ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic classroom of the elite] วิธีการใช้ชีวิต(ไม่)ธรรมดาๆในโรงเรียนยอดคน

    ลำดับตอนที่ #3 : season 1 โรงเรียนคุโดอิคุเซ (2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 67


    “เยอะกว่าที่คิดนะ”

    หลังเลิกเรียนฉันกับอายาโนะโคจิและโฮริคิตะรอจังหวะเหมาะๆ แล้วจึงมาที่โรงยิม ที่นั่นมีนักเรียนเกือบทั้งหมดดูเหมือนว่าจะมีปี 1 มารออยู่เกือบหนึ่งร้อยคนแล้ว พวกเราตัดสินใจยืนอยู่บริเวณค่อนไปทางด้านหลังเพื่อรอเวลา ในระหว่างนั้นก็หยิบเอาแผ่นพับรายละเอียดขึ้นมาดู

    “นักเรียนปี 1 ทุกคน ขอโทษที่ให้รอค่ะ จากนี้ไปจะเริ่มการแนะนำโดยตัวแทนชมรม ดิฉัน ทาจิบานะ เลขาสภานุการนักเรียน จะรับหน้าที่เป็นพิธีกรในงานครั้งนี้ค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

    หลังจากที่รุ่นพี่ทาจิบานะซึ่งเป็นพิธีกรเอ่ยคำทักทายแล้วตัวแทนของแต่ละชมรมก็ขึ้นมายืนเรียงรายกันบนเวทีภายในโรงยิม มีตั้งแต่รุ่นพี่สวมชุดกิโมโนออกมาได้อย่างงดงาม ไปจนถึงรุ่นพี่ร่างกายกำยำในชุดยูโด

    “ทำไมนายไม่ลองเข้าชมรมยูโดล่ะ ดูเหมาะสมกับนายดีนะ รุ่นพี่ก็ดูใจดีด้วย คงเป็นแรงบันดาลใจได้ดีเลยละ” ฉันถามอายาโนะโคจิด้วยความหยอกล้อ

    “ดูใจดีตรงไหนกันเล่า ดูอย่างกับกอริลล่านั่นสิ มีหวังโดนเชือดแหงๆ”

    “เดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้นะว่า เธอพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่ายูโดมันของหมูๆ” โฮริคิตะเอ่ยต่อ

    “ได้โปรดอย่าทำอย่างนั้นเลยครับ!”

    ดูเหมือนโฮริคิตะจะสนุกกับการได้ปั่นหัวอายาโนะโคจิไม่น้อย

    “ฉัน ฮาชิกาคิ กัปตันชมรายิงธนูค่ะ…คงจะมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าการยิงธนูมันคร่ำครึหรือเชย แต่ความจริงแล้วการยิงธนูเป็นกีฬาที่ทั้งสนุกและมีคุณค่ามากๆ เลยค่ะ เรายินดีต้อนรับมือใหม่ยังไงก็มาลองแวะชมดูได้นะคะ”

    บนเวที นักเรียนหญิงในชุดนักยิงธนูกำลังพูดแนะนำชมรมอยู่

    “ดูสิ ต้อนรับมือใหม่ด้วยนะ ทำไมพวกเธอไม่ลองเข้าชมรมนี้ดูล่ะ เพื่องบประมาณของชมรม”

    “ถ้าให้เข้าชมรมเพื่อผลประโยชน์อย่างเดียวล่ะก็ ฉันไม่เอาเด็ดขาด!...อีกอย่าง พวกชมรมธนูปัจจุบันเข้าไปรวมตัวกันน่ะสิ แค่พริบตาเดียวก็เห็นแล้วว่าไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีความสนุก สุดท้ายก็ลาออกกันหมด” โฮริคิตะเถียง

    “นั่นมันวิธีคิดจากนิสัยบิดเบี้ยวของเธอไม่ใช่หรือไง”

    “ไม่ใช่มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ”

    ฉันยืนฟังพวกเขาสองคนเถียงกันเรื่องไร้สาระอย่างเงียบ ๆ พลางมองไปบนเวทีที่กำลังมีคนพูดแนะนำชมรมอยู่ ไม่มีชมรมไหนน่าสนใจซักชมรมเลยแฮะ ดูเหมือนครั้งนี้เราจะมาเสียเวลาเปล่า

    “..อ๊ะ!”

