ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic classroom of the elite] วิธีการใช้ชีวิต(ไม่)ธรรมดาๆในโรงเรียนยอดคน

    ลำดับตอนที่ #2 : season 1 โรงเรียนคิโด อิคุเซ

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 67


    เดือนเมษายน วันงานประถมนิเทศโรงเรียนใหม่ ฉันนั่งโยกไปมาตามจังหวะของรถบัส ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังโรงเรียน หมดเวลาไปกับการอ่านนวนิยายสืบสวนสอบสวน ฆาตกรรมลอร์ดเอดจ์แวร์ ในระหว่างที่ค่อย ๆ มีผู้โดยสารขึ้นมาบนรถมากขึ้น

    ฉันเหลือบเห็นหญิงชราที่ยืนอยู่ถัดจากด้านหน้าไปอีกนิดหน่อยนั้นยืนเซไปมาดูอันตรายเหมือนพร้อมจะล้มได้ตลอดเวลา ก็รู้อยู่แล้วว่าบนรถจะมีผู้โดยสารมากมายแล้วยังจะอุตส่าห์ขึ้นมาอีก ทำตัวเองแท้ ๆ

    “ไม่คิดจะยกที่นั่งให้บ้างหรอ”

    คนที่ถูกเตือนคือผู้ชายที่นั่งถัดจากฉันไปอีกหน่อย ชายหนุ่ม ไม่สิ นักเรียนมัธยมปลายผมทองรูปร่างสมส่วน ซึ่งทิ้งตัวลงบนที่นั่งสำรองของคนชรา เขานั่งอยู่ทางขวาของฉัน ที่อยู่ข้างตัวเขาคือหญิงชราอายุมากเมื่อสักครู่ และ มีหญิงสาวที่ดูเหมือนพนักงานบริษัทคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ หญิงชรา

    “เธอคนนั้นน่ะ ไม่เห็นหรือว่าคุณยายเขากำลังลำบาก”

    หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานบริษัทดูท่าว่าอยากให้เขายกที่นั่งสำรองให้กับหญิงชรา ภายในรถอันเงียบสงัด เสียงของสาวออฟฟิศจึงได้ยินกันทั่วถึง และแน่นอนว่าดึงดูดความสนใจคนโดยรอบเอาไว้

    “เป็นคำถามที่เครซี่มากเลยนะ เลดี้”

    เด็กหนุ่มผุดรอยยิ้มแล้วขยับขาขึ้นไขว่ห้าง

    “ทำไมฉันต้องยกเก้าอี้ให้คนแก่ด้วยล่ะไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”

    “ที่ที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้มันเป็นที่นั่งสำรองนะ การยกที่นั่งให้ผู้สูงอายุมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

    “ไม่เห็นจะเข้าใจเลย..ถึงที่นั่งตรงนี้จะเป็นเก้าอี้สำรอง แต่ก็ไม่มีเขียนไว้ตรงไหนนี่ว่าเป็นหน้าที่ตามกฏหมาย การจะขยับตัวออกไปจากตรงนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันซึ่งเป็นผู้ครอบครองมันอยู่ในตอนนี้ต่างหาก เพราะเป็นเด็กก็เลยต้องยกเก้าอี้ให้? ฮ่าๆๆๆ ช่างเป็นวิธีที่คิดนอนเซนส์จริงๆ”

    “ฉันเป็นคนหนุ่มที่แข็งแรง จริงอยู่ที่ต่อให้ยืนก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แต่ถ้าเทียบกับที่นั่ง แน่นอนแล้วว่าการยืนต้องใช้แรงกายมากกว่า ฉันไม่คิดจะเสียผลประโยชน์ไปอย่างไร้ความหมายหรอกนะ หรือว่าจะให้ทิปละ?”

    “นะ…นี่มันใช่ท่าทีที่จะปฎิบัติต่อผู้อาวุโสงั้นหรือ!?”

    “อาวุโส? แน่นอนว่าเธอกับหญิงแก่คนนี้ย่อมใช้ชีวิตมายาวนานกว่าฉัน แต่คำว่าคนที่สูงกว่าน่ะใช้ในการบ่งบอกถึงบุคคลที่มีสถานะต่างหาก ถ้าอย่างนั้นผมก็มีคำถามกับเธอด้วยเหมือนกัน การทำตัวกร่างแบบไม่ลืมหูลืมตาเนี่ย ไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่น่าอับอายบ้างเลยหรือ”

    “ว่าไงน่ะ!...เธอเป็นแค่เด็กมัธยมปลายไม่ใช่หรือไง หัดฟังที่ผู้ใหญ่เขาพูดบ้างสิ!”

