คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : season 1 โรงเรียนคุโดอิคุเซ (2)
“เยอะกว่าที่คิดนะ”
หลังเลิกเรียนฉันกับอายาโนะโคจิและโฮริคิตะรอจังหวะเหมาะๆ แล้วจึงมาที่โรงยิม ที่นั่นมีนักเรียนเกือบทั้งหมดดูเหมือนว่าจะมีปี 1 มารออยู่เกือบหนึ่งร้อยคนแล้ว พวกเราตัดสินใจยืนอยู่บริเวณค่อนไปทางด้านหลังเพื่อรอเวลา ในระหว่างนั้นก็หยิบเอาแผ่นพับรายละเอียดขึ้นมาดู
“นักเรียนปี 1 ทุกคน ขอโทษที่ให้รอค่ะ จากนี้ไปจะเริ่มการแนะนำโดยตัวแทนชมรม ดิฉัน ทาจิบานะ เลขาสภานุการนักเรียน จะรับหน้าที่เป็นพิธีกรในงานครั้งนี้ค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หลังจากที่รุ่นพี่ทาจิบานะซึ่งเป็นพิธีกรเอ่ยคำทักทายแล้วตัวแทนของแต่ละชมรมก็ขึ้นมายืนเรียงรายกันบนเวทีภายในโรงยิม มีตั้งแต่รุ่นพี่สวมชุดกิโมโนออกมาได้อย่างงดงาม ไปจนถึงรุ่นพี่ร่างกายกำยำในชุดยูโด
“ทำไมนายไม่ลองเข้าชมรมยูโดล่ะ ดูเหมาะสมกับนายดีนะ รุ่นพี่ก็ดูใจดีด้วย คงเป็นแรงบันดาลใจได้ดีเลยละ” ฉันถามอายาโนะโคจิด้วยความหยอกล้อ
“ดูใจดีตรงไหนกันเล่า ดูอย่างกับกอริลล่านั่นสิ มีหวังโดนเชือดแหงๆ”
“เดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้นะว่า เธอพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่ายูโดมันของหมูๆ” โฮริคิตะเอ่ยต่อ
“ได้โปรดอย่าทำอย่างนั้นเลยครับ!”
ดูเหมือนโฮริคิตะจะสนุกกับการได้ปั่นหัวอายาโนะโคจิไม่น้อย
“ฉัน ฮาชิกาคิ กัปตันชมรายิงธนูค่ะ…คงจะมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าการยิงธนูมันคร่ำครึหรือเชย แต่ความจริงแล้วการยิงธนูเป็นกีฬาที่ทั้งสนุกและมีคุณค่ามากๆ เลยค่ะ เรายินดีต้อนรับมือใหม่ยังไงก็มาลองแวะชมดูได้นะคะ”
บนเวที นักเรียนหญิงในชุดนักยิงธนูกำลังพูดแนะนำชมรมอยู่
“ดูสิ ต้อนรับมือใหม่ด้วยนะ ทำไมพวกเธอไม่ลองเข้าชมรมนี้ดูล่ะ เพื่องบประมาณของชมรม”
“ถ้าให้เข้าชมรมเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียวล่ะก็ ฉันไม่เอาเด็ดขาด!...อีกอย่าง พวกชมรมธนูปัจจุบันเข้าไปรวมตัวกันน่ะสิ แค่พริบตาเดียวก็เห็นแล้วว่าไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีความสนุก สุดท้ายก็ลาออกกันหมด” โฮริคิตะเถียง
“นั่นมันวิธีคิดจากนิสัยบิดเบี้ยวของเธอไม่ใช่หรือไง”
“ไม่ใช่มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”
ฉันยืนฟังพวกเขาสองคนเถียงกันเรื่องไร้สาระอย่างเงียบ ๆ พลางมองไปบนเวทีที่กำลังมีคนพูดแนะนำชมรมอยู่ ไม่มีชมรมไหนน่าสนใจซักชมรมเลยแฮะ ดูเหมือนครั้งนี้เราจะมาเสียเวลาเปล่า
“..อ๊ะ!”