    ขณะที่กำลังดูบรรดารุ่นพี่หมุนเวียนกันขึ้นมาแนะนำชมรมต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จู่ ๆ โฮริคิตะที่อยู่ข้างๆ ก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา ใบหน้าซีดเซียว ตาจับจ้องไปที่เวที

    “เป็นอะไรไป” อายาโนะโคจิถาม

    แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงเสียงเรียกของอายาโนะโคจิแม้แต่น้อย ฉันไล่สายตามองไปที่เวที แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่แปลกไปเป็นพิเศษ ที่กำลังแนะนำอยู่ขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวแทนจากชมรมเบสบอลที่มาพร้อมยูนิฟอร์มเท่านั้น

    “โฮริคิตะ เป็นอะไรไป” อายาโนะโคจิเรียกซ้ำอีกครั้ง

    “…”

    ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของอายาโนะโคจิจริงๆ เพียงแต่จ้องไปที่เวทีอย่างไม่ละสายตา

    ฉันเงี่ยหูฟังเสียงที่กำลังบรรยาย

    ทุกอย่างก็ดูปกติดีไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ

    เมื่อมีการสลับเปลี่ยนกันขึ้นมาแนะนำชมรมในแต่ละครั้งพวกเด็กปี 1 ก็พากันปรึกษาว่าจะเอายังไงดี

    เหล่ารุ่นพี่ที่พูดจบแล้วพากันเดินลงจากเวทีตามลำดับแล้วมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีโต๊ะพับตั้งเรียงรายกันอยู่ หลังจากจบงานแล้วคงใช้พื้นที่นั้นเปิดรับสมัครคนเข้าชมรมทันทีเลยมั้ง หนึ่งคน สองคน จนมาถึงคนสุดท้าย สายตาของทุกคนไปรวมกันอยู่ที่จุดเดียว และตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตว่าสายตาของโฮริคิตะจับจ้องไปที่บุคคลนั้นคนเดียว

    เด็กหนุ่มที่มีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่าเซนติเมตร รูปร่างเพรียวและมีผมดำสลวย ทั้งยังความเฉลียวฉลาดที่ปรากฏให้เห็นผ่านกรอบแว่นสี่เหลี่ยมนั่น นักเรียนผู้ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนคนนั้นกำลังมองต่ำมาที่นักเรียนปี 1 ด้วยท่าทางสงบ

    เขาจะพูดถึงชมรมอะไรกันนะ ฉันชักรู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย แต่แล้วฉันก็ถูกหักหลัง เพราะนักเรียนคนนั่นไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

    “พยายามเข้านะ ~”

    “ไม่ได้ถือโพยมาหรอ”

    “ฮ่าๆๆๆๆ”

    เสียงเหล่านั้นตะโกนดังมาจากเด็กปี 1 แต่ถึงอย่างนั้นนักเรียนชายรุ่นพี่ก็ยังคงสงบนิ่งอยู่บนเวที

    โฮริคิตะเองก็ดูราวกับถูกดึงดูดเข้าไป ไม่อาจละสายตาจากรุ่นพี่คนนั้นได้

    บรรยากาศที่ผ่อนคลายค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปในทางนอกเหนือความหมายไปทีละนิด เหมือนกับปฎิกิริยาเคมี โรงยิมทั้งหลังถูกปกคลุมด้วยความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเป็นความตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ไม่มีใครสั่ง แต่ตวามเงียบอันน่าสะพรึ่งกลับทำให้ทุกคนไม่กล้าเอ่ยเอื้อนคำใดออกมา ความเงียบดำเนินการต่อไปทั้งอย่างนั้นราวสามสิบวินาที…รุ่นพี่ที่ยืนอยู่บนเวทีคนนี้นจึงกวาดสายตามองไปโดยรอบก่อนที่จะเริ่มสุนทรพจน์

    “ฉันชื่อโฮริคิตะ มานาบุ ทำหน้าที่เป็นประานสภานักเรียน”

    โฮริคิตะ? ฉันเหลือบมองคนข้างๆ ทันที บังเอิญนามสกุลเหมือนหรือมีความเกี่ยวข้องกันแน่

    “สภานักเรียนเองก็รับสมัครนักเรียนชั้นปีที่ 1 เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ ทดแทนสมาชิกชั้นปีสูงๆ ที่จบการศึกษาออกไป การเข้าเป็นสมาชิกสภานักเรียนไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่หากใครคิดจะเข้าสภานักเรียนแล้ว ขอความกรุณาอย่าเป็นสมาชิกชมรมใดๆ เด็ดขาด เพราะตามกฏไม่อนุญาตให้นักเรียนควบคู่ทั้งสภานักเรียนและชมรมได้ในเวลาเดียวกัน”

