ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The war of the knight

    ลำดับตอนที่ #7 : สงครามฮาล์ฟแลนด์ 2

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 48


          กองทัพของจอมปีศาจและกองทัพฮาล์ฟปะทะกันตั้งแต่ในวันแรก  แต่ทหารฮาล์ฟมีนัอย



    กว่าปีศาจมาก  แถมยังเสียเปรียบด้านพละกำลังอีก  ทหารฮาล์ฟลดน้อยลงทุกวินาที  จอมปีศาจ



    ตวัดดาบว่องไวราวกับฟันอากาศ  ฮาล์ฟตายเป็นใบไม้ร่าง  กองทัพปีศาจหนุนเนื่องเข้ามาไม่สิ้นสุด  



    เอลด์เลนเข้าไปรับดาบของจอมปีศาจ  เหมือนกับมีไฟฟ้าพุ่งจากปลายดาบสู่พระหัตถ์  เขากัดฟัน



    และพยายามดันดาบนั้นออกไป  รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนแขนกำลังจะหัก  เอลด์เลนปัดดาบออกไป



    แล้วชักม้ากลับทันที



         “กลับเข้ามา  ปิดประตูเมืองไว้”  พระราชาตะโกน  ทหารที่เหลืออยู่รีบช่วยกันปิดประตูและ



    ขึ้นรักษาเชิงเทิน  จอมปีศาจทำสัญญาณมือให้ทหารกลับไปยังค่ายเช่นกัน  สถานการณ์แย่ลงทุก ๆ วัน  



    ชาวเมืองทุกคนเริ่มหมดกำลังใจ  เงาเมฆอันมืดมนบดบังแสงสว่างเหนือน่านฟ้าของฮาล์ฟแลนด์  



    แม้แต่แสงสว่างอันทรงพลังแห่งดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจเร้นลอดผ่านเงาปีศาจอันชั่วร้ายออกมาได้  



    ความสิ้นหวังครอบคลุมดวงใจทุกดวงเหมือนไอหมอกที่หนาหนักและไม่สามารถควบคุมได้  ไม่มี



    ความเชื่อมั่นใด ๆ หลงเหลือ  ไม่มีแม้แต่ความศรัทธาแห่งการอยู่รอด  เงาปีศาจผงาดขึ้นเหนือทุกสิ่ง  



    กลืนกินความหวัง  ความเชื่อมั่น  และความศรัทธาทั้งปวง



         “ข้าจะออกไปรบกับมัน”  เอลด์เลนกล่าว



         “แต่ฝ่าบาท  ทหารของเราน้อยเหลือเกิน  ไม่มีทางสู้มันได้หรอกพะย่ะค่ะ  ไม่มีหวังเลย”  



    องครักษ์คนหนึ่งทักท้วงขึ้น

          “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง  ให้รอความตายอยู่ในกำแพงวังอย่างนี้เหรอ  ความหวังอยู่ที่หัวใจ



    ของเราทุกคนนะ  เมื่อใดที่หัวใจของเราหยุด เต้น  เมื่อนั้นแหละที่เราสมควรจะหมดหวัง”  



    ไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากคัดค้านอีก  กองทัพทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง  ปีศาจยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม  



    ฮาล์ฟทุกคนรบจนสุดความสามารถแต่ก็ไม่ได้ผล  ชาวเมืองโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม  แม้หัวใจจะยังเต้น  



    แต่ก็เหมือนจะไร้ซึ่งวิญญาณ  แต่พระราชาก็ยังสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางสมรภูมิ

         “ใกล้หมดแรงแล้วสินะ”  คัสมาร์พึมพำ  คว้าธนูขึ้นสาย  ดวงตาสีเลือดนกเพ่งไปยังหัวใจ



    ของเอลด์เลนที่กำลังหันหลังให้



         ฟ้าววว  



         ธนูพุ่งแหวกอากาศออกไป



         ป๊อก



         ธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับธนูของจอมปีศาจทำให้มันหักลงทันที  คัสมาร์หันไปมอง



    ผู้ที่บังอาจเข้ามาขวางมันอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับเอลด์เลน  ภาพเบื้องหน้าคือฮาล์ฟหนุ่ม



