ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic classroom of the elite] วิธีการใช้ชีวิต(ไม่)ธรรมดาๆในโรงเรียนยอดคน

    ลำดับตอนที่ #4 : season 1 โรงเรียนคุโดอิคุเซ (3)

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 67


    “แต้มไม่เข้ามาแบบนี้ ต่อไปจะทำยังไงกันล่ะ”

    ช่วงพักหลังจากอาจารย์ซาบาชิระไม่อยู่ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่สิ เรียกได้ว่าบ้าคลั่งอย่างรุนแรง

    “ปัญหาเรื่องห้องมันยิ่งกว่าเรื่องแต้มเสียอีก…บ้าเอ๊ย! ทำไมฉันต้องมาอยู่ห้อง D ด้วย” ยูคิมุระขึ้นเสียงด้วยความโกรธ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย

    การแบ่งห้องเรียนจะไล่ตามระดับความสามารถ คนเก่งจะได้ไปอยู่ห้อง A พวกนักเรียนไม่ได้เรื่องก็มาห้อง D มันเป็นระบบที่พบได้ตามโรงเรียนทั่วไป นั่นหมายความว่าห้อง D เป็นปราการสุดท้ายในการรวบรวมคนเหล่านั้นเอาไว้ ซึ่งก็คือของตำหนิขั้นเลวที่สุด ทว่า ถ้าเรียงตามความเก่งจริง ๆ คนอย่างโคเอนจิ หรือ โฮริคิตะ ก็ควรได้อยู่ห้องที่ดีกว่านี้ เพราะทั้งสองคนเก่งทั้งด้านวิชาการ ทักษะกีฬา ฯลฯ เรียกได้ว่ามีความสามารถครบครัน ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ยังถูกจัดมาอยู่ห้อง D มันหมายความได้อย่างเดียวคือโรงเรียนนี้ไม่ได้วัดจากความสามารถเฉพาะตัวอย่างเดียว

    นักเรียนในห้องต่างไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกสับสนกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ ทั้งห้องกำลังตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่เลยล่ะ

    “เข้าใจว่าคงรู้สึกสับสนกัน แต่ยังไงก็ใจเย็นๆ กันก่อนนะพวกเรา”

    ท่ามกลางกระแสความวุ่นวายในห้องเรียน ฮิราตะซึ่งสัมผัสได้ถึงความอันตรายจึงลุกขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์

    “ใจเย็นๆอะไรกันเล่า นายไม่เจ็บใจเหรอที่ถูกแปะป้ายว่าเป็นพวกสมองทึบน่ะ”

    “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่พวกเรามารวมพลังกันปรับปรุงห้องเรียนให้ดีกว่านี้ก็ได้”

    “ปรับปรุง? ฉันรับไม่ได้ตั้งแต่ที่บอกเรื่องแบ่งห้องแล้ว”

    “ฉันเข้าใจความรู้สึกนายดี แต่ถ้ามัวบ่นก็จะเริ่มทำอะไรไม่ได้เลยนะ”

    “ว่าไงนะ!”

    ยูคิมุระขยับไปใกล้ พร้อมจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อฮิราตะตั้งแต่ตอนนี้

    หนวกหูชะมัด ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปฉันคงประสาทแดก สถานการณ์ห้องในตอนนี้มันเกินควบคุมแล้ว ไปหาที่สงบ ๆ อยู่ดีกว่า

    ปึก ปึก

    ผมสังเกตเห็นเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้ากำลังเก็บหนังสือ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์โกลาหลเธอก็ยังใจเย็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะตอนอาจารย์ประกาศผลคะแนนซึ่งโฮซึกิเป็นหนึ่งในคนที่สอบตกและจะต้องถูกไล่ออก หรือ บอกสาเหตุว่าทำไมทุกคนถึงถูกจัดมาอยู่ในห้อง D ขนาดโฮริคิตะผู้รักษาความเยือกเย็นอยู่ตลอด ยังหลุดอากัปกิริยามาให้เห็น ทว่า โฮซึกิกลับไม่หลุดอากัปกิริยาใด ๆ ออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย นั่นเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ถึงจะบอกว่าเป็นคนเก็บสีหน้าเก่งแต่ในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานไม่มีใครเก็บสีหน้าไว้อยู่หรอก

    เสียงเลื่อนเก้าอี้ของเด็กสาวตรงหน้าเรียกความสนใจของคนในห้องไม่น้อย คงเพราะโฮซึกินั้นเป็นคนเงียบขรึม ไม่ยอมสุงสิงกับใครในห้องแม้แต่น้อย เคยมีคนพยายามชวนเธอไปกินข้าวหรือชวนเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ปฏิเสธมันทั้งหมด ถึงเธอจะเคยเอ่ยปากชวนผมครั้งหนึ่งเพราะความสงสารแต่มันก็เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเธอไปไหนกับใครอีกเลย เรียกได้ว่าเป็นคนเย็นชายิ่งกว่าโฮริคิตะอีกกระมัง จนอิเคะตั้งฉายาให้เธอว่ายัยมืดมน

