ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สี่แผ่นดิน(ฉบับเรียบเรียงใหม่)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 48


              บ่ายวันนั้น เสด็จขึ้นไปบนพระที่นั่ง ที่ตำหนักจึงเงียบกว่าปกติ พอกลับจากเฝ้าลงมาถึงห้องคุณสาย แม่ก็บ่นว่าง่วง เพราะเมื่อคืนนี้ไม่ได้นอนเลย แต่พลอยกลับรู้สึกตรงกันข้าม ด้วยความแปลกถิ่น ความรู้สึกที่จะง่วง หรือแม้แต่จะลงนอนไม่มีเลย พอเข้ามาถึงในห้องคุณสายแล้ว แม่ก็ไปหยิบหมอนมาจากหลังตู้ใบหนึ่ง เอาวางลงกับพื้นกระดาน แล้วแม่ก็เสือกตัวลงนอน อีกสักครู่ก็หลับอย่างสบาย ส่วนคุณสายก็กลับมานั่งที่เดิม หยิบผ้าห่มที่ซักแล้วมากองหนึ่ง บอกว่าเป็นของเสด็จ เรียกพลอยเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วบอกให้ช่วยกันจีบ โดยคุณสายทำให้ดูก่อน แล้วให้พลอยลองทำดูบ้าง ซึ่งพลอยก็ทำได้ทันที เพราะเคยช่วยแม่มาาแล้ว ตั้งแต่อยู่บ้าน



             คุณสายกับพลอยนั่งอยู่ด้วยกันได้สักครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงใครเข้ามาที่ประตู คนๆนั้นเป็นเด็กอายุรุ่นราว คราวเดียวกับพลอย สังเกตดูหน้าตาท่าทางและเครื่องนุ่งห่ม ที่ค่อนข้างจะมอมแมม พลอยก็รู้ว่าเป็นเด็กที่ซนอยู่ไม่น้อย พอเด็กคนนั้นโผล่หน้าเข้ามาในห้อง และพอมองสบตากับพลอย เด็กคนนั้นก็แลบลิ้นให้ ทำเอาพลอยต้องสะดุ้งและหลบตากลับทันที



             คุณสายพอเหลียวไปเห็นเด็กคนนั้น ก็เอามือเคาะกระดานใกล้ๆ แล้วเรียกว่า



             \"ช้อย ! มานี่เดี๋ยวนี้ มานั่งใกล้ๆ ประเดี๋ยวฉันจะเฆี่ยน หายไปไหนมาแต่เช้ายะแม่ตัวดี\"



             พอได้ยินคุณสายเรียก เด็กที่ชื่อว่าช้อยก็หน้าม่อย คลานเข้ามานั่งตรงที่ๆคุณสายเคาะกระดานเรียก



             \"ดูซี !\" คุณสายเรียก \"เก่งแสนจะเก่งแล้วยังมานั่งทำสีหน้าอีก หายไปไหนมาบอกมาเสียดีๆ ตอนเสด็จเสวย ก็ไม่เห็นขึ้นไปเฝ้า บอกมาดีๆนะ\"



             \"ไปแถวเต๊ง\" ช้อยตอบเหมือนกับเสียไม่ได้



             \"ไปหาใครที่แถวเต๊ง\" คุณสายซักต่อไป



             \"ไปห้องคุณลม้าย ค่ะ\"



             \"ลม้ายไหน\"



             \"ลม้ายพนักงาน\" ช้อยตอบเรื่อยๆ



             \"ไปทำไม\" คุณสายไม่ยอมหยุดซัก



             \"ไปเล่นกับแม่ลมุนน้องคุณลม้าย\"



             \"เล่นอะไรตั้งแต่เช้าจนบ่าย แล้วทำอะไรอีก\" คุณสายถามอย่างจะเอาเรื่องให้ได้



             \"แล้วก็ไปที่ห้องป้าเขียน\"



             \"ไปกินขนมละซี\"



             \"รับประทานไส้กรอกปลาแนม\" ช้อยตอบเรื่อยไปอย่างไม่ลดละเหมือนกัน



             \"แล้วไปไหนอีก บอกมาให้หมดนะ เดี๋ยวเถอะจะโดนตี\" คุณสายขู่ต่อไปอีก



             \"แล้วก็ ... แล้วก็ไปที่ห้องคุณเฒ่าแก่กลีบ\"



             \"ต๊าย ! \" คุณสายร้องอุทาน



             \"ไปทำไมกันจนถึงที่นั่น\"



             \"ไปดูตุ๊กตาชาววัง\" ช้อยตอบอย่างไม่ติดขัดตามเคย



             คุณสายดูเหมือนจะหมดความอดทนตรงนี้เอง ยกมือฟาดเผียะ ลงไปที่ขาของช้อยแล้วพูดขึ้นว่า



             \"นี่แน่ ! ตุ๊กตาชาววัง ! \" คุณสายหันมามองพลอย แล้วพูดต่อไปว่า



             \"พลอยมาอยู่ในนี้แล้วอย่าไปเอาอย่าง แม่เจ้าประคุณช้อยของฉันเข้านะ เด็กอะไรก็ไม่รู้ ดื้อก็เท่านั้น ซนก็เท่านั้น เพื่อนฝูงอะไร มันช่างมากมาย เข้าโน่นออกนี่ไปทุกหัวระแหง วันหนึ่งๆ ไม่ต้องเห็นหน้ากัน เลี้ยงเสียข้าวสุก นี่ถ้าไม่ใช่เป็นลูกเป็นหลานแท้ๆ ฉันเลิกเลี้ยงเสียนานแล้ว\"



             ฝ่ายช้อยเมื่อถูกตีเพียงหนึ่งที ก็ก้มหน้าลงรองไห้ฟูมฟาย เหมือนกับว่าใครมาทำให้บาดเจ็บแสนสาหัส น้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงลงกับพื้นไม่ขาดสาย คุณสายเหลียวไปดูแล้วก็ร้องขึ้นว่า



             \"ดูซี ! ว่าเข้ายังมาบีบน้ำตาร้องไห้ นิ่งเดี๋ยวนี้ทีเดียวนะ ไม่ยังงั้นเป็นโดนใหญ่ที่เดียว !\"



             บางทีช้อยจะรู้ใจคุณสายดีว่า เป็นคนเอาจริงเมื่อถึงเวลาอันควร หรือบางทีช้อยจะร้องไห้เสียจนน้ำตาหมด ก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่พอคุณสายพูดออกมาดังนั้น ช้อยก็เลิกร้องไห้เป็นปลิดทิ้ง เช็ดน้ำหูน้ำตาแห้งเป็นปกติ มือก็เอื้อม ไปเขี่ยเชี่ยนหมากของคุณสายเล่น เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย



             \"นี่รู้จักกันไว้เสียซี\" คุณสายแนะนำ \"นี่เขาชื่อพลอย ลูกแม่แช่ม คนที่นอนหลับเป็นทศกรรฐ์ล้มอยู่นั่นแหละ เพิ่งมาถวายตัววันนี้ นี่ช้อยหลานป้าไงพลอย รุ่นเดียวกัน แล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันต่อไป ช้อยคอยดูพลอยให้อาด้วยนะ บอกให้รู้จักที่ทาง แต่ไม่ต้องพาไปซน จำไว้นะ !\" คุณสายขึ้นเสียงกำชับ ในตอนท้าย