ขณะที่กำลังดูบรรดารุ่นพี่หมุนเวียนกันขึ้นมาแนะนำชมรมต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จู่ ๆ โฮริคิตะที่อยู่ข้างๆ ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ใบหน้าซีดเซียว ตาจับจ้องไปที่เวที
“เป็นอะไรไป” อายาโนะโคจิถาม
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงเสียงเรียกของอายาโนะโคจิแม้แต่น้อย ฉันไล่สายตามองไปที่เวที แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่แปลกไปเป็นพิเศษ ที่กำลังแนะนำอยู่ขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนจากชมรมเบสบอลที่มาพร้อมยูนิฟอร์มเท่านั้น
“โฮริคิตะ เป็นอะไรไป” อายาโนะโคจิเรียกซ้ำอีกครั้ง
“…”
ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของอายาโนะโคจิจริงๆ เพียงแต่จ้องไปที่เวทีอย่างไม่ละสายตา
ฉันเงี่ยหูฟังเสียงที่กำลังบรรยาย
ทุกอย่างก็ดูปกติดีไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ
เมื่อมีการสลับเปลี่ยนกันขึ้นมาแนะนำชมรมในแต่ละครั้งพวกเด็กปี 1 ก็พากันปรึกษาว่าจะเอายังไงดี
เหล่ารุ่นพี่ที่พูดจบแล้วพากันเดินลงจากเวทีตามลำดับแล้วมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีโต๊ะพับตั้งเรียงรายกันอยู่ หลังจากจบงานแล้วคงใช้พื้นที่นั้นเปิดรับสมัครคนเข้าชมรมทันทีเลยมั้ง หนึ่งคน สองคน จนมาถึงคนสุดท้าย สายตาของทุกคนไปรวมกันอยู่ที่จุดเดียว และตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตว่าสายตาของโฮริคิตะจับจ้องไปที่บุคคลนั้นคนเดียว
เด็กหนุ่มที่มีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าเซนติเมตร รูปร่างเพรียวและมีผมดำสลวย ทั้งยังความเฉลียวฉลาดที่ปรากฏให้เห็นผ่านกรอบแว่นสี่เหลี่ยมนั่น นักเรียนผู้ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนคนนั้นกำลังมองต่ำมาที่นักเรียนปี 1 ด้วยท่าทางสงบ
เขาจะพูดถึงชมรมอะไรกันนะ ฉันชักรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย แต่แล้วฉันก็ถูกหักหลัง เพราะนักเรียนคนนั่นไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“พยายามเข้านะ ~”
“ไม่ได้ถือโพยมาหรอ”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงเหล่านั้นตะโกนดังมาจากเด็กปี 1 แต่ถึงอย่างนั้นนักเรียนชายรุ่นพี่ก็ยังคงสงบนิ่งอยู่บนเวที
โฮริคิตะเองก็ดูราวกับถูกดึงดูดเข้าไป ไม่อาจละสายตาจากรุ่นพี่คนนั้นได้
บรรยากาศที่ผ่อนคลายค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปในทางนอกเหนือความหมายไปทีละนิด เหมือนกับปฎิกิริยาเคมี โรงยิมทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเป็นความตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ไม่มีใครสั่ง แต่ตวามเงียบอันน่าสะพรึ่งกลับทำให้ทุกคนไม่กล้าเอ่ยเอื้อนคำใดออกมา ความเงียบดำเนินการต่อไปทั้งอย่างนั้นราวสามสิบวินาที…รุ่นพี่ที่ยืนอยู่บนเวทีคนนี้นจึงกวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนที่จะเริ่มสุนทรพจน์