    “จะไปไหนงั้นหรอ”

    เมื่อเห็นเธอเก็บของลุกจากที่นั่งผมก็อดถามเพราะความสงสัยไม่ได้

    “ไปหาที่อ่านหนังสือ” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชาตามปกติก่อนจะเดินจากไป ทุกคนในห้องต่างมองเธอด้วยสายตางุนงง การที่เธอทำตัวลอยเหนือทุกปัญหาทุกสถานการณ์โดยไม่สนว่าคนในห้องจะเป็นตายร้ายดียังไง หรือ ต่อให้ห้องแตกก็คงจะไม่สนเหมือนกัน การกระทำแบบนี้มันสรุปได้ 2 ประเภท อย่างแรกคือปลงกับทุกอย่างเเล้วรอรับชะตากรรม อย่างที่สองคือเป็นประเภทแบบโคเอนจิ เหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงคิดอย่างงี้น่ะหรอมันง่ายมากเพราะการวางตัว การกระทำของเธอมันบ่งบอกออกมาได้หมดเลย ตีตัวออกห่างจากทุกคน ไม่ยอมสุงสิงกับใครทั้งสิ้น ไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดๆของห้อง ถึงแม้ว่าการกระทำของเธอจะคล้ายกับโฮริคิตะ ทว่า โฮริคิตะยังมีจิตใจช่วยเหลือคนอื่น ส่วนโฮซึกินั้นไม่มีเลยไม่ว่าจะแววตาหรือน้ำเสียง เธอกีดกั้นทุกคนโดยสมบูรณ์ เหมือนโคเอนจิแตกต่างกันตรงที่นิสัยกระมัง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “โฮซึกิซัง ช่วยรอก่อน”

    ระหว่างกำลังเดินคิดเรื่อยเปื่อยว่าจะไปหาที่นั่งตรงไหนดีเสียงนุ่มทุ้มก็เรียกฉันไว้ก่อน

    คารินชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะหันหลังไปหาเสียงเรียกพลางดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เพิ่งผ่านมา 5 นาที

    ฮิราตะยืนหอบหายใจเล็กน้อย

    วิ่งมางั้นหรอ? ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้นเลยนี่นา

    “โฮซึกิซัง ขอเวลาหน่อยได้ไหมช่วงหลังเลิกเรียนอยากจะคุยเรื่องวิธีที่จะทำให้เเต้มเพิ่มขึ้นมาได้น่ะ ผมอยากให้เธอเข้าร่วมด้วย พอจะได้หรือเปล่า”

    “ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ”

    “ผมคิดว่าจะเรียกทุกคนนะ แต่ว่าถ้าเรียกไปพร้อมกันในคราวเดียว คงไม่มีใครตั้งใจฟังได้ดีหรอก”

    “ถ้างั้นก็ไปชวนพวกโฮริคิตะเถอะ”

    “ผมชวนแล้วพวกเขาไม่มา”

    “งั้นหรอ แต่ขอโทษทีนะ พอดีฉันไม่ค่อยถนัดจะคุยกับใครสักเท่าไหร่”

    “ไม่ต้องฝืนออกความเห็นก็ได้นะ แค่นึกอะไรออกก็พูดได้เลย ขอแค่ช่วยอยู่ตรงนั้นก็พอแล้ว”

    “ขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่คิดจะทำเรื่องไร้ความหมายหรอกนะ”

    “ผมคิดว่านี่เป็นบททดสอบแรกของพวกเราเพราะงั้-“

    “ฉันคิดว่าฉันปฏิเสธแล้วนะว่าจะไม่เข้าร่วมน่ะ” น้ำเสียงของคารินเยือกเย็นและแข็งกร้าว

    “งะ…งั้นเหรอ ขอโทษนะ..แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาผมก็อยากให้เธอเข้าร่วมด้วยอยู่ดี”

    ฮิราตะถอยออกไปด้วยท่าทีเสียดาย เขาดูสลดเล็กน้อย

    ก็ไม่แปลกหรอก ขนาดเจออย่างนั้นก็ยังพยายามเคลื่อนไหวเพื่อคนในห้อง เป็นบุคคลที่ทั้งน่าชื่นชม และ น่าสงสารในเวลาเดียวกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ‘โฮซึกิซัง ปี 1 ห้อง D อาจารย์ซาบาชิระเรียกพบ กรุณามาพบอาจารย์ที่ห้องพักด้วย’

