ตอนที่ 8 : TAPE SEVEN [100%]
เสียงดนตรีดังกึกก้องไปทั่วลานกิจกรรมของโรงเรียนศิลปะ ความวุ่นวายทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องปลีกตัวออกมาหาพื้นที่สงบให้กับตัวเอง โชคดีที่วันนี้เป็นวันกิจกรรม ทำให้เขาไม่ต้องเข้าเรียน ช่วงเวลาว่าง ๆ นี่ก็เหมาะกับการนั่งฟังเพลง และวาดรูป นั่นเป็นกิจกรรมที่เขาชอบ
“เฮ้ย! ลูกพี่!!!” ร่างสูงผ่อนลมหายใจด้วยความเซ็งที่โดนคนมาขัดขวางการไปทำกิจกรรมแสนสุขของเขา “ไอ้มินวูเอาอะไรสนุก ๆ มาเล่นด้วย ไปเถอะ!”
เพื่อนของเขาทำกวักมือเรียกก่อนจะรีบวิ่งนำไปเพื่อพาไปทำกิจกรรมสนุก ๆ ที่ว่า ตาคมจับจ้องไปที่ร่างของเพื่อนที่กำลังวิ่งนำไป ต่อให้เขาไม่อยากที่จะไปแต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมเดินตามไปแต่โดยดี เพื่อไม่ให้บางอย่างมันผิดแปลกไปจากปกติ
มาร์คเดินตามเพื่อนของเขาไปเรื่อย ๆ จนมาถึงห้องเก็บอุปกรณ์ ตาคมสอดส่องเข้าไปข้างในเห็นเพื่อนจอมเกรียนของเขากำลังสนุกกับการหยิบชุดมาสคอตขึ้นมาใส่เล่น
“ใส่ไอ้นี่ไปแกล้งคนกัน!!” เพื่อน ๆ ของมาร์คต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ผิดกับเขาที่ยืนนิ่งและจ้องมองเพื่อนของเขาด้วยความรู้สึกที่ว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดูจะสนุกแม้แต่นิด “เป็นอะไรไปลูกพี่ ไม่อยากแกล้งคนเหรอ”
“มาร์ค ไม่สบายหรือเปล่า ปกติมีอะไรเจ๋ง ๆ ลูกพี่ต้องรีบเข้ามาแย่งก่อน” คำถามของเพื่อนของเขาทำมาร์คต้องผ่อนลมหายใจ ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเดินเข้าไปเลือกชุดมาสคอตมาใส่อย่างจำใจ เลือกไปเลือกมาก็หยิบได้ชุดจระเข้ มาร์คทำการสวมชุดนั่นอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ใส่ชุดเสร็จเรียบร้อยก็หยิบหัวจระเข้ขึ้นมาใส่ เพียงเท่านี้เขาก็จะแกล้งใครก็ได้โดยที่ไม่มีใครเห็นหน้า
เจ้านักเรียนแสบพากันหัวเราะคิกคักออกจากห้องไป ทิ้งให้มาร์คเดินอ้อยอิ่งอยู่ตามหลัง เขาเดินตามเพื่อนไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับร่างของใครบางคน
ขาของเขาหยุดเดินอัตโนมัติ ตาคมจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา แค่มองก็ทำหัวใจของเขาที่ห่อเหี่ยวขึ้นมาเต้นรัว จู่ ๆ รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็แต้มขึ้นบนใบหน้าหล่อที่อยู่ใต้หัวจระเข้
ตรงทางสายตาของมาร์คมีเด็กผู้ชายร่างบางคนหนึ่งกำลังใส่หูฟังและซ้อมเต้นอยู่เพียงลำพัง ทุกการเคลื่อนไหวนั่นทำให้เจ้าร่างบางดูมีเสน่ห์จนน่าหลงใหล แขนเล็กสะบัดไปทางซ้าย สไลด์ตัวไปทางขวา จากนั้นขาเรียวก็กระโดดจั๊มไปทางขวาทีซ้ายที แขนสะบัดไปมาดูแข็งแรงและมีเสน่ห์ ทำคนมองละสายตาไม่ได้เลย
ในจังหวะที่ร่างบางกำลังหมุนตัว ก็ทำให้เขาได้รู้ตัวว่ากำลังมีจระเข้ตัวหนึ่งกำลังสุ่มมองอยู่ ริมฝีปากอวบเหยียดยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงกันสวย ยิ้มที่สดใสนั่นทำคนมองรู้สึกเหมือนโดนยิงตรงกลางหัวใจ
เด็กหนุ่มหยุดเต้นและถอดหูฟังออก เขายังคงมองคนแปลกหน้าที่สุ่มมองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คนตัวเล็กเดินเข้าไปหามาร์ค และนั่นทำให้ร่างกายของคนในชุดจระเข้แข็งทื่อไปหมดทุกส่วน
“คุณว่างอยู่สินะ ช่วยไปดูผมเต้นหน่อยและช่วยประเมินให้ด้วย อีกสามวันผมจะออดิชั่นเต้นให้ค่าย AGS Entertainment ดูแล้ว” คนตัวเล็กถือวิสาสะจับมือจระเข้ให้เดินไปที่กลางห้องซ้อม การกระทำของเด็กหนุ่มทำหัวใจของมาร์คเริ่มเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่ใกล้คนคนนี้ในระยะประชิดขนาดนี้ “ว่าแต่ทำไมคุณใส่ชุดมาสคอต หรือว่าคุณมีกิจกรรมอะไรที่ต้องไปทำหรือเปล่า”
มาร์คโบกมือปัดเป็นการบอกว่าไม่มีอะไรที่ต้องไปทำ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขากำลังโดนเพื่อนลากไปแกล้งคนแท้ ๆ
“งั้นคุณก็ว่างช่วยประเมินผมใช่ไหม” มาร์คนิ่งไปครู่ใหญ่เพราะตื่นเต้น จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ผงกหัวอย่างเกร็ง ๆ “ถอดหัวชุดมาสคอตก่อนสิ คุณไม่อึดอัดเหรอ” มาร์คส่ายหัวรัว
“อ่า งั้นก็แล้วแต่คุณ รบกวนด้วยนะครับ” เจ้าตัวเล็กส่งยิ้มหวานให้อีกที ทำมาร์คกลั้นยิ้มจมูกบานอยู่ใต้หัวจระเข้ แล้วไม่นานคนตัวเล็กก็จัดการเปิดเพลงผ่านลำโพง เมื่อดนตรีขึ้นร่างบางก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสวยงามและดูมีพลัง
มาร์คจ้องมองเด็กหนุ่มร่างบางประเภทไม่ละสายตา เขามองร่างกายของเด็กหนุ่มที่เคลื่อนไหวจนเห็นเป็นไลน์เส้นร่างกายสวยงามที่ทำเขาคันไม้คันมืออยากจะหยิบสมุดมาวาด ใบหน้าที่จริงจังของเจ้าตัวเล็กยังคงดูมีเสน่ห์เสมอในสายตาของเขา และเมื่อตอนที่คนตัวบางเลื่อนสายตามาทางเขาและส่งยิ้มหวานให้ เพียงเท่านั้นก็ทำให้เขาแทบอยากจะกุมหัวใจและล้มไปกองที่พื้นอยู่ตรงหน้า
มาร์คสะดุ้งตื่นจากฝันด้วยอาการหอบ หัวใจของเขาเต้นรัวคล้ายกับว่ากำลังตื่นเต้นกับฝัน ตาคมจับจ้องมองเพดาลสีม่วงที่บอกเวลาว่าเขาตื่นมาช่วงกลางดึก ร่างหนารีบลุกขึ้นจากเตียงนอน เขาพุ่งตรงไปที่โต๊ะทำงานพร้อมเอามือไปเปิดโคมไฟ
เมื่อความสว่างคืนสู่ห้องแล้ว เขาก็รีบเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบสมุดขึ้นมา เขารีบเปิดหาหน้าว่างและหยิบดินสอมาวาดภาพสิ่งที่เขาเห็นในฝัน
ช่วงหลังมานี้มาร์คฝันถึงเรื่องราวในโรงเรียนบ่อยมาก ๆ และในฝันของเขาจะพบเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งเสมอ มาร์คอยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่แค่ลืมตาขึ้นมาสู่โลกความเป็นจริงใบหน้าน่ารักนั่นก็ถูกลบหายไปหมดแล้ว
มาร์คสเก็ตวาดภาพในฝันเป็นสตอรี่ยาว เขาแค่อยากบันทึกมันไว้เผื่อว่านี่จะเป็นความทรงจำที่หายไปของเขา แต่มันก็น่าหงุดหงิดที่ภาพของเขาที่วาดออกมานั้นคนที่อยู่ในภาพจะไม่มีใบหน้าเพราะเขาจำหน้าของใครไม่ได้เลยสักคน แม้แต่เด็กผู้ชายที่เขาพบเจอในฝันบ่อย ๆ ก็ตาม .
