ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The war of the knight

    ลำดับตอนที่ #5 : นครฮาล์ฟาเอิร์ธ

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ย. 48


              ม้าขาวโผนทะยานไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็วจนถึงประตูพระราชวัง  คอปป์ส่งเสียงเรียก



    นายประตูเปิดช่องเล็ก ๆ เพื่อดูหน้าผู้มาเยือนในยามวิกาล  คอปป์ยื่นพระราชสาส์น



    จากพระราชาเอลด์เลนให้  เขารับไปเปิดดูอย่างลวก ๆ แบบนายประตูที่ฮาล์ฟแลนด์



    ไม่ผิดเพี้ยนก่อนจะเปิดประตูให้คอปป์เข้าไป



              “ท่านคงต้องพักอยู่ข้างนอกก่อนนะ  พรุ่งนี้เช้าเราจึงจะอนุญาตให้ท่านเข้าเฝ้า



    พระราชาเออาร์คิลได้”  นายประตูคนนั้นบอก  คอปป์ไม่ขัดข้องอะไรเพราะอีกไม่นาน



    ฟ้าก็คงจะสางแล้ว  คืนนี้เป็นคืนแรกของการเดินทางที่คอปป์หลับสนิทที่สุด  เขาสะดุ้งตื่น



    ในตอนเช้าตรู่  คอปป์กระโดดลงจากเตียง  แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารของฮาล์ฟแลนด์



    ก่อนจะคว้าพระราชสาส์นแล้วรีบออกจากห้องไปทันที



              “โปรดรอสักครู่  ข้าจะไปกราลทูลพระราชาและราชินีก่อน”  ยามรักษาประตูกล่าว



    แล้วเดินเข้าไปในพระราชวัง  หลังจากนั้นไม่นานยามคนเดิมก็เดินกลับมาแล้วเชิญ



    คอปป์เข้าไปด้านใน  เขาก้าวสู่ห้องโถงขนาดใหญ่มากห้องหนึ่ง  เพดานและผนังห้อง



    เป็นภาพวาดสีน้ำมันเกี่ยวกับเทพนิยายต่าง ๆ งดงามและประณีตราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน



    ที่ปลายสุดของห้องพระราชาและพระราชินีประทับอยู่บนบัลลังก์เคียงคู่กัน  ทั้งสองพระองค์



    ดูสง่างามมาก  แต่สายตาของคอปป์กลับสะดุดที่ฮาล์ฟหนุ่มน้อยผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างพระราชา



    เรือนผมสีบรอนซ์ทองที่ยาวถึงเอวถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่งอย่างเรียบร้อย  ดวงตาสีฟ้าสดและ



    ริมฝีปากได้รูปส่งยิ้มให้คอปป์เล็กน้อย  ใบหน้านั้นงดงามและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด  



    โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าเข้มสดคมกริบที่แฝงประกายลึกลับเกินจะหยั่งถึง เต็มเปี่ยมไปด้วย



    ความฉลาดหลักแหลม  อ่อนโยน  แต่เวลาที่คอปป์มองเข้าไปในดวงตาของเขามันกลับทำให้



    คอปป์รู้สึกเหมือนมองไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่คาดคะเนอะไรไม่ได้  ดวงตาที่ไม่แสดง



    ความคิดและความรู้สึก เป็นคนที่อ่านยากจริง ๆ ผู้ชายคนนี้



              คอปป์รู้สึกเหมือนถูกมนต์สะกด  ผู้ชายคนนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด  



    นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงเขาคงตกหลุมรักหนุ่มน้อยคนนี้แน่



              “ไหนล่ะสาส์นจากเอลด์เลนน้องข้า”  พระราชาตรัสถาม  คอปป์สะดุ้งเล็กน้อย



              “นี่พะย่ะค่ะ”  คอปป์ยื่นพระราชสาส์นแด่พระราชา



    พระราชาทรงอ่านพระราชสาส์นนั้นอย่างรวดเร็ว  พระพักตร์แสดงถึงความวิตกกังวล



    มากขึ้นเรื่อย ๆ



              “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”  ราชินีอลิซาเบธตรัสถาม



              “จอมปีศาจยกกองทัพมาทำสงครามกับอาล์ฟแลนด์”  พระราชาตอบด้วยสีหน้า



    เคร่งเครียด



              “ตายจริง!”  พระราชินีอุทาน



              “กองทัพของพวกมันมีทหารเท่าไหร่”