    “พะ..พอเถอะค่ะ”

    สาวออฟฟิศเริ่มโมโห ทว่า หญิงชราคงไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ จึงแสดงท่าทางให้สาวออฟฟศสงบลงแต่ความเกรี้ยวกราดที่ถูกเด็กมัธยมจาบจ้วงยังคงถูกสุ่มอยู่ในอก

    “ดูเหมือนว่าคนแก่จะเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าเธอนะ เฮ้อ..สังคมญี่ปุ่นก็คงไม่ถึงกับไร้สิ้นหนทางสินะ จงใช้ชีวิตอยู่ที่เหลือให้สนุกสนานเต็มที่เถอะ”

    เด็กหนุ่มส่งยิ้มสดใสออกมาอย่างไร้ประโยชน์

    เด็กสาวผมสีมรกตมัดผมรวบเป็นหางม้า สวมแว่นตากรองแสง ลุกขึ้นยืนไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “เชิญนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เด็กสาวกล่าวอย่างนั้นแล้วไปยืนโหนราวจับ

    “แต่จงตระหนักรู้ไว้ว่าการกระทำของคุณมันสร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่น” คำพูดของเด็กสาวทำเอาคสาวออฟฟิศหน้าเสีย

    พนักงานออฟฟิศสาวที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้ามาพูดตักเตือนได้แต่กัดฟันด้วยความแค้นใจ นอกจากจะถูกเด็กอายุน้อยกว่าพูดจาข่มเข้าใส่แล้วยังถูกวางโตใส่อีก คงจะเจ็บใจน่าดู แต่เธอไม่อาจค้านอะไรกลับ ก็เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มกับเด็กสาวนั้นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าตัดเรื่องศีลธรรมจรรยาออกไป ในความเป็นจริงแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่จะต้องยกที่นั่งให้หญิงชราคนนั้น

    “…ขอโทษค่ะ”

    พนักงานสาวฝืนกลั้นน้ำตาไว้แล้วกล่าวขอโทษออกมา

    บนโลกใบนี้ไม่ได้มีความเท่าเทียมหรือความถูกต้องมาตั้งแต่แรกแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากนั้นไม่นานรถบัสก็เดินทางมาถึงจุดหมาย ฉันเดินตามบรรดานักเรียนมัธยมปลายลงจากรถเบื้องหน้าคือประตูที่ก่อด้วยหินตามธรรมชาติตั้งตระหง่านอยู่ เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่คลุมกายด้วยชุดเครื่องแบบต่างพากันเดินเข้าประตูนี้ไปทั้งนั้น

    โรงเรียนมัธยมปลายโคโดะอิคุเซ จังหวัดโตเกียว เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้การศึกษาแก่เหล่าคนหนุ่มสาวที่จะช่วยสนับสนุนอนาคตของชาติ นี่คือสถานที่ที่ฉันตัดสินใจจะเข้าเรียนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

     

     

     

    ไม่ว่ายังไงก็ทำใจชอบงานปฐมนิเทศไม่ลง เด็กปี 1 ที่คิดแบบนั้นคงมีไม่น้อย

    ทั้งรู้สึกว่าถ้อยคำยินดีจากครูใหญ่หรือนักเรียนที่อยู่มาก่อนมันน่ารำคาญบ้างละ ทั้งเข้าแถวเอย ยืนเอย มีแต่เรื่องยุ่งยากเต็มไปหมดจนรู้สึกคำราญใจขึ้นมา

     

     

    ฉันกวาดสายตามองไปรอบห้องเรียนก่อนจะมุ่งหน้าไปยังที่นั่งที่มีป้ายชื่อของฉันวางอยู่ ที่นั่งใกล้หน้าต่างเยื้องออกไปทางด้านหลังก่อนแถวสุดท้ายนับว่าเป็นตำแหน่งที่ดี สำหรับคนรักความสงบอย่างฉัน เท่าที่มองไปรอบ ๆ ห้อง นักเรียนที่มาถึงขณะนี้ประมาณเกือบครบแล้ว ฉันนั่งลงอย่างสงบนิ่งก่อนจะหยิบหนังสือเล่มเดิมที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมาอ่านต่อ

    ไม่ทันไรก็มีมือสะกิดเรียกจากทางด้านหลัง

    "สวัสดีผมชื่อ อายาโนะโคจิ คิโยทากะ เรานั่งใกล้กันยังไงก็มาทำความรู้จักกันไว้เถอะ" เมื่อฉันหันไปเขาก็แนะนำตัวทันที

    อายาโนะโคจิมีรูปร่างสูงเพรียว มีผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาล ผิวขาว และยังทำหน้าปลาตายไม่น่าคบหาขัดกับคำพูดที่พูดออกมาชะมัด

