ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สงครามฮาล์ฟแลนด์ 2
      กองทัพของจอมปีศาจและกองทัพฮาล์ฟปะทะกันตั้งแต่ในวันแรก  แต่ทหารฮาล์ฟมีนัอย
กว่าปีศาจมาก  แถมยังเสียเปรียบด้านพละกำลังอีก  ทหารฮาล์ฟลดน้อยลงทุกวินาที  จอมปีศาจ
ตวัดดาบว่องไวราวกับฟันอากาศ  ฮาล์ฟตายเป็นใบไม้ร่าง  กองทัพปีศาจหนุนเนื่องเข้ามาไม่สิ้นสุด 
เอลด์เลนเข้าไปรับดาบของจอมปีศาจ  เหมือนกับมีไฟฟ้าพุ่งจากปลายดาบสู่พระหัตถ์  เขากัดฟัน
และพยายามดันดาบนั้นออกไป  รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนแขนกำลังจะหัก  เอลด์เลนปัดดาบออกไป
แล้วชักม้ากลับทันที
    “กลับเข้ามา  ปิดประตูเมืองไว้”  พระราชาตะโกน  ทหารที่เหลืออยู่รีบช่วยกันปิดประตูและ
ขึ้นรักษาเชิงเทิน  จอมปีศาจทำสัญญาณมือให้ทหารกลับไปยังค่ายเช่นกัน  สถานการณ์แย่ลงทุก ๆ วัน 
ชาวเมืองทุกคนเริ่มหมดกำลังใจ  เงาเมฆอันมืดมนบดบังแสงสว่างเหนือน่านฟ้าของฮาล์ฟแลนด์ 
แม้แต่แสงสว่างอันทรงพลังแห่งดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจเร้นลอดผ่านเงาปีศาจอันชั่วร้ายออกมาได้ 
ความสิ้นหวังครอบคลุมดวงใจทุกดวงเหมือนไอหมอกที่หนาหนักและไม่สามารถควบคุมได้  ไม่มี
ความเชื่อมั่นใด ๆ หลงเหลือ  ไม่มีแม้แต่ความศรัทธาแห่งการอยู่รอด  เงาปีศาจผงาดขึ้นเหนือทุกสิ่ง 
กลืนกินความหวัง  ความเชื่อมั่น  และความศรัทธาทั้งปวง
    “ข้าจะออกไปรบกับมัน”  เอลด์เลนกล่าว
    “แต่ฝ่าบาท  ทหารของเราน้อยเหลือเกิน  ไม่มีทางสู้มันได้หรอกพะย่ะค่ะ  ไม่มีหวังเลย” 
องครักษ์คนหนึ่งทักท้วงขึ้น
      “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง  ให้รอความตายอยู่ในกำแพงวังอย่างนี้เหรอ  ความหวังอยู่ที่หัวใจ
ของเราทุกคนนะ  เมื่อใดที่หัวใจของเราหยุด เต้น  เมื่อนั้นแหละที่เราสมควรจะหมดหวัง” 
ไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากคัดค้านอีก  กองทัพทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง  ปีศาจยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม 
ฮาล์ฟทุกคนรบจนสุดความสามารถแต่ก็ไม่ได้ผล  ชาวเมืองโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม  แม้หัวใจจะยังเต้น 
แต่ก็เหมือนจะไร้ซึ่งวิญญาณ  แต่พระราชาก็ยังสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางสมรภูมิ
    “ใกล้หมดแรงแล้วสินะ”  คัสมาร์พึมพำ  คว้าธนูขึ้นสาย  ดวงตาสีเลือดนกเพ่งไปยังหัวใจ
ของเอลด์เลนที่กำลังหันหลังให้
    ฟ้าววว 
    ธนูพุ่งแหวกอากาศออกไป
    ป๊อก
    ธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับธนูของจอมปีศาจทำให้มันหักลงทันที  คัสมาร์หันไปมอง
ผู้ที่บังอาจเข้ามาขวางมันอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับเอลด์เลน  ภาพเบื้องหน้าคือฮาล์ฟหนุ่ม
ผมสีบรอนซ์ทอง  ดวงตาสีฟ้าสดดูสงบนิ่งล้ำลึกนั้นแฝงไว้ด้วยแววเจ้าเล่ห์  ใบหน้านั้นงดงาม
กว่าฮาล์ฟธรรมดา  ร่างอันสง่างามนั้นอยู่บนหลังม้าศึกสีขาว  เบื้องหลังของเขาคือทหารฮาล์ฟจำนวนหนึ่ง
(ซึ่งน้อยมาก) 
    “เอเลสซิล”  พระราชาเปล่งเสียงเรียก
    “ลอบกัดแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ”  สิ้นเสียงของเอเลสซิลทหารก็บุกเข้าไปทันที  พวกปีศาจ
หันกลับไปเล่นงานเอเลสซิลแทน ทหารของเอ  เลสซิลถอยร่นไปเรื่อย ๆ
    “อย่างนั้นแหละ  ดีมาก “  เอเลสซิลพึมพำ  ปีศาจยังคงบุกไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่สองข้างทาง
เป็นป่าทึบ  เจ้าชายฮาล์ฟทำสัญญาณมือให้ทหารที่แอบซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองฟากตีกระหนาบเข้ามาทันที
ตามแผนที่เขาวางไว้  กองทัพปีศาจเริ่มระส่ำระสายแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีทหารอาล์ฟเท่าไหร่แน่ 
คัสมาร์ดูตกใจไม่น้อย  เอลด์เลนและเอเลสซิลเห็นได้ทีจึงขับทหารขึ้นไป  พวกปีศาจต้องรับศึกถึง สี่ด้าน 
เป็นธรรมดาที่ผู้ที่ถูกลอบโจมตีจะตื่นตระหนก  เพราะตามธรรมชาติไม่ว่าจะฮาล์ฟ  มนุษย์  หรือปีศาจ
เมื่อถูกลอบทำร้ายก็มักจะตีความสามารถของศัตรูไว้สูงเสมอแถมยังหวาดระแวงเกินกว่าที่
ควรจะเป็นอีกด้วย  เหมือนกับพวกที่เห็นแมวเป็นเสือเวลาที่กลัวมาก ๆ นั่นแหละ  อย่างนี้
สิมันถึงจะเข้าแผน
    พวกปีศาจแตกตื่นเหมือนมดแตกรัง  คัสมาร์พยายามรวบรวมทหารแล้วตีฝ่าวงล้อมนั้นออกไป 
ฮาล์ฟต่างหลีกทางให้จอมปีศาจ  แน่ละ  ใครจะกล้าขวางทางจอมอสูรกัน  นอกจาก  เอเลสซิล ! 
เขาขี่ม้าเข้าไปขวางหน้าคัสมาร์ไว้
    “จนตรอกถึงขนาดต้องหนีเลยเหรอ  คัสมาร์”  เขาเอ่ยชื่อของจอมปีศาจอย่างจงใจ
    “กล้าดียังไงมาเอ่ยนามของข้า”  เสียงนั้นเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ  แต่เอเลสซิลหา
ได้หวั่นเกรงไม่
    “จริงสิ  ข้าไม่น่าเอ่ยชื่อที่สกปรกเช่นนั้นเลย”
    “ปากกล้านักนะ” 
    คัสมาร์ตวัดดาบรวดเร็ว  แต่ไม่เร็วเกินกว่าที่เจ้าชายฮาล์ฟจะรับไว้ได้  ทั้งคู่ดวลดาบกันบนหลังม้า
อย่างดุเดือด  แต่ทว่ากำลังของเอเลสซิลด้อยกว่าเนื่องจากยังเด็กและทุกครั้งที่ดาบปะทะกันเขาจะรู้สึก
เจ็บแปลบที่มือ  คัสมาร์สบโอกาส  มันเงื้อดาบขึ้นสุดแขนกะฟันให้เอเลสซิลสิ้นชีพในคราวเดียว 