    ภายหลังจากเสียงสัญญาณเบา ๆ ก็ตามด้วยเสียงประกาศไร้ชีวิตชีวา

    ตั้งแต่เข้าเรียนมา ฉันมั่นใจว่าไม่เคยไปทำอะไรให้ถูกตักเตือนเป็นพิเศษ

    ฉันค่อยๆเปิดประตูห้องพักครูออกเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบบุคคลคุ้นหน้าคุ้นตากับเด็กสาว?คนหนึ่งกำลังจิ้มแก้มเขาอยู่

    “..ไง โฮซึกิ”

    “อายาโนะโคจินายก็ถูกเรียกมางั้นหรอ”

    “อะ..อืม”

    “เธอก็โดนซาเอะจังเรียกตัวมาเหมือนกันงั้นหรอ”

    เด็กสาวเมื่อครู่หันมาคุยกับฉัน ไม่สิ เธอเรียกชื่อของอาจาย์ซาบิชิระด้วยท่าทีสนิทสนม ดูเหมือนว่าอายุจะใกล้เคียงกัน เป็นอาจาย์เหมือนกันงั้นหรอ

    “ค่ะ”

    “ฉันชื่อโฮชิโนะมิยะ จิเอะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้อง B แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทกับซาเอะจังมาตั้งแต่ม.ปลาย สนิทกันแบบที่เรียกว่าซาเอะจัง จิเอะจังเลยนะ ~”

    ทั้งที่ไม่ได้ถาม แต่เธอก็ยังบอกข้อมูลที่แค่คาดเดาก็รู้ได้ง่ายๆให้ฟัง

    อาจารย์โฮชิโนะมิยะปรี่เข้ามาเกาะแขนฉันทันทีเมื่อเจอเป้าหมายใหม่

    “นี่ ๆ เธอก็หน้าตาสวยไม่ใช่เล่นนะ ถ้าไม่ใส่แว่นก็คงมีผู้ชายมากมายพยายามเข้าหาเธออย่างแน่นอน”

    อะไรเนี่ย อาจารย์สาวท่าทางขี้เล่นคนนี้ ดูต่างกับอาจารย์ซาบาชิระราวกับเหว ฉันไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับ

    “เห ทำไมเธอสองคนถึงทำตัวเย็นชาใส่อาจาย์จังละอาจารย์เสียใจนะ” อาจารย์โฮชิโนะมิยะแสร้งทำท่าเศร้าใจ

    คารินจ้องมองอายาโนะโคจิอย่างต้องการคำตอบ

    อายาโนะโคจิพยักหน้าเบาๆ

    “อาจารย์ไม่ได้เกลียดเด็กหน้าตายอย่างพวกเธอหรอกนะเพราะห้อง B ก็มีเด็กผู้ชายแข็งกระด้างอยู่คนนึงแถมยังหล่อด้วยนะ ถ้าโฮซึกิจังเจออาจตกหลุมรักก็ด้าย ~”

    “งั้นหรอคะ” คารินแสดงสีหน้าว่างเปล่า

    “อะไรเนี่ย โฮซึกิจังไม่ชอบผู้ชายหล่อๆหรอ”

    คารินทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่นึง

    “ก็ชอบนะคะ”

    “เห็นมะ อาจารย์แนะนำผู้ชายหล่อๆให้ได้นะ โฮซึกิจังชอบแบบไหนหรอ”

    ทำไมมันถึงลามมาคุยเรื่องนี้ได้ละ

    “ก็คงผู้ชายที่มีรอยยิ้มละมั้งคะ” คารินตอบผ่านๆ

    อาจารย์โฮชิโนะมิยะผุดสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

    “เธอชอบรุ่นพี่ หรือ รุ่นเดียวกั-“

    อาจารย์ซาบาชิระที่จู่ ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้น ใช้คลิบบอร์ดที่อยู่ในมือตีลงไปบนศรีษระของอาจาย์โฮชิโนะมิยะดังผัวะ! เสียงดังสะท้อนไปทั่ว อาจารย์โฮชิโนะมิยะทรุดตัวลง กดกระหม่อมเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด

    “เจ็บนะ ทำอะไรอะ”

    “ก็เพราะมาเกะกะนักเรียนของคนอื่นไม่ใช่เรอะ”

    “ก็เห็นบอกว่ามาหาซาเอะจัง ฉันก็เลยมาอยู่เป็รเพื่อนตอนซาเอะจังไม่อยู่นี่”

    “ปล่อยเอาไว้อย่างงั้นก็ได้นี่! ขอโทษที่ให้รอนะทั้งสองคน จะคุยตรงนี้ก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าตามมาก็แล้วกัน”

    พวกเราตามมาจนถึงห้องแนะแนว จากนั้นอาจารย์ซาบาชิระก็เปิดประตูบานหนึ่ง ภายในดูเหมือนว่าจะเป็นห้องครัว มีกาน้ำอันหนึ่งวางอยู่บนแก๊ส