             จากคำพูดของคุณสาย พลอยก็พอจะจับเนื้อความได้ว่า ช้อยเป็นหลานอาของคุณสาย และต้องเป็นคน ที่อยู่ในวังมานานแล้ว เพราะช้อยมีเพื่อนฝูงมาก ตลอดจนรู้ที่เล่นที่กินขนม และที่ดูตุ๊กตาชาววัง ซึ่งพลอยนึกถึง คุณเชยพี่สาวทางบ้าน และพอนึกถึงคุณเชย พลอยก็ใจหาย ป่านฉะนี้คุณเชยคงเหงาเต็มประดา เพราะพลอยไม่อยู่ แล้วจะได้ใครมาเล่นด้วย ทันใดนั้น พลอยก็นึกถึงห่อจันอับที่คุณเชยยัดเยียดให้มาแต่เช้ามืด จำได้ว่านางพิศบ่าว ถือติดมือเข้ามาด้วย และคงวางอยู่ข้างๆหีบเสื้อผ้า ซึ่งยังอยู่ตรงประตูห้องคุณสายนั้นเอง



             ระหว่างที่คุณสายกำลังแนะนำบอกชื่อให้รู้จักกันอยู่นั้น ช้อยก็มองดูพลอยแล้วยิ้มอย่างหวานที่สุด แต่พอคุณสายเหลียวหน้ากลับไปทำธุระกับผ้า ที่กำลังจีบอยู่ ช้อยก็เอานิ้วจี้ที่ขาพลอยแรงๆ พอพลอยเหลียวไปดู ช้อยก็แลบลิ้นแล้วก็เอานิ้วแหกตาให้ดูอีกด้วย



             พลอยเห็นช้อยทำอาการกิริยาวิตถารดังนั้น ก็หลบหน้าไปเสียทางหนึ่ง ความรู้สึกขณะนั้นจะว่าอายก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ไม่ใช่แน่ๆ พลอยรู้สึกขบขันในการกระทำของช้อย และใจนั้นให้นึกรักตั้งแต่แรก เพราะถึงแม้ว่าพลอย จะไม่ใช่คนเก่งและซน แต่พลอยก็นึกรักและนับถือเด็รุ่นเดียวกันที่เก่งและซนอยู่เสมอ เพราะคนที่เก่งและซน เช่นคุณเชย มักจะมีนิสัยโอบอ้อมอารี ไม่ค่อยจะเอาเรื่องเอาราวกับคนเช่นพลอย เมื่อพลอยรู้ว่าช้อยทั้งเก่งทั้งซน ก็ให้นึกนับถือและอยากสมาคมด้วยตั้งแต่แรก



             พลอยนั่งช่วยคุณสายจีบผ้าอยู่อีกนาน ฝ่ายช้อยก็นั่งอยู่ที่นั่น ค้นเชี่ยนหมากคุณสาย และหยิบอะไรต่ออะไร ออกมาเล่น เป็นต้นว่า ไม่ควักหู หรือเอากระจกอันเล็กๆ ออกมาส่อง เอาขี้ผึ้งออกมาละเลงเล่น จนคุณสายต้องหัน ไปตวาดดุเอาบ่อยๆ ขณะนั้นแม่ก็ตื่นแล้ว แต่ยังนอนลืมตามองดูคุณสายและพลอยอยู่นิ่งๆ



             \"คุณอาคะ\" ช้อยเรียกขึ้น



             \"หือ\" คุณสายขานรับ \"ว่าไงช้อย\"



             \"เมื่อเช้าหลานพบคุณสายหยุดที่ห้องคุณละม้าย เธอสั่งให้มาถามคุณอาว่า เรื่องหีบนั้นคุณอาว่าอย่างไร ไม่ทราบ\"



             \"โฮ้ย ! \" คุณสายร้องขึ้น พลางกระแทกผ้าที่จีบเสร็จแล้วผืนหนึ่ง ลงกับพื้น เหมือนกับจะช่วยระบายอารมณ์



             \"ไปบอกคุณสายหยุดของหล่อนทีเถิดแม่คุณ ว่าฉันไม่ใช่เศรษฐี จะได้กินหีบหมายราคา ๒๐ ชั่ง ๓๐ ชั่ง แล้วก็คนหน้าอย่างฉันจะไปกินหีบทองได้ยังไง\"



             \"คุณสายหยุดบอกว่าเอา ๑๐ ชั่งเท่านั้นแหละค่ะ\" ช้อยท้วงขึ้น



             \"เอ ! เด็กคนนี้นี่ !\" คุณสายตวาด \"รู้เกินเด็กไปเสียแล้วละ มันเรื่องราวอะไรของตัว\"



             ช้อยได้ยินคุณสายตวาดก็เลิกพูด แต่แม่นอนฟังอยู่กลับเกิดสนใจ ถามขึ้นมาว่า



             \"หีบอะไรคะคุณ ตั้ง ๒๐ - ๓๐ ชั่ง\"



             \"ก็หีบหมากคุณสายหยุด ญาติข้างผัวของหล่อนน่ะซี แม่แช่ม\" คุณสายตอบ



             \"ไหน !\" แม่ถามอย่างสนใจ



             \"สายหยุดเศรษฐีที่เคยอยู่ตำหนักเจ้าคุณฯ น่ะหรือ\"



             \"นั่นแหละ !\" คุณสายตอบ



             \"จะมีสายหยุดที่ไหนเสียอีกล่ะ ถือว่าเป็นลูกผู้ดี พ่อเป็นเจ้าพระยา ปู่ย่าตาทวด เป็นเจ้าคุณราชินิกุล มีเงินจนไม่รู้จะทำอะไรหมด แม่แช่มจำได้ไหม เมื่อแม่แช่มยังเด็กๆ ใครเป็นคนเอาขนมปัง เข้ามาเลี้ยงเพื่อนในวังก่อนคนอื่น ใครที่เจ้าคุณพ่อสั่งน้ำแข็งมาจากสิงค์โปร์ แล้วส่งเข้ามาให้ ตัวเองไม่กล้ากิน ให้บ่าวลองกินดูก่อน มันร้องสามบ้านเจ็ดบ้านว่าลิ้นจะขาด\"



             แม่หัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่ง แสดงอาการสนใจขึ้นมาทันที



             \"อ๋อ ! สายหยุดนั่นนะหรือ\" แม่ร้องขึ้น



             \"แล้วยังไงคะคุณ\"



             \"ก็จะยังไงล่ะ\" คุณสายเล่าต่อ



             \"ทีแรกพอโกนจุกได้ไม่กี่วัน เขาก็เที่ยวคุยว่า คนอย่างเขาไม่มีเสียละ ที่จะต้องหาหีบหมากใช้ อย่างเขาต้องกินหีบหลวง ตอนนั้นเขายังไปมาหาสู่กับฉันอยู่ ฉันก็ได้แต่เตือนว่า \'อย่าพูดไปแม่สายหยุด ! น้ำพระทัยเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเรา อย่าไปประมาท\' แต่เขาไม่ฟัง เขาว่าเจ้าคุณพ่อท่านพูดว่า หมอดูเขามาแต่เกิดว่าจะมีบุญ ท่านส่งเข้ามาอยู่ในวัง ก็เพราะท่านอยากเป็นขรัวตา จะได้มีหลานเป็นพระองค์เจ้าเล็กๆไว้เล่น\"

            

             แม่หัวเราะงอหาย



             \"เขาพูดถึงอย่างนั้นเทียวหรือคุณ\"



             \"โธ่ ! ฉันยังจำได้เหมือนพูดเมื่อวานซืนนี้เอง\" คุณสายตอบ



             แม่คลานมานั่งที่เชี่ยนหมาก หยิบหมากใส่ปากเคี้ยว แล้วถามต่อไปว่า



             \"แล้วเรื่องเป็นยังไงกันต่อไป\"



