คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : คนเล่นของ ตายไปคงต้อง....
ทำเลวตอนนี้ เป็นผีชาติหน้า
.....................
“ไงเพื่อนรัก .. พักนี้หายไปไหนมาจ้ะ” ฉันทักเพื่อนซี้คนละมิติ ทันที ที่ลืมตาขึ้นมาเจอเขาท้าวแขนนอนตะแคงข้าง จ้องมองหน้าอยู่ข้างๆ ชีวิตประจำวันของฉัน ก่อนนอนทุกคืนจะมี ซานย่ะฮ์ฺคอยกล่อมให้เข้านอน ตื่นเช้าจะมีเขาคอยปลุก มันเป็นชีวิตประจำวันไปแล้วสิ ที่จะมีเขาคอยก่อกวนถึงมันจะแปลกๆ แต่มันก็หายเหงาไปได้เหมือนกันนะ …. แต่ 2-3 วันนี้เขาดูเงียบๆ หายๆ ไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเองก็ไม่ได้พยายามจะติดตามหา ถึงแม้ว่าจะทำได้ เพราะพยายามแบ่งเส้นระหว่างเราและเขาเอาไว้บ้าง เผื่อเขาจะคิดได้ว่าตามฉันอยู่แบบนี้ก็คงไม่เป็นผลดีกับเขาเท่าไหร่นัก เพราะคำว่าห่วงหา อาทรเท่านั้นจริงๆ ที่ผูกพันเขาไว้กับภพภูมิที่ต่างจากตัวเขาถึงขนาดนี้
เขาเคยบอกว่าถึงเราจะต่างกัน แต่ก็ยังดีที่เรารู้ได้ถึงกันและกัน บางคนนั้นแม้เกิดจนตายไปหลายหนแล้วก็ยังไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีใครบางคนเฝ้าติดตามดูแลห่วงหาด้วยใจอาทร อย่างที่มษุษย์มักเรียกว่า เทวดาคุ้มครอง
มนุษย์ทุกคนมีเทวดาคุ้มครองทั้งนั้นแหละ เขาเล่าเรื่อยๆ เหมือนนิทานก่อนนอน เพียงแต่ว่าเทวดาเหล่านั้นจะเคยมีความสัมพันธ์เช่นใดต่อกันมาก่อนในอดีต บางคนเคยเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง แล้วก็กลับมาเป็นคนรักกันก็มี บางคนตายไปแล้วระลึกได้ มีบุญพอประมาณได้เกิดยังสุขคติภูมิเป็นเทวดา นางฟ้า ก็ยังคงติดตามคนที่เคยรักอย่างห่วงหา แต่บางคนเมื่อหมดภพชาตินั้นไปเกิดใหม่ทันทีระลึกไม่ได้ก็เข้าสู่กงล้อแห่งกรรมของแต่ละคนที่ได้กระทำไว้ มีหลายคนพยายามทำความเข้าใจและศึกษาในเรื่องของกรรมด้วยการฝึกจิตเช่นที่ฉันทำก็มี แต่หลายๆ คนก็มองข้ามความสำคัญตรงนี้และสนใจแต่จะกอบโกยความสุขในภพชาตินั้นๆ อย่างไม่คิดว่าจะมีผลอันใดต่อไปในภายภาคหน้า ช่างน่าเสียดายที่ได้เกิดมาในดินแดนพุทธเช่นนี้
นอนมองดู แม่นมซานย่ะฮ์ฺเล่านิทานไปพลางเอามือเขี่ยผมฉันเล่นอยู่ตรงหน้า.. แหม่ มันเพลินแท้เนาะ พลางคิดในใจ ดีนะที่ไม่ใช่คน ไม่อย่างนั้นคงมีใจสั่นไม่ก็เลือดกำเดากระฉูดหมดจากร่าง แต่เพราะสิ่งตรงหน้านั้นรูปงามเสียจนไม่อาจคิดอกุศลเป็นอื่นได้
“เด็กน้อย..” เขาเอ่ยเบาๆ
“เจ้าไม่ได้สังเกตุรอบๆ ตัวเจ้าเลยรึ ว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่เต็มไปหมด” เขาพูดขำๆ
ฉันลุกทะลึ่งพรวด มองหน้าเขาอย่างสงสัย มีอีกแล้วเรอะ? มันไม่คิดจะพักผ่อนกันบ้างรึไงกัน
“ถามจริงๆ เถอะ นอกจากตามฉัน คนอื่นๆ ก็ถูกตามแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม??”