    “ชงชาสักหน่อยไหมครับ เอาเป็นโฮจิฉะไหม”

    อายาโนะโคจิหยิบเอาภาชนะที่ใส่ผงโฮจิฉะออกมา

    “ไม่ต้องทำอะไรที่ไม่จำเป็น หุบปากแล้วอยู่ในนี้ซะ ฟังนะถ้าฉันยังไม่บอกให้พวกเธอออกมา ให้อยู่เงียบ ๆ ห้ามส่งเสียงอะไรออกมาเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม”

    “หา? ผมไม่เข้าใจที่พู-“

    ยังไม่ทันได้ฟังคำอธิบายประตูครัวก็ปิดลง คารินกับอายาโนะโคจิมองหน้ากันอย่างงุนงง

    ไม่ทันจะพูดคุยอะไรกันเสียงประตูห้องแนะแนวเปิดออกมาอีกครั้ง

    “เอ้า เข้ามาสิมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันงั้นหรอ โฮริคิตะ”

    ดูเหมือนว่าคนที่เพิ่งเข้ามาคือโฮริคิตะ

    “ขอถามตรงๆเลยนะคะ ทำไมหนูถึงถูกส่งมาอยู่ห้อง D ได้คะ”

    “ดูท่าเธอคงจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสามารถงั้นสิ”

    อาจารย์ซาบาชิระจี้ได้ถูกจุดเลยนะนั่น

    “หนูมั่นใจว่าทำข้อสอบเข้าได้เกือบทั้งหมด ตอนสอบสัมภาษณ์ก็จำไม่ได้ว่าทำอะไรที่เป็นขอผิดพลาดยิ่งใหญ่ อย่างน้อยฉันก็คิดว่าตัวเองไม่ควรจะถูกส่งมาห้อง D นะคะ”

    โฮริคิตะเป็นพวกคิดว่าตัวเองเก่งและมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ไช่การโอ้อวดที่เกินจริงซักเท่าไหร่ ฉันขอยอมรับว่าโฮริคิตะก็มีความสามารถอยู่ในระดับกลางค่อนสูง เธออาจเก่งกว่านี้ถ้าไม่ได้มีนิสัยแพ้ภัยตัวเอง

    “ทำข้อสอบเข้าได้เกือบหมดเหรอ…ตามปกติแล้วทางโรงเรียนจะให้ดูผลการสอบเข้ารายบุลคลไม่ได้หรอกนะ แต่จะให้เธอดูเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน บังเอิญว่าฉันมีกระดาษคำตอบของเธอพอดี”

    “เตรียมการรอบคอบดีนะคะ..เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องมาทวงติ้งเรื่องนี้”

    “ถึงย้งไงฉันก็เป็นอาจารย์ แล้วก็พอจะเข้าใจลักษณะนิสัยของแต่ละคนอยู่บ้าง โฮริคิตะ ซุซุเนะ ผลการสอบเข้าของเธอก็เหมือนที่เธอคิดไว้นั่นและ ในบรรดาเด็กนักเรียนปี 1 ของปีนี้ ผลการสอบของเธอเป็นอันดับร่วม 3 มีคะแนนเฉือนกับอันดับ 1 และ 2 แค่นิดเดียว ทำได้ดีจนเกินพอเชียวละ”

    “ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไ-“

    “ก่อนอื่น ทำไมเธอถึงไม่พอใจที่ได้อยู่ห้อง D ละ”

    “ไม่มีใครดีใจกับการที่ตัวเองไม่ได้ถูกตัดสินอย่างเหมาะสมหรอกค่ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการแบ่งห้องของโรงเรียนนี้จะส่งผลต่ออนาคตของฉันแล้วด้วย นั่นย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่พอใจค่ะ”

    “การตัดสินอย่างถูกต้องเหมาะสม? เดี๋ยวนะ ดูเหมือนเธอจะประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อย”

    อาจารย์ซาบาชิระหัวเราะคิกใส่โฮริคิตะ

    “ฉันยอมรัยว่าเธอเป็นคนที่มีผลการเรียนดี แล้วเธอก็เป็นคนหัวดี แต่ว่าใครล่ะที่เป็นคนตัดสินว่าคนที่เรียนดีเท่านั้นจะได้อยู่ห้องโดดเด่น พวกเราไม่เคยพูดแบบนั้นเลยสักครั้ง”

    “เรื่องนั้น..มันเป็นเรื่องปกติของโลกนี่คะ”