แต่สายตาอันเฉียบคมของฮาล์ฟก็เหลือบไปเห็นรอยต่อของเสื้อเกราะบริเวณไหล่ของจอมปีศาจ
    “ข้าไม่หมูถึงขนาดนั้นหรอกน่า”  เขาตวัดดาบย้อนขึ้นไปทันทีด้วยความว่องไว
    “อ๊ากส์”  คัสมาร์ร้องเสียงก้องอย่างเจ็บปวด  เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย  มันขี่ม้า
หนีไปโดยไม่สนใจทหารที่ตาลีตาเหลือกวิ่งตามแม้แต่น้อย  เอเลสซิลปล่อยมันไปเพราะทหาร
ปีศาจยังเหลืออีกมาก  เพียงแต่ขวัญเสียไปหน่อยเท่านั้น  ถ้าเกิดมันหันกลับมาสู้ล่ะก็จะแย่ยิ่งกว่าเก่า 
เขาพาทหารไปสมทบกับเอลด์เลน  อาหลานต่างสายเลือดพากันเข้าไปในพระราชวังพร้อมทหารที่
รวมแล้วเหลือประมาณเจ็ดพันคน
    “ข้านึกว่าจะไม่มีใครมาช่วยซะแล้ว”
    “คือว่า...ทหารม้าเร็วหนีรอดไปได้คนเดียวพะย่ะค่ะท่านอา”  เอเลสซิลเล่าเรื่องของคอปป์ให้ฟัง
    “คงต้องรออีกประมาณสองวันกว่าทัพใหญ่จะมาถึง  ข้าล่วงหน้ามาก่อนเพราะกลัวว่าท่าน
จะต้านมันไว้ไม่อยู่” 
    “โชคดีจริง ๆ ที่เจ้ามาทัน  เก่งมากนะที่เอาชนะมันได้  แต่ว่า..เจ้ามีทหารกี่คนล่ะ”
เอเลสซิลยิ้มน้อย ๆก่อนจะตอบว่า
    “สองร้อยคนพะย่ะค่ะ”
    “สองร้อย” เอลด์เลนทวนคำ
    “แต่ข้าว่ามันดูเยอะกว่านั้นนา”
    “ข้าก็แค่เอากิ่งไม้ผูกติดกับหางม้า  เวลามันวิ่งจะได้มีฝุ่นเยอะ ๆ ทำให้ดูเหมือนมีทหารมาก 
น่ะพะย่ะค่ะ”
    “ฮ่าๆๆๆ  ฉลาดจริง ๆ เจ้านี่  ถามจริงเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
    “ 30 แล้วพะย่ะค่ะ”
    “ 30 เองเหรอ”
    เด็กอายุ 30 ปีกับทหารแค่สองร้อยคนสามารถทำให้กองทัพปีศาจแตกกระเจิงไปได้
ภายในพริบตา  ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ 
    “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี”  เอลด์เลนถาม
    “ข้าคิดว่าควรจะรักษากำแพงเมืองเอาไว้ให้นานที่สุดและรอจนกว่าทัพใหญ่จะมาช่วย 
เพราะกำลังทหารของเราคงไม่มากพอที่จะไปสู้รบปรบมือกับพวกปีศาจได้”  เอเลสซิลอธิลาย 
เอลด์เลนเห็นด้วย  เขาจึงให้ทหารขึ้นไปรักษาการณ์บนเชิงเทินและให้ผลัดเวรกันทั้งกลางวัน
และกลางคืน  ส่วนคอปป์นั้นมีความดีความชอบจึงได้เลื่อนขั้นเป็นทหารรักษาพระองค์
                                        ...........................................................................
    ในวันที่สามนับจากเอเลสซิลมาถึง  ทุกอย่างเป็นปกติดียกเว้นการที่มีนกอินทรีขนาดมหึมา
ตัวหนึ่งลินโฉบเข้ามาทางหน้าต่างแล้วร่อนลงอย่างสง่างามพร้อมกับกวาดจานอาหารเช้าบนโต๊ะ
แตกกระจัดกระจาย!!?!!