    ถึงแม้จะพูดด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่บรรยากาศกลับตึงเครียด นักเรียนจำนวนหนึ่งร้อยคนในโรงยิมอันกว้างใหญ่เงียบสงัดลงได้ด้วยนักเรียนเพียงคนเดียว

    แน่นอนว่านี่ไม่ใช่พลังของประธานนักเรียน หากแต่เป็นพลังของเด็กหนุ่มผู้อยู่ตรงหน้าที่ชื่อว่าโฮริคิตะ มานาบุ ตัวตนของเขาครอบงำคนทั้งโรงยิมเอาไว้ราวกับกดทับลงมา

    “นอกจากนี้ สภานักเรียนไม่ต้องการสมาชิกที่คิดจะเข้ามาเล่น ๆ การที่คนแบบนั้นได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็นสภานักเรียนถือว่าเป็นเรื่องที่โง่เขลาและคงจะกลายเป็นจุดด่างพร้อยของโรงเรียน อำนาจการปรับเปลี่ยนกฏระเบียบการบังคับใช้ของสภานักเรียนนักเรียนนั้นเป็นสิ่งที่ทางโรงเรียนยอมรับและให้การคาดหวัง พวกเรายินดีต้อนรับเฉพาะนักเรียนที่เข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น”

    เขากล่าวด้วยถ้อยคำหนักแน่น ก่อนจะลงจากเวทีเขาปรายตามองมาทางฉันถึงจะเป็นเพียงครู่เดียวแต่ก็สามารถมั่นใจได้ว่าเขามองมาทางฉันแน่ๆ

    อะไรกัน? สายตานั่น ไม่สิบางทีฉันอาจคิดมากไปเอง

    ถึงแม้จะมีพิธีกรมาช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียด ทว่า โฮริคิตะยังคงยืนนิ่งไม่ท่าทีจะขยับ

    “เฮ้ เป็นอะไรไปน่ะ” อายาโนะโคจิถามอีกรอบ

    ดูจากท่าทีของโฮริคิตะตอนนี้เธอจะต้องมีความเกี่ยวพันกับประธานนักเรียนเป็นแน่

     

     

     

     

     

     

     

     

    เมื่อถึงเวลาอิสระของคาบเรียนว่ายน้ำ ต่างคนต่างแยกกลุ่มกันตามธรรมชาติ ดูเหมือนผมจะล้มเหลวในการหาเพื่อนอย่างงดงามแล้วสิ อายาโนะโคจิถอนหายจนออกมาอย่างเบื่อหน่าย

    "มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?"

    อา ยังมีอยู่คนนึงสินะ

    โฮซึกิเดินมานั่งลงข้างผมแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ดูเหมือนจะเป็นหนังสือแนวฆาตกรรม สืบสวนสอบสวน ไม่คิดเลยว่าเธอจะอ่านหนังสือแนวนี้ด้วย

    ผมคงจะจ้องเธอนานเกินไปโฮซึกิจึงหันมามองผมแล้วเลิกคิ้ว

    "มองอะไรมิทราบ"

    ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เธอเดินมานั่งข้างผมแทนที่จะขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์เหมือนคนอื่น ๆ เพราะพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันมากสักเท่าไหร่เหมือนเป็นแค่เพื่อนร่วมโต๊ะกันเฉยๆ

    "ฉันกำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงใส่ชุดนักเรียนมานั่งข้างสระน้ำล่ะ? ฉันนึกว่าเธอจะไปนั่งอยู่ข้างบนเหมือนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใส่ซะอีก"

    "เรื่องของฉัน"

    เป็นคำตอบที่ใจร้ายชะมัด

    โฮซึกิกลับไปอ่านหนังสือของตัวเองต่อ ผมมองไปยังสระว่ายน้ำซึ่งมีนักเรียนหญิงกำลังเล่นน้ำอยู่ ช่างเป็นอาหารตายามเช้าที่ดีเหลือเกิน

    ผมเหลือบมองโฮซึกิอีกครั้ง ฉับพลันสมองของผมก็เกิดความคิดกิเลศขึ้นมาทันที โฮซึกิในชุดว่ายน้ำจะดูเป็นยังไงนะ เธอเองก็มีรูปร่างสมส่วนเหมือนพวกนางแบบ แถมยังดูเหมือนจะซ่อนรูปด้วยสิ เดี๋ยว ๆ นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมคงต้องเลิกคิดฟุ้งซ่านจริงจังๆ แล้วสิ