              “หลายแสนพะย่ะค่ะ”  คอปป์ทูลตอบ



              “กองทัพฮาล์ฟของเราคงไม่เพียงพอ  เอลด์เลนขอความช่วยเหลือจาก



    อาณาจักรอื่น ๆ แล้วใช่มั้ย”  



              คอปป์รู้สึกตีบตันในลำคอก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องทหารคนอื่น ๆ ให้ฟัง



              “เฮ้อ  ถ้างั้นข้าจะส่งทหารไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือเอง  แต่คงต้องใช้เวลา



    รวบรามทหารอย่างน้อย 2 วัน  กว่าจะเดินทางไปถึงฮาล์ฟแลนด์ก็คงใช้เวลารวม 4 วัน  



    คงไม่ทันแน่  ทำยังไงดี”  พระราชาตรัสอย่างหนักพระทัย



              “ข้าขอเดินทางไปกับนายทหารคนนี้ก่อนและขอทหารตามไปด้วยแค่ 200 คนก็พอ  



    อย่างน้อยก็น่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะท่านพ่อ”  หนุ่มน้อยหน้าคมคนนั้นพูดขึ้น



              “แต่เจ้าไม่เคยรบนะ”



              “แต่ข้าก็ใช้อาวุธเป็น”  ใช่  เออาร์คิลรู้ดีว่าเอเลสซิลเก่งแค่ไหนแต่เขา



    ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี



              “ตอนรบจริง ๆ มันไม่เหมือนกับตอนซ้อมใช้อาวุธหรอกนะ  เอเลสซิล”



              “ข้าจึงต้องไปหาประสบการณ์จริง ๆ ไงพะย่ะค่ะ”



              “แต่เจ้าพึ่งอายุ 30 เองนะ  ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ”



             “ท่านพ่อเองก็เคยรบตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ไม่ใช่เหรอ”



              “เฮ้อ  ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าแล้ว  จะไปก็ตามใจ  แต่เจ้าต้องระวังตัวนะ”



              “ขอบพระทัย”  เอเลสซิลอมยิ้มเล็กน้อย  คำพูดของเอเลสซิลทำให้พระราชา



    นึกถึงตอนที่ยังหนุ่ม  เขาต้องทำสงครามมามากมายกว่าจะได้เป็นกษัตริย์ที่



    ยิ่งใหญ่ในวันนี้  และคนที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาตลอดคือ  เอลด์เลน  



    น้องร่วมสาบานของเขาเอง  เขารักน้องชายคนนี้เหมือนน้องแท้ ๆ เลยทีเดียว  เอลด์เลน



    เคยช่วยชีวิตเขาหลายครั้งตอนทำสงคราม  เขาเป็นคนซื่อสัตย์และกล้าหาญมากทีเดียว



              แม้จะต่างสายเลือด......แต่ก็เหมือนสายเลือดเดียวกัน



             แม้จะต่างพ่อต่างแม่.......แต่ก็เหมือนพี่น้องร่วมท้อง



             พระราชาคิด  เขาไม่รู้หรอกว่าชะตากรรมของเอเลสซิลและลูกของเอลด์เลน



    จะเป็นเช่นเดียวกับเขา



             “ถ้าท่านพ่ออนุญาตข้าก็จะเดินทางวันนี้เลยนะครับ  ทหาร 200 คนคงใช้เวลา



    เตรียมไม่มาก  ข้าจะเลือกทหารทั้งหมดเอง”  



             “ตามใจ  ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  เอเลสซิล  ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด  แต่เจ้ายังเด็ก  จะทำอะไร



    ต้องรอบคอบ  โดยเฉพาะการทำสงคราม  จะประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวจำไว้นะ  



    เอาละ ไปเถอะ”  