    ผมสีบรอนซ์ทอง  ดวงตาสีฟ้าสดดูสงบนิ่งล้ำลึกนั้นแฝงไว้ด้วยแววเจ้าเล่ห์  ใบหน้านั้นงดงาม



    กว่าฮาล์ฟธรรมดา  ร่างอันสง่างามนั้นอยู่บนหลังม้าศึกสีขาว  เบื้องหลังของเขาคือทหารฮาล์ฟจำนวนหนึ่ง



    (ซึ่งน้อยมาก)  



         “เอเลสซิล”  พระราชาเปล่งเสียงเรียก



         “ลอบกัดแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ”  สิ้นเสียงของเอเลสซิลทหารก็บุกเข้าไปทันที  พวกปีศาจ



    หันกลับไปเล่นงานเอเลสซิลแทน ทหารของเอ  เลสซิลถอยร่นไปเรื่อย ๆ



         “อย่างนั้นแหละ  ดีมาก “  เอเลสซิลพึมพำ  ปีศาจยังคงบุกไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่สองข้างทาง



    เป็นป่าทึบ  เจ้าชายฮาล์ฟทำสัญญาณมือให้ทหารที่แอบซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองฟากตีกระหนาบเข้ามาทันที



    ตามแผนที่เขาวางไว้  กองทัพปีศาจเริ่มระส่ำระสายแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีทหารอาล์ฟเท่าไหร่แน่  



    คัสมาร์ดูตกใจไม่น้อย  เอลด์เลนและเอเลสซิลเห็นได้ทีจึงขับทหารขึ้นไป  พวกปีศาจต้องรับศึกถึง สี่ด้าน  



    เป็นธรรมดาที่ผู้ที่ถูกลอบโจมตีจะตื่นตระหนก  เพราะตามธรรมชาติไม่ว่าจะฮาล์ฟ  มนุษย์  หรือปีศาจ



    เมื่อถูกลอบทำร้ายก็มักจะตีความสามารถของศัตรูไว้สูงเสมอแถมยังหวาดระแวงเกินกว่าที่



    ควรจะเป็นอีกด้วย  เหมือนกับพวกที่เห็นแมวเป็นเสือเวลาที่กลัวมาก ๆ นั่นแหละ   อย่างนี้



    สิมันถึงจะเข้าแผน



         พวกปีศาจแตกตื่นเหมือนมดแตกรัง  คัสมาร์พยายามรวบรวมทหารแล้วตีฝ่าวงล้อมนั้นออกไป  



    ฮาล์ฟต่างหลีกทางให้จอมปีศาจ  แน่ละ  ใครจะกล้าขวางทางจอมอสูรกัน  นอกจาก  เอเลสซิล !  



    เขาขี่ม้าเข้าไปขวางหน้าคัสมาร์ไว้



         “จนตรอกถึงขนาดต้องหนีเลยเหรอ  คัสมาร์”  เขาเอ่ยชื่อของจอมปีศาจอย่างจงใจ



         “กล้าดียังไงมาเอ่ยนามของข้า”  เสียงนั้นเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ  แต่เอเลสซิลหา



    ได้หวั่นเกรงไม่



         “จริงสิ  ข้าไม่น่าเอ่ยชื่อที่สกปรกเช่นนั้นเลย”



         “ปากกล้านักนะ”  



         คัสมาร์ตวัดดาบรวดเร็ว  แต่ไม่เร็วเกินกว่าที่เจ้าชายฮาล์ฟจะรับไว้ได้  ทั้งคู่ดวลดาบกันบนหลังม้า



    อย่างดุเดือด  แต่ทว่ากำลังของเอเลสซิลด้อยกว่าเนื่องจากยังเด็กและทุกครั้งที่ดาบปะทะกันเขาจะรู้สึก



    เจ็บแปลบที่มือ  คัสมาร์สบโอกาส  มันเงื้อดาบขึ้นสุดแขนกะฟันให้เอเลสซิลสิ้นชีพในคราวเดียว  



    แต่สายตาอันเฉียบคมของฮาล์ฟก็เหลือบไปเห็นรอยต่อของเสื้อเกราะบริเวณไหล่ของจอมปีศาจ



         “ข้าไม่หมูถึงขนาดนั้นหรอกน่า”  เขาตวัดดาบย้อนขึ้นไปทันทีด้วยความว่องไว



         “อ๊ากส์”  คัสมาร์ร้องเสียงก้องอย่างเจ็บปวด  เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย  มันขี่ม้า