    "นั่งหดหู่อะไรอยู่น่ะ"

    โฮริคิตะในชุดว่ายน้ำโรงเรียนเดินมานั่งลงข้างผม เธอในชุดว่ายน้ำโรงเรียนนั้นค่อนข้างไม่เลว รูปร่างที่สมส่วนนั้นดูเข้ากับชุดว่ายน้ำโรงเรียน นี่สินะความรู้สึกของการมีสาวสวยนั่งประกบข้าง

    "แค่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ของตัวเองน่ะ"

    ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดี ๆ โฮริคิตะถึงได้จ้องมองผมไปทั่วทั้งร่าง

    "อายาโนะโคจิ นายเล่นกีฬาอะไรหรือเปล่า"

    "เปล่านี่ ก็ไม่อยากอวดหรอกนะตอนอยู่มัธยมต้นฉันอยู่ชมรมกลับบ้านน่ะ"

    "ถึงอย่างนั้น...ต้นแขนกลับกล้ามเนื้อลำตัวไม่ธรรมดาเลยนะ"

    "ก็แค่ร่างกายที่ได้รับสิ่งดี ๆ จากพ่อแม่เท่านั้นและ"

    "ดูแล้วฉันว่าเหตุผลไม่ได้มีแค่นั้นหรอกมั้ง"

    "เธอนี่เป็นพวกคลั่งกล้ามหรือไง"

    "ถ้าจะปฎิเสธขนาดนั้นล่ะก็...จะยอมเชื่อแล้วกัน"

    ดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ดูแล้วโฮริคิตะนี่น่าจะมองอะไรออกในระดับหนึ่งเหมือนกัน

    "นี่ โฮริคิตะซังมาว่ายน้ำด้วยกันมั้ย" คุชิดะที่โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเอ่ยปากถาม

    "ไม่ล่ะ"

    "โฮริคิตะซังว่ายน้ำไม่เก่งหรอ"

    โฮริคิตะเผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาให้เห็นเล็กๆ กับคำถามนั้น แต่ก็ตอบกลับไปนิ่งๆ

    "ไม่ได้เก่งแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร''

    "สมัยมัธยมต้น ฉันว่ายน้ำไม่ได้เรื่องเลยล่ะ จากนั้นมาก็ฝึกอย่างเต็มที่จนว่ายน้ำได้ในที่สุด"

    ''งั้นเหรอ''

    โฮริคิตะตอบอย่างไร้ความสนใจ ก่อนจะเว้นระยะห่างจากคุชิดะเล็กน้อย ส่งสัญญาณที่บอกว่าไม่อยากคุยมากกว่านี้

    “เอาละพวกแกมารวมกันได้แล้ว”

    ตาลุงที่มีร่างกายล่ำบึกเหมือนแบกตัวอักษรคำว่าสปิริตนักกีฬาเอาไว้เรียกรวมตัว แล้วคาบเรียนว่ายน้ำก็เริ่มต้นขึ้น จะว่าไปก็สมกับเป็นอาจารย์พละดี

    “สังเกตการณ์สิบหกคนงั้นเรอะ เยอะไปหน่อยนะแต่ก็ช่างเถอะ” เห็นได้ชัดว่ามีพวกโดดเรียนรวมอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไร

    “ออกจะกะทันหันไปหน่อย แต่หลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว ฉันอยากจะดูความสามารถที่แท้จริงของพวกเธอ จะให้ว่ายน้ำให้ดูหน่อยน่ะ”

    “เอ่อ…อาจารย์ครับผมว่ายน้ำไม่เป็น”

    นักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    “ถ้าฉันเป็นคนดูแลล่ะก็ รับรองว่าเธอว่ายน้ำเป็นก่อนหน้าร้อนแน่ วางใจได้”

    “ไม่ต้องฝืนให้เราพยายามว่ายน้ำได้หรอกครับ ยังไงก็ไม่ได้ไปทะเลอยู่แล้ว”

    “ไม่ได้ถึงจะแย่แค่ไหนก็ช่าง ฉันจะช่วยให้ว่ายน้ำเป็นให้ได้ ถึงว่ายน้ำเป็นละก็รับรองว่ามีประโยชน์ในวันหน้าแน่นอน”