    “ยังเบรกไม่ดีเหมือนเดิมนะวิล”  เอเลสซิลบอก  เจ้านกอินทรีกลายร่างเป็นหมอกควันสีน้ำเงิน
ก่อนจะปรากฏร่างเป็นชายหนุ่มผมยาวสีเทาสูงประมาณ 1 ฟุต
    “ว้าว  ไม่เจอกันแค่ 5 วัน  แปลงกายได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้เชียวเหรอ”
    “แหม  ก็อีตาริงกัสน่ะดุยังกะอะไร  มองหน้าข้าทียังกับจะกินเลือดกินเนื้อ 
ถ้าข้าไม่รีบฝึกล่ะก็คงโดนหมอนั้นฆ่าหมกโรงเลี้ยงนกแน่ ๆ “  วิลค่อนขอดคนฝึกนกในพระราชวัง
อย่างไม่พอใจ
    “เอ้อ  เกือบลืมแน่ะ  ท่านพ่อของท่านฝากมาบอกว่า  ตอนนี้รวบรวมทหารเรียบร้อยแล้ว 
เหลือแต่ธนูที่อยู่ในดินแดนร้างเนี่ยแหละ  เห็นพระราชาบอกว่ากำแพงเวทย์มันแข็งแกร่งขึ้น 
ต้องรอให้ลอร์ดอริงกาซัสเป็นคนเข้าไปเอาธนู  อาจจะช้าไปหน่อย  ให้ท่านต้านจอมปีศาจไว้ก่อนน่ะ”
    “เจ้าหมายถึงธนูไนท์เกรย์เซอร์น่ะเหรอ”
    “เอ้อ  ใช่แล้ว  ธนูไหนเซเด้อน่ะแหละ”
    “รู้สึกว่าข้าคงต้องส่งเจ้าไปฝึกการออกเสียงกับริงกัสใหม่แล้วล่ะ”
    “มันชื่อธนูไนท์เกรย์เซอร์ใช่มั้ยล่ะ”  วิลรีบพูดใหม่ทันทีที่ได้ยินชื่อของริงกัส
    “เจ้ารู้จักธนูนั่นด้วยเหรอ  เอเลสซิล”  พระราชาถาม
    “ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นธนูในตำนานที่มีฤทธานุภาพสูงมาก  เป็นธนูดอกเดียวที่สามารถ
กำจัดจอมปีศาจได้  ผู้ที่จะใช้ธนูดอกนั้นได้ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่ง  ๆไม่เช่นนั้นนะ
ไม่สามารถบังคับลูกธนูได้ ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ”
    “ใช่แล้ว  เป็นธนูที่มีอานุภาพมาก  แต่ก็ไม่เคยทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจสูญสิ้นไปอย่างเด็ดขาดซะที”
    “ท่านอาหมายความว่า.......”
    “ใช่  จอมปีศาจไม่ได้มีแต่คัสมาร์ตนเดียวหรอกนะ  พวกปีศาจน่ะคุกคามเรามาหลายครั้ง
หลายหนแล้ว  แต่ก็ถูกปราบลงได้ด้วยธนูดอกนั้น  แต่ไม่กี่พันปีก็จะมีปีศาจโผล่มาอีก  ทั้ง ๆ
ที่เราคิดว่ากำจัดมันสิ้นซากไปแล้วแท้ ๆ”
    “คงจะมีปีศาจหลงเหลือหลังสงครามและเป็นตัวสืบทอดเผ่าพันธุ์ก็เป็นได้”
    “ข้าและทุกคนก็คิดอย่างนั้น  แต่มันเป็นอย่างนี้มาสี่ครั้งแล้วนะ  ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งที่
ห้าระหว่างเราและปีศาจ  ไม่รู้ว่าถ้าเราชนะ  ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกรึเปล่า”
    “ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง  เราไม่น่าผิดพลาดได้ถึงสี่ครั้งสี่คราเลยนะ  มันต้องมี
อะไรซักอย่างแน่ ๆ”  เอเลสซิลใคร่ครวญ