             \"ก็เปล่าทั้งเพ\" คุณสายเล่าต่อ



             \"เขาก็อยู่ที่ตำหนักทำใหญ่โต นั่งคอยบุญวาสนาจะเป็นเจ้าจอม แต่ก็ไม่เห็นได้เป็น นานเข้าเขาจะนึกอย่างไรขึ้นมากระมัง เห็นออกไปบ้านชั่วคราว แล้วกลับมาอีก คราวนี้กินหีบทองหรูหรา ใบที่จะมาขายฉันนี่แหละ เขาว่าเจ้าคุณพ่อท่านสั่งมาจากนอก เป็นหีบทอง ฝามีวงกลมเป็นตาข่ายฝังเพชร บนตาข่ายมีงูทำด้วยมรกตเม็ดเล็กๆ ปีมะเส็งปีเกิดของเขาไงล่ะ พอเขากินหีบใบนี้ เขาก็เริ่มคุยต่อไปว่า หีบหลวงเขาไม่เห็นอย่างกิน เพราะซ้ำกับคนอื่นดาดดื่น เวลาขึ้นก็เฟื่องฟูไปประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ต้องไปหมอบประจำห้องเหลือง เบื่อจะตาย สู้กินหีบเจ้าคุณพ่อไม่ได้ ฉันเห็นเขาเข้ามาเขื่องอยู่พักหนึ่ง แล้วสักสองสามปีต่อมาก็หายไป ได้ข่าวว่าเขาไปแต่งงาน ที่บ้านมีงานใหญ่โตมาก เจ้านายต่างกรมเสด็จไปรดน้ำ หลายองค์ เจ้าคุณฯ ก็ออกไปแต่ง เขาเล่ากันว่า ท่านรับไหว้ด้วยเครื่องทับทิมทั้งชุด แต่นั้นมาฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวไปนาน พออยู่ๆ เมื่อสิบกว่าวันมานี้ก็กลับเข้ามาในวัง มาเที่ยวนอนอยู่ตามห้องเพื่อนฝูง ผอมผิดรูปผิดร่างจำไม่ได้ เขาว่ากันว่าเจ้าคุณพ่อก็ตาย ผัวที่แต่งกันก็ปอก เสียหมดตัว เมื่อวานซืนนี้เอง มาหาฉันที่ตำหนัก เห็นถือห่อผ้าอะไร พอแก้ออกที่ไหนได้ หีบปีมะเส็งใบนั้นเอง แล้วก็เอามายัดเยียดจะให้ฉันซื้อ บอกราคาตั้ง ๒๐ ชั่ง ขันจะตาย คนอย่างฉัน จะเอาอัฐฬลที่ไหนมาซื้อ และถึงจะมีซื้อเขาได้ ฉันก็ไม่มีหน้าจะไปกินหีบขนาดนั้น คนเขาจะได้หัวเราะตาย แล้วฉันก็เป็นคนปีขาล ไม่ใช่ปีมะเส็ง เลยวุ่นวายกันไปใหญ่ แต่ดูอาการท่าจะร้อนเงินเอาการ วันนี้สั่งฝากแม่ช้อยตัวดีนี่มาว่า จะเอาเพียง ๑๐ ชั่งเท่านั้น\"



             พลอยฟังคุณสายเล่าชีวิตคนในวังด้วยความสนใจ และตั้งข้อสังเกตไว้หลายอย่าง อย่างที่หนึ่งคนในวัง ที่มีบุญวาสนา จะต้องได้เป็นเจ้าจอม คนที่เป็นเจ้าจอมนี้เป็นอย่างไร จะต้องสืบถามดูให้รู้เรื่อง ขณะนี้รู้แต่ว่า การจะเป็นเจ้าจอมกินหีบหมากของหลวงได้หรือไม่นั้น อยู่ที่น้ำะพระทัยเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อย่างที่สอง คนในวังนี้มีขึ้นมีตก จะขึ้นไปไหนหรือตกจากอะไร ก็ต้องหาความรู้ต่อไป ขณะนี้รู้แต่เพียงว่า ถ้าตกแล้ว จะต้องไปหมอบอยู่ในห้องเหลือง ซึ่งพลอยก็ยังไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไรอยู่ที่ไหน แต่ได้ยินเพียงเท่านี้ ก็ชักจะกลัวเสียแล้ว เพราะคนที่หมอบอยู่ในห้องเหลืองนั้น คุณสายว่าจะต้องหมอบประจำอยู่ตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด



             \"คิดๆ ดูก็น่าสงสารนะคุณ\" เสียงแม่พูดขึ้น



             \"คุณสายหยุด เธอรุ่นใหญ่กว่าดิฉัน จำได้เห็นเธอในวัง เธอเป็นสาวแล้ว ดิฉันออกไปอยู่บ้านเจ้าคุณก็ไม่ได้ข่าว เพราะเจ้าคุณนั้นก๊กฟากขะโน้นบ้านบน คุณสายหยุดเธอบ้านล่าง ไม่ค่อยจะได้ติดต่อกัน แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ คนเรามีบุญวาสนาเป็นใหญ่เป็นโตสุขสบาย พอตกอับลงก็ให้อดสงสารไม่ได้\"



             \"ฉันก็นึกสงสารเหมือนกันแม่แช่ม\" คุณสายตอบ \"แต่มานึกดูตัวเราทุกวันนี้ ก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ เตี้ยแล้วจะไปอุ้มค่อย แล้วเวลาเขาร่ำรวย ใช่เขาจะมามองดูเราเสียเมื่อไร จะไปไหนก็มีแต่คนประจบประแจง จะพูดจาอะไรก็มีแต่คนคอยประสม ไม่มีใครตักเตือน พอจนลงเขาก็ทิ้ง เพื่อนฝูงเขาให้อาศัยอยู่เวลานี้ ก็ใช่ว่าเขาจะเต็มใจเมื่อไร เขาขัดไม่ได้ พูดไม่ออกเขาก็ทนๆให้อยู่ไปอย่างนั้น แต่ก็คงไม่นานหรอก\" คุณสายถอนใจใหญ่ แล้วปรารภขึ้นว่า



             \"นี่แหละหนาคนเรา !\"



             แม่ฟังคุณสายเล่าเรื่องจบก็บ่นว่าร้อน อยากไปอาบน้ำ หันมาพยักหน้าชวนพลอยให้ไปอาบด้วยกัน เสียงคุณสายพูดกับแม่ว่า



             \"ดีเหมือนกัน ไปอาบน้ำอาบท่าให้ลูกเสียที อาบเสร็จแล้วก็มาแต่งตัวเสียในห้องนี้ละ น้ำอบน้ำรม อยู่ที่ไหนมีอะไรบ้าง แม่แช่มก็รู้อยู่แล้ว\"



             แม่พาพลอยออกไปนอกห้อง ช้อยก็ตามออกมาติดๆกัน เมื่อถึงประตูห้องคุณสาย ก็แลเห็นหีบเสื้อผ้า ข้าวของๆ แม่ ที่นางพิศกลับไปขนจากท่าพระมาอีกเที่ยวหนึ่ง วางอยู่ริมประตู แม่ก็ทรุดนัวลงนั่งไขหีบ และหยิบสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ออกมา ระหว่างที่แม่เปิดหีบขึ้น ช้อยก็เข้ามาชะโงกดูของในหีบอย่างสนใจ ซึ่งแม่ก็ไม่ห้าม ซ้ำอย่างหยิบโน่นนี่ให้ดูอีกอย่างใจดี



             ระหว่างที่แม่นั่งเลือกผ้าห่มอยู่นั่นเอง ธรรมชาติถูกระงับไป ตั้งแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น ก็เริ่มเรียกร้อง เอาแก่พลอย ธรรมดาเมื่ออยู่บ้านนั้น พลอยนั่งกระโถนเป็นกิจวัตร เสร็จแล้วนางพิศก็เอาไปเทที่ท่า แต่เมื่อมาถึงตำหนัก ที่ทางจะนั่งกระโถนได้ก็ดูจะไม่มีเอาเสียเลย เหลียวดูนางพิศก็ไม่ทราบว่าหายหน้าไปหลบ อยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าจะอยู่ในวังต่อไป ก็ต้องรู้วิธีไว้ว่าชาววังขนาดพลอย เขาทำอย่างไรกัน