    ถ้าว่ายน้ำเป็นแล้วจะมีประโยชน์? แล้วทำไมต้องว่ายน้ำเป็นก่อนหน้าร้อน คำพูดของอาจาย์มีจุดน่าสงสัยอยู่ไม่น้อย มันต้องมีความหมายอะไรแฝงแน่ๆ จากนั้นทุกคนก็เริ่มวอร์มร่างกายแล้วลงไปว่ายน้ำในสระ

    “เอาเป็นว่าส่วนใหญ่ก็ว่ายน้ำได้อยู่แล้วนะ” อาจารย์พละกล่าวขึ้น

    “ถ้างั้นต่อไปก็จะให้จะให้แข่งว่าน้ำแล้วกัน ว่ายน้ำฟรีสไตล์ระยะห้าสิบเมตรแยกชายหญิง”

    “คนที่ได้ที่ 1 จะได้รับโบนัสจากฉันเป็นพิเศษ เป็นแต้มเบี้ยเลี้ยงจำนวน 5,000 แต้ม ในทางกลับกันคนที่ช้าสุดต้องอยู่ฝึกพิเศษเพิ่ม”

    “เด็กผู้หญิงมีน้อยงั้นให้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ใครทำเวลาได้ดีสุดเป็นผู้ชนะ ส่วนผู้ชาย ให้คนที่ทำเวลาได้ดีที่สุด 5 คน มาแข่งตัดสินกัน”

    คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นกับคนที่สังเกตการณ์ถผูกกันออกจากการแข่งครั้งนี้ ที่เหลืออยู่มีผู้หญิงสิบคน ผู้ชายสิบหกคน และเริ่มจากฝ่ายหญิงก่อน นักเรียนชายนั่งลงตรงข้างสระด้วยท่าทีเบิกบานใจ ฉันละสายตาจากหนังสือแล้วเฝ้ามองการแข่ง ถือว่าเป็นการประเมินความสามารถของนักเรียนภายในห้องไปในตัว

    เมื่อเสียงนกกวีดดังขึ้นเด็กสาวทั้งห้าก็พุ่งตัวลงไปทันที โฮริคิตะอยู่ในลู่ที่สองเป็นผู้นำตั้งแต่ปล่อยตัว และครองตำแหน่งผู้นำมาตลอดโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ จนกระทั่งจบห้าสิบเมตรไปได้อย่างสวยงาม

    ใช้เวลาไป 28 วินาที เร็วใช้ได้เลยไม่ใช่หรือไง โฮริคิตะขึ้นมาจากสระน้ำโดยไม่ท่าทีหอบหายใจแม้แต่น้อย

    ต่อจากนั้นก็เป็นการแข่งรอบที่สองคุชิดะผู้ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในลู่ที่สี่ เธอโบกมือให้นักเรียนชายที่ส่งเสียงเชียร์

    “โอ้ววววว”

    เรียกเสียงโห่ร้องของเหล่านักเรียนชายได้เป็นอย่างดี

    การแข่งขันรอบนี้เป็นไปด้วยความกระหายชัยชนะของคนคนเดียว โอโนเดะระผู้อยู่ชมรมว่ายน้ำนำโด่งเข้าเส้นชัยโดยใช้เวลาเพียง 26 วินาที ตามมาด้วยคุชิดะที่ใช้เวลาไป 31 วินาที

    อายาโนะโคจิถูกจัดอยู่ในลู่ที่สองของกลุ่มแรก ลู่หนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ คือสุโด การแข่งเริ่มต้นขึ้นโดยเป็นชัยชนะขาดลอยของสุโดแต่เพียงผู้เดียวเขาใช้เวลาไปเพียง 25 วินาทีเท่านั้น ส่วนอายาโนะโคจิใช้เวลา 36 วินาทีซึ่งเป็นเวลาพื้นฐาน

    “สุโดเธอไม่คิดจะเข้าชมรมว่ายน้ำหรอ ถ้าได้รับการฝึกซ้อมอีกหน่อยรับรองว่าได้เป็นตัวแข่งเลยนะ”

    “สำหรับผมบาสเกตบอลอย่างเดียวก็พอแล้ว” สุโดตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ

    “กรี๊ด”

    เสียงกรีดร้อง (ด้วยความสุข) ดังมาจากพวกผู้หญิง ดูเหมือนว่าฮิราตะจะไปยืนแท่นปล่อยตัวแล้ว ถ้าหากรูปร่างของสุโดเป็นรูปร่างที่ผู้ชายใฝ่ฝันแล้วละก็ รูปร่างของฮิราตะก็เป็นแบบที่ผู้หญิงใฝ่ฝันเช่นกัน ถึงจะบอบบางไปหน่อยแต่ก็ดูสมส่วนเรียกว่าเป็นพวกผอมแต่บึ้ก