    “วิล  ไปบอกท่านพ่อนะว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  ทางนี้ก็น่าจะยืดเวลาจนกว่ากองทัพใหญ่
จะมาถึงได้  แล้วถ้าใกล้จะถึงแล้วให้ส่งข่าวมาบอกด้วย  จะได้เข้าโจมตีพร้อมกัน  เข้าใจมั้ย”
    “เข้าใจแจ่มแจ้งเลยขอรับ”  วิลตอบรับอย่างหนักแน่นก่อนจะกลายร่างเป็นนกอินทรีแล้ว
บินโฉบออกไปทางหน้าต่าง
กว่าปีศาจมาก  แถมยังเสียเปรียบด้านพละกำลังอีก  ทหารฮาล์ฟลดน้อยลงทุกวินาที  จอมปีศาจ
ตวัดดาบว่องไวราวกับฟันอากาศ  ฮาล์ฟตายเป็นใบไม้ร่าง  กองทัพปีศาจหนุนเนื่องเข้ามาไม่สิ้นสุด 
เอลด์เลนเข้าไปรับดาบของจอมปีศาจ  เหมือนกับมีไฟฟ้าพุ่งจากปลายดาบสู่พระหัตถ์  เขากัดฟัน
และพยายามดันดาบนั้นออกไป  รู้สึกเจ็บแปลบเหมือนแขนกำลังจะหัก  เอลด์เลนปัดดาบออกไป
แล้วชักม้ากลับทันที
    “กลับเข้ามา  ปิดประตูเมืองไว้”  พระราชาตะโกน  ทหารที่เหลืออยู่รีบช่วยกันปิดประตูและ
ขึ้นรักษาเชิงเทิน  จอมปีศาจทำสัญญาณมือให้ทหารกลับไปยังค่ายเช่นกัน  สถานการณ์แย่ลงทุก ๆ วัน 
ชาวเมืองทุกคนเริ่มหมดกำลังใจ  เงาเมฆอันมืดมนบดบังแสงสว่างเหนือน่านฟ้าของฮาล์ฟแลนด์ 
แม้แต่แสงสว่างอันทรงพลังแห่งดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจเร้นลอดผ่านเงาปีศาจอันชั่วร้ายออกมาได้ 
ความสิ้นหวังครอบคลุมดวงใจทุกดวงเหมือนไอหมอกที่หนาหนักและไม่สามารถควบคุมได้  ไม่มี
ความเชื่อมั่นใด ๆ หลงเหลือ  ไม่มีแม้แต่ความศรัทธาแห่งการอยู่รอด  เงาปีศาจผงาดขึ้นเหนือทุกสิ่ง 
กลืนกินความหวัง  ความเชื่อมั่น  และความศรัทธาทั้งปวง
    “ข้าจะออกไปรบกับมัน”  เอลด์เลนกล่าว
    “แต่ฝ่าบาท  ทหารของเราน้อยเหลือเกิน  ไม่มีทางสู้มันได้หรอกพะย่ะค่ะ  ไม่มีหวังเลย” 
องครักษ์คนหนึ่งทักท้วงขึ้น
      “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง  ให้รอความตายอยู่ในกำแพงวังอย่างนี้เหรอ  ความหวังอยู่ที่หัวใจ
ของเราทุกคนนะ  เมื่อใดที่หัวใจของเราหยุด เต้น  เมื่อนั้นแหละที่เราสมควรจะหมดหวัง” 
ไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากคัดค้านอีก  กองทัพทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง  ปีศาจยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม 
ฮาล์ฟทุกคนรบจนสุดความสามารถแต่ก็ไม่ได้ผล  ชาวเมืองโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม  แม้หัวใจจะยังเต้น 
แต่ก็เหมือนจะไร้ซึ่งวิญญาณ  แต่พระราชาก็ยังสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางสมรภูมิ
    “ใกล้หมดแรงแล้วสินะ”  คัสมาร์พึมพำ  คว้าธนูขึ้นสาย  ดวงตาสีเลือดนกเพ่งไปยังหัวใจ
ของเอลด์เลนที่กำลังหันหลังให้