             พลอยเหลียวซ้ายแลขวาอยู่อีกครู่หนึ่ง เห็นว่าท่าไม่ได้การ จึงต้องกระซิบเบาๆ ที่หูแม่ ทั้งที่อายช้อย ซึ่งนั่งอยู่ติดๆกัน แต่แม่กลับหัวเราะออกมาดังๆร้องว่า



             \"เอาละซี ! พลอย เอายังงี้ดีกว่าแม่จะไปอาบน้ำก่อน พลอยไปกับแม่ช้อยนี่ก็แล้วกัน\" แม่หันไปทางช้อย แล้วบอกว่า \"แม่ช้อยพาพลอยไปอุโมงค์สักทีเถิด จะได้รู้จักที่ไว้\" กับพลอยแม่สั่งว่า



             \"พอเสร็จธุระแล้วรีบกลับนะพลอย อย่าไถล แม่จะคอยอาบน้ำให้ทางนี้\"



             พลอยหันมาดูหน้าช้อยอย่างสงสัย เพราะกระซิบบอกแม่เรื่องหนึ่ง แต่แม่กลับสั่งให้ช้อยพาไปอุโมงค์ ที่เรียกว่าอุโมงค์นั้นจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฟังชื่อดูก็ชักจะน่ากลัวเสียแล้ว แต่ช้อยกลับยิ้มด้วยแล้วลุกขึ้นยืน พยักหน้าให้ตามไป เมื่อเป็นคำสั่งของแม่ ให้ตามช้อยไปอุโมงค์ พลอยก็ลุกตามไปทั้งที่ยังสงสัย



             ช้อยเดินนำหน้าออกไปนอกตำหนัก พลอยก็รีบสาวเท้าเดินตามไปติดๆ เดินไปสักหน่อย ช้อยก็หันมาถามว่า



             \"ปวดมากไหม\"



             \"ไม่เท่าไหร่นักดอกแม่ช้อย\"



             \"อย่ามาอวดดีเรียกฉันว่าแม่ช้อยนะ !\" ช้อยตะคอกให้ ฝ่ายพลอยก็รู้สึกว่าตัวเองเล็กลงไปอีกมา เพราะช้อยเป็นหลานคุณสาย ซึ่งแม่เรียกว่าคุณทุกคำ บางทีพลอยจะเรียกผิดไปกระมัง ถ้าจะเรียกให้ถูก ควรจะต้องเรียกว่าคุณช้อยตามคุณสายไปก็ได้ คิดไปคิดมาพลอยก็ตอบตะกุกตะกัก แบบคนมาอยู่ใหม่ว่า



             \"ค่ะ ... คุณช้อย\"



             ช้อยหัวเราะลั่นถนนที่เดินอยู่ แล้วร้องว่า



             \"เด็กบ้า ! ใครเขาไปใช้ให้เรียกว่าคุณ เรียกฉันว่าช้อยเฉยๆ ก็แล้วกัน แล้วฉันจะเรียกเธอว่าพลอย ใครๆ เขาก็เรียกฉันว่าช้อย เฉยๆ ทั้งนั้น มีแต่ผาดของคุณอาคนเดียวเรียกว่า คุณช้อย\"



             พลอยได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นถนัด ความนิยมที่มีอยู่ในตัวช้อยตั้งแต่แรกเห็น ก็เพิ่มมากขึ้นทันที และด้วยเหตุนี้พลอยจึงกล้าถามขึ้นว่า

            

             \"ช้อย ไปอุโมงค์นี่เขาไปทำไมกันจ๊ะ\"



             \"อ้าว แล้วกัน !\" ช้อยตอบ



             \"ก็เมื่อกี้พลอยบอกว่าจะไปทุ่ง ไม่ใช่หรือ\"



             \"ถูกแล้ว\" พลอยตอบ



             \"แล้วทำไมต้องไปอุโมงค์\"



             \"ก็ถ้าไม่ไปอุโมงค์ จะไปทุ่งที่ไหนกันล่ะ\" ช้อยตอบอย่างไม่พยายามอธิบายอะไรทั้งสิ้น แล้วพูดตัดบทว่า



             \"รีบๆเดินเข้าเถอะ เดี๋ยวจะมาราดกลางทาง อายคนเขาตาย\"



             ช้อยรีบสาวเท้าเดินเร็วขึ้น ทำให้พลอยต้องรีบเดินตาม ทางที่ไปนั้นเป็นถนนปูหินแผ่นใหญ่ ที่พลอยเดินมาเมื่อเช้านี้ ผ่านตำหนักใหญ่ตำหนักเล็กสองข้างถนน ไปจนถึงแถวเต๊งชั้นใน ช้อยพาลอดประตู ออกไปแถวเต๊งชั้นนอก วกไปผ่านประตูศรีสุดาวงศ์ ซึ่งพลอยเกิดเรื่องเหยียบธรณีประตูเมื่อเช้า ช้อยเดินเรื่อยไป ถึงจะมีเพื่อนฝูง และผู้ใหญ่ร้องทักทายประปราย ช้อยก็มิได้หยุดให้เสียเวลา จนในที่สุด ถึงสิ่งก่อสร้างอันหนึ่ง ลักษณะนั้นเป็นอุโมงค์จริงๆ อย่างที่เรียก ช้อยพาพลอยเข้าไปทางปากอุโมงค์ อันเป็นทางเข้า และพอพลอยโผล่เข้าไป ก็ใจหายวาบ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นตัว ก็ยังไม่เคยต้องปลดเปลื้องทุกข์ ในลักษณะเช่นนี้



             ในอุโมงค์นั้นมีทางเดินกลาง สองข้างยกพื้นสูงพอก้าวขึ้นได้ ตั้งถังข้างล่างตลอดเป็นแถว บนยกพื้นกั้นเป็นฝาเป็นคอก สำหรับบังได้เฉพาะตัวคน ซึ่งเมื่อนั่งลงยองๆแล้ว ฝานั้นก็กั้นขึ้นมา เสมอพ้นหน้าอกเล็กน้อย ในคอกที่กั้นไว้บนยกพื้นนั้น มีคนนั่งโผล่หน้าให้เห็นได้อยู่แล้ว เป็นอันมาก ทั้งสาวทั้งแก่ทั้งเด็ก ทุกคนปฏิบัติกิจนั้นอย่างเป็นของธรรมดาที่สุด ไม่มีอับอายหรือเห็นแปลกอะไรเลย บางคนที่นั่งอยู่ใกล้กันหรือมองหน้ากันเห็น ก็คุยกันอยู่เซ็งแซ่ บางคนกำลังเดินเข้าไปหรือออกมา เมื่อพบหน้าคนรู้จัก ก็ทักทายกันอย่างรื่นเริง เป็นปกติ



             พลอยเมื่อเห็นภาพอันจอแจ ปราศจากความระโหฐานเช่นนั้น ก็ชะงักยืนอยู่กับที่ แล้วร้องเบาๆขึ้นว่า



             \"ช้อย ! ฉันทำไม่ได้หรอก คนมากมายออกอย่างนี้\"



             \"เช้อ ! \" ช้อยร้องอย่างเบื่อหน่าย



             \"รีบๆขึ้นไปนั่งเสียเถิดน่ะ มัวแต่ดัดจริตอยู่ เดี๋ยวก็ไม่ต้องทำอะไรกัน อีกหน่อยก็เคยไปเอง ใครๆเขาก็มาที่นี่ทั้งนั้น\"



             แต่พลอยก็ยังอิดเอื้อนอยู่นั่นเอง จนช้อยอดรนทนไม่ไหว ตรงเข้าจูงมือพลอยขึ้นไป แล้วบอกว่า



             \"มามะ ! ฉันจะขึ้นไปนั่งเป็นเพื่อน\"