    อาจาย์เป่านกหวีดปรี๊ด แล้วฮิราตะก็โดดลงน้ำด้วยท่าที่สวยงาม เขาว่ายน้ำนำผู้ชายอีกสี่คนที่ออกตัวพร้อมกันอย่างชัดเจนนั่นยิ่งเรียกเสียงกรี๊ดจากผู้หญิงเข้าไปอีก แม้แต่ท่าว่ายน้ำยังจะเท่อีกนะ

    แล้วฮิราตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเข้าเส้ยชัยเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยเวลา 26.13 วินาที

    ในรอบที่สามนี้ คนที่เป็นจุดสนใจคงเป็นโคเอนจิท่าทางเตรียมพร้อมดูราวกับนักกีฬา ซึ่งนอกจากท่าทางแล้วรูปร่างก็ดูสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าสุโด

    “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องแพ้ชนะหรอกนะ แต่ก็เกลียดความพ่ายแพ้ซะด้วย”

    เขาพูดขึ้นมาเองทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ถาม เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น โคเอนจิก็กระโจนลงน้ำด้วยทวงท่าราวกับจะแสดงให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง

    “โอ้ว! เร็วมาก”

    เป็นการว่ายน้ำที่รุนแรงกว่าที่คิดไว้จนทำเอาสุโดหลุดปากออกมา ฮิราตะเองถึงก็จ้องมองการว่ายน้ำด้วยความทึ่ง ความแรงชนิดที่ทำให้เกิดคลื่นได้ คงไม่มีใครตั้งคำถามเรื่องความเร็ว อาจารย์ซึ่งกดเครื่องนับเวลาถึงกับต้องก้มมองซ้ำ

    “23.22 วินาที…เชียวเรอะ”

    กล้ามเนื้อท้อง กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อบั้นเอว ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปหมดราวกับพระเจ้าสรรสร้าง คนเราจะมีร่างกายสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ด้วยหรอ การว่ายน้ำครั้งนี้ทำเอาคารินทึ่งไปไม่น้อย ทว่า กล้ามเนื้อของอายาโนะโคจิถึงจะดูผอมบางไปบ้าง แต่ก็ดูแข็งแรงกว่าสุโดที่เป็นนักกีฬา ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมอายาโนะโคจิถึงแพ้สุโดด้วยเวลาที่ห่างชั้นกันจนดูผิดปกติล่ะ นั้นก็เป็นเรื่องที่คารินสงสัยเช่นกัน

    หลังจากเปิดเทอมมาสามสัปดาห์ อาจารย์ประจำวิชาต่างปล่อยเรื่องผิดกฏระเบียบไปเงียบๆ ทั้งการคุย การมาสาย หรือการนั่งหลัง เล่นโทรศัพท์ระหว่างคาบ คนที่ตั้งใจเรียนก็พอจะมีอยู่บ้างยกตัวอย่างเช่น โฮริคิตะ ฮิราตะ ยูคิมุระ โรงเรียนนี้เข้มงวดไม่ใช่หรอการปล่อยให้เป็นแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่

     

     

     

     

     

     

     

    ถึงอย่างนั้นในห้องก็มีข่าวลือที่น่าสนใจอยู่คทอฮิราตะหนุ่มสุดฮอตประจำห้องคบกับสาวเปรี้ยวคารุอิซาวะ พอลองมองทางพวกเขาก็เห็นคารุอิซาวะกำลังส่งสายตาหวานซึ้งให้ฮิราตะที่นั่งห่างออกไปไกล ดูท่าจะไม่ใช่แค่ข่าวลือธรรมดาอาจเป็นเรื่องจริงเลยด้วยซ้ำ

    ถ้าให้พูดถึงภาพลักษณ์ของคารุอิซาวะละก็ ไม่ถึงกับน่ารักขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าหน้าตาดีอยู่ระดับหนึ่ง กล่าวคือเธอเป็นสาวเปรี้ยวเต็มขั้นนั่นเอง

    พอได้มาเห็นภาพบาดตาบาดใจแบบนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกอยากมีแฟนสักคนขึ้นมาเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ยังไม่เคยมีแฟนสักคนอย่าพูดถึงแฟนเลยคนคุยสักคนก็ยังไม่มี ระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ก็อยากจะมีประสบการณ์คบกับชายหนุ่มสุดหล่อสักคน ฉันเหลือบมองชายที่ชื่อว่าอายาโนะโคจิข้างหลัง