.
.
.
.
.
.
@ G.O.T Entertainment
มาร์คยังคงไม่เลิกหยุดคิดที่จะตามหาความจริงเกี่ยวกับความจำในอดีตที่หายไป แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะไม่สนใจมันแล้วก็ตาม แต่ตั้งแต่ที่มีเรื่องของแบมแบมเข้ามา เขาก็คิดว่าตัวเองจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้แล้ว ภาพวันที่แบมแบมร้องไห้ฟูมฟายวันนั้นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปีศาจร้าย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ดูจะสนุกกับการแกล้งเจ้าตัวเล็ก แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันขำไม่ออกแล้ว
ร่างสูงพาตัวเองเข้าไปในลิฟท์เพื่อจะขึ้นไปหาจุนซูนตามที่นัดหมายกันไว้ พนักงานต่างหลั่งไหลเข้ามาจนเต็มลิฟท์ โชคดีที่เขาปิดบังใบหน้าด้วยหมวกและใส่มาส์กปิดปากทำให้ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนอยู่มุมสุดของลิฟท์คือ มาร์ค ต้วน
ตาคมเลื่อนมองไปรอบตัวอย่างเรื่อยเปื่อย หากทว่าจู่ ๆ สายตาของเขาก็ไปหยุดที่คนคนหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของลิฟท์ การที่เขาเลื่อนตาไปมองทำหนุ่มร่างบางตรงนั้นต้องรีบหลบสายตาอย่างมีพิรุธ ส่วนมาร์คก็ยังจับจ้องใบหน้าคนคนนั้นอย่างไม่ละสาย ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกและอีกครั้งที่เขาตกหลุมรักในใบหน้าน่ารักนั่น
“วันนี้จัดรายการกี่โมง” ชายกลางวัยที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มใบหน้าหวานถามขึ้น
“บ่ายสามครับ” เพราะลิฟท์มันเงียบเลยทำให้มาร์คได้ยินเสียงของหนุ่มหน้าหวานคนนั้นได้อย่างชัดเจน และคำพูดเพียงสั้น ๆ ที่ชายคนนั้นตอบก็ทำให้มาร์ครู้ได้ทันทีว่านั่นคือแบมแบม
เมื่อรู้ว่าเป็นแบมแบมก็ทำมาร์คแค่นหัวเราะเพียงลำพัง ในตอนนี้เขากำลังขำตัวเองและในขณะเดียวกันก็เริ่มเจ็บปวดกับอาการป่วยจำหน้าคนไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะหลงเสน่ห์คนคนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเจอหน้าแบมแบมในวันใหม่ทีก็ตกหลุมรักได้ทุกที มันเป็นความรู้สึกที่มาร์คเริ่มโมโหเข้าแล้วล่ะ ทำไมกัน… ทำไมเขาต้องมาเจอกับโรคบ้า ๆ นี่ด้วย
มาร์คเกิดอาการลังเลใจ ตอนแรกเขาก็อยากจะเข้าไปทักแบมแบมเพื่อกวนประสาทและลึก ๆ ก็แค่อยากจะคุย แต่เห็นท่าทางหลบหน้าหลบของแบมแบมแล้วก็ทำให้มาร์ครับรู้ได้ว่าเจ้าตัวเล็กไม่อยากที่จะเจอ เพราะอย่างนั้นเขาจึงต้องเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น และแกล้งทำตัวเป็นแสดงอาการป่วยจำหน้าคนไม่ได้ ทั้งที่เขาเองก็รู้ว่าแบมแบมอยู่ตรงนั้น
‘ให้ผมได้มีพื้นที่หายใจบ้างเถอะ ถือว่าขอร้องก็ได้’
เพราะคำพูดประโยคนั้นที่แบมแบมเคยพูดกับเขา มันทำให้มาร์คยอมที่จะไม่เข้าไปหา ทั้งที่มาร์คเองก็รู้ตัวว่านี่มันไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยสักนิด ถ้าเขาอยากได้ก็อะไรก็ต้องได้ แต่ทำไมเขาต้องยอมที่จะทำเป็นไม่สนใจทั้งที่เขาอยากพบเจอ
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เจ้าตัวเล็กก็รีบเดินจ้ำหนีหายไป มาร์คทำได้เพียงมองแผ่นหลังเล็กที่หายลับไปในฝูงชน มาร์คยกมุมปากเล็ก ๆ แต้มยิ้มใต้มาสก์ปิดปาก แต่แววตาที่เขาจ้องมองแบมแบมนั้นมันเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ก็หวังว่าวันนี้คงจะไม่ได้บังเอิญได้พบกันอีก เพราะครั้งต่อไปมาร์คคิดว่าเขาคงจะทนไม่ไหวที่จะเข้าไปทักคนตัวเล็กแน่
มาร์คเดินออกจากลิฟท์ ระหว่างนั้นเขาก็โทรหาจุนซูเพื่อนัดเจอกัน เขายืนถือสายไม่นานก็เห็นเพื่อนยืนโบกมือให้อยู่ไม่ไกล ระหว่างที่จุนซูวิ่งมาหา มาร์คก็รีบสแกนสายตาสำรวจการแต่งตัวและทรงผม เพื่อจำไว้ว่าวันนี้จุนซูแต่งตัวยังไง เวลาที่อยู่ท่ามกลางคนอื่นเขาจะได้ไม่ทักผิดคน
“โทษทีนะที่ต้องให้นัดมาที่สถานี วันนี้ฉันมีเวลาว่างแค่ช่วงพักเท่านั้น ออกไปไหนก็คงไม่ทัน” เสียงพูดของจุนซูเป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าคนนี้เป็นจุนซูตัวจริง
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ไม่อยากนัดที่สาธารณะเหมือนกัน ขี้เกียจหลบแฟนคลับ”
“โอเค งั้นตามฉันมา” จุนซูยิ้มรับคำพูดของมาร์ค ก่อนจะเดินนำมาร์คเพื่อพาเขาไปหาที่คุยกันอย่างส่วนตัว มาร์คเองก็ได้แต่หวังในใจว่าการมาเจอจุนซูในครั้งนี้เขาจะได้ข้อมูลอะไรกลับไปบ้าง และหวังว่าความทรงจำที่หายไปของเขาจะค่อย ๆ ถูกเติมจนเต็ม ถึงแม้ว่าเขาจะแอบรู้สึกกลัวพฤติกรรมที่โหดร้ายของตัวเอง แต่เขาก็ต้องยอมรับมัน เพราะทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นด้วยการกระทำของเขา
จุนซูพามาร์คมายังห้องพัก โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครใช้ห้องนี้ ทำให้มาร์คได้พื้นที่ส่วนตัวในการพูดคุยกับจุนซู และเมื่อได้นั่งลงกับโซฟา จุนซูก็รีบเปิดคำถามเพราะเขาเห็นมาร์คพยายามนัดเขามาถึงสองครั้งแล้ว เลยคิดว่าน่าจะมีเรื่องด่วนอะไร
“นายมีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ” จุนซูเปิดประเด็น
“ฉันมีเรื่องสงสัย… ก็เลยอยากจะมาถามนาย” มาร์คเกริ่นไป ในขณะที่หัวของเขากำลังประมวลคำถามที่มันจะเลี่ยงไม่ให้จุนซูจับได้ว่าเขามีเรื่องลับกับแบมแบม “นายสนิทกับแบมแบมหรือเปล่า”
แววตาของจุนซูแสดงออกมาว่าเขาตกใจไม่น้อยที่มาร์คถามเรื่องแบมแบม ในหัวของเขาเริ่มมีคำถามมากมายว่าทำไมมาร์คถึงต้องถามถึงแบมแบม มันมีอะไรงั้นเหรอ
“ก็สนิทกันระดับหนึ่ง… มีอะไรงั้นเหรอ” จุนซูจับจ้องมาร์คด้วยความอยากรู้ และมาร์คเองก็ดูออกว่าจุนซูสนใจไม่น้อย