    “ปกติ? ก็เพราะไอเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เกิดสังคมอันเน่าเฟะของญี่ปุ่น ตัดสินความสามารถของคนเพียงแค่จากคะแนนสอบ จริงอยู่ที่ว่าการเรียนดีก็เป็นสถานะอย่างหนึ่ง แล้วฉันก็ไม่ได้ค้านอะไร แต่โรงเรียนนี้จะให้กำเนิดคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วยังคิดว่าตัวเองควรจะได้อยู่ห้องที่ดีกว่านี้ละก็ เธอคิดผิดแล้วละ แล้วก็เธอลองคิดดูให้ดี ถ้าหากว่าตัดสินคนจากผลการเรียนพวกสุโดจะเข้ามาโรงเรียนนี้ได้หรอ”

    ถึงโรงเรียนแห่งนี้จะจัดว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำของญี่ปุ่นในด้านการศึกษาต่อ แต่ก็ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่เข้าร่วมด้วยความสามารถด้านอื่นอยู่ด้วย

    “และอีกอย่าง ที่เธอบอกว่าไม่มีใครที่ดีใจกับการที่ตัวเองไม่ได้รับการตัดสินอย่างถูกต้องเหมาะสม ต่อให้เป็นห้อง A ก็ต้องกดดันอย่างมากจากความคาดหวังของโรงเรียน เจอแรงอิจฉาจากห้องที่ต่ำกว่าก็ไม่น้อย การที่ต้องใช้ชีวิตไปกับการต่อสู้ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงในแต่ละวันมันลำบากกว่าที่จินตนาการไว้เยอะนะ ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีคนที่คิดว่า’ไม่ได้รับการตัดสินอย่างถูกต้องก็คงดี’อยู่ด้วยเหมือนกัน”

    “ล้อเล่นกันหรอคะ ฉันไม่เข้าใจคนแบบนั้นหรอกค่ะ”

    “งั้นหรอ แต่เสียใจด้วยนะ การที่เธอถูกจัดมาให้อยู่ห้อง D ไม่มีความผิดพลาดอะไรทั้งนั้น”

    “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะสอบถามทางโรงเรียนดูค่ะ”

    โฮริคิตะไม่มีท่าทียอมรับว่าตัวเองควรถูกจัดมาอยู่ห้อง D อีกทั้งยังตัดสินใจไปแล้วว่าการพูดกับอาจาย์ที่ปรึกษาดูไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ในเมื่ออาจารย์บอกมาขนาดนี้ มันก็คงเป็นการกระทำที่ดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์

    “ต่อให้ขึ้นไปถึงเบื้องบน ผลก็ออกมาเหมือนเดิม อีกอย่างเธอไม่ต้องเสียใจไป อย่างที่บอกไปแล้วเมื่อเช้า ลำดับห้องจะขยับขึ้นลงได้ตามความสามารถ โอกาสที่เธอจะเลื่อนขึ้นไปยังห้อง A ยังมีอยู่”

    “แต่มันไม่ใช่หนทางที่ง่านเลยนะคะ ห้อง D ที่รวมพวกไม่ได้เรื่องเอาไว้ด้วยกัน จะโดดเด่นขึ้นมาจนได้แต้มมากกว่าห้อง A อย่างงั้นหรอคะ ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้เลย”

    ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาของโฮริคิตะนั้นถูกต้อง ความแตกต่างของจำนวนแต้มราวฟ้ากับเหวนั้นปรากฏชัดเจน

    “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะรู้ได้ การที่จะตั้งเป้าไว้บนหนทางบ้าๆนี่หรือเแล่าก็เป็นสิทธิของแต่ละคน โฮริคิตะ หรือว่าเธอมีเหตุผลพิเศษอย่างอื่นงั้นหรอ”

    “เรื่องนั้น..ยังไงวันนี้ฉันก็ขอตัวก่อนนะคะ เพียงแต่ช่วยจำไว้ว่าฉันยังไม่ยอมรับเรื่องนั้นหรอกนะคะ

    “อ้อ จริงสิ ฉันเรียกนักเรียนมาสองคนที่ห้องแนะแนวนี้เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเธอด้วยนะ”

    “มีความเกี่ยวข้อง?..คงไม่ใช่พี่-“

    “ออกกันมาได้แล้ว”

    นี่มันจังหวะนรกชัด ๆ ใครจะไปบ้าออกกัน คารินกับอายาโนะโคจิมองหน้ากันอย่างรู้ใจ

    “จะออกหรือไม่ออก” น้ำเสียงอาจารย์ซาบาชิระเข้มขึ้น

    ฉันกับอายาโนะโคจิเดินออกมาอย่างจำยอม

    “เรื่องที่ฉันพูด..ได้ยินหมดเลยงั้นหรอ”โฮริคิตะถาม

    อายาโนะโคจิกับคารินหลบตาเธอ

    “..อาจารย์ ทำไมถึงได้ทำแบบนี้คะ”

    โฮริคิตะเข้าใจในทันทีว่าถูกจัดฉากเอาไว้ เธอแสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน

    “เพราะประเมินแล้วว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นไงล่ะ เอาละทั้งสองคน ฉันจะบอกเหตุผลที่เรียกพวกเธอมาห้องแนะแนว”

    “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวค่ะ..”