“ฉันชื่อโฮริคิตะ มานาบุ ทำหน้าที่เป็นประานสภานักเรียน”
โฮริคิตะ? ฉันเหลือบมองคนข้างๆ ทันที บังเอิญนามสกุลเหมือนหรือมีความเกี่ยวข้องกันแน่
“สภานักเรียนเองก็รับสมัครนักเรียนชั้นปีที่ 1 เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ ทดแทนสมาชิกชั้นปีสูงๆ ที่จบการศึกษาออกไป การเข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่หากใครคิดจะเข้าสภานักเรียนแล้ว ขอความกรุณาอย่าเป็นสมาชิกชมรมใดๆ เด็ดขาด เพราะตามกฏไม่อนุญาตให้นักเรียนควบคู่ทั้งสภานักเรียนและชมรมได้ในเวลาเดียวกัน”
ถึงแม้จะพูดด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่บรรยากาศกลับตึงเครียด นักเรียนจำนวนหนึ่งร้อยคนในโรงยิมอันกว้างใหญ่เงียบสงัดลงได้ด้วยนักเรียนเพียงคนเดียว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่พลังของประธานนักเรียน หากแต่เป็นพลังของเด็กหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้าที่ชื่อว่าโฮริคิตะ มานาบุ ตัวตนของเขาครอบงำคนทั้งโรงยิมเอาไว้ราวกับกดทับลงมา
“นอกจากนี้ สภานักเรียนไม่ต้องการสมาชิกที่คิดจะเข้ามาเล่น ๆ การที่คนแบบนั้นได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นสภานักเรียนถือว่าเป็นเรื่องที่โง่เขลาและคงจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของโรงเรียน อำนาจการปรับเปลี่ยนกฏระเบียบการบังคับใช้ของสภานักเรียนนักเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ทางโรงเรียนยอมรับและให้การคาดหวัง พวกเรายินดีต้อนรับเฉพาะนักเรียนที่เข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น”
เขากล่าวด้วยถ้อยคำหนักแน่น ก่อนจะลงจากเวทีเขาปรายตามองมาทางฉันถึงจะเป็นเพียงครู่เดียวแต่ก็สามารถมั่นใจได้ว่าเขามองมาทางฉันแน่ๆ
อะไรกัน? สายตานั่น ไม่สิบางทีฉันอาจคิดมากไปเอง
ถึงแม้จะมีพิธีกรมาช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียด ทว่า โฮริคิตะยังคงยืนนิ่งไม่ท่าทีจะขยับ
“เฮ้ เป็นอะไรไปน่ะ” อายาโนะโคจิถามอีกรอบ
ดูจากท่าทีของโฮริคิตะตอนนี้เธอจะต้องมีความเกี่ยวพันกับประธานนักเรียนเป็นแน่
เมื่อถึงเวลาอิสระของคาบเรียนว่ายน้ำ ต่างคนต่างแยกกลุ่มกันตามธรรมชาติ ดูเหมือนผมจะล้มเหลวในการหาเพื่อนอย่างงดงามแล้วสิ อายาโนะโคจิถอนหายจนออกมาอย่างเบื่อหน่าย
"มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?"
อา ยังมีอยู่คนนึงสินะ
โฮซึกิเดินมานั่งลงข้างผมแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ดูเหมือนจะเป็นหนังสือแนวฆาตกรรม สืบสวนสอบสวน ไม่คิดเลยว่าเธอจะอ่านหนังสือแนวนี้ด้วย
ผมคงจะจ้องเธอนานเกินไปโฮซึกิจึงหันมามองผมแล้วเลิกคิ้ว
"มองอะไรมิทราบ"
ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เธอเดินมานั่งข้างผมแทนที่จะขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์เหมือนคนอื่น ๆ เพราะพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันมากสักเท่าไหร่เหมือนเป็นแค่เพื่อนร่วมโต๊ะกันเฉยๆ
"ฉันกำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงใส่ชุดนักเรียนมานั่งข้างสระน้ำล่ะ? ฉันนึกว่าเธอจะไปนั่งอยู่ข้างบนเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใส่ซะอีก"
"เรื่องของฉัน"
เป็นคำตอบที่ใจร้ายชะมัด
โฮซึกิกลับไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อ ผมมองไปยังสระว่ายน้ำซึ่งมีนักเรียนหญิงกำลังเล่นน้ำอยู่ ช่างเป็นอาหารตายามเช้าที่ดีเหลือเกิน
ผมเหลือบมองโฮซึกิอีกครั้ง ฉับพลันสมองของผมก็เกิดความคิดกิเลศขึ้นมาทันที โฮซึกิในชุดว่ายน้ำจะดูเป็นยังไงนะ เธอเองก็มีรูปร่างสมส่วนเหมือนพวกนางแบบ แถมยังดูเหมือนจะซ่อนรูปด้วยสิ เดี๋ยว ๆ นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมคงต้องเลิกคิดฟุ้งซ่านจริงจังๆ แล้วสิ
"นั่งหดหู่อะไรอยู่น่ะ"
โฮริคิตะในชุดว่ายน้ำโรงเรียนเดินมานั่งลงข้างผม เธอในชุดว่ายน้ำโรงเรียนนั้นค่อนข้างไม่เลว รูปร่างที่สมส่วนนั้นดูเข้ากับชุดว่ายน้ำโรงเรียน นี่สินะความรู้สึกของการมีสาวสวยนั่งประกบข้าง
"แค่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ของตัวเองน่ะ"
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ โฮริคิตะถึงได้จ้องมองผมไปทั่วทั้งร่าง
"อายาโนะโคจิ นายเล่นกีฬาอะไรหรือเปล่า"
"เปล่านี่ ก็ไม่อยากอวดหรอกนะตอนอยู่มัธยมต้นฉันอยู่ชมรมกลับบ้านน่ะ"
"ถึงอย่างนั้น...ต้นแขนกลับกล้ามเนื้อลำตัวไม่ธรรมดาเลยนะ"
"ก็แค่ร่างกายที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากพ่อแม่เท่านั้นและ"
"ดูแล้วฉันว่าเหตุผลไม่ได้มีแค่นั้นหรอกมั้ง"
"เธอนี่เป็นพวกคลั่งกล้ามหรือไง"
"ถ้าจะปฎิเสธขนาดนั้นล่ะก็...จะยอมเชื่อแล้วกัน"
ดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ดูแล้วโฮริคิตะนี่น่าจะมองอะไรออกในระดับหนึ่งเหมือนกัน
"นี่ โฮริคิตะซังมาว่ายน้ำด้วยกันมั้ย" คุชิดะที่โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเอ่ยปากถาม
"ไม่ล่ะ"
"โฮริคิตะซังว่ายน้ำไม่เก่งหรอ"
โฮริคิตะเผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาให้เห็นเล็กๆ กับคำถามนั้น แต่ก็ตอบกลับไปนิ่งๆ
"ไม่ได้เก่งแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร''
"สมัยมัธยมต้น ฉันว่ายน้ำไม่ได้เรื่องเลยล่ะ จากนั้นมาก็ฝึกอย่างเต็มที่จนว่ายน้ำได้ในที่สุด"
''งั้นเหรอ''
โฮริคิตะตอบอย่างไร้ความสนใจ ก่อนจะเว้นระยะห่างจากคุชิดะเล็กน้อย ส่งสัญญาณที่บอกว่าไม่อยากคุยมากกว่านี้
“เอาละพวกแกมารวมกันได้แล้ว”
ตาลุงที่มีร่างกายล่ำบึกเหมือนแบกตัวอักษรคำว่าสปิริตนักกีฬาเอาไว้เรียกรวมตัว แล้วคาบเรียนว่ายน้ำก็เริ่มต้นขึ้น จะว่าไปก็สมกับเป็นอาจารย์พละดี
“สังเกตการณ์สิบหกคนงั้นเรอะ เยอะไปหน่อยนะแต่ก็ช่างเถอะ” เห็นได้ชัดว่ามีพวกโดดเรียนรวมอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร
“ออกจะกะทันหันไปหน่อย แต่หลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว ฉันอยากจะดูความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ จะให้ว่ายน้ำให้ดูหน่อยน่ะ”