“คือ…ช่วงหลังมานี่ ฉันมีโอกาสได้เจอแบมแบมอยู่บ่อย ๆ แต่สังเกตเห็นได้ชัดว่าหมอนั่นไม่ชอบฉันมาก ๆ นายพอจะรู้ไหมว่าแบมแบมไม่ชอบอะไรฉันหรือเปล่า” มาร์คเลี่ยงที่จะเล่าไปตรง ๆ เพราะเขาไม่อยากให้จุนซูรู้ว่าแบมแบมคือคนในคลิปฉาวของเขา
“ทำไมนายถึงสนใจเรื่องของแบมแบม” จุนซูถามไปเพราะสงสัยในตัวเพื่อนคนนี้มาก ๆ ก็จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง เพราะถึงขั้นนัดเพื่อที่จะถาม มันต้องมีอะไรแน่ ๆ
“ฉันก็แค่สงสัยน่ะ พอว่าง ๆ ในหัวมันก็คิดอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก และแบมแบมก็ทำท่าทางเกลียดฉันออกนอกหน้าขนาดนั้น มันก็เลยอยากรู้เหตุผล ก็เท่านั้น” มาร์คอ้างไป ก็ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนขี้สงสัยจะยอมเชื่อไหม
“นายจำอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอว่านายทำอะไรไว้” จุนซูจ้องมองมาร์คด้วยสีหน้าจริงจัง มาร์คเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็ก ๆ ว่าเมื่อไรมันจะได้เข้าเรื่องสักที
“ฉันจำไม่ได้” มาร์คพูดไปแค่นั้น เพราะเขาก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่เขาความจำเสื่อมให้จุนซูฟัง เขาไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้ของเขาไปเยอะมากกว่านี้แล้ว
“รวมถึงจำแบมแบมด้วยไม่ได้ใช่ไหม” มาร์คพยักหน้ายอมรับ ในตอนนี้เขาใจแทบขาดแล้ว อยากให้จุนซูพูดกับเขาเสียทีว่าสรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ “มาร์คเอ๊ยยย นายนี่ใจร้ายเกินไปแล้วจริง ๆ”
“สรุปมีเรื่องอะไรก็รีบเล่ามาเถอะ และฉันขอแบบตรง ๆ จะด่าอะไรฉันก็พูดมาได้เลย ฉันแค่อยากรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่” มาร์คเริ่มหงุดหงิดเข้าแล้วจริง ๆ จุนซูเองก็รับรู้ได้ว่ามาร์คเริ่มโมโห เขาผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อปัดเป่าเรื่องเครียด แต่มันก็ไม่ช่วยเลย เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้มันชวนเครียดสุด ๆ
“ถ้าฉันเล่าไป นายห้ามบอกให้แบมแบมรู้นะ ฉันไม่อยากให้แบมแบมรู้สึกแย่” มาร์คพยักหน้ารับคำพูดของจุนซู เพราะมาร์คเองก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นเช่นกัน “จริง ๆ เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือยังไง แต่หลาย ๆ อย่างมันทำให้ฉันปะติดปะต่อเองและเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง”
มาร์คจ้องมองหน้าจุนซูด้วยใจที่เต้นรัว เขาลุ้นแทบขาดใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้แบมแบมเกลียดเขามากมายขนาดนี้
“เรื่องมันเกิดตอนที่พวกนายไปออดิชั่นเป็นศิลปินค่าย AGS Entertainmentนายพอจะจำบ้างได้ไหม” มาร์คส่ายหน้าตามความจริง เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง คิดให้ตายภาพพวกนั้นก็ไม่อยู่ในหัวของเขาบ้างเลย “ตอนนั้นนายอยากเป็นศิลปิน AGSมาก ๆ ใคร ๆ เขาก็รู้กัน แล้วตอนนั้นนายก็มีรายชื่อติดในเด็กที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเป็นศิลปิน แต่ AGS ต้องการแค่สามคนเท่านั้น เขาไว้ใจให้ทางโรงเรียนคัดเลือก ฉันพอรู้มาจากอาจารย์ที่ดูเรื่องการออดิชั่นนี้ เขาบอกว่าแม่ของนายมาขอร้องขอโอกาสให้นายได้ลองไปออดิชั่นกับอีกสามคน เผื่อทางค่ายจะเปลี่ยนใจทำเป็นวงศิลปินสี่คน”
มาร์คพอได้ยินเรื่องนี้จากแจ็คสันกับแจบอมมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้ลึกถึงเรื่องที่แม่ต้องไปขอร้องเพื่อให้เขาได้ออดิชั่น
“บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นภาพลักษณ์นายดูแย่มาก ใครก็ต่างเหม็นนาย และก็ไม่ชอบแม่ของนายเพราะการใช้เส้นในเรื่องนี้ และยิ่งนายผ่านออดิชั่นได้เป็นศิลปิน ก็ยิ่งโดนเมาท์กันไปกันใหญ่โต บอกว่านายไม่เหมาะสมเท่าแบมแบมเลยสักนิด แต่ก็โชคดีที่ตอนนั้นนายไปอเมริกาก็เลยไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้เด็กโรงเรียนเราก็ต่างยอมรับความสามารถของนายแล้วนะ เพราะนายแสดงให้พวกเขาเห็นว่านายเก่งจริง ๆ” บางอย่างในประโยคที่จุนซูพูดทำมาร์คตกใจ
“เดี๋ยวนะ… เมื่อกี้นายพูดว่า ฉันไม่เหมาะสมเท่าแบมแบม… อย่าบอกนะว่า… แบมแบมคือเด็กคนที่ไม่ได้ไปออดิชั่น” มาร์คถามออกไปด้วยอาการช็อก เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเองให้หัวได้ และเรื่องราวที่เขาคิดมันก็เป็นเรื่องที่แย่มาก ๆ มาร์คเองก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เป็นตามในสิ่งที่เขาคิด
“นายจำได้แล้วใช่ไหมว่าเป็นเพราะนายแบมแบมถึงไม่ได้ไปออดิชั่น” มาร์คมองหน้าจุนซูด้วยอาการช็อกค้าง เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมแบมแบมถึงโกรธเกลียดเขามากขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ แต่นั่นมันก็แค่ส่วนหนึ่งที่เขารู้ “เอาตรง ๆ ฉันเองก็โกรธนายมากเลยนะ ตอนที่ฉันเห็นแบมแบมร้องไห้ด้วยสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย มันหดหู่มาก ๆ”
“ม…หมายความว่ายังไง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย” มาร์คถามจุนซูด้วยอาการช็อก ตาขาวของเขาเริ่มเปลี่ยนสีชมพูอมแดง ในคอของเขามันบีบแน่น เขาได้แต่หวังว่าสิ่งที่จุนซูจะเล่าต่อจากนี้มันจะไม่เลวร้ายอย่างที่ในหัวเขาคิด ส่วนจุนซูเองก็อึดอัดใจที่จะพูด ถึงแม้ว่าจุนซูจะสงสัยในตัวมาร์คว่าเขาลืมเรื่องทั้งหมดได้ยังไง แต่เขาก็เลือกที่จะพูดออกไปตามที่เขารู้ อย่างน้อยคนผิดจะได้รู้ตัว
“ฉันไม่เห็นเหตุการณ์ แต่ฉันไปบังเอิญเจอเข้า… แบมแบมบอกกับฉันว่านายให้เพื่อนนอกโรงเรียนมาข่มขืนแบมแบม เพื่อกีดกันไม่ให้แบมแบมได้ไปออดิชั่น และนายก็จะได้ที่ติดในรายชื่อสามคนที่ได้เป็นศิลปิน แต่ก็โชคดีที่มีคนไปช่วยได้ทัน แบมแบมเลยไม่เป็นอะไร” ในตอนนี้มาร์คจุกจนพูดอะไรแทบไม่ออก เขาไม่เชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่เขาทำในอดีต เขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะโหดร้ายมากขนาดนั้น