    ฟ้าววว 
    ธนูพุ่งแหวกอากาศออกไป
    ป๊อก
    ธนูอีกดอกหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับธนูของจอมปีศาจทำให้มันหักลงทันที  คัสมาร์หันไปมอง
ผู้ที่บังอาจเข้ามาขวางมันอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับเอลด์เลน  ภาพเบื้องหน้าคือฮาล์ฟหนุ่ม
ผมสีบรอนซ์ทอง  ดวงตาสีฟ้าสดดูสงบนิ่งล้ำลึกนั้นแฝงไว้ด้วยแววเจ้าเล่ห์  ใบหน้านั้นงดงาม
กว่าฮาล์ฟธรรมดา  ร่างอันสง่างามนั้นอยู่บนหลังม้าศึกสีขาว  เบื้องหลังของเขาคือทหารฮาล์ฟจำนวนหนึ่ง
(ซึ่งน้อยมาก) 
    “เอเลสซิล”  พระราชาเปล่งเสียงเรียก
    “ลอบกัดแบบนี้ใช้ไม่ได้เลยนะ”  สิ้นเสียงของเอเลสซิลทหารก็บุกเข้าไปทันที  พวกปีศาจ
หันกลับไปเล่นงานเอเลสซิลแทน ทหารของเอ  เลสซิลถอยร่นไปเรื่อย ๆ
    “อย่างนั้นแหละ  ดีมาก “  เอเลสซิลพึมพำ  ปีศาจยังคงบุกไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่สองข้างทาง
เป็นป่าทึบ  เจ้าชายฮาล์ฟทำสัญญาณมือให้ทหารที่แอบซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองฟากตีกระหนาบเข้ามาทันที
ตามแผนที่เขาวางไว้  กองทัพปีศาจเริ่มระส่ำระสายแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีทหารอาล์ฟเท่าไหร่แน่ 
คัสมาร์ดูตกใจไม่น้อย  เอลด์เลนและเอเลสซิลเห็นได้ทีจึงขับทหารขึ้นไป  พวกปีศาจต้องรับศึกถึง สี่ด้าน 
เป็นธรรมดาที่ผู้ที่ถูกลอบโจมตีจะตื่นตระหนก  เพราะตามธรรมชาติไม่ว่าจะฮาล์ฟ  มนุษย์  หรือปีศาจ
เมื่อถูกลอบทำร้ายก็มักจะตีความสามารถของศัตรูไว้สูงเสมอแถมยังหวาดระแวงเกินกว่าที่
ควรจะเป็นอีกด้วย  เหมือนกับพวกที่เห็นแมวเป็นเสือเวลาที่กลัวมาก ๆ นั่นแหละ  อย่างนี้
สิมันถึงจะเข้าแผน
    พวกปีศาจแตกตื่นเหมือนมดแตกรัง  คัสมาร์พยายามรวบรวมทหารแล้วตีฝ่าวงล้อมนั้นออกไป 
ฮาล์ฟต่างหลีกทางให้จอมปีศาจ  แน่ละ  ใครจะกล้าขวางทางจอมอสูรกัน  นอกจาก  เอเลสซิล ! 
เขาขี่ม้าเข้าไปขวางหน้าคัสมาร์ไว้
    “จนตรอกถึงขนาดต้องหนีเลยเหรอ  คัสมาร์”  เขาเอ่ยชื่อของจอมปีศาจอย่างจงใจ
    “กล้าดียังไงมาเอ่ยนามของข้า”  เสียงนั้นเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ  แต่เอเลสซิลหา
ได้หวั่นเกรงไม่
    “จริงสิ  ข้าไม่น่าเอ่ยชื่อที่สกปรกเช่นนั้นเลย”
    “ปากกล้านักนะ” 
    คัสมาร์ตวัดดาบรวดเร็ว  แต่ไม่เร็วเกินกว่าที่เจ้าชายฮาล์ฟจะรับไว้ได้  ทั้งคู่ดวลดาบกันบนหลังม้า
อย่างดุเดือด  แต่ทว่ากำลังของเอเลสซิลด้อยกว่าเนื่องจากยังเด็กและทุกครั้งที่ดาบปะทะกันเขาจะรู้สึก