             ขณะที่พลอยนั่งอยู่ในคอกหนึ่ง ช้อยก็เข้าไปนั่งอยู่ในคอกข้างๆ โผล่หน้าขึ้นมาอย่างคนอื่นๆ และชวนพลอยพูดคุยอยู่ไม่ขาดปาก ทำให้พลอยหายเก้อ และรู้สึกเป็นหนึ้บุญคุณช้อยเสียตั้งแต่แรกเริ่ม



             พลอยนั่งอยู่ในอุโมงค์ได้ไม่นาน เพราะยังไม่คุ้นสถานที่ รีบชวนช้อยกลับตำหนัก เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว ช้อยก็เดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อน ชี้บอกที่ต่างๆให้พลอยดู ตำหนักไหนเป็นของเจ้านายพระองค์ใด เรือนใดเป็นของใคร ดูช้อยจะรู้จักไปเสียหมด สุดที่พลอยจะจดจำได้ในคราวเดียว ระหว่างนั้นใกล้พลบเข้ามาแล้ว เดินผ่านทางประตูวัง เห็นโขลนกำลังปิดประตู เสียงดังโกร่งกร่าง พลอยก็ใจหายบอกไม่ถูก จริงอยู่เมื่ออยู่บ้าน พลอยก็ไม่เคยไปไหน แต่ที่บ้านนั้นเย็นลงก็ไม่ถึงกับกวดขัน ปิดประตูมิให้คนเข้าออก แล้วปิดประตูไปจนถึงรุ่งสว่าง จึงเปิดอีกได้ มาถึงในวังพาค่ำลงก็รู้ว่าเขาต้องปิดประตูแข็งแรง และตามคำบอกเล่าของช้อยก็ว่า เมื่อปิดแล้วก็จะต้องปิดเรื่อยไปจนพรุ่งนี้เช้า ไม่มีใครเปิดได้ ไม่ว่าจะมีเรื่องใดๆ พลอยก็ใจหายและวังเวงชอบกล ความรู้สึกเหมือนเวลาแม่ลงโทษขังห้อง



             พอผ่านประตูวังมา ช้อยก็เตือนให้รีบกลับตำหนัก บอกว่าเดี๋ยวค่ำจะลำบาก เพราะไม่ได้เอาเทียนมาด้วย พลอยก็สงสัยถามขึ้นว่า



             \"เทียนอะไรกันช้อย\"



             \"อ้าว ! \" ช้อยตอบ



             \"เดินในวังกลางคืนต้องจุดไฟจำไว้นะพลอย เดินมืดๆเป็นเกิดเรื่อง\"



             แต่พลอยก็ยังไม่เข้าใจ ดูลักษณะทั่วๆไป ในวังก็ไม่น่ามืดถึงกับต้องเดินจุดไฟ หรือว่าจะมีคนคอยทำอันตราย หรืองูชุม หรือผีดุ พลอยนึกเอาอย่างเด็กๆ แล้วก็เริ่มกลัวขึ้นมาอีก อดรนทนไม่ไหว ก็ต้องถามช้อยอีกต่อไป



             \"เกิดเรื่องอะไรจ๊ะช้อย\"



             \"โขลนจับ ! \" ช้อยตอบอย่างเด็กอีกเหมือนกัน เพราะช้อยเอง ก็ไม่รู้ว่ามีระเบียบวางไว้ ในพระราชฐานชั้นในว่า ผู้ใดเดินตามถนนหนทางในวังในเวลาค่ำคืน จะต้องถือไฟ ช้อยรู้แต่เพียงว่า ถ้าใครไม่ถือเทียนหรือโคมไฟ เวลาไปไหนมาไหนกลางคืน เป็นต้องถูกโขลนจับ และคำตอบของช้อย ก็เป็นคำอธิบายที่เพียงพอสำหรับพลอย เพราะเข็ดขยาดฝีมือโขลน มาแต่เมื่อก้าวแรกที่ย่างเข้าวังเสียแล้ว พอได้ยินช้อยพูด พลอยก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เพื่อให้ถึงตำหนักเสียโดยเร็ว เพราะถ้าถูกโขลนจับตัว เวลาไม่มีแม่คอยแก้ไข พลอยก็นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรถูก



             พอมาถึงตำหนัก ช้อยก็พาเดินผ่านห้องคุณสายออกไปทางเบื้องหลัง ที่นั้นเป็นลานกว้าง ปูด้วยหินแผ่นใหญ่ๆ อย่างที่ปูถนนทั่วไปในวัง สามด้านของลานนั้น ล้อมรอบด้วยเฉลียง ตำหนักชั้นล่าง มีกระถางต้นไม้ใบโตๆ ใส่ต้นไม้ดอกวางอยู่เป็นระยะ สลับด้วยอ่างมังกรปลูกบัว อีกด้านหนึ่งเป็นกำแพงทึบ ไม่สูงนัก มีประตูเล็กๆ เปิดออกไปนอกบริเวณตำหนักได้บานหนึ่ง และริมกำแพงนั้น ปลูกต้นแก้วและต้นเข็ม สลับกัน มุมสุดกำแพงด้านโน้นมีต้นพิกุลใหญ่ขึ้นอยู่ และมีตุ่มมังกรใส่น้ำอาบวางอยู่หลายใบ แม่อาบน้ำที่นั้นเสร็จแล้ว แต่ยังมิได้กลับมาแต่งตัว นั่งที่ขอบอิฐที่ก่อไว้ รอบโคนต้นพิกุล คุยกับข้าหลวงเสด็จอีกคนหนึ่ง ที่กำลังนั่งอาบน้ำอยู่บนม้านั่งเล็กๆ



             แม่เห็นพลอยไปถึง ก็หันมาขอบอกขอบใจช้อย ที่พากลับโดยมิได้พาไถล พร้อมกับสัญญาว่า อีกประเดี๋ยวหนึ่งจะมีรางวัลให้ แล้วแม่ก็อาบน้ำให้พลอย เหมือนกับเมื่ออยู่บ้าน อาบน้ำเสร็จแม่พาพลอย กลับมาห้องคุณสาย นั่งที่ม้าเครื่องแป้ง ทาน้ำอบประแป้งให้พลอย และผลัดเสื้อผ้าให้พลอยก่อน แล้วแม่จึงเริ่มแต่งตัวของแม่เอง



             พลอยสังเกตเห็นแม่แต่งตัวประณีตเป็นพิเศษ ไม่แต่งลวกๆเหมือนกับอยู่ที่บ้าน แม่ทาน้ำอบไทยทั่วตัว แล้วก็เอาพัดๆจนแห้ง แต่แล้วก็ทาน้ำอบทับอีกตลบหนึ่ง จึงได้ลงแป้ง แม่มองดูหน้าตัวเองในกระจกอยู่นาน ค่อยๆหวีผมอย่างบรรจง เอาไม้สอยค่อยๆสอยตามหน้าผม และลูกผมเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่บ้างก็ถอนออก พลอยดูอาการกิริยาของแม่แล้ว ก็พอจะเดาออกว่า แม่กลับเข้ามาอยู่ในหมู่คน ที่แต่งกายอย่างที่แม่เคยทำมาแต่ก่อน แม่ก็กลับตัวผิดไปจากเมื่ออยู่บ้าน เมื่อประแป้งทาน้ำอบเสร็จแล้ว แม่ก็ไปนั่งที่หีบเสื้อผ้า ซึ่งบัดนี้นางพิศยกมาตั้งไว้ในห้อง แม่เรียกพลอยไปนั่งด้วย แล้วก็เปิดหีบ หยิบผ้าลาย ผ้าห่มออกมากอง เลือกสีให้ถูกกัน ขณะนั้นคุณสายกลับเข้ามาในห้อง เห็นแม่หยิบของอยู่ ก็ถามขึ้นว่า



             \"นั่นรื้อสมบัติอะไรกัน แม่แช่ม\"