    "อา โฮซึกิ คาริน"

    เมื่อฉันแนะนำตัวเสร็จเขาก็หันไปพูดกับเด็กสาวผมดำยาวข้าง ๆ

    “เห็นมั้ย พวกเรานั่งใกล้กันก็ควรทำความรู้จักกันไว้สิ ถ้าต้องใช้ชีวิตทั้งปีโดยไม่รู้ว่าคนข้าง ๆ ชื่ออะไรคงอึดอัดน่าดู"

    เธอปรายตามองพวกเราก่อนจะบอกชื่อตัวเองออกมาอย่างจำยอม

    “ถ้าอยากจะรู้ขนาดนั้นก็ช่วยไม่ได้ โฮริคิตะ ซุซุเนะ

    โฮริคิตะมีผมสีดำยาว เปียข้างหนึ่งผูกด้วยโบว์สีขาว เธอมีรูปร่างเพรียวบาง และดวงตาสีแดงไล่ระดับ

    จากนั้นอายาโนะโคจิกล่าวแนะนำตัวเองต่อ "เอาเป็นว่าจะบอกไว้ก่อนละกันว่าฉันเป็นคนแบบไหน ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษ แต่มีความสนใจทุกเรื่องไม่ได้อยากจะมีเพื่อนมากมายแต่ก็คิดว่ามีในระดับนึงก็ดีประมาณนั้นแหละ"

    "เป็นคำตอบที่สมกับยึดถือหลักการปลอดภัยไว้ก่อนดีนะ เป็นความคิดที่ฉันทำใจชอบไม่ลงเลยละ" โฮริคิตะตอบกลับอย่างไร้เยื่อไย

    "อะไรกันเนี่ย รู้สึกอย่างกับตัวตนของฉันทั้งหมดถูกปฎิเสธภายในหนึ่งวิ... เธอคงไม่ได้คิดแบบนั้นใช่มั้ย" อายาโนะโคจิหันมากล่าวกับคาริน

    "ไม่นะ ฉันเองก็มีหลักการคล้ายๆ กัน"

    จู่ ๆ เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น

    “ทุกคนช่วยฟังหน่อยได้ไหม”

    เด็กชายผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาล มีลักษณะแบบชายหนุ่มดูดีคนหนึ่ง หน้าตาไม่มีท่าทีว่าเป็นพวกเกเร ดูท่าจะเป็นนักเรียนดีเด่น

    “ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราก็ต้องใช้ชีวิตร่วมห้องกันไปอีกนาน เลยอยากจะให้แนะนำตัวทำความรู้จักกันในห้องไว้ทุกคนมีความคิดเห็นอย่างไร"

    "เห็นด้วย! พวกฉันเองก็ยังไม่รู้ชื่อของทุกคนเลย"

    เมื่อมีคนหนึ่งเริ่มขึ้นนักเรียกคนอื่นที่ยังลังเลอยู่ก็ค่อยๆ เห็นด้วยตามๆ กันมา

    "งั้นเริ่มจากผมก่อนนะ ผมชื่อฮิราตะ โยสุเกะ ทุกคนสามารถเรียกชื่อต้นของผมได้ตามสบาย งานอดิเรกคือเล่นกีฬาทั้งหมด แต่ว่าชอบฟุตบอลเป็นพิเศษเลยอยากเข้าชมรมฟุตบอลที่โรงเรียนนี้ ฝากตัวด้วยนะ" ฮิราตะกล่าวด้วยรอยยิ้มทำเอาสาว ๆ ตกหลุมรักกันเป็นแทบ ยิ่งเล่นกีฬาและลักษณะที่เข้าหาง่ายเป็นมิตรใจดีดูเป็นผู้นำแล้ว คงจะเป็นหนุ่มป๊อปในหมู่สาวๆ

    จากนั้นทุกคนก็เริ่มแนะนำตัวกันไปเรื่อยๆ จนฮิราตะชี้มาทางคารินกับอายาโนะโคจิและบอกให้พวกเราแนะนำตัวโดยเริ่มจากฉันก่อน

    "โฮซึกิ คาริน งานอดิเรกคืออ่านหนังสือ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย"

    ลุกขึ้นยืนแนะนำตัวได้อย่างสง่าผ่าเผยน้ำเสียงหนักแน่นปราศจากความลังเล ไม่มีอาการตื่นเต้นเขินอาย ราวกับเป็นสิ่งที่เคยชิน ถ้าดูจากกิริยาท่าทางไม่ว่าจะการนั่งการพูดหรือสายตาที่แฝงความเย่อหยิ่งนั่น คงจะเป็นพวกลูกคุณหนูงั้นหรออายาโนะโคจิคิด