              “ขอบพระทัย”  เอเลสซิลลุกขึ้น  ร่างนั้นดูสูงสง่า



               “มาเถอะ”  เขาเรียกคอปป์  คอปป์ทำความเคารพพระราชาและพระราชินี



    แล้วเดินตามเจ้าชายน้อยไปทันที



             “เจ้าชื่ออะไรเหรอ”  เอเลสซิลถาม



             “กระหม่อมชื่อคอปป์  ฝ่าบาท”  



            “ข้าชื่อเอเลสซิล  โรวิลครอฟ  รู้มั้ยข้าถูกชะตากับท่านมากเลยล่ะ”



             “กระหม่อมก็เช่นกัน  ฝ่าบาทเป็นฮาล์ฟที่งดงามมาก”  



              งดงามมากจนน่าจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์...ฮาล์ฟที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน



              “ฮาล์ฟน่ะงดงามทุกคนนั่นแหละ  อืม ดูจากสภาพอิดโรยของท่านแล้วการเดินทาง



    คงไม่ราบรื่นเท่าที่ควรสินะ  ถ้าเดาไม่ผิด  คงโดนกระเบนยักษ์คาร์คัสโจมตีละสิ”



             “ฝ่าบาทรู้ได้ไง !!?!!.........พะย่ะค่ะ”  คอปป์ทำหน้าตาตื่น  เอเลสซิลหัวเราะน้อย ๆ



             “รอยบาดเล็ก ๆ สีดำที่นิ้วก้อยมือซ้ายของเจ้าน่ะ”  คอปป์ก้มดูนิ้วมือตัวเองทันที  



    ที่นิ้วก้อยของเขามีรอยบาดสีดำเล็ก ๆ ยาวประมาณ ครึ่งเซนต์



    เห็นตอนไหนฟะ --_+!!



             “ข้าไม่เคยรู้สึกเจ็บเลย”



             “ไม่แปลกหรอก  หางของคาร์คัสไม่ทำให้เจ็บปวด  แม้แต่ประสาทสัมผัสของฮาล์ฟ



    ก็ยังจับความรู้สึกไม่ได้  แต่พิษของมันจะซึมซาบเข้าสู่กระแสเลือดทำให้ตายอย่างช้า ๆ”  



    เอเลสซิลพูดหน้าตาเฉย  คอปป์หัวใจแทบวาย



    ตาย  ตายแน่คราวนี้  โธ่ !  ชีวิตมันเศร้าจริง ๆ เวรกรรมอะไรเนี่ย ฮือๆๆ T^T



              “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก  แผลสีดำแสดงว่ามันจะหายแล้ว  แต่ถ้าเป็นรอยสีแดง



    ละก็เจ้าไม่รอดแน่”



    คอปป์ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่โดนโจมตีให้เจ้าชายฟัง  



    ฉลาดจริง ๆ ผู้ชายคนนี้  ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กอายุ 30 เลย  



                                    .....................................................................



              เอเลสซิลเลือกทหารอย่างพินิศพิเคราะห์จนครบสองร้อยคน  ม้าและศัตราวุธต่าง ๆ



    ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย



             “ฝ่าบาทจะไม่ไปทางเรือเหรอ  ข้าคิดว่าข้าบอกไปแล้วนะว่าไปทางลัดมัน



    ปลอดภัยกว่า”



             “ถ้าเป็นตอนที่เจ้ามาก็อาจจะใช่”



             “หมายความว่าไง  ฝ่าบาท”



             “คาร์คัส”  เอเลสซิลบอก



    หา!  คาร์คัส  ไมอ้ะ??  ไม่เห็นเกี่ยวเลย  อะไรฟะเนี่ย   โอ๊ย! งงเฟ้ย @o@????