    ถ้าฉันจะหาแฟนละก็ คงไม่มีทางคบกับหนุ่มหน้าตายอย่างเขาแน่นอน ฉันชอบหนุ่มที่มีรอยยิ้มมากกว่า

    วิชาสังคมศึกษาในคาบเรียนที่สามเป็นของอาจารย์ซาบาชิระซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

    “วันนี้จะมีการสอบย่อย”

    นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดส่งต่อเอกสารไปทางด้านหลังไม่นานนักเอกสารชุดนั้นก็มาถึงโต๊ะของฉัน เป็นข้อสอบห้าวิชาหลักรวมอยู่ด้วยกัน แต่ละวิชาจะมีคำถามอยู่หลายข้อเป็นข้อสอบย่อยจริงๆ

    “เอ๋ ~ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยใจร้ายจัง”

    “อย่าพูดแบบนั้นสิ การสอบครั้งนี้เป็นสิ่งที่เอาไว้อ้างอิงในอนาคต แต่ไม่มีการนำไปใช้รายงานผลการเรียน เพราะฉะนั้นพวกเธอวางใจได้ แต่ห้ามโกงเด็ดขาดนะ”

    ฉันรู้สึกติดใจนิดหน่อยกับวิธีการพูดที่ดูจะมีอะไรแปลกๆ ปนอยู่ปกติแล้วผลการเรียนต้องถูกบันทึกไว้ในรายงานผลการเรียน แต่อารจาย์ซาบาชิระกลับใช้คำพูดแตกต่างออกไปนิดหน่อย ‘ไม่มีการนำไปใช้รายงานผลการเรียน’ หมายความว่านอกจากรายงานผลการเรียนแล้วจะเอาไปใช้กับเรื่องอื่นงั้นหรอ

    ถ้าอย่างนั้นขอลองอะไรหน่อยแล้วกัน…

     

     

     

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นักเรียนส่วนใหญ่ต่างไม่คิดอะไรลึกซึ้งแล้วดื่มดำไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียน ใช้จ่ายเงินหนึ่งแสนในชีวิตประจำวันแต่ละวันราวกับละลายน้ำ ในคาบเรียน ครูก็ปล่อยเลยตามเลย การพูดคุยกันงีบหลับ มาสายและการขาดเรียนก็กลายเป็นเหตุการณ์ธรรมดาทั่วไป ผลาญเงิน ทำตัวไม่สนโลกและเกียจคร้านอยู่เรื่อยไป และแล้วก็มาถึงวันที่หนึ่งของเดือนถัดไป

    นักเรียนหลายคนเริ่มพูดคุยถึงเรื่องเเต้มที่ไม่ถูกโอนเข้ามา

    "นั่งที่กันซะ" อาจารย์ซาบาชิระเดินเข้ามาพูด

    นักเรียนชายคนหนึ่งในห้องยกมือขึ้นมาถามสิ่งที่นักเรียนในห้องต่างสงสัย "ครูครับ แต้มมันยังไม่โอนเข้ามาเลยครับ ไม่ใช่ว่าได้เบี้ยเลี้ยงทุกวันที่หนึ่งหรอครับ?"

    "ไม่นะ ส่วนของเดือนนี้ถูกโอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" อาจารย์ซาบาชิระตอบ

    "แต้มถูกโอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องนั้นไม่ผิดแน่นอน" อาจารย์ซาบาชิระพูดย้ำอีกครั้ง

    "ห้องนี้จะถูกลืมห้องเดียวก็เป็นไปไม่ได้ด้วย"

    "แต่ในความเป็นจริง มันยังไม่ถูกโอนเข้ามาเลยนี่ครับ" นักเรียนชายยังคงถามต่อ

    อาจารย์ซาบาชิระเงียบไปครู่นึงก่อนจะยิ้มออกมา "พวกเธอนี่ช่างโง่เขลากันเสียจริง มาสายและขาดเรียนรวม 98 ครั้ง พูดคุยและจับมือถือในระหว่างคาบเรียน 391 ครั้ง ในหนึ่งเดือนสร้างเรื่องเอาไว้เยอะทีเดียว ในโรงเรียนแห่งนี้ ผลประเมินคะแนนภายในห้องจะส่งผลต่อแต้มที่ถูกโอนเข้าในทุกเดือน ผลประเมินที่ได้ คือพวกเธอสูญเสียแต้มที่มีอยู่ในตอนแรกไปทั้งหมดแล้ว ส่วนแต้มที่จะถูกโอนเข้ามาในเดือนนี้คือ 0 ยังไงล่ะ"