“ฉันทำแบบนั้นจริง ๆ เหรอ” มาร์คถามจุนซูกลับเสียงสั่น ในตอนนี้เขาเริ่มกลัวเรื่องราวอดีตทั้งหมดของตัวเองแล้ว นี่แค่เรื่องเดียวก็ทำเขาเกลียดตัวเองจนรับไม่ได้
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่แบมแบมไม่ใช่คนนิสัยร้ายที่ต้องสร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายคนแบบนั้น และอีกอย่าง…มันก็เป็นตามแผนที่นายวางไว้ นายไปเข้าออดิชั่นจริง ๆ ฉันยังจำได้ตอนที่นายตะโกนอวดคนรอบตัวว่าตัวเองได้เป็นศิลปินของ AGS ฉันเองก็ยังโกรธนายนะ ที่นายมีความสุขทั้งที่ตัวเองทำเรื่องเลวร้ายไว้”
ดวงตาของมาร์คร้อนผ่าว เรื่องนี้มันเศร้าจนเขาอยากจะร้องไห้ ฟังแล้วเขาก็รู้สึกสงสารแบมแบมแทบขาดใจ เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมแบมแบมจะเกลียดเขามากขนาดนั้น ไม่แปลกใจเลย
“แบมแบมเป็นเด็กที่น่าสงสารมากเลยนะ การออดิชั่นครั้งนั้นเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตของแบมแบมได้จริง ๆ แต่ก็น่าเสียดายที่โอกาสนั้นแบมแบมไม่ได้รับ”
“แล้วทำไมมีใครเอาผิดฉัน เรื่องเลวร้ายแบบนี้ ทำไมไม่ทวงความยุติธรรม ทำไมต้องปล่อยให้ฉันได้รับโอกาส ทั้งที่ฉันไม่ควรจะได้รับ” จุนซูรับรู้ได้ว่าในตอนนี้มาร์คเสียใจมาก ท่าทางของมาร์คในตอนนี้ทำให้จุนซูรู้สึกว่าเขาเหมือนคนละคนกับมาร์คที่เขาเคยเจอในสมัยเรียน มาร์คเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะอย่างนั้นเขาถึงยอมเป็นเพื่อนมาร์ค
“พ่อแม่ของแบมแบมไม่ยอมรับเรื่องที่เขาอยากทำงานในวงการบันเทิง ถ้าฟ้องเอาเรื่องรับรองได้ว่าอาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้แบมแบมต้องโดนย้ายโรงเรียน แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นเท่ากับอาชีพในฝันของแบมแบมก็จะจบไปด้วย เพราะงั้นเจ้านั่นถึงได้ยอมเก็บความเจ็บปวดไว้กับตัวมาตลอด” มาร์คกัดริมฝีปากตัวเองแน่น น้ำตาของเขาเริ่มมาจ่อที่ขอบตา คิดย้อนกลับไปตอนที่ตัวเองแกล้งเจ้าตัวเล็กก็รู้สึกโกรธตัวเองแทบบ้า แต่ที่น่าหงุดหงิดมากกว่านั้นคือเขาจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลย ความทรงจำของเขาในตอนนั้นมันเหมือนโดนใครมากดปุ่ม Delete มันขาวโพลนแบบไม่มีร่องรอยเหลือไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ทั้งที่นายรู้ว่าฉันเลวระยำขนาดนั้น ทำไมนายถึงยังดีกับฉัน” มาร์คถามด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่ยังค้างคาอยู่ข้างในใจ
“เพราะเราต้องทำงานร่วมกัน ช่วงแรก ๆ ที่ได้ทำงานกับนายฉันก็รู้สึกไม่ชอบนายแหละ แต่ต้องเก็บความรู้สึกไว้ ไม่อยากให้ความคิดตัวเองมาทำให้งานพัง แต่พอฉันได้พูดคุย ได้ทำงานด้วย ฉันก็รู้สึกนายเปลี่ยนไปเยอะ ถ้าบอกว่าเป็นคนละคนฉันก็คงจะเชื่อ นายโตขึ้นเยอะมาก เพราะอย่างนี้เพื่อนหลายคนที่เคยเหม็นหน้านายก็เลิกอคติไป เราต่างคนต่างคิดว่าเราโตขึ้นแล้ว อดีตที่ไม่ดีก็เป็นแค่ทรงจำที่เป็นบทเรียน แต่สำหรับแบมแบม… อย่าไปคาดหวังความเห็นใจจากเขาเลย สิ่งที่เขาพบเจอมันคือโหดร้ายเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ นายลองคิดภาพดูสิว่าถ้าตอนนี้เขาได้เป็นศิลปินของ AGS เขาจะรุ่งโรจน์มากขนาดไหน เขาสูญเสียโอกาสนั่นไป… ไม่แปลกเลยสักนิดที่เขาจะทำท่าทางไม่ชอบนายมากขนาดนั้น”
มาร์คผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อปัดเป่าความเครียด แต่มันก็ไม่ช่วยเลยแม้แต่นิด สิ่งที่จุนซูเล่ามันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความภาคภูมิใจที่ตัวเองได้มานั้น มันจะมีเบื้องหลังที่โหดร้ายแบบนั้น ในตอนนี้เขาอยากจะขอบคุณคนคนนั้นที่ไปช่วยแบมแบมไว้ ถ้าแบมแบมโดนกระทำลงไปจริง ๆ เขาคงจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองแน่
“อย่าคิดมากน่ะ เรื่องพวกนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว เอามันมาเป็นบทเรียนและก็อย่าทำร้ายให้แบมแบมต้องเจ็บอีก” สิ่งที่จุนซูพูดทำให้มาร์คนึกถึงคลิปแบล็กเมล์ที่ตัวเองทำลงไป ถ้าเขาได้มาฟังเรื่องพวกนี้ก่อน รับรองว่าเขาจะไม่มีทางทำคลิปนั่นแน่ แต่ถึงยังไงก็ตามเขาเองก็รู้สึกโล่งใจที่ตัวเองไม่คิดที่จะปล่อยคลิปแบมแบมออกไป ถ้าเขาปล่อยไป รับรองว่าเขาคงจะเกลียดตัวเองมากกว่านี้
“ขอบใจนายมากนะจุนซู… ขอบใจที่ยอมเล่าความจริงทั้งหมดให้ฉันฟัง”
“ไม่เป็นไร ฉันเองก็ไม่รู้ว่าปิดไปแล้วมันจะได้อะไร เล่าไปนายจะได้ปรับปรุงตัว แต่… นายจำเรื่องทั้งหมดไม่ได้จริง ๆ เหรอ ทำไมถึงลืมได้”
“ฉันความจำเสื่อม” มาร์คพูดออกไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ในตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปที่จะปกปิดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเอง “เรื่องมันเกิดเพราะอุบัติเหตุ และความจริงฉันไม่ได้ไปอเมริกา แม่ฉันโกหก… ที่จริงตอนนั้นฉันนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล”
“อ่า… งั้นก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงจำอะไรไม่ได้” จุนซูพูดออกมาบอกว่าเขาเข้าใจ แต่สีหน้าของเขาก็รู้สึกช็อกไม่น้อยที่ได้ยินมาร์คเล่าเรื่องนี้
“งั้นฉันกลับก่อนนะ ฉันมีนัดต่อ นายเองก็จะได้ทำงาน” มาร์คพูดน้ำเสียงซึม จุนซูเองก็รับรู้ได้ว่ามาร์คกำลังอารมณ์ดิ่งสุด ๆ จุนซูเข้าใจความรู้สึกของมาร์คนะ การที่ได้เกิดมาเป็นคนใหม่ แต่ได้รับรู้ว่าอดีตตัวเองโหดร้ายมากขนาดนั้น เป็นใครก็ทำใจยอมรับไม่ได้