“เอ่อ…อาจารย์ครับผมว่ายน้ำไม่เป็น”
นักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ถ้าฉันเป็นคนดูแลล่ะก็ รับรองว่าเธอว่ายน้ำเป็นก่อนหน้าร้อนแน่ วางใจได้”
“ไม่ต้องฝืนให้เราพยายามว่ายน้ำได้หรอกครับ ยังไงก็ไม่ได้ไปทะเลอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ถึงจะแย่แค่ไหนก็ช่าง ฉันจะช่วยให้ว่ายน้ำเป็นให้ได้ ถึงว่ายน้ำเป็นละก็รับรองว่ามีประโยชน์ในวันหน้าแน่นอน”
ถ้าว่ายน้ำเป็นแล้วจะมีประโยชน์? แล้วทำไมต้องว่ายน้ำเป็นก่อนหน้าร้อน คำพูดของอาจาย์มีจุดน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย มันต้องมีความหมายอะไรแฝงแน่ๆ จากนั้นทุกคนก็เริ่มวอร์มร่างกายแล้วลงไปว่ายน้ำในสระ
“เอาเป็นว่าส่วนใหญ่ก็ว่ายน้ำได้อยู่แล้วนะ” อาจารย์พละกล่าวขึ้น
“ถ้างั้นต่อไปก็จะให้จะให้แข่งว่าน้ำแล้วกัน ว่ายน้ำฟรีสไตล์ระยะห้าสิบเมตรแยกชายหญิง”
“คนที่ได้ที่ 1 จะได้รับโบนัสจากฉันเป็นพิเศษ เป็นแต้มเบี้ยเลี้ยงจำนวน 5,000 แต้ม ในทางกลับกันคนที่ช้าสุดต้องอยู่ฝึกพิเศษเพิ่ม”
“เด็กผู้หญิงมีน้อยงั้นให้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ใครทำเวลาได้ดีสุดเป็นผู้ชนะ ส่วนผู้ชาย ให้คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุด 5 คน มาแข่งตัดสินกัน”
คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นกับคนที่สังเกตการณ์ถผูกกันออกจากการแข่งครั้งนี้ ที่เหลืออยู่มีผู้หญิงสิบคน ผู้ชายสิบหกคน และเริ่มจากฝ่ายหญิงก่อน นักเรียนชายนั่งลงตรงข้างสระด้วยท่าทีเบิกบานใจ ฉันละสายตาจากหนังสือแล้วเฝ้ามองการแข่ง ถือว่าเป็นการประเมินความสามารถของนักเรียนภายในห้องไปในตัว
เมื่อเสียงนกกวีดดังขึ้นเด็กสาวทั้งห้าก็พุ่งตัวลงไปทันที โฮริคิตะอยู่ในลู่ที่สองเป็นผู้นำตั้งแต่ปล่อยตัว และครองตำแหน่งผู้นำมาตลอดโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ จนกระทั่งจบห้าสิบเมตรไปได้อย่างสวยงาม
ใช้เวลาไป 28 วินาที เร็วใช้ได้เลยไม่ใช่หรือไง โฮริคิตะขึ้นมาจากสระน้ำโดยไม่ท่าทีหอบหายใจแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นก็เป็นการแข่งรอบที่สองคุชิดะผู้ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในลู่ที่สี่ เธอโบกมือให้นักเรียนชายที่ส่งเสียงเชียร์
“โอ้ววววว”
เรียกเสียงโห่ร้องของเหล่านักเรียนชายได้เป็นอย่างดี
การแข่งขันรอบนี้เป็นไปด้วยความกระหายชัยชนะของคนคนเดียว โอโนเดะระผู้อยู่ชมรมว่ายน้ำนำโด่งเข้าเส้นชัยโดยใช้เวลาเพียง 26 วินาที ตามมาด้วยคุชิดะที่ใช้เวลาไป 31 วินาที
อายาโนะโคจิถูกจัดอยู่ในลู่ที่สองของกลุ่มแรก ลู่หนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ คือสุโด การแข่งเริ่มต้นขึ้นโดยเป็นชัยชนะขาดลอยของสุโดแต่เพียงผู้เดียวเขาใช้เวลาไปเพียง 25 วินาทีเท่านั้น ส่วนอายาโนะโคจิใช้เวลา 36 วินาทีซึ่งเป็นเวลาพื้นฐาน