    “เดี๋ยวก่อน โฮริคิตะ ฟังให้จบ นี่อาจจะเป็นประโยชน์กับตัวเธอนะ มันอาจจะเป็นคำใบ้ที่ทำให้เธอขึ้นไปถึงห้อง A ก็เป็นไปได้”

    แผ่นหลังของโฮริคิตะที่กำลังเคลื่อนไหวออกไปชะงักหยุดแล้วเธอจึงกลับมานั่งลงบนเก้าอี้

    “ขอสั้นๆนะคะ”

    อาจารย์ซาบาชิระทอดสายตาลงมองคลิบบอร์ดแล้วแย้มยิ้ม

    “เธอทั้งสองคนเป็นนักเรียนที่น่าสนใจนะ”

    ในตอนนั้นเองที่คารินกับอายาโนะโคจิรู้สึกว่าหายนะกำลังมาเยือน

    “ฉันกำลังคิดถึงวิธีการแนะแนวสำหรับนักเรียนแต่ละคนตามผลการสอบเข้าอยู่นะ และพอเห็นผลสอบเข้าของพวกเธอก็เลยสังเกตเห็นเรื่องน่าสนใจขึ้นมา”

    ฉันมองเห็นกระดาษคำตอบจากการสอบเข้าที่คุ้นตานำออกมาจากคลิบบอร์เแล้วเรียงรายไว้

    “ผลการสอบของโฮซึกิ คาริน ภาษาญี่ปุ่น100 วิทย์ศาสตร์100 สังคม100 คณิต100 ภาษาอังกฤษ100 สามารถทำคะแนนได้เต็มทุกวิชาอย่างสมบูรณ์ด้วยนะ”

    โฮริคิตะหยิบผลการสอบขึ้นมาดูอย่างอึ้งๆ

    “นี่มัน..แล้วทำไมถึงติดตัวแดงละ”

    “เรื่องนั้นคงต้องถามจากเจ้าตัวดูเอง”

    เวรแล้วไง อาจารย์ซาบาชิระทำกันเจ็บแสบเลยไม่ใช่หรือไง เธอลากฉันที่ไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ของนักเรียนลงมาในสนามรบอย่างสมบูรณ์แบบ โดนหลอกเข้าเต็มเปา

    “แต่มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นอีกนะ ผลการสอบเข้าของอายาโนะโคจิคุง คณิตศาสตร์50 ภาษาอังกฤษ50 วิทยาศาสตร์50 ภาษาไทย50 สังคม50 พอจะเข้าใจความหมายของคะแนนพวกนี้หรือเปล่า”

    โฮริคิตะมองกระดาษคำตอบด้วยความตกใจ เธอกำลังรู้สึกสับสนไม่น้อย

    คะแนนพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนมันคือการเจตนาอย่างชัดเจน คารินเหลือบมองอายาโนะโคจิที่อยู่ข้างกาย ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังถูกลากเข้าสนามรบหมอนี่ก็ยังสงบนิ่ง

    อาจารย์ซาบาชิระมองท่าทีสับสนของโฮริคิตะด้วยแววตาสงบนิ่งราวกับคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

    “ใกล้จะถึงเวลาประชุมแล้วพวกเธอออกกันไปได้แล้วละ ฉันจะปิดห้อง”

    มาทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้แล้วหนีไปคนเดียวงั้นหรอเป็นอาจารย์ที่แย่จริงๆ

    พวกเราถูกไล่ออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว

    “เอาเป็นว่า..กลับก่อนดีกว่า” อายาโนะโคจิพูด

    นั่นสิ ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ก่อนดีกว่า

    “เดี๋ยวก่อน" โฮริคิตะเรียกให้หยุด

    “ทำไมพวกเธอถึงต้องปกปิดความสามารถของตัวเองละ”

    “ปกปิด? ฉันไม่เคยปกปิดความสามารถของตัวเองสักหน่อย ก็แค่ไม่มีจังหวะให้โชว์ก็เท่านั้น”

    “แล้วทำไมเธอถึงติดตัวแดงล่ะ”

    “ก็แค่อยากลองทำอะไรโง่ๆดูบ้างก็เท่านั้น”

    “นั่นไม่เรียกคำอธิบายสักหน่อย”

    “ฉันพูดได้แค่นี้..ส่วนเรื่องหมอนี่ฉันไม่รู้หรอกคุยกันเองแล้วกัน ไปละ”