             \"เปล่าหรอกค่ะ \" แม่ตอบ



             \"หยิบผ้านุ่งผ้าห่มออกมาดู ไปอยู่นอกวังเสียนาน ไม่ได้เอาใจใส่ จะนุ่งจะห่ม หยิบอะไรได้ก็นุ่งเข้าไปอย่างนั้น คนข้างนอกเวลานี้เขาก็แปลก นึกจะนุ่งสีอะไร ห่มสีอะไร เขาก็เอาแต่ใจเขา บางทีก็แต่งเป็นชุดผ้านุ่งผ้าห่มสีเดียวกัน ไม่ตัดสีเหมือนอย่างพวกเราในนี้ อย่างลูกสาวใหญ่ของเจ้าคุณอิฉันที่บ้าน เขาแต่งตัวตามแต่จะเห็นงาม ฉันเคยไปทักเขาเข้าหนหนึ่งว่า แต่งตัวไม่เหมือนชาววัง เขาโกรธฉันไปตั้งหลายวัน พลอยนี่ก็เถิด ถ้าทิ้งไว้บ้านก็จะแต่งตัวเหมือนพวกพี่ๆ ไปเสียเท่านั้น\"



             แล้วแม่หันมาทางพลอยแล้วสอนว่า



             \"พลอยดูให้ดีนะ แม่จะจัดผ้านุ่งผ้าห่มสีประจำวันให้ดู อยู่ในวังโตขึ้น จะได้แต่งตัวถูก\"



             \"นี่สำหรับวันจันทร์ นุ่งเหลืองอ่อนห่มน้ำเงินอ่อน หรือจะห่มบานเย็นก็ได้ แต่ถ้าวันจันทร์จะนุ่งสีนี้ น้ำเงินนกพิราบต้องห่มจำปาแดง\" แล้วแม่ก็หยิบผ้าห่มสีดอกจำปาแก่ๆ ออกวางทับบนผ้าลายสีน้ำเงินเหลือบ ที่วางไว้



             \"วันอังคาร\" แม่อธิบายต่อ



             \"วันอังคารนุ่งสีปูนหรือม่วงเม็ดมะปรางแล้วห่มโศก หรือถ้านุ่งโศกหรือเขียวอ่อน ต้องห่มม่วงอ่อน วันพุธนุ่งสีถั่วก็ได้ สีเหล็กก็ได้แล้วห่มจำปา วันพฤหัสนุ่งเขียวใบไม้ ห่มแดงเลือดนก หรือนุ่งแสดห่มเขียอ่อน วันศุกร์นุ่งน้ำเงินแก่ห่มเหลือง วันเสาร์นุ่งเม็ดมะปรางห่มโศก หรือนุ่งผ้าลายพื้นม่วง ก็ห่มโศกเหมือนกัน นี่ผืนนี้แหละผ้าลายพื้นม่วงนี่เหมือนกัน แต่ห้องห่มสีนวล วันอาทิตย์จะแต่งเหมือนวันพฤหัสก็ได้ คือนุ่งเขียวห่มแดง หรือไม่ยังงั้นก็นุ่งผ้าลายพื้นสีลิ้นจี่ หรือสีเลือดหมู แล้วห่มโศก จำไว้นะพลอย อย่าไปแต่งตัวเร่อร่าเป็นคนบ้านนอก เดี๋ยวเขาจะหาว่าแม่เป็นชาววังแล้วไม่สอน\"



             \"แม่เช่มก็\" คุณสายพูด



             \"บทจะสอนลูกก็สอนรวดเดียวจบ เด็กตัวเท่านี้จะไปจำอะไร ค่อยอยู่ไปค่อยดูไป ก็จะรู้ไปเอง\"

             เมื่อแม่แต่งตัวเสร็จแล้ว ก็นั่งคุยกับุคณสายต่อไปในห้อง เพื่อนฝูงของแม่ที่เพิ่งได้ข่าวว่าแม่กลับมาในวัง ก็มาหาในตอนกลางคืนบ้างประปราย พลอยเห็นแม่นั่งคุยกับเพื่อนฝูงอย่างสนุกสนาน ในเรื่องที่ตนไม่สนใจ ก็เริ่มมองหาอะไรทำ แต่เหลือบไปเห็นช้อยมาพยักพเยิดอยู่นอกประตู พลอยก็คลานออกไปหา เมื่อผ่านหีบของ ก็ไม่ลืมที่จะหยิบห่อจันอับ ติดมือออกไปด้วย ช้อยชวนพลอยไปนั่งเล่นบริเวณหลังตำหนัก ซึ่งบัดนี้มีแสงสว่าง ที่ได้รับจากจากโคมที่จุดอยู่ในห้องต่างๆ ทำให้สว่างแต่บริเวณรอบๆ ส่วนตรงกลางหรือใต้ต้นไม้นั้น ดูมืดครึ้มอยู่



             พอออกมาถึงประตู ช้อยก็ชวนนั่งลงตรงนั้น แล้วพูดว่า



             \"นั่งเล่นตรงนี้แหละ กลางคืนฉันไม่กล้าไปไหน กลัวคุณอาเฆี่ยน\" ช้อยหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า



             \"นั่นห่ออะไร พลอย\"



             \"ห่อจันอับ\" พลอยตอบ



             \"ฉันได้มาจากบ้านเมื่อเช้านี้ กินด้วยกันซีช้อย\" ว่าแล้วพลอยก็แก้ห่อจันอับออก วางบนตัก



             ช้อยหยิบจันอับไปเคี้ยวกิน โดยไม่พูดไม่จาอะไรอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นห้วนๆว่า



             \"คิดถึงบ้านไหม พลอย\"



             พอได้ยินช้อยถาม พลอยก็รู้สึกว่าที่คอตื้นตันขึ้นมาทันที ความจริงพลอยรู้สึกชอบกล มาตั้งแต่ตอนบ่ายๆแล้ว อยู่ๆก็ให้นึกอยากร้องไห้ จะมองอะไรตอนเย็นให้รู้สึกว้าเหว่ วังเวงอย่างบอกไม่ถูก แต่พอได้ยินช้อยถาม พลอยก็รู้สึกตัวว่า ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนั้นเองคือความคิดถึงบ้าน คิดถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มิเคยจากมาเลยชั่วชีวิต ที่บ้านเป็นอย่างไร มีกลิ่นไออย่างไร เมื่อตอนพลบค่ำเข้าไต้เข้าไฟนี้ ยังอยู่ในความทรงจำของพลอยอย่างเด่นชัด ป่านนี้เจ้าคุณพ่อคงจะเพิ่งกลับขึ้นตึก และถ้ายังอยู่ที่บ้าน พลอยก็คงจะกลับขึ้นเรือนแม่ ความอบอุ่นในใจที่เคยมีเมื่ออยู่ที่บ้านนั้น บัดนี้ดูจะหมดสิ้นไปจากหัวใจ จริงอยู่ ในวังมีสิ่งที่ทำให้พลอยตื่นตาตื่นใจอยู่เป็นอันมาก แต่เวลาพลบค่ำ ในสถานที่อันกว้างเช่นนี้ สำหรับเด็กตัวเล็กๆอย่างพลอย ก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยว จะเอาแม่เป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ เพราะแม่กำลังสนใจกับเพื่อนฝูง ที่ไม่ได้พบกันนาน เมื่ออยู่บ้านพลอยก็รู้สึกว่าตัวเป็นคนสำคัญของแม่ แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่า แม่มีคนอื่นๆอีกมาก



             พลอยจะตอบช้อยว่าคิดถึงบ้าน ก็ตอบไม่ออก เพราะความรู้สึกขึ้นมาตื้นตันคอหอย จึงได้แต่พยักหน้ารับ ช้อยก็ตอบว่า