เจ็บแปลบที่มือ  คัสมาร์สบโอกาส  มันเงื้อดาบขึ้นสุดแขนกะฟันให้เอเลสซิลสิ้นชีพในคราวเดียว 
แต่สายตาอันเฉียบคมของฮาล์ฟก็เหลือบไปเห็นรอยต่อของเสื้อเกราะบริเวณไหล่ของจอมปีศาจ
    “ข้าไม่หมูถึงขนาดนั้นหรอกน่า”  เขาตวัดดาบย้อนขึ้นไปทันทีด้วยความว่องไว
    “อ๊ากส์”  คัสมาร์ร้องเสียงก้องอย่างเจ็บปวด  เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย  มันขี่ม้า
หนีไปโดยไม่สนใจทหารที่ตาลีตาเหลือกวิ่งตามแม้แต่น้อย  เอเลสซิลปล่อยมันไปเพราะทหาร
ปีศาจยังเหลืออีกมาก  เพียงแต่ขวัญเสียไปหน่อยเท่านั้น  ถ้าเกิดมันหันกลับมาสู้ล่ะก็จะแย่ยิ่งกว่าเก่า 
เขาพาทหารไปสมทบกับเอลด์เลน  อาหลานต่างสายเลือดพากันเข้าไปในพระราชวังพร้อมทหารที่
รวมแล้วเหลือประมาณเจ็ดพันคน
    “ข้านึกว่าจะไม่มีใครมาช่วยซะแล้ว”
    “คือว่า...ทหารม้าเร็วหนีรอดไปได้คนเดียวพะย่ะค่ะท่านอา”  เอเลสซิลเล่าเรื่องของคอปป์ให้ฟัง
    “คงต้องรออีกประมาณสองวันกว่าทัพใหญ่จะมาถึง  ข้าล่วงหน้ามาก่อนเพราะกลัวว่าท่าน
จะต้านมันไว้ไม่อยู่” 
    “โชคดีจริง ๆ ที่เจ้ามาทัน  เก่งมากนะที่เอาชนะมันได้  แต่ว่า..เจ้ามีทหารกี่คนล่ะ”
เอเลสซิลยิ้มน้อย ๆก่อนจะตอบว่า
    “สองร้อยคนพะย่ะค่ะ”
    “สองร้อย” เอลด์เลนทวนคำ
    “แต่ข้าว่ามันดูเยอะกว่านั้นนา”
    “ข้าก็แค่เอากิ่งไม้ผูกติดกับหางม้า  เวลามันวิ่งจะได้มีฝุ่นเยอะ ๆ ทำให้ดูเหมือนมีทหารมาก 
น่ะพะย่ะค่ะ”
    “ฮ่าๆๆๆ  ฉลาดจริง ๆ เจ้านี่  ถามจริงเจ้าอายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
    “ 30 แล้วพะย่ะค่ะ”
    “ 30 เองเหรอ”
    เด็กอายุ 30 ปีกับทหารแค่สองร้อยคนสามารถทำให้กองทัพปีศาจแตกกระเจิงไปได้
ภายในพริบตา  ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ 
    “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี”  เอลด์เลนถาม
    “ข้าคิดว่าควรจะรักษากำแพงเมืองเอาไว้ให้นานที่สุดและรอจนกว่าทัพใหญ่จะมาช่วย 
เพราะกำลังทหารของเราคงไม่มากพอที่จะไปสู้รบปรบมือกับพวกปีศาจได้”  เอเลสซิลอธิลาย 
เอลด์เลนเห็นด้วย  เขาจึงให้ทหารขึ้นไปรักษาการณ์บนเชิงเทินและให้ผลัดเวรกันทั้งกลางวัน
และกลางคืน  ส่วนคอปป์นั้นมีความดีความชอบจึงได้เลื่อนขั้นเป็นทหารรักษาพระองค์
                                        ...........................................................................
    ในวันที่สามนับจากเอเลสซิลมาถึง  ทุกอย่างเป็นปกติดียกเว้นการที่มีนกอินทรีขนาดมหึมา
ตัวหนึ่งลินโฉบเข้ามาทางหน้าต่างแล้วร่อนลงอย่างสง่างามพร้อมกับกวาดจานอาหารเช้าบนโต๊ะ
แตกกระจัดกระจาย!!?!!