    เมื่อคารินแนะนำตัวเสร็จผมก็ลุกขึ้นแนะนำตัวต่อ

    "อะ...เอ่อ อายาโนะโคจิ คิโยทากะ ครับ คือ เอ่อ...ไม่มีมีอะไรที่ถนัดพิเศษ แต่ก็จะพยายามสนิทกับทุกคนนะครับเอ่อ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ" หลังจากผมพูดจบ ในห้องเกิดเดดแอร์ครู่นึง ก่อนที่ฮิราตะจะเริ่มปรบมือจากนั้นทุกคนก็ปรบมือตาม

    พลาดแล้วสินะอายาโนะโคจิไว้อาลัยให้กับตัวเอง

    "น่าสงสารเนอะ" น้ำเสียงโฮริคิตะแฝงความรู้สึกสมเพช

    "นั่นคำปลอบใจฉันหรอ"

     

    หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเสียงกริ่งบอกเวลาเริ่มเรียนก็ดังขึ้น เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้หญิงสวมชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้องเรียน

    "ไปนั่งที่กันได้แล้ว นักเรียนใหม่ทุกคน ฉันชื่อซาบาชิระ ซาเอะ รับหน้าที่ดูแลห้อง D นี้ แล้วก็รับผิดชอบวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โรงเรียนนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงห้อง เพราะฉะนั้นในช่วงสามปีนี้ ฉันในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาก็คงจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันไปพร้อมๆ กับพวกเธอด้วยฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ ฉันจะแจกเอกสารเกี่ยวกับกฎพิเศษของโรงเรียนให้พวกเธอ ก็เหมือนกับที่เคยแจกให้ไปแล้วน่ะนะ"

    เอกสารคุ้นหน้าคุ้นตาถูกส่งต่อมาจากแถวหน้า เป็นชุดเดียวกับที่เคยได้มาตอนที่ได้รับผลสอบเข้า

    โรงเรียนแห่งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากโรงเรียนมัธยมปลายอื่นที่มีอยู่มากมายทั่วประเทศ นั่นก็คือนักเรียนทุกคนเข้าเรียนจะต้องพักอยู่ที่หอพักในโรงเรียน และห้ามติดต่อกับบุคคลภายนอกโดยเด็ดขาด เว้นแต่ได้รับยกเว้นเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ต่อให้เป็นญาติพี่น้องกัน แต่ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากทางโรงเรียนก็ห้ามติดต่อโดยเด็ดขาด และแน่นอนว่าห้ามออกนอกอาณาเขตของโรงเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่นเดียวกัน ในทางกลับกัน ภายในโรงเรียนก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อไม่ให้นักเรียนต้องอยู่ยากลำบาก ทั้งคาราโอเกะห้องชมภาพยนตร์ ร้านกาเเฟ ไปจนถึงร้านขายของแฟชั่น จะเรียกว่าเป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่ใจกลางของเมืองหลวง อาณาเขตอันกว้างใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้กินพื้นที่มากกว่าหกแสนตารางเมตรเลยทีเดียว

    โรงเรียนแห่งนี้ก็ยังใช้ระบบแสกนในการใช้จ่ายอีกด้วย "แต้มสามารถใช้ซื้อทุกอย่างได้ภายในโรงเรียน 1แต้มจะมีค่าเท่ากับ1เยน โดยพวกเธอจะได้รับ100,000แต้ม ทุกๆ วันที่1ของเดือนจะมีการโอนแต้มเข้ามาอัตโนมัติ ซึ่งเดือนนี้แต้มของพวกเธอถูกโอนเข้ามาแล้ว"

    ชั่วขณะหนึ่งเกิดเสียงฮือฮาขึ้นในห้องเรียน ด้วยจำนวนเงินค่าขนม 100,000 แต้ม และยังจะโอนเข้ามาทุกๆ เดือนอีกด้วย ถึงจะเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลญี่ปุ่น นับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่จะให้กับนักเรียนม.ปลาย

    "ได้เบี้ยเลี้ยงเยอะจนตกใจหรือไงกัน เพราะโรงเรียนนี้วัดคุณค่าของนักเรียนที่ความสามารถที่แท้จริง สำหรับทุกคนที่สามารถผ่านเข้ามาได้คุณค่าและความเป็นไปได้ของพวกเธอมีค่าประมาณเท่านั้นยังไงล่ะ ไม่ต้องเกรงใจแล้วใช้มันไปซะ ต่อให้เก็บไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก เพราะแต้มนี้ทางโรงเรียนจะเก็บกลับไปในตอนที่จบการศึกษา และจะเอาไปแลกเป็นเงินสดไม่ได้ แต่ถ้ามีคนคิดว่าตัวเองไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ก็สามารถโอนให้ใครก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าได้ทำเรื่องการข่มขู่กันเชียวล่ะทางโรงเรียนค่อนข้างอ่อนไหวกับปัญหากลั่นแกล้ง เอาล่ะไม่มีใครจะถามอะไรแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นก็จงใช้ชีวิตนักเรียนให้ดีล่ะ" อาจารย์ซาบาชิระกล่าวทิ้งทายก่อนจะเดินออกไป