             \"พลอยยังเก่งกว่าฉันเป็นกอง ฉันเข้ามาใหม่ๆ ร้องไห้ไปตั้งสามวัน ข้าวไม่กิน กินแต่กับ คุณอาจะส่งฉันกลับเสียแล้ว ที่ฉันคิดถึงมากที่สุดก็คือพี่เนื่อง เพราะเล่นกันอยู่ทุกวัน คุณอาไปรับตัวฉันมาคนเดียว เพราะพี่เนื่องแกเป็นผู้ชาย เลยต้องอยู่ที่บ้าน\"



             จากคำบอกเล่าต่อไปของช้อย พลอยก็รู้ว่าช้อยเป็นหลานอาของคุณสาย บิดาผู้เป็นพี่ชายคุณสายนั้น เป็นข้าราชการมีบ้านอยู่แถวนางเลิ้ง ช้อยมีพี่ชายอีกคนหนึ่งชื่อเนื่อง แก่กว่าช้อยสองปี มีอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น



             \"คุณพ่อบอกว่าฉันวิ่งเล่นกับพี่เนื่องทุกวัน จนจะกลายเป็นเด็กผู้ชายไป จึงส่งตัวมาให้คุณอาดัดสันดานในนี้\" ช้อยอธิบายต่อ แล้วก็ปรารภถึงคุณสายผู้เป็นอาว่า



             \"คุณอาบทจะใจดีก็ดี บทจะดุก็แสนดุ เมื่อเช้านี้ว่าฉันว่าเลี้ยงฉันเสียข้าวสุก พลอยได้ยินไหม คอยดูไปเถอะ ฉันไม่กินหรอกข้าวสุกของคุณอา อยากมาว่าฉันดี\"



             พลอยฟังแล้วก็แปลกใจแต่ก็ได้แต่นิ่ง



             \"พลอยกลัวผีไหม\" ช้อยถามขึ้นมาเฉยๆ



             พลอยได้ยินช้อยถามมาดังนั้นก็ขนลุกซู่ เพราะบรรยากาศที่มืดครึ้มวังเวงนั้น ทำให้พลอยใจไม่ดีเสียแล้วแต่แรก



             \"ที่ต้นจันทร์นอกตำหนักนี่แหละผีดุ\" ช้อยพูดต่อไปโดยไม่รอให้พลอยตอบ



             \"เขาว่าใครก็ไม่รู้มาผูกคอตายที่นั่น เวลาเดินผ่านกลางคืน ฉันกลั๊วกลัว ต้องชวนคนเขาไปเป็นเพื่อนเสมอ\"



             พลอยเห็นช้อยกำลังจะเล่าเรื่องผี ก็อยากจะเปลี่ยนเรื่องพูด พลอยมองออกไปข้างหน้า ข้ามกำแพงตำหนักออกไป เห็นยอดพระมหาปราสาทได้สลัวๆ เยื้องไปทางโน้นเป็นตึกใหญ่สูงตระหง่าน มีดาดฟ้าใหญ่ยื่นออกมาเบื้องหลัง และมีสะพานยาวต่อจากดาดฟ้านั้นไปยังที่อื่น ขณะนั้นบนตึกใหญ่เริ่มจุดไฟ แพรวพราวเหมือนกับมีงาน พลอยก็ค่อยอุ่นใจขึ้น



             \"ที่นั่นอะไรนะช้อย\" พลอยถามขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูด



             \"ที่นั่นแหละที่บน\" ช้อยตอบ \"ที่ประทับพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ ดาดฟ้านั่นสวนสวรรค์ ฉันยังไม่เคยขึ้นไปสักที สะพานยาวนั้นเป็นถึงตำหนัก มาดูทางนี้ซี\" ช้อยฉุดข้อมือพลอยไปยืนกลางลาน หลังตำหนัก แล้วชี้ให้ดูตึกใหญ่อีกหลังหนึ่ง จุดไฟสว่างไสวเช่นเดียวกัน



             \"นั่นไงพระตำหนัก\" ช้อยเอามือชี้ \"หลังใหญ่ๆ นั่นแหละ ตึกหลังเล็กๆ ที่สะพานผ่านไปติดๆ นั้นตำหนักมรกต\"



             พลอยยืนดูแสงไฟสว่างนั้นด้วยความเพลิดเพลินขึ้นบ้าง ทุกหน้าต่างที่บนมีแสงไฟส่องออกมา พลอยพอจะมองผ่านหน้าต่างเข้าไป เห็นความโอ่โถงของพระราชฐาน เห็นกำแพงสีต่างๆ ซึ่งประดับลวดลายปิดทองอันอยู่เบื้องใน



             \"คุณช้อยมาอยู่นี่เอง\" เสียงผาดพูดขึ้นใกล้ๆตัว



             \"คุณอาให้มาตามไปรับข้าว รีบๆเข้าเถิด เดี๋ยวจะถูกดุอีก\"



             ช้อยกับพลอยเดินกลับเข้าตำหนัก แต่ช้อยบอกว่า \"พลอยเข้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวฉันจะตามเข้าไป\" แล้วช้อยก็แยกทางหายไปคนเดียว

             พลอยเข้าไปในห้องเห็นแม่กับคุณสาย เริ่มจะลงมือกินข้าวอยู่แล้ว คุณสายพอเห็นพลอย ก็เรียกให้ไปนั่งข้างๆ แล้วชวนกินข้าวพลางถามถึงช้อย ซึ่งพลอยก็ตอบว่าประเดี๋ยวจะตามมา ตามที่ช้อยบอกไว้



             ทั้งสามคนนั่งกินข้าวอยู่สักครู่หนึ่ง ช้อยก็คลานกระโดกกระเดกเข้ามาในห้อง มือหนึ่งถือกระทงใบใหญ่



             \"ช้อย ! ไปเอาอะไรมา\" คุณสายร้องถาม



             \"ข้าวสุก\" ช้อยตอบหน้าตาเฉย



             \"ไปเอาข้าวสุกมาทำไม\" คุณสายร้องถามอย่างฉงน



             \"ข้าวที่นี่เป็นกอง\"



             \"ฉันวานเขาไปซื้อมาแต่ตอนบ่าย\" ช้อยตอบอย่างฉาดฉาน



             \"เห็นคุณอาบอกว่า เลี้ยงฉันเสียข้าวสุก เลยซื้อมาเอง จะขอรับประทานแต่กับ\"



             แม่สำลักข้าวพรวดใหญ่ แล้วก้มหน้าหัวเราะในกระโถน จนน้ำหูน้ำตาไหล ฝ่ายคุณสายก็ได้แต่เอามือ ตบกระดานร้องว่า \"ดูซี เด็กคนนี้ !\" แล้วหัวเราะจนน้ำตาไหลเช่นเดียวกัน ระหว่างนั้นช้อยก็เข้ามานั่งที่สำรับ เปิบข้าวจากกระทงกินกับกับข้าวในสำรับ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น



             ระหว่างที่กินข้าวกันอยู่นั้นเอง พลอยก็ได้ยินแม่คุยกับคุณสาย ด้วยข้อความบางอย่าง ที่ทำให้พลอยรู้สึกวิตกกังวลยิ่งขึ้น คุณสายถามแม่ขึ้นว่า



             \"แม่แช่มเข้ามาคราวนี้จะมาอยู่นานสักเท่าไร ใจฉันอยากให้อยู่นานๆ เพราะจะได้เห็นหน้าได้พูดคุยกัน\"



             แม่ตอบว่า



             \"ยังไม่แน่นอนหรอกคุณ ฉันมันคนใจแตกเสียแล้ว มาอยู่ในนี้ก็สบายทุกอย่าง แต่มันอึดอัดใจอย่างไร บอกไม่ถูก แล้วอีกอย่างหนึ่ง มาอยู่ในนี้ก็ต้องอยู่เฉยๆ วันหนึ่งๆก็กินก็ใช้ไป อัฐฬสที่พอมีอยู่บ้าง ก็จะหมดไปเปล่าๆ ใจฉันอยากจะออกไปทำมาหากิน ญาติฉันมีทางฉะเชิงเทรา เขาเคยชวนให้ไปที่นั่น ฉันว่าจะออกไปดูลาดเลาเหมือนกัน เผื่อจะมีทางทำมาหากินกับเขาบ้าง\"