    “ยังเบรกไม่ดีเหมือนเดิมนะวิล”  เอเลสซิลบอก  เจ้านกอินทรีกลายร่างเป็นหมอกควันสีน้ำเงิน
ก่อนจะปรากฏร่างเป็นชายหนุ่มผมยาวสีเทาสูงประมาณ 1 ฟุต
    “ว้าว  ไม่เจอกันแค่ 5 วัน  แปลงกายได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้เชียวเหรอ”
    “แหม  ก็อีตาริงกัสน่ะดุยังกะอะไร  มองหน้าข้าทียังกับจะกินเลือดกินเนื้อ 
ถ้าข้าไม่รีบฝึกล่ะก็คงโดนหมอนั้นฆ่าหมกโรงเลี้ยงนกแน่ ๆ “  วิลค่อนขอดคนฝึกนกในพระราชวัง
อย่างไม่พอใจ
    “เอ้อ  เกือบลืมแน่ะ  ท่านพ่อของท่านฝากมาบอกว่า  ตอนนี้รวบรวมทหารเรียบร้อยแล้ว 
เหลือแต่ธนูที่อยู่ในดินแดนร้างเนี่ยแหละ  เห็นพระราชาบอกว่ากำแพงเวทย์มันแข็งแกร่งขึ้น 
ต้องรอให้ลอร์ดอริงกาซัสเป็นคนเข้าไปเอาธนู  อาจจะช้าไปหน่อย  ให้ท่านต้านจอมปีศาจไว้ก่อนน่ะ”
    “เจ้าหมายถึงธนูไนท์เกรย์เซอร์น่ะเหรอ”
    “เอ้อ  ใช่แล้ว  ธนูไหนเซเด้อน่ะแหละ”
    “รู้สึกว่าข้าคงต้องส่งเจ้าไปฝึกการออกเสียงกับริงกัสใหม่แล้วล่ะ”
    “มันชื่อธนูไนท์เกรย์เซอร์ใช่มั้ยล่ะ”  วิลรีบพูดใหม่ทันทีที่ได้ยินชื่อของริงกัส
    “เจ้ารู้จักธนูนั่นด้วยเหรอ  เอเลสซิล”  พระราชาถาม
    “ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นธนูในตำนานที่มีฤทธานุภาพสูงมาก  เป็นธนูดอกเดียวที่สามารถ
กำจัดจอมปีศาจได้  ผู้ที่จะใช้ธนูดอกนั้นได้ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่ง  ๆไม่เช่นนั้นนะ
ไม่สามารถบังคับลูกธนูได้ ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ”
    “ใช่แล้ว  เป็นธนูที่มีอานุภาพมาก  แต่ก็ไม่เคยทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจสูญสิ้นไปอย่างเด็ดขาดซะที”
    “ท่านอาหมายความว่า.......”
    “ใช่  จอมปีศาจไม่ได้มีแต่คัสมาร์ตนเดียวหรอกนะ  พวกปีศาจน่ะคุกคามเรามาหลายครั้ง
หลายหนแล้ว  แต่ก็ถูกปราบลงได้ด้วยธนูดอกนั้น  แต่ไม่กี่พันปีก็จะมีปีศาจโผล่มาอีก  ทั้ง ๆ
ที่เราคิดว่ากำจัดมันสิ้นซากไปแล้วแท้ ๆ”
    “คงจะมีปีศาจหลงเหลือหลังสงครามและเป็นตัวสืบทอดเผ่าพันธุ์ก็เป็นได้”
    “ข้าและทุกคนก็คิดอย่างนั้น  แต่มันเป็นอย่างนี้มาสี่ครั้งแล้วนะ  ครั้งนี้เป็นสงครามครั้งที่
ห้าระหว่างเราและปีศาจ  ไม่รู้ว่าถ้าเราชนะ  ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกรึเปล่า”
    “ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง  เราไม่น่าผิดพลาดได้ถึงสี่ครั้งสี่คราเลยนะ  มันต้องมี
อะไรซักอย่างแน่ ๆ”  เอเลสซิลใคร่ครวญ
    “วิล  ไปบอกท่านพ่อนะว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  ทางนี้ก็น่าจะยืดเวลาจนกว่ากองทัพใหญ่
จะมาถึงได้  แล้วถ้าใกล้จะถึงแล้วให้ส่งข่าวมาบอกด้วย  จะได้เข้าโจมตีพร้อมกัน  เข้าใจมั้ย”
    “เข้าใจแจ่มแจ้งเลยขอรับ”  วิลตอบรับอย่างหนักแน่นก่อนจะกลายร่างเป็นนกอินทรีแล้ว
บินโฉบออกไปทางหน้าต่าง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น