    หนีไปโดยไม่สนใจทหารที่ตาลีตาเหลือกวิ่งตามแม้แต่น้อย  เอเลสซิลปล่อยมันไปเพราะทหาร



    ปีศาจยังเหลืออีกมาก  เพียงแต่ขวัญเสียไปหน่อยเท่านั้น  ถ้าเกิดมันหันกลับมาสู้ล่ะก็จะแย่ยิ่งกว่าเก่า  



    เขาพาทหารไปสมทบกับเอลด์เลน  อาหลานต่างสายเลือดพากันเข้าไปในพระราชวังพร้อมทหารที่



    รวมแล้วเหลือประมาณเจ็ดพันคน



         “ข้านึกว่าจะไม่มีใครมาช่วยซะแล้ว”



         “คือว่า...ทหารม้าเร็วหนีรอดไปได้คนเดียวพะย่ะค่ะท่านอา”  เอเลสซิลเล่าเรื่องของคอปป์ให้ฟัง



         “คงต้องรออีกประมาณสองวันกว่าทัพใหญ่จะมาถึง  ข้าล่วงหน้ามาก่อนเพราะกลัวว่าท่าน



    จะต้านมันไว้ไม่อยู่”  



         “โชคดีจริง ๆ ที่เจ้ามาทัน  เก่งมากนะที่เอาชนะมันได้  แต่ว่า..เจ้ามีทหารกี่คนล่ะ”



    เอเลสซิลยิ้มน้อย ๆก่อนจะตอบว่า



         “สองร้อยคนพะย่ะค่ะ”



         “สองร้อย” เอลด์เลนทวนคำ



         “แต่ข้าว่ามันดูเยอะกว่านั้นนา”



         “ข้าก็แค่เอากิ่งไม้ผูกติดกับหางม้า  เวลามันวิ่งจะได้มีฝุ่นเยอะ ๆ ทำให้ดูเหมือนมีทหารมาก  



    น่ะพะย่ะค่ะ”



         “ฮ่าๆๆๆ  ฉลาดจริง ๆ เจ้านี่  ถามจริงเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”



         “ 30 แล้วพะย่ะค่ะ”



         “ 30 เองเหรอ”



         เด็กอายุ 30 ปีกับทหารแค่สองร้อยคนสามารถทำให้กองทัพปีศาจแตกกระเจิงไปได้



    ภายในพริบตา  ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ  



         “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี”  เอลด์เลนถาม



         “ข้าคิดว่าควรจะรักษากำแพงเมืองเอาไว้ให้นานที่สุดและรอจนกว่าทัพใหญ่จะมาช่วย  



    เพราะกำลังทหารของเราคงไม่มากพอที่จะไปสู้รบปรบมือกับพวกปีศาจได้”  เอเลสซิลอธิลาย  



    เอลด์เลนเห็นด้วย  เขาจึงให้ทหารขึ้นไปรักษาการณ์บนเชิงเทินและให้ผลัดเวรกันทั้งกลางวัน



    และกลางคืน  ส่วนคอปป์นั้นมีความดีความชอบจึงได้เลื่อนขั้นเป็นทหารรักษาพระองค์



                                             ...........................................................................



         ในวันที่สามนับจากเอเลสซิลมาถึง  ทุกอย่างเป็นปกติดียกเว้นการที่มีนกอินทรีขนาดมหึมา



    ตัวหนึ่งลินโฉบเข้ามาทางหน้าต่างแล้วร่อนลงอย่างสง่างามพร้อมกับกวาดจานอาหารเช้าบนโต๊ะ



    แตกกระจัดกระจาย!!?!!