    "ดูท่าจะไม่ได้เป็นโรงเรียนที่เข้มงวดอย่างที่คิดนะ" โฮริคิตะเปิดบทสนทนา

    บอกตามตรงฉันไม่คาดคิดว่าโฮริคิตะจะเป็นคนเปิดบทสทนา แต่มันก็จริงอย่างที่เธอว่ามันไม่ดูแปลกไปหน่อยรึไงที่โรงเรียนแจก 100,000 แต้มต่อเดือนถึงจะเป็นโรงเรียนของรัฐบาลแต่จำนวนเงินนี้มันมากเกินไปงบประมาณแผ่นดินเองก็คงไม่ได้มีมากพอจะแจก 100,000 แต้ม ต่อเดือนให้กับนักเรียนทุกคน

    "นั่นสิ เรียกได้ว่าหละหลวมสุดๆ ไปเลยล่ะ" อายาโนะโคจิเอ่ยตอบ

    "ได้รับสิทธิพิเศษเยอะ ซะจนน่ากลัวเลยล่ะ"

     

     

     

     

     

    ถึงจะบอกว่าโรงเรียนนี้เข้มงวด แต่วันนี้ทั้งวันกลับน่าเบื่อเป็นอย่างมาก ฉันนั่งฟังคำอธิบายทั่วไปของโรงเรียนแล้วก็ปล่อยไปพักวันนี้เป็นวันแรกสินะเขาก็เลยปล่อยๆ ไม่ได้เข้มงวด นักเรียนส่วนใหญ่ที่ได้พักเจ็ดสิบเปอร์เซนต์เดินมุ่งหน้าไปยังหอพัก ส่วนที่เหลือก็รวมกลุ่มกันไปคาเฟ่บ้าง ไปคาราโอเกะบ้าง

    ส่วนฉันตัดสินใจไปร้านสะดวกซื้อก่อนจะมุ่งหน้าไปหอพัก ซื้อพวกของใช้สักหน่อย ฉันเดินเข้ามาในร้านสะดวกซื้อหยิบตะกร้าแล้วเดินไปโซนของใช้ ก็ได้เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสองคนยืนอยู่

    "ไง" อายาโนะโคจิทักทาย

    "เป็นความบังอิญที่ไม่น่ายินดีเอาซะเลย" โฮริคิตะมีสีหน้ามืดมน

    "นั่นสิถ้าจะบังเอิญก็เกินไปหน่อยนะ" ฉันเอ่ยต่อ

    หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ก็ไม่มีใครเปิดบทสนทนาอีก ต่างคนต่างหยิบของใช้ของแต่ละคน อายาโนะโคจิที่สังเกตเราสองคนมาสักพักก็เอ่ยถามขึ้น

    "ทำไมถึงซื้อแต่ของถูกๆ ล่ะทั้งที่มีเงินแท้ๆ" อายาโนะโคจิถาม

    "เรื่องของฉัน" โฮริคิตะตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย

    พวกเราสามคนเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ก็สังเกตเห็นพวกของใช้ที่สามารถหยิบฟรีได้ตั้งอยู่

    "ฟรี" โฮริคิตะคงจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่มีของฟรีตั้งไว้อยู่เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบ มันคือของใช้ประจำวันเช่นต่างๆ เช่นแปรงสีฟันสบู่ พลาสเตอร์ และตามด้วยป้ายที่แปะไว้ว่าไม่เกิน 3 ชิ้นต่อเดือน

    "มาตราการช่วยเหลือคนไม่มีแต้มหรือเปล่านะ เป็นโรงเรียนที่เอาใจนักเรียนจริงๆ เลยนะ" อายาโนะโคจิเอ่ย

    ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างงั้น ให้ 100,000 แต้ม ต่อเดือนก็เยอะแล้วยังมีของฟรีแจกอีกงั้นหรอนี่มันแปลกเกินไปหรือเปล่า ถึงจะบอกว่าแจกนักเรียนพวกที่ใช้แต้มเกินตัวแต่มันก็เป็นการเอาใจเกินไป เป็นโรงเรียนที่เข้มงวดไม่ใช่หรอ การที่โรงเรียนรอบคอบแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันนะ ขณะฉันที่กำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันหน้าร้านสะดวกซื้อทำให้หลุดจากภวังค์