    "ถ้างั้นพวกเราก็ต้องใช้ชีวิตด้วยเงินศูนย์เยนเหรอ" นักเรียนหลายคนเริ่มหน้าเสีย

    "นะ นั่นมันอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย"

    "พวกเธอที่เป็นเพียงเด็กม.ปลายธรรมดาๆ คิดกันจริงๆ หรอว่าจะได้เงินใช้หนึ่งแสนเยนทุกเดือนอย่างไร้เงื่อนไขน่ะ มันจะเป็นไปได้ยังไง คิดกันตามสามัญสำนึกแล้ว ทำไมถึงตั้งคำถามแล้วปล่อยให้มันยังคงเป็นคำถามต่อไปล่ะ ในวันพิธีเปิดการศึกษาก็บอกไปแล้วนี่ ว่าโรงเรียนแห่งนี้จะตัดสินนักเรียนจากความสามารถน่ะ พวกเธอเป็นเพียงเศษขยะ ที่มีค่าศูนย์ยังไงล่ะ"

    จากนั้นอาจาย์ซาบาชิระก็เริ่มอธิบายระบบ s system ให้ฟัง

    ระบบs system เป็นระบบที่จะประเมินค่านักเรียนแบบเรียลไทม์และแปลงมาเป็นตัวเลข ห้อง D อย่างพวกเธอ อยู่ขั้นต่ำสุดอย่างงดงาม พิสูจน์ได้อย่างดีว่าพวกเธอเป็นสินค้าชำรุดที่ห่วยแตก

    นักเรียนจะได้ 100 คลาสพอยต์ส่วนตัวต่อ 1 คลาสพอยต์ ในตอนเปิดภาคเรียนทุกห้องจะได้รับคลาสพอยต์ทั้งหมด 1000 พอยท์ นั้นหมายความว่าพวกเธอสูญเสียพอยต์ไปทั้งหมดแล้วยังไงล่ะ

    ห้องA - 940 pt

    ห้องB - 650 pt

    ห้องC - 490 pt

    ห้องD - 0 pt

    ถ้าต้องการจะเลื่อนห้องก็จงทำพอยท์ให้ได้มากกว่าห้องอื่นๆ เท่านั้น

    "แล้วจะมีวิธีการเพิ่มพอยต์มั้ยคะ" นักเรียนคนนึงในห้องถาม

    "มีสิ วิธีที่จะเพิ่มพอยต์ที่เร็วสุดเลยคือการสอบปลายภาคครั้งต่อไปยังไงล่ะ พวกเธอมีโอกาสได้รับสูงสุด 100 คลาสพอยท์ โดยจะขึ้นอยู่กับผลการสอบ"

    จากนั้นอาจารย์ซาบาชิระก็นำป้ายชื่อของคนที่สอบตกมาแปะไว้บนกระดาษ

    "นี่คือรายชื่อของคนที่สอบตกย่อยครั้งที่แล้ว"

    ซึ่งหนึ่งในรายชื่อนั้นมีฉันอยู่ด้วย ก็แหงละฉันส่งกระดาษเปล่าไปนี่นา อาจารย์ซาบาชิระบอกว่าการสอบครั้งนั้นไม่รวมกับรายงานผลการเรียนฉันก็เลยส่งกระดาษเปล่าไปเล่นๆ รอดูผลว่าจะออกมายังไงสรุปเลยคือเป็นไปตามคาด

    "การสอบย่อยครั้งก่อน คะแนนพวกเธอช่างต่ำราวกับขยะทั้งนั้นเลยนะ นับตั้งแต่ครั้งนี้เป็นต้นไปใครที่สอบตกกลางภาคและปลายภาคจะถูกไล่ออกทันที"

    นี่สินะสิ่งที่โรงเรียนซ่อนเอาไว้ถึงจะคาดการณ์เอาไว้อยู่บ้างแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่ยังไงมันก็น่าตื่นเต้นอยู่ดี จุดเริ่มต้นของสงครามนักเรียนระหว่างห้อง มันเป็นโรงเรียนแบบนี้เองสินะ อย่างงี้ชีวิตในรั้วโรงเรียนคงจะมีสีสันขึ้นมานิดหน่อยล่ะนะ

     

     

     


    14/2/67  ลงตอน

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×