    โฮซึกิเร่งฝีเท้าหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

    ยัยนี่ทิ้งบอมแล้วชิ่งหนีไปคนเดียวเฉยเลย

    “อายาโนะโคจิคุงต่อจากนี้เราคงมีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะ” โฮริคิตะจับไหล่ของอายาโนะโคจิที่กำลังคิดว่าจะหนีไว้แน่น

    ยัยโฮซึกิจำไว้เลยนะ

     

     

     

    "นี่ตอนเที่ยงว่างกันรึเปล่า" โฮริคิตะเอ่ยถาม 

    "ถ้าว่างก็ไปกินข้าวด้วยกันหน่อยสิ เธอด้วยนะโฮซึกิ" 

    "เอ๊ะ" ผมหันไปสบตาโฮซึกิที่เงยหน้าออกมาจากหนังสือด้วยสายตาประมาณว่าโฮริคิตะไปกินอะไรผิดสำแดงมารึเปล่า ถึงแม้พวกเราจะอยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนๆ แต่โฮริคิตะไม่เคยเอ่ยชวนพวกเราไปไหนมาก่อน เธอแทบไม่แยเเสพวกเราเลยด้วยซ้ำ มีแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้นที่จะคุยเรื่องในห้องเรียนกับพวกเราเล็กน้อย แต่คราวนี้กับชวนไปกินข้าวด้วยยังไงก็ต้องมีลับลมคมในอยู่แล้ว โฮซึกิเองก็มองไปทางโฮริคิตะด้วยสายตาไม่คาดคิดพร้อมเลิกคิ้ว แต่ผมกับโฮซึกิก็ตอบตกลงไปกินด้วยเพราะคิดว่าอาจมีเรื่องจำเป็นที่ต้องคุย 

    พอมาถึงโรงอาหารโฮริคิตะก็เอ่ยว่าจะเลี้ยงข้าวพวกเราทำเอาโฮซึกิกับผมสงสัยเข้าไปใหญ่แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ของฟรียังไงก็ต้องเอาไว้ก่อน ผมเลือกเซตข้าวที่แพงที่สุดและดูเหมือนโฮซึกิจะคิดเหมือนกันเพราะเธอเองก็เลือกเซตเดียวกัน 

    หลังจากที่หาโต๊ะนั่งพร้อมรับระทานเรียบร้อย โฮริคิตะก็เอาแต่นั่งจ้องเขม็งใส่พวกเราทำเอากินกันไม่ลงเลยทีเดียว 

    "เป็นอะไรทำไมไม่กินล่ะ" โฮริคิตะถาม 

    ยังจะถามอีกนะ แต่รีบ ๆ กินเข้าไปดีกว่าเพราะจะกินช้าหรือเร็วยังไงผลก็เหมือนเดิม 

    "อา...อืม งั้นจะทานแล้วนะครับ" ผมพูดพร้อมตักอาหารเข้าปากโฮซึกิเองก็ตักอาหารเข้าปากตาม 

    หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมา... 

    "เอาล่ะ อยากให้ช่วยฟังฉันหน่อยน่ะ" โฮริคิตะกล่าว 

    "ว่าแล้วเชียว" โฮซึกิเอ่ยอย่างเซ็งๆ  โฮริคิตะไม่สนใจคำพูดของเธอและเอ่ยต่อ "ดูเหมือนพวกฮิราตะจะกำหนดแผนต่อไป ในช่วงพักเที่ยงได้แล้ว เห็นว่าพวกเขาจัดกลุ่มติวหนังสือเพื่อการสอบครั้งต่อไปกัน แต่สามคนที่คะแนนแย่เป็นพิเศษกลับปฏิเสธคำเชิญของฮิราตะ" 

    "สุโดใช่มั้ย" 

    "ใช่และยังมีพวกยามากุจิกับอิเคะด้วย" 

    "ก็ดูเป็นพวกที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนล่ะนะ"

     "ถ้าเป็นฉันคงไม่มีทางติดตัวแดงในการสอบได้ แต่ว่าบนโลกนี้ก็ยังมีนักเรียนป่วยการ ที่ไม่ว่ายังไงก็ติดตัวแดงอยู่" โฮริคิตะพูดพร้อมหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจัง 

    "พูดอย่างไร้ความปราณีเลยนะ" ผมเอ่ยพร้อมคีบอาหารเข้าปาก

    "ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ พวกเขามีโอกาสติดตัวแดงสูง และเพื่อพวกเราที่ต้องการจะไต่เต้าไปยังห้องสูงๆ จำเป็นต้องรวบรวมพอยท์โดยมีพื้นฐานว่าห้ามโดนหักพอยท์อีกเด็ดขาด" 

    "ถ้างั้นเธอก็หมายความว่าจะจัดกลุ่มติวหนังสือและให้ฉันกับอายาโนะโคจิไปลากพวกนั้นมาใช่มั้ย?" โฮซึกิที่นั่งเงียบๆ อยู่นานพูดขึ้น 