         “ยังเบรกไม่ดีเหมือนเดิมนะวิล”  เอเลสซิลบอก  เจ้านกอินทรีกลายร่างเป็นหมอกควันสีน้ำเงิน



    ก่อนจะปรากฏร่างเป็นชายหนุ่มผมยาวสีเทาสูงประมาณ 1 ฟุต



         “ว้าว  ไม่เจอกันแค่ 5 วัน  แปลงกายได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้เชียวเหรอ”



         “แหม  ก็อีตาริงกัสน่ะดุยังกะอะไร  มองหน้าข้าทียังกับจะกินเลือดกินเนื้อ  



    ถ้าข้าไม่รีบฝึกล่ะก็คงโดนหมอนั้นฆ่าหมกโรงเลี้ยงนกแน่ ๆ “  วิลค่อนขอดคนฝึกนกในพระราชวัง



    อย่างไม่พอใจ



         “เอ้อ  เกือบลืมแน่ะ  ท่านพ่อของท่านฝากมาบอกว่า  ตอนนี้รวบรวมทหารเรียบร้อยแล้ว  



    เหลือแต่ธนูที่อยู่ในดินแดนร้างเนี่ยแหละ  เห็นพระราชาบอกว่ากำแพงเวทย์มันแข็งแกร่งขึ้น  



    ต้องรอให้ลอร์ดอริงกาซัสเป็นคนเข้าไปเอาธนู  อาจจะช้าไปหน่อย  ให้ท่านต้านจอมปีศาจไว้ก่อนน่ะ”



         “เจ้าหมายถึงธนูไนท์เกรย์เซอร์น่ะเหรอ”



         “เอ้อ  ใช่แล้ว  ธนูไหนเซเด้อน่ะแหละ”



         “รู้สึกว่าข้าคงต้องส่งเจ้าไปฝึกการออกเสียงกับริงกัสใหม่แล้วล่ะ”



         “มันชื่อธนูไนท์เกรย์เซอร์ใช่มั้ยล่ะ”  วิลรีบพูดใหม่ทันทีที่ได้ยินชื่อของริงกัส



         “เจ้ารู้จักธนูนั่นด้วยเหรอ  เอเลสซิล”  พระราชาถาม



         “ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นธนูในตำนานที่มีฤทธานุภาพสูงมาก  เป็นธนูดอกเดียวที่สามารถ



    กำจัดจอมปีศาจได้  ผู้ที่จะใช้ธนูดอกนั้นได้ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่ง  ๆไม่เช่นนั้นนะ



    ไม่สามารถบังคับลูกธนูได้ ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ”



         “ใช่แล้ว  เป็นธนูที่มีอานุภาพมาก  แต่ก็ไม่เคยทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจสูญสิ้นไปอย่างเด็ดขาดซะที”



         “ท่านอาหมายความว่า.......”



         “ใช่  จอมปีศาจไม่ได้มีแต่คัสมาร์ตนเดียวหรอกนะ  พวกปีศาจน่ะคุกคามเรามาหลายครั้ง



    หลายหนแล้ว  แต่ก็ถูกปราบลงได้ด้วยธนูดอกนั้น  แต่ไม่กี่พันปีก็จะมีปีศาจโผล่มาอีก  ทั้ง ๆ



    ที่เราคิดว่ากำจัดมันสิ้นซากไปแล้วแท้ ๆ”



         “คงจะมีปีศาจหลงเหลือหลังสงครามและเป็นตัวสืบทอดเผ่าพันธุ์ก็เป็นได้”



         “ข้าและทุกคนก็คิดอย่างนั้น  แต่มันเป็นอย่างนี้มาสี่ครั้งแล้วนะ  ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งที่



    ห้าระหว่างเราและปีศาจ  ไม่รู้ว่าถ้าเราชนะ  ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกรึเปล่า”



         “ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง  เราไม่น่าผิดพลาดได้ถึงสี่ครั้งสี่คราเลยนะ  มันต้องมี



    อะไรซักอย่างแน่ ๆ”  เอเลสซิลใคร่ครวญ



         “วิล  ไปบอกท่านพ่อนะว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  ทางนี้ก็น่าจะยืดเวลาจนกว่ากองทัพใหญ่



    จะมาถึงได้  แล้วถ้าใกล้จะถึงแล้วให้ส่งข่าวมาบอกด้วย  จะได้เข้าโจมตีพร้อมกัน  เข้าใจมั้ย”



         “เข้าใจแจ่มแจ้งเลยขอรับ”  วิลตอบรับอย่างหนักแน่นก่อนจะกลายร่างเป็นนกอินทรีแล้ว



    บินโฉบออกไปทางหน้าต่าง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×