    คนที่กำลังทะเลาะกับพวกรุ่นพี่ปีสองอยู่คือสุโดที่อยู่ห้องเดียวกัน ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ก็ยังมีพวกพวกชั้นต่ำไร้หัวสมองดีแต่ใช้กำลัง ทะเลาะกันเสียงดังในที่สาธารณะแถมยังมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ทั่วเนี่ยนะ

    น่ารำคาญชะมัด

    "ดูเหมือนจะอยู่ห้องเดียวกันนะพวกเธอไม่ไปช่วยหน่อยหรอ"อายาโนะโคจิถาม

    "ฉันไม่อยากทำให้ชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อนเพราะคนไร้สมองแบบนั้นหรอกนะ" โฮริคิตะกล่าวทิ้งทายก่อนจะเดินจากไป

    "ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อยไม่มีเหตุผลให้ยุ่งเกี่ยว"

     

     

    หลังจากกลับมาที่หอพักฉันก็เริ่มจัดของให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเริ่มทบทวนความคิดของตัวเองอีกครั้ง โรงเรียนแห่งนี้แปลกเกินไปทั่วทุกจุดของโรงเรียนมีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้อยู่ ถ้าสำหรับติดตั้งเพื่อรักษาความปลอดภัยฉันคงไม่ตะหงิดใจ ทว่า จำนวนที่เห็นนั้นมันเยอะกว่าจำนวนปกติทั่วไป ยังไม่รวมกล้องที่ซ่อนไว้อีก ไม่มีโรงเรียนไหนบ้าติดตั้งกล้องเยอะขนาดนี้หรอกนะ ทำอย่างกับพวกพิพิธภัณฑ์ยังไงยังงั้น เอาเป็นว่าฉันจะใช้แต้มอย่างประหยัด ๆ ก็แล้วกันเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันที่สองในโรงเรียนแห่งนี้เพราะเป็นวันที่เริ่มการเรียนการสอนเป็นวันแรก กว่าครึ่งคาบเรียนจึงเป็นการอธิบายแนวทางการเรียนการสอนเสียหมด นักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีท่าทีตั้งใจเรียนแม้แต่น้อยบางคนงีบหลับ บางคนเล่นโทรศัพท์ระหว่างคาบเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่อาจารย์ก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจหรือตักเตือน

    เมื่อถึงช่วงเวลาพักกลางวันบรรยากาศแสนผ่อนคลาย บรรดานักเรียนทั้งหลายต่างลุกจากที่นั่งตามใจชอบแล้วแยกย้ายกันไปกินข้าวกับพวกคนรู้จัก

    “น่าเวทนานะ” น้ำเสียงโฮริคิตะแฝงนัยสังเวช

    มนุษย์ผู้โดดเดี่ยวทั้งสองคนทางด้านหลังกำลังสนทนากัน

    “อะไรกันล่ะ อะไรที่น่าเวทนา” อายาโนะโคจิถามกลับ

    “อยากให้มีใครสักคนชวนไปกินข้าวล่ะสิ ความคิดแบบนั้นทั้งหมดฉันมองออกอย่างทะลุปุโปร่งเลยน่ะสิ”

    “เธอเองก็ตัวคนเดียวเหมือนกันนี่ คิดแบบเดียวกันอยู่ใช่ไหมล่ะหรือตั้งใจจะอยู่แบบนี้ไปตลอดสามปี”

    “ใช่แล้ว ฉันชอบอยู่คนเดียว”

    โฮริคิตะตอบมาทันทีโดยไม่ลังเล รู้สึกได้ว่ามาจากใจจริง

    “...นั่นสินะ”

    คาบเรียนพึ่งเลิกไปหนึ่งนาที นักเรียนก็หายไปมากกว่าครึ่งซะแล้ว พูดตามตรงว่าฉันก็อยากจะลองหาเพื่อนดูสักคน ถ้าจะให้อยู่คนเดียวตลอดสามปีคงไม่ไหว

    “เอ่อ ฉันจะไปโรงอาหารน่ะ มีใครอยากไปด้วยไหม”

    ฮิราตะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย

    “ฉันไปด้วย ~!”

