอยู่มากมายเช่นกัน ฉันนั่งมองนิ่งๆ เห็นบางตนเหมือนกำลังปฏิบัติภาวนา ถึงแม้จะไม่มีกายหยาบแบบมนุษย์แต่ยังมีเวทนาอย่างอื่นให้พิจารณา ฉันถึงได้แจ้งแก่ใจว่า แม้แต่โลกวิญญาณก็มีสถานปฏิบัติธรรม (ฉันเคยถามเพื่อนท่านอื่นๆ อีก 2-3 ท่านก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีสถานที่แบบนี้อยู่หลายที่เหมือนกัน) 


    ไม่รอช้า ฉันถามธีร์ทันที 
    "อยู่เสียที่นี่ดีไหมเพื่อน??" เจอวิธีสลัดออกแล้วสิ เขาดูจะชอบความสงบร่มรื่นของที่นี่เหมือนกันนะ 
    ธีร์ตอบตกลง อย่างไม่ลังเล ดูท่าแล้วก็ยังเป็นจิตที่ใฝ่ดีอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่มีคนนำทางให้เท่านั้นเอง 

    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกปี ฉันจะกลับมาสถานที่แห่งนี้ เพื่อเติมพลังชาร์ทแบตเตอรี่ชีวิต พร้อมกับเอาฝูงผีมาปล่อยทิ้งไว้ทีละหลายๆ ฝูง 

    ... สำนักสวนป่าไผ่ ... 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×