“ใช่ แล้วแต่ว่าผีตนใด จะโคจรไปเจอใคร เพราะตัวเขาขาดโอกาศในการทำบุญทำกุศล หากพบปะคนที่กำลังจะทำบุญทำกุศล เขาก็จะไปดักเกาะ ร่วมอนุโมทนา หรือว่าติดตามคนๆ นั้นไปเพื่อร่วมสนทนากับภิกษุ ผู้ทรงธรรมเหล่านั้นด้วย เจ้าเองกำลังจะมีงานบุญและไปกราบอาจารย์เจ้าไม่ใช่หรือ?”
“อื้อ คิดว่า พรุ่งนี้ว่าจะไปกราบท่านซักหน่อย ไม่ได้ไปมาหลายเดือนแล้ว” ฉันตอบออกไป
“นั่นแหละ เหตุผล” เขากล่าว
“เหตุผลของ?? “ ฉันยังถาม งงๆ
หน้าหล่อๆ ปานเทพบุตร กระตุกไปนิด… ฝ่ามือฟาดเข้ากลางหัวฉันจังๆ ถึงโดนตบกระโหลกจะไม่มีความรู้สึก ฉันก็ตกใจนะเฟ๊ยยย!!!
“เจ้านี่ทำไม โง๊ โง่ได้ขนาดนี้นะ ผีมารออยู่เต็มบ้านแล้วยังไม่เห็นอีกเรอะ จะโง่ จะเซ่อเอาโล่ รึไง”
“….” ถ้าลบหน้าหล่อ ๆ นั่นออก ไปซะ ปากหมาๆ นี่ก็เป็นจุดเด่นเข้าตำนาน Otop ของซานย่ะฮ์ฺเลยทีเดียว
“ก็ถ้าเขามาเงียบๆ ข้าก็คงไม่รู้เรื่องหรอกหนา”
ตอบยียวนกวนประสาทกลับไป ก็คนนะไม่ใช่ผี พอเห็นผีถึงจะรู้ได้ว่ามีผี
“พวกเขามารอติดตามเจ้าไปวันพรุ่ง ถ้าไปแล้วอย่าลืมชวนพวกเขาไปด้วยล่ะ”
“อะเคร รับทราบขอรับเจ้านาย” ฉันตอบ กวนๆ
ยังไม่ได้คุยอะไรมาก มีเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้านฉันชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่าง นุชชี่ เด็กข้างบ้านนั่นเอง
“มีอะไร” ถามอย่างสงสัย เพราะปกติ ฉันเองไม่ค่อยสุงสิงกับใครนัก นอกจากเวลามีซองขาวซองผ้าป่าแจกเท่านั้นแหละ คนแถวๆ นี้จะได้รับแจกกันถ้วนหน้า และเป็นกันรู้ดีว่า ฉันชอบไปทำสมาธิ ตามป่า ตามวัดบ่อยๆ และมีสัมผัสแปลกๆ หรือคาดเดาเหตุการณ์บางอย่างได้ นานๆ ครั้ง แต่เรื่องเห็นสิ่งแปลกปลอมนี่ เขาก็พอจะรู้ๆ กัน
“มีคนถูกผีเข้าน่ะพี่”
ฉันฟังเด็กตรงหน้าพูดอึ้งๆ … ทวนคำเบาๆ ..