    “ฉันด้วยๆ”

    ภายในพริบตารอบตัวของเขาก็มีแต่สาว ๆ ล้อมรอบ ไม่แปลกหรอกก็เขาเป็นหนุ่มหน้าตาดีแถมยังอัธยาศัยดีไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็คงอยากไปกินข้าวกับเขา

    “น่าอนาถนะ” น้ำเสียงสังเวชของโฮริคิตะดังขึ้นมาอีกครั้ง

    “อย่ามาอ่านใจคนอื่นตามใจชอบจะได้ไหม” อายาโนะโคจิตอบกลับ

    “ไม่มีคนอื่นแล้วหรอ”

    คงเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่ในกลุ่มมีแต่ผู้หญิงกระมังเขาจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาผู้โชคดีไปกับเขาอีกคน

    ฉันรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของอายาโนะโคจิจากด้านหลัง อยากไปขนาดนั้นเลยหรอ

    สายตาของฮิราตะมาหยุดตรงฉัน เขาคงรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของอายาโนะโคจิกระมังถึงได้มองมาทางนี้ ฉันเงยหน้าจากหนังสือสบตาของเขาเพียงชั่วครู่

    “โฮซึกิซังอยากไปด้วยกันไหม” เขากล่าวชวนด้วยรอยยิ้มที่สามารถตกสาวๆ ได้เป็นแถบ

    ไม่สิ มันไม่ใช่แบบที่ฉันคิดไว้นายไม่ควรชวนฉันต้องชวนคนข้างหลังฉันต่างหาก

    “ขออฎิเสธ” ฉันตอบกลับเขาด้วยน้ำเสียงเฉยชา

    “งั้นหรอ..”

    หรือว่าฉันควรบอกให้เขาชวนอายาโนะโคจิคุงไปดีเพราะท่าทีของอีกฝ่ายดูน่าสมเพชซะจนทนดูไม่ได้ ในขณะที่กำลังคิดว่าควรจะทำยังไงดี

    “รีบไปกันเถอะ ฮิราตะคุง”

    สาวเปรี้ยวเกาะแขนฮิราตะโดยไม่รู้สึกถึงเสียงเรียกร้องในหัวใจของอายาโนะโคจิคุงแม้แต่น้อย

    และแล้วกลุ่มของฮิราตะกับพวกเด็กผู้หญิงสุขสันต์ก็พากันออกจากห้องไป เหลือแต่เพียงความน่าเวทนาของคนทางด้านหลัง

    ฉันปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง

    “อายาโนะโคจิคุงสนใจไปกินข้าวด้วยกันไหม”

    ในตอนแรกฉันกะว่าจะไปซื้ออาหารกินง่าย ๆ จากร้านสะดวกซื้อ แต่เป็นเพราะความน่าสมเพชเกินบรรยายของอายาโนะโคจิจนทำให้ฉันอดรู้สึกสงสารเขาไม่ได้ เลยเปลี่ยนใจไปกินข้าวกับเขาแทน อย่างน้อยฉันก็น่าจะผูกมิตรกับเขาไว้สักหน่อยผู้ชายที่ไม่น่ารำคาญแถมยังทำตัวจืดจางไม่โดดเด่นสักด้าน คนแบบนี้แหละที่เหมาะจะเป็นเพื่อนของฉัน และแน่นอนว่าอายาโนะโคจิตอบรับแทบจะทันที

    “อายาโนะโคจิคุง…ใช่หรือเปล่า”

    ในขณะมุ่งหน้าไปโรงอาหาร สาวน้อยแสนสวยก็เรียกอายาโนะโคจิไว้กระทันหัน คุชิดะที่เป็นเพื่อนร่วมห้องนั่นเอง

    เธอมีเส้นสีน้ำตาลสลวยที่สั้นเหนือบ่าขึ้นมานิดหน่อย รูปร่างเพรียวบาง และมีหน้าตาน่ารักที่สามารถตกหนุ่มๆ ได้เป็นอย่างดี

    “เธอมีธุระอะไรกับฉันงั้นหรือ”

    “ถ้างั้นฉันขอตัวไปโรงอาหารก่อนแล้วกัน” ฉันกล่าวพลางหมุนเท้าไปทางโรงอาหาร

    “โทษทีนะ เดี๋ยวจะรีบตามไป” น้ำเสียงอายาโนะโคจิแฝงนัยรู้สึกผิดเล็กน้อย

     

     

     

     

     

     

    เมื่อมาถึงโรงอาหารฉันก็เลือกซื้ออาหารจำพวกผักสลัดมาทาน ขณะที่ฉันกำลังยืนถือถาดอาหารเก้ๆ กังๆ เพื่อมองหาที่นั่ง ก็มีเด็กสาวผมสีชมพูคนหนึ่งโบกมีมาทางนี้

    ฉันสบตากับเธอแล้วส่งข้อความทางสายตาว่าเรียกฉันหรอคะ เธอพยักหน้าลงน้อยๆ แล้วกวักมือเรียกให้ไปหา