“มีอะไรก็โทรหาฉันได้นะ เราคุยกันได้” มาร์คพยักหน้ารับคำพูดของจุนซู เขาส่งยิ้มบางเป็นการลา ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกมาจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
มาร์คออกจากห้องมาและเดินต่อไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ในหัวของเขายังคงมีคำพูดของจุนซูวนเวียนอยู่ไม่หยุด เขาไม่อยากยอมรับความจริงว่านั่นคือสิ่งที่เขากระทำในอดีต มันโหดร้ายจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเขาไปเอาความคิดบ้า ๆ นั่นมาจากไหนกัน ในตอนนี้เขารู้สึกสงสารแบมแบมแทบขาดใจ ทุกครั้งที่เขานึกถึงคำพูดที่จุนซูเล่ามันทำให้เขา น้ำตาคลอได้ทุกครั้ง
“โอเค ๆ เดี๋ยวผมจัดการให้นะ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น มาร์คเลื่อนสายตามองไปทางข้างหน้า เห็นคนมากมายที่เดินขวักไขว่กัน แต่ที่โดดเด่นกลางผู้คนนั้นก็คงจะเป็นแบมแบมที่เดินยิ้มกว้างในขณะที่คุยกับเพื่อนร่วมงาน จู่ ๆ ภาพในฝันที่เขาเห็นในเมื่อคืนก็ย้อนกลับมาในความทรงจำของมาร์ค มาร์คจ้องมองรอยยิ้มนั่นมันช่างตรงกับรอยยิ้มที่เขาเคยเห็นในฝันบ่อย ๆ ครั้ง
แบมแบมเดินกอดสคริปรายการด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเพราะกำลังอยู่ในอารมณ์ห้วงแห่งความสุข จนเมื่อตอนที่เลื่อนสายตามาเห็นชายบุคลิกที่คุ้นตา ก็ทำแบมแบมลดรอยยิ้ม การที่โดนมาร์คจ้องมองอยู่ทำแบมแบมเริ่มทำตัวไม่ถูกว่าจะหลบลีกไปทางไหนได้ และดูเหมือนจะหนีไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะเขาตรงเดินตรงไปทางนี้ทางเดียว
แต่ทว่าแบมแบมต้องเบิกตากว้างแสดงอาการตกใจเมื่อเห็นมาร์คเดินตรงมาหาเขา คิดอยู่ในใจว่ารู้ได้ไงกันว่าเป็นเขา ไหนบอกว่าเป็นโรคจำหน้าคนไม่ได้ไง และเมื่อเห็นว่าเลี่ยงที่จะเจอกันไม่ได้แล้ว ใบหน้าสวยก็เริ่มแสดงสีหน้าออกมาว่าโกรธสุด ๆ ที่ต้องพบเจอเขา เตรียมตัวที่พูดจาแรง ๆ กัดเขาแสดงอาการเข้มแข็ง ทั้งที่ข้างในกำลังอ่อนแอ
แต่ทว่า…
มาร์คเดินเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กไว้แน่น และนั่นทำให้เบิกตากว้างมากกว่าเก่า ร่างกายมันแข็งทื่อไปหมดทุกส่วน แบมแบมตกใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นของกอดที่มาร์คมอบให้ และหัวใจมันก็ดันเต้นแรงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
“ค… คุณทำบ้าอะไร กอดผมทำไม” แบมแบมถามเขาด้วยอาการช็อก แต่ก็ลืมที่จะปฏิเสธกอดเขาด้วยการผลักออก
“ขอฉันอยู่อย่างนี้สักพักนะ…”
“คุณกล้ากอดผมได้ยังไงกัน คุณไม่รู้สึกระอาใจบ้างเหรอ” แบมแบมดึงสติตัวเองก่อนจะพูดจาร้าย ๆ กับมาร์คออกไป และเช่นกันคำพูดนั้นก็ช่วยเตือนสติมาร์ค
นั่นสินะ… กล้าดียังไงถึงไปกอดแบมแบม ทำสิ่งที่เลวร้ายแบบนั้น ทำไมถึงกล้าไปกอดเขาได้
มาร์คค่อย ๆ คลายกอดออก เขาจ้องมองคนตัวเล็กกว่าด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด เขาเกลียดตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น เขาไม่รู้ความคิดตัวเองในตอนนั้นว่าทำไมถึงกล้าตัดสินใจทำเรื่องเลว ๆ ได้ลงคอ แต่ถ้าแก้ไขอะไรได้แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำร้ายหัวใจคนคนหนึ่งแบบนั้นแน่
“ก็แค่กอดทำเป็นห่วงตัว ทีอย่างอื่น… ยังทำมาแล้วเลย” มาร์คพูดพร้อมแต้มยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ภายใน เขาไม่อยากให้แบมแบมได้รู้ว่าเขารู้เรื่องราวในอดีตแล้ว ที่มาร์คทำแบบนั้นเพราะไม่อยากจะรู้สึกแย่เวลาที่ต้องเข้ามาใกล้แบมแบม ขอเห็นแก่ตัวอีกหน่อยล่ะกัน
แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของมาร์คจะทำให้คนตัวบางโกรธ แบมแบมมองซ้ายขวาเพื่อเช็คว่ามีใครที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินคำพูดของมาร์คบ้าง ก็โชคดีไปที่คนที่อยู่แถวนั้นไม่ได้สนใจพวกเขาเลย อาจจะเป็นเพราะแบมแบมก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่เห็นกันบ่อย ๆ ส่วนมาร์คก็พรางตัวเองเก่ง เลยไม่มีใครมาสนใจว่าแบมแบมกำลังกอดใครอยู่
“ช่วยระวังปากไว้หน่อย เดี๋ยวใครได้ยินเข้าจะเข้าใจผิด” แบมแบมพูดเสียงดุ
“เข้าใจผิดตรงไหน ก็ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง นายเป็นของฉัน” สิ้นสุดคำพูดคนตัวเล็กก็ผลักมาร์คเต็มแรงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนจะรีบเดินหนีเขา มาร์คหันไปมองตามเขาทำเพียงแค่แต้มยิ้มเล็ก ๆ แต่อีกครั้งที่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า
ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดของจุนซูทำให้อารมณ์ของมาร์คดิ่งลงเรื่อย ๆ เขาแอบคิดอยู่ว่านอกจากแบมแบมเขาเคยทำเรื่องเลว ๆ แบบนี้กับใครอีกหรือเปล่า พอคิดแบบนั้นก็ทำให้มาร์คยิ่งรู้สึกอารมณ์ดิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้ตัวว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนเลวที่ทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นกับคนอื่น ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะต้องเริ่มหาคำตอบกับอดีตของเขาจริง ๆ แล้วล่ะ
แล้วความคิดบางอย่างก็ไหลเข้ามาในหัวของมาร์ค เขาคิดว่าเขาควรจะหาคำตอบจากเรื่องนี้ มาร์คจะตามหาอดีตของเขาที่หายไป ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวกับอดีตทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถหนีมันได้ อย่างน้อยถ้าได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีไว้ จะได้ไม่ทำร้ายคนคนนั้นซ้ำ ๆ เหมือนอย่างที่ทำกับแบมแบม และตอนนี้เขาก็คิดได้แล้วว่าตัวเองจะไปตามหาคำตอบพวกนี้ได้ที่ไหน
.
.
.
.
.