“สุโดเธอไม่คิดจะเข้าชมรมว่ายน้ำหรอ ถ้าได้รับการฝึกซ้อมอีกหน่อยรับรองว่าได้เป็นตัวแข่งเลยนะ”
“สำหรับผมบาสเกตบอลอย่างเดียวก็พอแล้ว” สุโดตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ
“กรี๊ด”
เสียงกรีดร้อง (ด้วยความสุข) ดังมาจากพวกผู้หญิง ดูเหมือนว่าฮิราตะจะไปยืนแท่นปล่อยตัวแล้ว ถ้าหากรูปร่างของสุโดเป็นรูปร่างที่ผู้ชายใฝ่ฝันแล้วละก็ รูปร่างของฮิราตะก็เป็นแบบที่ผู้หญิงใฝ่ฝันเช่นกัน ถึงจะบอบบางไปหน่อยแต่ก็ดูสมส่วนเรียกว่าเป็นพวกผอมแต่บึ้ก
อาจาย์เป่านกหวีดปรี๊ด แล้วฮิราตะก็โดดลงน้ำด้วยท่าที่สวยงาม เขาว่ายน้ำนำผู้ชายอีกสี่คนที่ออกตัวพร้อมกันอย่างชัดเจนนั่นยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้หญิงเข้าไปอีก แม้แต่ท่าว่ายน้ำยังจะเท่อีกนะ
แล้วฮิราตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเข้าเส้ยชัยเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเวลา 26.13 วินาที
ในรอบที่สามนี้ คนที่เป็นจุดสนใจคงเป็นโคเอนจิท่าทางเตรียมพร้อมดูราวกับนักกีฬา ซึ่งนอกจากท่าทางแล้วรูปร่างก็ดูสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าสุโด
“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องแพ้ชนะหรอกนะ แต่ก็เกลียดความพ่ายแพ้ซะด้วย”
เขาพูดขึ้นมาเองทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถาม เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น โคเอนจิก็กระโจนลงน้ำด้วยทวงท่าราวกับจะแสดงให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง
“โอ้ว! เร็วมาก”
เป็นการว่ายน้ำที่รุนแรงกว่าที่คิดไว้จนทำเอาสุโดหลุดปากออกมา ฮิราตะเองถึงก็จ้องมองการว่ายน้ำด้วยความทึ่ง ความแรงชนิดที่ทำให้เกิดคลื่นได้ คงไม่มีใครตั้งคำถามเรื่องความเร็ว อาจารย์ซึ่งกดเครื่องนับเวลาถึงกับต้องก้มมองซ้ำ
“23.22 วินาที…เชียวเรอะ”
กล้ามเนื้อท้อง กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อบั้นเอว ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปหมดราวกับพระเจ้าสรรสร้าง คนเราจะมีร่างกายสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ด้วยหรอ การว่ายน้ำครั้งนี้ทำเอาคารินทึ่งไปไม่น้อย ทว่า กล้ามเนื้อของอายาโนะโคจิถึงจะดูผอมบางไปบ้าง แต่ก็ดูแข็งแรงกว่าสุโดที่เป็นนักกีฬา ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมอายาโนะโคจิถึงแพ้สุโดด้วยเวลาที่ห่างชั้นกันจนดูผิดปกติล่ะ นั้นก็เป็นเรื่องที่คารินสงสัยเช่นกัน
หลังจากเปิดเทอมมาสามสัปดาห์ อาจารย์ประจำวิชาต่างปล่อยเรื่องผิดกฏระเบียบไปเงียบๆ ทั้งการคุย การมาสาย หรือการนั่งหลัง เล่นโทรศัพท์ระหว่างคาบ คนที่ตั้งใจเรียนก็พอจะมีอยู่บ้างยกตัวอย่างเช่น โฮริคิตะ ฮิราตะ ยูคิมุระ โรงเรียนนี้เข้มงวดไม่ใช่หรอการปล่อยให้เป็นแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่