“ผีเข้า??” พูดจริงเรอะ มาบอกฉันทำไม
พ่อเทวธรรพ์ข้างๆ ได้ฟังแล้วอมยิ้มขำๆ ‘สงสัยงานนี้คงได้เป็นหมอผีจำเป็นแน่เลยเจ้า’
ฉันมองคนข้างๆ ค้อนๆ ไม่ต้องช่วยคิดก็ได้นะ หวังว่าคงไม่ใช่แบบนั้น เพราะคาถาอะไรฉันก็ไม่รู้ซักอย่าง จะเอาอะไรไปสู้กับผีฟร่ะ
ฉันถูกเด็กข้างบ้าน กึ่งลากกึ่งดึงพาเข้าไปบ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากบ้านฉันเท่าไหร่ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ (สภาพนี่ เรียกว่า สามารถเรียกศรัทธาจากฝูงชนได้มหาศาลเลยทีเดียวเชียวล่ะ)
คนที่เข้าว่าถูกผีเข้าตรงหน้ามาด้วยอาการปรกติ ไม่ได้โวยวาย หรือแสดงอาการทุรนทุรายใดๆ ญาติๆ บอกว่า ถูกผีเข้า ไล่ยังไงก็ไม่ออก
“เนี่ยอ่ะพี่ เอาหมอธรรม(หมอไสยศาสตร์) มาไล่กี่คนกี่คนก็ไม่ออก พอหมอว่าคาถา ผีมันก็ว่านำ แถมยังเกทับว่า รู้น้อยกว่าผี พอเอาพระมาไล่ สวดมนต์บทไหนก็รู้หมด พูดยังไงมันก็ไม่ไป ทางญาติหมดปัญญาจึงปรึกษากันว่าจะพาพี่ช่วยพูดให้ซักหน่อย เผื่อผีมันจะยอมฟัง” นุชชี่ ยังพูดต่อเสียงแจ้วๆ ประหนึ่งว่า ฉันนี่ต้องคุยกับผีตนนี้รู้เรื่องเป็นแน่แท้
ฉันเอามือลูบหน้าเบาๆ คิด… คิด… ... ‘คิดไม่ออกน่ะสิ คนเพิ่งตื่นนอนจะคิดอะไรได้ล่ะ’
“แล้วคิดยังไง ถึงคิดว่าผีมันจะคุยกับฉันรู้เรื่องล่ะ” ฉันถามออกไปหลังจากตั้งสติได้
“ก็ผีมันบอกว่า อยากจะเจอพี่นี่นา มันว่ามาดักรอตั้งนานแล้วพี่ไม่เห็นมันซักที มันก็เลยเข้าสิงคนนี้แหละ” เด็กสาวตรงหน้ายังจีบปากจีบคอพูดต่อ
หรือว่ามันจะเป็นผีรู้ภาษา??? เออแฮะ อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิดก็ได้นะ ฉันหันไปมองผีตรงหน้าแล้วถามไป
"ทำไมจึงเข้าสิงเขา"
ผีก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังไปกราบพระสุปฏิปันโณรูปหนึ่ง จึงได้เข้าสิงคนๆ นี้ อยากจะขอติดตามไปกราบหลวงพ่อและให้หลวงพ่อท่านแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้ด้วย"
ผีตนนั้นเล่าว่า
“สมัยมีชีวิตเป็นหมอไสยศาสตร์ชื่อดังที่เป็นที่เคารพของคนอย่างมาก ถ้าเอ่ยชื่อออกไปใครๆ ก็คงรู้ วิชาคาถาอาคมเรียนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ พวกที่เขาเชิญมาไล่ถ้านับไปก็เป็นแค่ลูกศิษย์หลานศิษย์ของข้าทั้งนั้น
ในสมัยนั้นใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรก็มาขอให้ข้าช่วย ลูกหาย ผัวทิ้ง เมียหาย ของหาย สารพัด
พอเขามาให้ช่วย ข้าก็เข้าที่ภาวนา จิตข้านี่อยากรู้อะไรก็รู้ มีกำลังนักหนา รู้กระทั้งวันตายของตัวเอง ข้าฝึกสมาธิเข้าฌาณระดับสูงได้ ตอนนั้นคิดเลยถ้าตายคงคงไม่พ้นได้ไปเกิดเป็นเทพ เป็นพรหมแน่ๆ“
เล่าถึงตรงนี้ ผีตนนั้น เว้นวรรคไปพักนึง กลืนน้ำลายลงคอเอิ้กใหญ่
“แต่พอร่างกายสิ้นลม ที่สว่างกลับมืดสนิท พอดูดัวเองก็พบว่า กลายเป็นเปรต... มหิทธิกาเปรต แม้มีอิทธิฤทธิ์มาก แต่ก็เป็นเปรต”
“อืมมมม……….” ฉันทำเสียงว่าเข้าใจ อย่างสนใจ แต่ก็ยังมีเรื่องไม่เข้าใจอยู่ดี
“แล้วตามฉันมาทำไมหรือ?” เมื่อสงสัยก็ถามออกไป