มาร์คขับรถจากบริษัทของแบมแบมตรงมายังบ้านของเขา ร่างสูงก้าวขาลงจากรถปิดประตูรถเรียบร้อย จากนั้นก็สาวขายาว ๆ เข้ามาในบ้านอย่างเร่งรีบ ทันทีที่มาร์คเดินเข้าบ้านเขาก็รีบกวาดสายตามองหาแม่ เหล่าแม่บ้านรีบเดินมาต้อนรับมาร์ค รวมถึงป้าจองอึนป้าผู้เลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะ
“แม่อยู่ไหน” เขาถามหาแม่กับป้าจองอึน
“คุณนายท่านออกไปพบเพื่อนข้างนอกค่ะ” คำตอบนั้นทำผ่อนลมหายใจออกมาด้วยอาการเซ็ง ตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดแทบบ้า อยากจะรู้เรื่องทั้งหมดตอนนี้เลย แต่แม่ก็ดันไม่อยู่ซะงั้น “คุณมาร์คจะทานข้าวเลยไหมคะ ป้าจะได้จัดโต๊ะอาหารให้เลย”
มาร์คเลื่อนตาไปมองป้าจองอึน และจู่ ๆ คำตอบมันก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของป้า สีหน้าเซ็ง ๆ ของเขาเปลี่ยนกลับมาตื่นเต้น มาร์คเอามือไปจับป้าจองอึนไว้ พร้อมฉุดร่างเธอให้เธอตามเขาไป ทำเอาป้าจองอึนถึงกับมึนงง แต่ก็ยอมเดินตามมาร์คไปอย่างตามใจ
“ป้าครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อย ป้านั่งลงก่อน” มาร์คชวนป้าอึนจองนั่งกับโซฟา เธอจ้องมาร์คด้วยอาการมึนงงแต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
“คุณมาร์คมีอะไรจะคุยกับป้าเหรอคะ”
“ป้าเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหมครับ” ที่มาร์คถามแบบนี้เพราะว่าเขาความจำเสื่อม หลังจากฟื้นตัวมา แม่ของก็บอกว่าป้าจองอึนดูแลเขาตั้งแต่แบเบาะ บอกให้เขารักป้าจองอึนเหมือนเป็นแม่อีกคนของเขา “ผมอยากจะรู้เรื่องราวก่อนที่ผมจะความจำเสื่อม ป้าเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
คำถามของมาร์คทำป้าจองอึนอึกอักไปชั่วครู่ เธอแสดงสีหน้าซีด ๆ จนเห็นได้ชัด มาร์คเริ่มจะสงสัยเรื่องราวในอดีตของเขามากขึ้นแล้วล่ะสิ
“มีอะไรปิดบังผมไว้หรือเปล่า” คำถามของมาร์คทำคนฟังลอบกลืนน้ำลาย “ผมอยากจำเรื่องในอดีตได้ ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ป้าเล่าให้ผมฟังได้ไหม”
มาร์คจับมือป้าจองอึนไว้แน่นเป็นการขอร้องเธอ ตอนแรกป้าจองอึนก็ดูใจแข็ง แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยอมแพ้และยอมเล่าเรื่องราวในอดีตที่เธอพอจะเล่าได้
“คุณมาร์คตามป้ามาค่ะ ป้าจะพาไปดูของของคุณมาร์คใช้ก่อนที่ความทรงจำจะหายไป” หญิงแก่ลุกขึ้นยืน จากนั้นเธอก็เดินนำมาร์คเพื่อพาไปดูของที่ว่า มาร์ครีบลุกขึ้นและเดินตามเธอไปติด ๆ ป้าจองอึนพามาร์คไปยังห้องเก็บของของบ้าน มันเป็นสถานที่ที่มาร์คไม่เคยเดินมาถึงที่นี่ หญิงชราไขกุญแจห้องเก็บของและเปิดประตูเข้าไป แล้วมาร์คก็ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังประตู
ในห้องนี้เป็นห้องว่างที่เก็บกล่องของบางอย่างไว้มากมาย มาร์คเดินเข้าไปในห้องกวาดสายตาอย่างลวก ๆ เห็นหน้ากล่องเขียนบอกสิ่งที่อยู่ข้างในไว้ บางอย่างก็บอกว่าอะไรเป็นของของเขา มาร์คเลื่อนสายตาสำรวจไปเรื่อย ๆ จนสายตาไปสะดุดกับกล่องบางอย่างที่อยู่ในสุด ทั้งที่มีกล่องอยู่ในนี้ตั้งหลายสิบกล่อง ไม่รู้อะไรมันดลใจให้เขาสนใจกล่องใบนั้น มาร์คมองดูเห็นตัวอักษรที่ปรากฏส่วนท้ายแค่ตัว E เท่านั้น แต่ข้างหน้าเขาไม่รู้ว่ามันเขียนอะไร เพราะมันถูกกล่องอื่นบังไว้อยู่
“นี่เป็นกล่องของรักของหวงของคุณมาร์คค่ะ” เสียงป้าจองอึนดังขึ้นจากข้างหลัง และนั่นทำให้มาร์คต้องละสายตาจากกล่องใบนั้น เขาหันกลับมามองป้าจองอึน เห็นเธอกำลังเปิดกล่องใบหนึ่ง เขาจึงเข้าไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้ากล่องใบนั้น
มือหนาหยิบกรอบรูปที่อยู่ในนั้นขึ้นมา มันเป็นรูปเด็กนักเรียนสี่คนใส่ชุดนักเรียนยืนกอดคอกันและยิ้มกว้าง แสดงถึงความสนิทสนมกัน เขาจ้องมองคนในรูปอยู่เนิ่นนาน แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเกี่ยวกับภาพนั้น
“พวกเขาเป็นใคร” มาร์คถาม
“รูปนี้เป็นรูปที่คุณมาร์คถ่ายกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมค่ะ” คำตอบของป้าจองอึนทำให้มาร์คหัวเราะในลำคอ เขารู้สึกสมเพชตัวเองที่แม้แต่รูปตัวเองก็ยังจำไม่ได้ “พวกเขาเป็นเพื่อนรักของคุณมาร์คเลยนะคะ ป้าเห็นเวลาคุณมาร์คพาเพื่อนมาบ้านทีไรก็มีแต่พวกเขาที่มา แต่พวกเขาก็ไม่ได้มาบ่อยหรอกนะคะ เพราะว่าคุณท่านไม่ชอบให้คุณมาร์คพาเพื่อนมาที่บ้าน”
“ทำไมล่ะครับ” มาร์คจ้องหน้าป้าจองอึนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“เอ่อ… บางทีก็มีบางอย่างที่ทำให้วุ่นวาย คุณท่านเลยอนุญาตให้มาในเวลาที่จำเป็นเท่านั้น” คำตอบของป้าจองอึนทำมาร์คขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าแม่เขาจะเคยทำอะไรแบบนั้น ก็จากที่เขาจำความได้ มาร์ครู้สึกว่าแม่ของเขาจะชอบแท็กแคร์เพื่อนฝูงเขามาก ๆ มาร์คสังเกตจากตอนที่แม่อยู่กับแจบอมและแจ็คสัน
มาร์คเลิกสนใจเพื่อนในรูป เขาวางกรอบรูปไว้ในกล่องเหมือนเดิม จากนั้นเขาก็มองหาอย่างอื่นเพื่อฟื้นความจำให้ตัวเอง คราวนี้มาร์คหยิบรูปถ่ายอีกอันมาดู
“ในภาพนี้ผมใช่ไหม” มาร์คถาม ป้าจองอึนพยักหน้าแทนคำตอบ มาร์คมองภาพนั้นอย่างสนใจ ในภาพนั้นเขาดูมีความสุขมาก ๆ แต่มาร์คจำความรู้สึกไม่ได้สักนิดว่าตอนนั้นเขาดีใจเรื่องอะไร “ภาพนี้มันคืออะไรครับ” เพราะสงสัยมาร์คจึงได้ถาม
“ภาพนี้เป็นภาพถ่ายวันที่คุณมาร์คมีความสุขที่สุดในโลก นั่นก็คือวันที่คุณมาร์คได้ผ่านการคัดเลือกออดิชั่นเป็นนักร้อง” คำตอบนั้นทำร่างกายของมาร์คชาไปหมดทุกส่วน อยู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ตาขึ้นมา มองรอยยิ้มของตัวเองในภาพแล้วเขาก็รู้สึกโมโหจนอยากจะฉีกรูปทิ้งเสียเดียวนั้น เขาเกลียดตัวเองที่กล้ายิ้มอย่างมีความสุขกับความภูมิใจที่ได้มาอย่างสกปรก “คุณมาร์คพอจะจำอะไรได้ไหม”