ถึงอย่างนั้นในห้องก็มีข่าวลือที่น่าสนใจอยู่คทอฮิราตะหนุ่มสุดฮอตประจำห้องคบกับสาวเปรี้ยวคารุอิซาวะ พอลองมองทางพวกเขาก็เห็นคารุอิซาวะกำลังส่งสายตาหวานซึ้งให้ฮิราตะที่นั่งห่างออกไปไกล ดูท่าจะไม่ใช่แค่ข่าวลือธรรมดาอาจเป็นเรื่องจริงเลยด้วยซ้ำ
ถ้าให้พูดถึงภาพลักษณ์ของคารุอิซาวะละก็ ไม่ถึงกับน่ารักขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าหน้าตาดีอยู่ระดับหนึ่ง กล่าวคือเธอเป็นสาวเปรี้ยวเต็มขั้นนั่นเอง
พอได้มาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกอยากมีแฟนสักคนขึ้นมาเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ยังไม่เคยมีแฟนสักคนอย่าพูดถึงแฟนเลยคนคุยสักคนก็ยังไม่มี ระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ก็อยากจะมีประสบการณ์คบกับชายหนุ่มสุดหล่อสักคน ฉันเหลือบมองชายที่ชื่อว่าอายาโนะโคจิข้างหลัง
ถ้าฉันจะหาแฟนละก็ คงไม่มีทางคบกับหนุ่มหน้าตายอย่างเขาแน่นอน ฉันชอบหนุ่มที่มีรอยยิ้มมากกว่า
วิชาสังคมศึกษาในคาบเรียนที่สามเป็นของอาจารย์ซาบาชิระซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
“วันนี้จะมีการสอบย่อย”
นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดส่งต่อเอกสารไปทางด้านหลังไม่นานนักเอกสารชุดนั้นก็มาถึงโต๊ะของฉัน เป็นข้อสอบห้าวิชาหลักรวมอยู่ด้วยกัน แต่ละวิชาจะมีคำถามอยู่หลายข้อเป็นข้อสอบย่อยจริงๆ
“เอ๋ ~ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยใจร้ายจัง”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ การสอบครั้งนี้เป็นสิ่งที่เอาไว้อ้างอิงในอนาคต แต่ไม่มีการนำไปใช้รายงานผลการเรียน เพราะฉะนั้นพวกเธอวางใจได้ แต่ห้ามโกงเด็ดขาดนะ”
ฉันรู้สึกติดใจนิดหน่อยกับวิธีการพูดที่ดูจะมีอะไรแปลกๆ ปนอยู่ปกติแล้วผลการเรียนต้องถูกบันทึกไว้ในรายงานผลการเรียน แต่อารจาย์ซาบาชิระกลับใช้คำพูดแตกต่างออกไปนิดหน่อย ‘ไม่มีการนำไปใช้รายงานผลการเรียน’ หมายความว่านอกจากรายงานผลการเรียนแล้วจะเอาไปใช้กับเรื่องอื่นงั้นหรอ
ถ้าอย่างนั้นขอลองอะไรหน่อยแล้วกัน…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นักเรียนส่วนใหญ่ต่างไม่คิดอะไรลึกซึ้งแล้วดื่มดำไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียน ใช้จ่ายเงินหนึ่งแสนในชีวิตประจำวันแต่ละวันราวกับละลายน้ำ ในคาบเรียน ครูก็ปล่อยเลยตามเลย การพูดคุยกันงีบหลับ มาสายและการขาดเรียนก็กลายเป็นเหตุการณ์ธรรมดาทั่วไป ผลาญเงิน ทำตัวไม่สนโลกและเกียจคร้านอยู่เรื่อยไป และแล้วก็มาถึงวันที่หนึ่งของเดือนถัดไป
นักเรียนหลายคนเริ่มพูดคุยถึงเรื่องเเต้มที่ไม่ถูกโอนเข้ามา
"นั่งที่กันซะ" อาจารย์ซาบาชิระเดินเข้ามาพูด
นักเรียนชายคนหนึ่งในห้องยกมือขึ้นมาถามสิ่งที่นักเรียนในห้องต่างสงสัย "ครูครับ แต้มมันยังไม่โอนเข้ามาเลยครับ ไม่ใช่ว่าได้เบี้ยเลี้ยงทุกวันที่หนึ่งหรอครับ?"
"ไม่นะ ส่วนของเดือนนี้ถูกโอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" อาจารย์ซาบาชิระตอบ
"แต้มถูกโอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนั้นไม่ผิดแน่นอน" อาจารย์ซาบาชิระพูดย้ำอีกครั้ง