             “คือว่านะ...”  เอเลสซิลเริ่มต้นอธิบายเมื่อเห็นใบหน้างงเล็กน้อยของคอปป์



            “ข้าว่าไมใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่คาร์คัสมันจะว่ายตามเรือของเจ้าน่ะ  น่านน้ำนั้นไม่ใช่



    เส้นทางเดินเรือสมุทรก็จริง  แต่ชาวเกาะแถวนั้นก็น่าจะเคยล่องเรือออกทะเลบ้าง  



    เจ้าปลาพวกนี้น่ะไม่สนใจสิ่งที่เป็นปกติอยู่แล้วหรอก  แล้วอีกอย่างคาร์คัสน่ะมักจะอยู่เป็นฝูงใหญ่  



    แต่ที่ไล่ตามเรือเจ้ามันมาตัวเดียวใช่รึเปล่าล่ะ  แถมยังโจมตีเรืออีกด้วย  มันผิดวิสัยเกินไป”  



    เอเลสซิลร่ายเหตุผลยืดยาว  คอปป์ฉุกคิดขึ้นมาได้  ใช่  ตอนที่เขาเจอเมื่อครั้งมากับพ่อ



    มันเป็นฝูงใหญ่  และไม่มีทีท่าว่านะโจมตีเรือเลย



            “งั้นก็หมายความว่า...สมุนของจอมปีศาจน่ะสิ  ทำไมกระหม่อมไม่เฉลียวใจเลยนะ  ให้ตายสิ  



    แล้วคนบนเกาะล่ะจะทำยังไงดี”  คอปป์เริ่มเครียด



    “มันไม่รู้ทางลับไปเกาะนั้นหรอก  ถึงรู้ก็เข้าไปไม่ได้  วางใจได้เลย”  



    คอปป์เก็บความสงสัยเอาไว้  เขาและเอเลสซิลควบม้านำหน้าทหารฮาล์ฟทั้ง



    สองร้อยคนออกไป  เข้าสู่ป่ามุ่งหน้าไปยังฮาล์ฟแลนด์



                                ....................................................



    คณะเดินทางของเอเลสซิลหยุดพักเล็กน้อย  คอปป์ถามเรื่องทางลับทันที



    “ทำไมฝ่าบาทถึงแน่ใจนัก  ว่าจะไม่มีใครรู้”



    “รองเท้าของเจ้ามันบอก”  เอเลสซิลตอบสั้น ๆ



    “อะไรนะ!!?!!”  คอปป์งงเป็นไก่ตาแตก



    เอาอีกแล้ว  ทำไมชอบทำให้งงนักนะ  รองเท้ามันพูดได้ซะที่ไหน \\(@o@)/



    “รองเท้าของเจ้าเป็นรองเท้าหนังปลาที่หาได้ที่เกาะทัวร์ทูก้าเท่านั้น  ไม่ใช่รองเท้า



    ที่ทหารฮาล์ฟแลนด์ใช้กัน  ถ้าข้าคาดไม่ผิดนะ  อุโมงค์ที่ท่านว่าคงมีน้ำนองบนพื้น



    จนรองเท้าท่านเปียกและต้องเปลี่ยนเมื่อมาถึงเกาะแล้ว  ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่มีฝนตกน้ำฝน



    จึงไหลมาจากปากทางลับไม่ได้  จะว่าน้ำมันมีอยู่แล้วก็ไม่ได้  เพราะปากทางปิดสนิท



    ตลอดจนกระทั่งท่านเปิดใช้มัน  ดังนั้นเหลือทางเดียว คือ น้ำทะเลกัดเซาะอุโมงค์จนมีรูรั่ว



    น้ำจึงซึมเข้ามา  แล้วน้ำทะเลน่ะมีแรงดันมหาศาลคงใช้เวลาไม่นานนักหรอกที่มันจะท่วม



    อุโมงค์  เพราะฉะนั้นทางลับนี้จึงถูกปิดตายไปโดยปริยาย”  เอเลสซิลอธิบายละเอียดยิบ



    คอปป์ถึงกับอึ้ง  แค่รองเท้าก็ทำให้เขารู้ทะลุปรุโปร่งขนาดนั้นเชียวหรือ OoO



    “ข้าว่าป่านนี่คงมีปีศาจเต็มทะเลไปหมด  ฉะนั้นการเดินทางไปทางนี้จึงปลอดภัยที่สุดแล้ว” -_-

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×