มาร์คส่ายหัว เขาวางรูปคืนไปในกล่องเพราะกลัวว่าถ้ามองนานกว่านี้แล้วเผลอจะฉีกรูปนั้นจริง ๆ แล้วป้าจองอึนจะตกใจและถามต่อเป็นเรื่องยาวใหญ่โต
มาร์คเปลี่ยนเป้าหมายไปหยิบอย่างอื่น คราวนี้เป็นของชิ้นเล็ก ๆ อย่างเครื่องประดับ มาร์คหยิบมันขึ้นมาอย่างสนใจ สิ่งที่เขาถือเป็นกำไลข้อมือที่มีตัวอักษร M A R K ห้อยไว้อยู่ นี่คงจะเป็นของชิ้นแรกที่มาร์ครู้สึกคุ้นตา
“นี่เป็นกำไลที่ถูกสั่งทำพิเศษขึ้นมาบ่งบอกว่าคุณมาร์คชื่อมาร์ค มันเป็นกำไลที่คุณมาร์คใส่ตลอดเวลาไม่เคยถอดเลยค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นมันเปื้อนคราบเลือดจากตอนที่คุณมาร์คประสบอุบัติเหตุ สายคล้องมันขาด ตอนแรกป้าว่าจะเอาไปซ่อมให้ แต่คุณท่านบอกไม่อยากให้คุณมาร์คใส่มันอีก ป้าก็เลยเอามาทำความสะอาดและเก็บเข้ากล่องนี้” มาร์คจ้องมองมันอย่างไม่ละสายตา เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มันคุ้นเคยกับเขา และเขาก็อยากเก็บมันไว้เป็นเครื่องเตือนความจำ เพราะงั้นเขาจึงเอามันเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเป็นการบอกว่าเขาจะเอามันไปด้วย
“ผมจะเอาไปซ่อมแล้วก็ใส่มัน”
“แต่คุณมาร์คจะไม่โดนคุณเท่าดุเอาหรือเหรอคะ อีกอย่างมันก็เก่ามากแล้ว คุณมาร์คอย่าใส่เลย”
“ผมรู้สึกอะไรบางอย่างกับมัน ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเครื่องเตือนความทรงจำผมก็ได้ ผมจะเอามันไปซ่อม” มาร์คยืนยันอย่างหนักแน่น เมื่อเก็บกำไลเรียบร้อยแล้วเขาก็ค้นดูของอย่างอื่นบ้าง คราวนี้เป็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง แค่มาร์คเห็นก็ทำเขาหลุดยิ้มออกมา นี่มันยิ่งกว่าการฟื้นความทรงจำ เพราะเขารู้สึกคุ้นเคยกับเสื้อตัวนี้มาก ๆ แค่สัมผัสของมันก็ทำให้มาร์ครู้สึกได้ว่ามันน่าจะเป็นเสื้อตัวโปรดของเขา
“เสื้อตัวนี้… มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ป้าจองอึนดึงเสื้อตัวนั้นไปจากมาร์ค เธอคลี่มันออกจากนั้นเธอก็รีบโยนมันทิ้งไป ในขณะที่ดวงตาของเธอเริ่มเปลี่ยนสี
“เสื้อตัวนั้นทำไมครับ”
“มันไม่ใช่เสื้อของคุณมาร์คหรอกค่ะ ตอนเก็บของป้าคงจะสับสน” เธอตอบมาร์คพร้อมคลี่ยิ้มบางให้ ถึงมาร์คจะแคลงใจกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ยอมเชื่อป้าจองอึนเพราะเขารู้ดีว่าความจำของตัวเองไม่ได้ดีเหมือนป้าจองอึน
มาร์ครื้อของอย่างอื่นหยิบมาดู ในนั้นมีของหลายอย่างที่เป็นของชอบส่วนตัวของเขา แต่มาร์คก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกับข้าวของพวกนั้น มาร์คควานหาไปเรื่อย ๆ หาจนเจอกับนามบัตรร้านดอกไม้เข้า เพราะสงสัยเลยหยิบขึ้นมาดู
“นามบัตรร้านดอกไม้… ผมเก็บมันไว้ทำไม” มาร์คหันไปถามป้าอึนจองด้วยความสงสัย เพราะมันดูเป็นของที่เขาไม่น่าจะเก็บไว้เลยด้วยซ้ำ ตอนเรียนเขาจะมีนามบัตรร้านดอกไม้ไปทำไมกัน
“อ๋อ ที่คุณมาร์คเก็บไว้อาจจะเป็นเพราะนามบัตรนั่นเป็นร้านดอกไม้ของลี มินวู เพื่อนสนิทสมัยเรียนของคุณมาร์คน่ะค่ะ ทุกวันนี้คุณท่านก็สั่งดอกไม้ร้านมินวูนะคะ เพราะเธอเห็นว่าเป็นเพื่อนคุณมาร์คก็เลยสั่งตลอดไม่มีเปลี่ยนร้านเลย” คำตอบของป้าจองอึนทำให้มาร์คสงสัยในตัวแม่ของเขามากขึ้นไปอีก คำตอบนั่นมันเป็นการบอกว่าแม่ของเขาก็ไม่ได้เกลียดเพื่อนสมัยเรียนของเขา แถมยังสนับสนุนคอยอุดหนุนตลอด นี่สิมาร์คถึงคิดว่านี่คือแม่เขาตัวจริง แต่เรื่องเล่าที่บอกว่าแม่เขาไม่ชอบให้เพื่อนไปที่บ้าน มันดูขัดจากนิสัยแม่
“มินวูยังอยู่ที่ร้านนี้อยู่ไหมครับ”
“ยังอยู่ค่ะ เขาอยู่ที่ร้านทุกวัน” มาร์คได้ยินคำตอบนั้นก็เก็บนามบัตรร้านเพื่อนใส่กระเป๋า เพราะนี่อาจจะเป็นอีกคนที่ช่วยเขาไขปริศนากับอดีตที่หายไปของเขา
มาร์คค้นของในกล่องต่อ คราวนี้เป็นรูปวาดภาพเหมือนจากดินสอ มาร์คหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ อีกแล้วที่มาร์ครู้สึกว่ามันคุ้นตาเหมือนว่าเขาเคยมีความทรงจำบางอย่างกับมัน
“ภาพนี้คืออะไรครับ” มาร์คถามต่อเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง
“ภาพนี้เป็นภาพวาดของคุณมาร์คค่ะ” ป้าจองอึนตอบเพียงแค่นั้น
“ทำไมผมรู้สึกคุ้นจัง… ใครให้ผมเหรอ หรือว่าผมวาดเอง” มาร์คมองลายเส้นในรูปแล้วก็รู้สึกเหมือนว่ามันจะเป็นลายเส้นของเขา แต่ก็ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นสักเท่าไร
“มีคนวาดให้คุณมาร์คค่ะ คุณมาร์คไม่ได้วาดเอง เพราะศิลปะการวาดรูปของคุณมาร์คเรียกได้ว่าแย่มาก ๆแต่คุณมาร์คเก่งอย่างอื่นนั่นก็คือการเต้นและการเล่นดนตรี” คำพูดนั้นทำมาร์คหันไปมองที่ป้าจองอึนด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจ
“เป็นไปได้ยังไงครับ ผมว่าผมวาดรูปได้ วาดได้ดีด้วยซ้ำ และผมก็ชอบวาดรูปมากด้วย” คำพูดของมาร์คทำป้าจองอึนต้องส่ายหัวรัว เพราะเธอเลี้ยงมาร์คมาตั้งแต่เด็ก เธอจำทุกอย่างเกี่ยวกับมาร์คได้ไม่มีผิดเพี้ยนแน่ ๆ
“ไม่จริงนะคะ คุณมาร์ควาดรูปไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ” มาร์คขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมป้าจองอึนถึงพูดแบบนั้น เขาวาดรูปทุกเช้าและมาร์คก็คิดว่าเขาไม่ได้ละเมอเพ้อไปเองด้วย ส่วนป้าจองอึนก็ถึงกับงงไปชั่วครู่ ตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมมาร์คถึงพูดออกมาแบบนั้น แต่แล้วสีหน้าของเธอก็แสดงออกมาว่าเธอหายสงสัย
เธอจำได้แล้วว่าแม่ของมาร์คเคยมาเล่าให้เธอฟังเรื่องที่มาร์ควาดรูปได้ เธอลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง
“ที่ป้าพูดว่าคุณมาร์ควาดรูปไม่ได้ เมื่อก่อนมันใช่ แต่ตอนนี้คุณมาร์คสามารถวาดรูปได้แล้วค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่น่าดีใจ” ถึงป้าจองอึนจะยอมรับว่าเขาวาดรูปได้แล้ว แต่มาร์คก็ยังไม่เข้าใจคำพูดของเธออยู่ดี