    "ใช่แล้วล่ะ ก็ถ้าพวกเขาไม่ยอมทำอะไรเลยก็จะเกิดความเสียหายกับห้อง D โดยรวมนี่ ถ้าหากว่าฉันถูกตัดสินให้อยู่ห้อง D จริงๆ ล่ะก็ ฉันจะต้องไต่ขึ้นไปยังห้อง A ให้ได้" โฮริคิตะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง 

    "เดี๋ยวสิ" ผมเอ่ยขัด 

    "อะไร" 

    "เมื่อกี้เธอพูดว่าห้อง A หรือเปล่า ไม่ใช่ห้อง C หรอกเหรอ" 

    ''ห้อง A ต่างหากล่ะ ฉันยังไม่ได้ยอมรับที่ถูกจัดให้อยู่ห้อง D หรอกนะ" 

    "ถ้างั้นก็จะปรับพฤติกรรมติดตัวแดงก่อนสินะ" 

    "ใช่ เพราะงั้นการรวบรวมสามคนนั้นมาติวให้ได้เป็นหน้าที่ของพวกนาย" พูดจบโฮริคิตะก็ลุกขึ้นพร้อมยื่นกระดาษแผ่นนึงมาให้ 

    "นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์กับอีเมลฉัน ถ้ามีอะไรก็ติดต่อมานะ" หลังจากนั้นโฮริคิตะก็เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย 

    ผมหันไปขอความช่วยเหลื่อจากโฮซึกิแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจสักนิด

     "งั้นฉันฝากนายจัดการเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน" 

    "เอ๊ะ" 

    "นายคิดหรอว่าคนอย่างฉันที่ไม่ได้ติดต่อกับใครนอกจากนายกับโฮริคิตะจะชวนมาได้หรอ" 

    "ไม่ลองก็ไม่รู้นี่" 

    "พวกไม่มีสมองโง่เง่ากับอัธพาลที่ดีแต่ใช้กำลังเป็นประเภทคนที่ฉันไม่อยากเสวนาด้วยที่สุด เพราะงั้นฝากด้วยแล้วกันอายาโนะโคจิคุง" พูดจบโฮซึกิก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียว แล้วผมควรทำยังไงดีล่ะเนี่ย 

     

     

    หลังจากเลิกเรียนภายในห้องก็เหลือนักเรียนอยู่แค่บางคนเท่านั้นอายาโนะโคจิจ้องกระดาษเบอร์โทรโฮริคิตะไว้ในมือ 'ยังไงก็รับมาแล้วมีแต่ต้องทำสินะ' จากนั้นอายาโนะโคจิก็เริ่มปฎิบัติการลากอิเคะ ยามากุจิ สุโดมาเข้าร่วมติวให้ได้ แน่นอนว่าหลังจากผมไปชวนก็โดนปฏิเสธทุกราย ผมกลับมาห้องด้วยความเหนื่อยล้า 

    "ไม่ไหวจริงๆ ด้วยสินะ" 

    "คงต้องให้ใครสักคนที่เป็นเพื่อนกับเจ้าพวกนั้นชวน ถ้างั้นก็เหลือวิธีสุดท้ายแล้วสินะ" ผมโทรไปหาคุชิดะเพื่อขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าคุชิดะตอบตกลงแต่มีเงื่อนไขที่ว่าเธอจะไปเข้าร่วมด้วย 

    หลังจากนั้นผมก็ส่งเมลไปถามโฮริคิตะ 

    [มีสายเข้าจากโฮริคิตะ ซุซุเนะ] 

    "ไม่" โฮริคิตะเอ่ยมาคำเดียวและวางสายทันที 

    ผมตัดสินใจส่งเมลไปหาโฮริคิตะอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะส่งโฮริคิตะก็ปฎิเสธมาซะแล้ว 

    ผมถอนหายใจก่อนจะโทรหาคนอีกคนเพื่อขอความช่วยเหลือ 

    [โฮซึกิ คาริน ] ผมรอสายอีกฝ่ายอยู่สักพัก 

    "มีอะไร" 

    จากนั้นผมก็เล่าสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟัง โฮซึกิเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ย

     "แล้ว? ถ้านายต้องการให้ฉันช่วยงั้น ก็ขอบอกเลยว่าฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก พยายามเข้านะเป็นกำลังใจให้" 

    ตัดสายใส่กันเฉยเลย

    "..." เอาแต่ใจกันชะมัด ผมโทรไปหาคุชิดะอีกครั้ง และ บอกเธอไปว่าโฮริคิตะปฎิเสธจากนั้นเธอก็บอกว่าจะลองหาวิธีเอง

     

     

     

     


    14/2/67 ลงตอน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×