“วันพรุ่ง ข้าขอให้เขาเอ่ยเรียกชื่อข้าให้ไปกับเจ้า ข้าอยากไปกราบพระอาจารย์ท่านนั้น หากข้าไปฟังธรรมจากท่าน ข้าอาจจะหลุดพ้นจากสภาพของเปรตเช่นนี้ได้” ผีตนนั้นกล่าว
“แค่นี้??” ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ .. เออ คราวนี้ง่ายดีจังวุ้ยยย ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากขายขี้หน้านิดหน่อย เพราะฟันเฟินนี่ยังไม่แปลงเลย แต่ก็หวีผมจัดแต่งทรงออกมาบ้าง ล้างหน้าล้างตานิดหน่อยก่อนจะเดินออกมา
“แล้วทำไมไม่บอกกันดีๆ มาเข้าสิงคนอื่นให้เรื่องมากทำไม”
“ข้าพยายามจะบอกเจ้าแล้ว .. แต่เจ้าไม่เห็นข้า” ผีตนนั้นเอ่ย
ก็คงจะจริงนั่นแหละ เวลาปกติขืนให้ฉันมาคอยมองหาผี พอดีไม่ต้องทำมาหากินแน่ๆ ส่วนมากก็เลยไม่มองไม่สนดีกว่า แหม่ ผีพวกนี้ก็ช่างเก่งนะ หาทางออกให้ตัวเองจนได้ ถึงจะวุ่นวายไปบ้างก็เถอะ
“งั้นจบเรื่องละนะ” ฉันพูดพร้อมเกาหัวแกรกๆ เดินกลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุนัก คิดในใจ
‘เกิดเป็นคนนี่เรื่องมันก็เยอะพอแล้วนะ …. นี่ยังต้องวุ่นวายกับเรื่องของผีอีกเนอะ’
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย ขอให้ท่านเจริญในธรรมและหลุดพ้นจากภพเปรตนั้นโดยไวเถอะนะ….
--------
*** โอวาทธรรมจาก หลวงปู่พุธ ฐานิโย
"คนเรานั้น เข้าใจผิดกันไปใหญ่โต เห็นพระมีฤทธิ์นิดๆหน่อยๆ เสกพระขลังยิงไม่เข้าฟันไม่ออก ก็นึกว่าท่านต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันไปโน่นแล้ว พวกเรียกคาถามนต์ไสยศาสตร์นี้ ตายไป ไม่ได้เป็นเกิดเป็นเทวดาอะไรหรอก แต่ต้องไปเกิดเป็นผีใหญ่(มหิทธิกาเปรต)หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกจิดังๆที่เล่นมนต์ไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากๆนั้น ตายแล้วไปเป็นผีใหญ่แทบทั้งสิ้น ก็บรรดามนต์ขลังหรือเครื่องรางที่อาจารย์ไสยศาสตร์นี้ทำไว้มันขลัง เพราะพวกอาจารย์ไสยศาสตร์ที่ตายไปเป็นผีใหญ่มหิทธิการเปรตนี้ เขาก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เมื่อคนที่มีของขลังที่ทำเอาไว้มีอันตราย เขาก็จะส่งฤทธิ์มาช่วยให้เหนียวบ้าง คงกระพันบ้างไปตามเรื่อง นั่นเอง
เป็นพระเป็นสงฆ์ วิชชาของพระพุทธเจ้ามีดีๆกลับไม่เรียน กลับไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์ ตอนภาวนามนต์ไสยศาสตร์ แม้จิตจากสว่างไสว รู้ตื่นเบิกบาน รู้เห็นอะไรมากได้หลายอย่างก็จริง แต่ครั้นเวลาจะตาย แม้จะภาวนามนต์ไสยศาสตร์จนจิตสว่างก็ตาม (จิตดีน่าจะไปที่ดีๆ) พอจิตขาดปุ๊บ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นผีใหญ่ไปแล้ว เพราะมนต์ไสยศาสตร์มันกดทับไว้ ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานอะไรหรอก"
"มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลานว่า เมื่อได้บวชมาเป็นพระเป็นสงฆ์แล้ว อย่าไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์เน้อ มันจะกลายไปเป็นผีใหญ่หมดเน้อ..!!!!"
โอวาธธรรม หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ความคิดเห็น