“ป้ามีอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า” นั่นคือสิ่งที่เขารู้สึกเขาถึงได้ถามออกไป
“ไม่มีอะไรค่ะคุณมาร์ค ป้าแค่สับสนนิดหน่อย คนแก่ก็อย่างนี้แหละ” มาร์ครับรู้ได้ว่าป้าจองอึนมีเรื่องปิดบังไว้แน่ และเขาก็จะไม่เซ้าซี้ถามต่อ เพราะเขาจะเปลี่ยนไปถามคนอื่นแทน มันต้องมีคนงานสักคนในบ้านที่รู้ความลับนั่น
“งั้นก็ช่างเถอะครับ ผมว่าผมไม่อยากรู้อะไรอีกแล้ว ผมกลับไปนอนพักก่อนนะครับ” มาร์คโกหกเพราะไม่อยากให้ป้าจองอึนวิ่งตามเขา มาร์ครีบออกมาจากห้องเก็บของ จากนั้นก็รีบเข้าไปในพื้นที่ส่วนบ้านและเรียกแม่บ้านมาสักหาข้อมูล เผื่อจะมีใครสักคนที่รู้เรื่องราวของเขาที่ถูกปิดไว้
“ป้า ผมถามหน่อยว่าป้ารู้อะไรเกี่ยวกับผมตอนสมัยเรียนบ้างไหม” มาร์คถามป้าแม่บ้านโกนี เขาเห็นว่าเธอดูมีอายุน่าจะอยู่ที่นี่มานาน
“ป้าไม่ทราบค่ะ ทำไมคุณมาร์คไม่ลองถามป้าจองอึนดูล่ะค่ะ เธออยู่ที่นี่มานานมากกว่าคนอื่น ๆ” คำตอบของป้าโกนีทำมาร์คผ่อนลมหายใจด้วยอาการเซ็ง
“ผมถามแล้ว ป้าไม่ยอมบอกความจริงให้ผมฟัง” มาร์คบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้
“ถ้าป้าจองอึนไม่บอกคุณมาร์คก็ไม่มีทางรู้แล้วล่ะค่ะ” มาร์คหันไปมองป้าโกนีด้วยความสงสัย “ป้าและคนอื่น ๆ ที่เข้ามาทำงานเป็นแม่บ้าน เราเข้ามาทำงานวันเดียวกันพร้อมกันหมดเลย เหมือนว่าคุณท่านจะจัดการจำกัดคนงานคนเก่าออกไปทั้งหมด เหลือแต่ป้าจองอึนคนเดียวที่ยังอยู่”
มาร์คจ้องมองหน้าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมแม่ของเขาต้องจำกัดแม่บ้านคนเก่าออกทั้งหมดด้วย
“ป้าเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร” มาร์คสักถามต่อเพื่อประติดประต่อเรื่องราว
“เข้ามาทำงานประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่คุณมาร์คจะกลับมาจากอเมริกา” มาร์คจ้องมองคนตรงหน้าตาค้าง เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขากำลังลบหลักฐานทั้งหมดที่เขามี และป้าจองอึนก็เป็นป้าแม่บ้านคนเดียวที่รู้เรื่องราวก่อนที่เขาจะสูญเสียความทรงจำ อาจจะเป็นไปได้ว่าความทรงจำของเขาก่อนหน้านั้นมันแย่มาก ๆ แม่เขาถึงกำจัดทุกคนที่จะฟื้นความทรงจำของเขาได้
แต่ก็ไม่ทุกคนหรอก มาร์คคิดว่าต้องมีคนหนึ่งที่ให้คำตอบเขาได้ นั่นก็คือ ลี มินวู และมาร์คก็ได้แต่หวังว่าเพื่อนของเขาคนนั้นจะเป็นกุญแจเรื่องราวในอดีตของเขาทั้งหมด
17/06/62
เอาแล้วววววว พาร์ทนี้เต็มไปแต่เรื่องราวของมาร์คและการรู้ความจริง รวมถึงการตามหาความจริง เรื่องราวมันยังไงกันแน่ แม่มาร์คกับป้าจองอึนมีอะไรปิดบังมาร์คไว้ มันรุนแรงถึงขั้นต้องไล่คนงานออกจากบ้านทั้งหมดเลยเหรอ
หวังว่าเพื่อนมาร์คสมัยเรียนจะให้คำตอบอะไรแก่มาร์คได้ แต่ไรท์ว่าหลายคนน่าจะเริ่มเดา ๆ ออกแล้วว่าเรื่องมันเป็นไปยังไง เพราะพาร์ทท้าย ๆ นี่เผยให้สุด ๆ แว้ววววว
มาลุ้นกันต่อค่า ปริศนาก็ถูกเผยให้เรื่อย ๆ ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นยังไงกันแน่ น้องแบมเข้าใจผิดไปหรือว่าพี่มาร์คคือคนร้ายตัวจริง
ขอคอมเม้นเยอะ ๆ กันนะค้าบบ ไรท์จะได้มีแรงมาแต่งต่อออ
ฝากเล่นแท็กด้วยน้า #ลับ19มบ
03/06/62
ฮืออออออ พี่มาร์คได้รู้ความจริงแล้ว พี่เขาอารมณ์ดิ่งอย่างสุด ๆ เลย แล้วสรุปเรื่องจริง ๆ มันเป็นยังไงกันแน่ แล้วที่ในฝันที่พี่มาร์คเห็นกับสิ่งที่พี่มาร์คทำในอดีตดูมันเป็นอะไรที่ขัดกัน
พี่อ่อนแออยู่ หนูแบมให้พี่เขาชาร์ตพลังหน่อยนะลูก และค่อย ๆ คุยกัน ใจเต้นแรงก็ปล่อยให้มันเต้นไป ฮืออออออ
ขอกำลังใจหน่อยนะค้าบบบบ ขอคอมเม้นเยอะ ๆ เลยย มาร่วมวิเคราะห์กันว่าจริง ๆ เรื่องมันเป็นยังไง จุนซูบอกฟังมาจากแบมแบม แล้วสรุปลูกหมูของเขาเห็นพี่มาร์คจริง ๆ ใช่ไหม
ฝากเล่นแท็กด้วยยย #ลับ19มบ
01/06/62
เอาแล้นนนนนนนนนน เหมือนจะเป็นหนังคนละม้วนกับที่ผ่านมาที่เรารับรู้เลยนะเนี่ย สรุปมันเป็นแค่ฝันหรือเป็นความทรงจำที่หายไปของพี่!!!! ยังไงกันแน่!!!! สรุปว่าเรื่องมันเป็นยังไง ที่เขาว่าพี่มาร์คร้ายมากในสมัยเรียน แต่ทำไมที่พี่มาร์คฝันดูเขาเป็นคนนิ่ง ๆ และขี้อาย
ลองเดากันดูววววว ขอกำลังใจด้วยนะคะ แล้วจะรีบมาต่อ ขอเม้นเยอะ ๆ ด้วย อิอิ คนละเม้นสองเม้นก็ทำให้ไรท์มีกำลังใจได้แล้วเน้อ
ฝากเล่นแท็กด้วยนะคะ #ลับ19มบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต้องเข้าใจผิดแน่ๆหรือไม่ก็มีอีกคนนึง
แม่มาร์ครู้ทุกอย่างแน่
แต่มันคืออะไรละ
จะมีใครบอกพี่มาร์คไหมนะ
มันมีอะไรในกอไผ่แน่ๆๆ
งื้อออ....อยากรู้จังอดีตพี่มาร์คเปนไงแต่ที่แน่ๆคงรักน้องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...ไรท์แต่งเก่งจังค่ะน่าติดตามมากมายรอค่ะ????????????✌✌✌✌
นี่เดาว่ามาร์คน่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และน่าจะมีปมที่อุบัติเหตุด้วย นี่ว่าสาเหตุที่ความทรงจะมาร์คขาวโพลน "เหมือนถูกลบ" เป็นความคิดที่มาร์คย้ำบ่อยๆ เดาว่านี่เป็นคำใบ้จากไรท์ มาร์คตอนนี้อาจจะเป็นไมล์(พี่รึน้องของมาร์) อาจถูกสะกดจิตให้ลืมความทรงจำในอดีต ที่ไมล์ต้องนอนรพ.ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ ก็เป็นเพราะศัลยกรรม
และการที่แม่มาร์คต้องเปลี่ยนคนงานใหม่หมด ห้ามไม่ให้เพื่อนเก่ามาหา ก็เพื่อกันคนในอดีตที่อาจจะจำมาร์คได้ และอาจไปสะกิดความทรงจำที่ถูกลบทิ้งของไมล์ เพราะแบบนี้ก่อนหน้ามาร์คถึงไม่เคยสะกิดใจและจำได้ จนมาเจอแบมแบมคนจากอดีตของไมล์(MILE) ที่แม่ไม่รู้ เพราะในอดีตมาร์คคงเคยให้ไมล์ปลอมเป็นตัวเองเวลาขี้เกียจไปเรียน แล้วให้ไมล์ไปเรียนแทน จนทำให้ไมล์เจอแบมแบม
/จบการมโนใน 1 ตอน
/ขอร้องไรท์ว่าอย่าหายไปนานนะคะ อารมณ์มันไม่ต่อเนื่อง แล้วก็ที่สำคัญคือ...คิดถึง ..ใ