    “ถ้าไม่รังเกียจมานั่งด้วยกันไหม ที่นั่งพวกฉันยังเหลืออีกเยอะเลย” เธอถาม

    “ถ้างั้นขออนุญาตด้วย” ฉันตอบกลับเธอทันทีก็ไม่มีเหตุผลให้ปฎิเสธสักหน่อย

    “ไม่เป็นไร ๆ นั่งได้เลยตามสบาย”

    ฉันเลือกนั่งข้างเด็กหนุ่มผมสีฟ้าอมม่วง ดวงตาสีม่วง เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ฉันนั่งลงเด็กหนุ่มคนนั้นก็หันมามองฉัน สายตาของเราสบกันครู่นึงก่อนที่ฉันจะดบนสายตาหนี

    “ฉันชื่ออิจิโนะเสะ โฮนามิ อยู่ปี 1 ห้องB ส่วนคนที่อยู่ข้าง ๆ เธอ เขาชื่อ คันซากิ ริวจิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” อิจิโนะเสะกล่าวพร้อมส่งรอยยิ้มสดใสมาให้

    “โฮซึกิ คาริน อยู่ปี 1 ห้อง D ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

    “ยังไงเราก็อยู่ปีหนึ่งเหมือนกัน มาสนิทกันไว้เถอะ”

    “นั่นสินะ” คารินกล่าวพลางคีบอาหารเข้าปาก

    ‘วันนี้เวลาสิบเจ็ดนาฬิกาเป็นต้นไป จะมีการแนะนำชมรม ณ โรงยิมหมายเลขหนึ่ง นักเรียนที่มีความสนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมชมรม กรุณามารวมตัวกันที่โรงยิมหมายเลขหนึ่งด้วยค่ะ’

    เสียงประกาศนั้นเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ชมรมงั้นหรอ จะว่าไปแล้วฉันเองก็ไม่เคยเข้าชมรมเลยนี่นะ

    “นี่ โฮซึกิซังกับคันซากิคุงสนใจเข้าชมรมอะไรหรอ” อิจิโนะเสะถาม

    “ฉันไม่ได้อยากเข้าชมรมสักเท่าไหร่” คันซากิตอบ

    “ไม่ได้สนใจชมรมไหนเป็นพิเศษน่ะ แล้วอิจิโนะเสะซังล่ะ”

    “อืม ฉันคงอยากเข้าสภานักเรียนน่ะ”

    สภานักเรียนงั้นหรอ ดูยังไงก็เป็นการเพิ่มงานให้ตัวเองโดยเปล่าประโยชน์

    “ทำไมล่ะ”

    “ก็ฉันอยากทำอะไรเพื่อโรงเรียน แล้วก็เห็นว่าถ้าได้เข้าสภานักเรียนจะมีผลประโยชน์อะไรสักอย่างซึ่งเขาบอกว่าดีมาก”

    “งั้นหรอ”

    “ขอนั่งด้วยคนได้ไหม” อายาโนะโคจิปรากฎตัวพร้อมถาดอาหารในมือ

    “เชิญเลย ๆ ตามสบาย” อิจิโนะเสะต้อนรับอายาโนะโคจิด้วยรอยยิ้มสดใส

    เขานั่งลงข้างอิจิโนะเสะทั้งสองคนเริ่มสนทนาแนะนำตัวกัน

    “โทษที รอนานไหม” อายาโนะโคจิหันพูดกับฉันบ้าง

    “นาน”

    “โทษทีนะ พอดีคุชิดะยื้อไว้ซะนานเลย”

    “ช่างมันเถอะ”

    “ว่าแต่เธอสนใจเข้าชมรมไหนงั้นหรอ” อายาโนะโคจิถาม

    “ไม่ได้สนใจชมรมไหนเป็นพิเศษหรอก แล้วนายล่ะ”

    “ฉันก็เหมือนกัน”

    พวกเราคุยสัพเพเหระกันต่ออีกเล็กน้อย ไม่นานนักก็แยกย้ายกันกลับห้อง

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เน่ ฉันสังเกตเห็นนะว่าคันซากิคุงเหลือบมองโฮซึกิซังตลอดเลยนะ สนใจโฮซึกิซังหรอ” อิจิโนะเสะถามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

    “เปล่า…แค่รู้สึกว่าเหมือนเคยเจอที่ไหนสักแห่ง” คันซากิตอบ

    “แบบนั้นเขาก็เรียกว่าสนใจนะ แต่ไม่ต้องห่วงฉันไม่แอบเอาไปบอกใครหรอกวางใจได้” อิจิโนะเสะขยิบตา

    “บอกว่าไม่ใช่ไง”

     

     

     

     

     


    14/2/67  ลงตอน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×