             พลอยได้ยินแม่พูดก็เข้าใจได้ว่า แม่เข้ามาอยู่ในวังเป็นการชั่วคราว ระหว่างนี้เท่านั้นเอง แต่พลอยจะต้องอยู่ตลอดไป ทั้งหมดนี้มีความหมายว่า พลอยจะต้องอยู่ในวังต่อไปคนเดียวโดยไม่มีแม่ คำพูดของแม่ต่อไปก็ยิ่งยืนยัน ความเข้าใจของพลอยยิ่งขึ้น



              \"ถ้าฉันไปเมื่อไร ก็ต้องขอฝากพลอยไว้กับคุณ ให้ช่วยดูแลด้วย นานๆฉันจึงจะเข้ามาเยี่ยมบ้าง\" แม่พูดอย่างไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

              

             \"ไม่เป็นไร\" คุณสายรับคำ



             \"ลูกแม่แช่มก็เท่ากับหลานของฉัน บางทีก็จะดูง่ายกว่าหลานจริงๆคนนี้เสียอีก\" คุณสายเอามือชี้ไปทางช้อย แล้วก็หันมาพูดกับพลอยว่า



             \"พลอยอยู่กับป้าไปเถิดนะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ป้าจะดูให้ดีที่สุด ทำตัวให้เสด็จท่านทรงพระเมตตา ต่อไปเราจะทำอะไรก็สะดวก เพราะมีเจ้านายเป็นที่พึ่ง เวลานี้พลอยยังเล็กอยู่ ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ต้องหมั่นขึ้นเฝ้าเสมออย่าได้หลบ เห็นหน้าทุกวันก็ขี้เกียจจะโปรดไปเสียอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งเสด็จท่านโปรด คนกล้าพูดกล้าทูล แต่เราก็ต้องระวังตัวอย่าประมาท และอย่ากล้าจนเกินไปนัก เห็นท่านโปรดแล้วก็อย่าเหลิง น้ำพระทัยเสด็จนั้นใครไม่อยู่ใกล้มานานๆ ก็ไม่รู้ เวลาโปรดถูกพระทัยขึ้นมาละก็ จะเอาอะไรก็ได้ ไม่มีที่ไหนเหมือน แต่ถ้าทรงจับได้ว่า เราเหลิงเสียหนหนึ่งแล้วละก็ ทีนี้ไม่มีเสียอีกละ\"



             \"ฉันก็รู้ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน\" แม่พูดขึ้นมา \"ทีแรกมาอยู่ก็กลัวถูกกริ้ว แต่อยู่ไปพอรู้พระทัยแล้วก็ไม่เป็นไร กริ้วได้เท่าไรกริ้วไปฉันไม่หนี เพราะนึกเสียว่าท่านอยากให้เราดี ท่านจึงกริ้ว ตอนฉันจะออกจากวังไปมีเรือน คุณจำได้ไหม ถูกกริ้วเสียใหญ่ไปเลย ความจริงท่านก็กริ้วของท่านถูก เพราะลูกเมียเขาก็มีอยู่ แต่เรามันยังเด็กอ่อนความคิด มองอะไรดีไปหมด เชื่อฝีปากคนก็ตามเขาไป มารู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว แต่ถึงกระนั้นตอนฉันไปทูลลาออกจากวัง เสด็จยังประทานเงินไปเป็นทุนถึง ๑๐ ชั่ง ฉันเอาไปทำดอกเบี้ยดอกหอย ได้อาศัยกินมาจนบัดนี้ เดี๋ยวนี้ตัวเปล่า ก็ว่าจะเอาเงินที่ประทานไว้นั่นแหละ ไปทำทุนค้าขาย\"



             พลอยได้ยินแม่พูดเรื่องจะออกไปหลายหน ก็ยิ่งเป็นทุกข์หนักขึ้น จะพูดกับแม่ในตอนนั้นก็เกรงใจ เพราะอยู่ต่อหน้าคุณสาย พลอยก็ได้แต่นั่งก้มหน้าน้ำตากลบลูกตา ข้าวที่เปิบเข้าปากนั้นหมดรส เคี้ยวเหมือนแป้ง กลืนฝืดคอ ในที่สุดก็ต้องอิ่ม



             เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วสักครู่ คุณสายก็ชวนแม่ขึ้นไปเฝ้าเสด็จข้างบนอีก แต่สั่งช้อยให้อยู่เป็นเพื่อนพลอยในห้อง ถ้าง่วงก็ให้นอนเสียก่อน เมื่อคุณสายกับแม่ออกไปแล้ว ผาดก็เข้ามาจัดแจง ปูที่หลับที่นอน มีนางพิศเข้ามาช่วย กางมุ้งไว้สองหลัง หลังหนึ่งสำหรับคุณสาย นอนกับช้อยตามปกติ อีกหลังหนึ่งสำหรับพลอยนอนกับแม่ ระหว่างนั้นช้อยไปหอบเอาตุ๊กตาชาววัง ออกมามากมาย แล้วชวนพลอยให้เล่นด้วย ช้อยสะสมตุ๊กตาไว้นาน จึงมีมาก ตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆสำหรับตุ๊กตา ถ้าเป็นในยามปกติ พลอยก็คงจะตื่นเต้นไม่น้อย แต่เพราะเหตุว่ามีเรื่องไม่สบายใจอยู่ พลอยจึงซังกะตาย เล่นไปอย่างเสียไม่ได้ คนที่สนุกจริงคือนางพิศ ซึ่งเข้ามาร่วมวงเล่นตุ๊กตาด้วย และคุยกับช้อยสนุกสนาน หัวร่อเป็นการเอิกเกริก พอดึกเข้าสักหน่อย ช้อยก็บ่นว่าง่วงและมุดเข้ามุ้งไปนอนก่อน ส่วนพลอยก็เข้านอนในมุ้ง ที่แม่เตรียมไว้ให้ มีนางพิศนั่งสัปหงกเป็นเพื่อนอยู่กลางห้อง



             พลอยนอนพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย เพราะใจพะวงอยู่ที่เรื่องแม่จะจากไป พยายามเบิกตา คอยให้แม่กลับเพื่อจะได้ถามให้แน่นอน แต่คอยอยู่เป็นนาน แม่ก็ไม่กลับมาสักที ในที่สุดก็ม่อยหลับไป



             พลอยมาตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อดึกมากแล้ว รู้สึกตัวว่าแม่มานอนอยู่ข้างๆ และยังไม่หลับ พลอยจึงเบียดตัว เข้าไปชิดแล้วกระซิบถามว่า



             \"แม่จ๋า แม่จะไปจริงๆหรือ\"



             แม่ถอนใจใหญ่แล้วกอดพลอยไว้แน่น พลางกระซิบตอบว่า



             \"นอนเสียเถิดพลอย\" แม่นิ่งอยู่นาน แต่แล้วก็กระซิบต่อไปว่า



             \"ขอให้พลอยจำไว้เสมอว่า แม่รักพลอยมากกว่าอะไรทั้งหมด ต่อไปถ้าแม่จะทำอะไร ก็จงรู้ไว้เถิด ว่าแม่ทำเพื่อความดีของพลอยเอง พลอยอย่านึกไปอย่างอื่น\"



             คำพูดของแม่ไม่ได้อธิบาย ให้พลอยเกิดความเข้าใจดีขึ้นกว่าเก่าเลย แต่โดยเหตุที่แม่มานอนอยู่ใกล้ชิด พลอยก็รู้สึกอุ่นใจและหลับต่อไปอีกจนสว่าง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×