"ห้องนี้จะถูกลืมห้องเดียวก็เป็นไปไม่ได้ด้วย"
"แต่ในความเป็นจริง มันยังไม่ถูกโอนเข้ามาเลยนี่ครับ" นักเรียนชายยังคงถามต่อ
อาจารย์ซาบาชิระเงียบไปครู่นึงก่อนจะยิ้มออกมา "พวกเธอนี่ช่างโง่เขลากันเสียจริง มาสายและขาดเรียนรวม 98 ครั้ง พูดคุยและจับมือถือในระหว่างคาบเรียน 391 ครั้ง ในหนึ่งเดือนสร้างเรื่องเอาไว้เยอะทีเดียว ในโรงเรียนแห่งนี้ ผลประเมินคะแนนภายในห้องจะส่งผลต่อแต้มที่ถูกโอนเข้าในทุกเดือน ผลประเมินที่ได้ คือพวกเธอสูญเสียแต้มที่มีอยู่ในตอนแรกไปทั้งหมดแล้ว ส่วนแต้มที่จะถูกโอนเข้ามาในเดือนนี้คือ 0 ยังไงล่ะ"
"ถ้างั้นพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตด้วยเงินศูนย์เยนเหรอ" นักเรียนหลายคนเริ่มหน้าเสีย
"นะ นั่นมันอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"
"พวกเธอที่เป็นเพียงเด็กม.ปลายธรรมดาๆ คิดกันจริงๆ หรอว่าจะได้เงินใช้หนึ่งแสนเยนทุกเดือนอย่างไร้เงื่อนไขน่ะ มันจะเป็นไปได้ยังไง คิดกันตามสามัญสำนึกแล้ว ทำไมถึงตั้งคำถามแล้วปล่อยให้มันยังคงเป็นคำถามต่อไปล่ะ ในวันพิธีเปิดการศึกษาก็บอกไปแล้วนี่ ว่าโรงเรียนแห่งนี้จะตัดสินนักเรียนจากความสามารถน่ะ พวกเธอเป็นเพียงเศษขยะ ที่มีค่าศูนย์ยังไงล่ะ"
จากนั้นอาจาย์ซาบาชิระก็เริ่มอธิบายระบบ s system ให้ฟัง
ระบบs system เป็นระบบที่จะประเมินค่านักเรียนแบบเรียลไทม์และแปลงมาเป็นตัวเลข ห้อง D อย่างพวกเธอ อยู่ขั้นต่ำสุดอย่างงดงาม พิสูจน์ได้อย่างดีว่าพวกเธอเป็นสินค้าชำรุดที่ห่วยแตก
นักเรียนจะได้ 100 คลาสพอยต์ส่วนตัวต่อ 1 คลาสพอยต์ ในตอนเปิดภาคเรียนทุกห้องจะได้รับคลาสพอยต์ทั้งหมด 1000 พอยท์ นั้นหมายความว่าพวกเธอสูญเสียพอยต์ไปทั้งหมดแล้วยังไงล่ะ
ห้องA - 940 pt
ห้องB - 650 pt
ห้องC - 490 pt
ห้องD - 0 pt
ถ้าต้องการจะเลื่อนห้องก็จงทำพอยท์ให้ได้มากกว่าห้องอื่นๆ เท่านั้น
"แล้วจะมีวิธีการเพิ่มพอยต์มั้ยคะ" นักเรียนคนนึงในห้องถาม
"มีสิ วิธีที่จะเพิ่มพอยต์ที่เร็วสุดเลยคือการสอบปลายภาคครั้งต่อไปยังไงล่ะ พวกเธอมีโอกาสได้รับสูงสุด 100 คลาสพอยท์ โดยจะขึ้นอยู่กับผลการสอบ"
จากนั้นอาจารย์ซาบาชิระก็นำป้ายชื่อของคนที่สอบตกมาแปะไว้บนกระดาษ
"นี่คือรายชื่อของคนที่สอบตกย่อยครั้งที่แล้ว"
ซึ่งหนึ่งในรายชื่อนั้นมีฉันอยู่ด้วย ก็แหงละฉันส่งกระดาษเปล่าไปนี่นา อาจารย์ซาบาชิระบอกว่าการสอบครั้งนั้นไม่รวมกับรายงานผลการเรียนฉันก็เลยส่งกระดาษเปล่าไปเล่นๆ รอดูผลว่าจะออกมายังไงสรุปเลยคือเป็นไปตามคาด
"การสอบย่อยครั้งก่อน คะแนนพวกเธอช่างต่ำราวกับขยะทั้งนั้นเลยนะ นับตั้งแต่ครั้งนี้เป็นต้นไปใครที่สอบตกกลางภาคและปลายภาคจะถูกไล่ออกทันที"
นี่สินะสิ่งที่โรงเรียนซ่อนเอาไว้ถึงจะคาดการณ์เอาไว้อยู่บ้างแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่ยังไงมันก็น่าตื่นเต้นอยู่ดี จุดเริ่มต้นของสงครามนักเรียนระหว่างห้อง มันเป็นโรงเรียนแบบนี้เองสินะ อย่างงี้ชีวิตในรั้วโรงเรียนคงจะมีสีสันขึ้นมานิดหน่อยล่ะนะ
14/2/67 ลงตอน
ความคิดเห็น