ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมนิทานจากหลายเรื่องราวที่น่าอ่าน

    ลำดับตอนที่ #4 : นิทาน โฉมงามกับเจ้าชายอสูร

    • อัปเดตล่าสุด 2 เม.ย. 49



    โฉมงามกับเจ้าชายอสูร... หลายคนชื่นชอบในตัวนางเอกของเรื่องคือ " บิวตี้ " เพราะว่าความงามภายในของเธอ ที่มองข้ามรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าเกลียดน่ากลัวของอสูร ด้วยความที่เธอเป็นคนจิตใจงาม เห็นอกเห็นใจผู้อื่น กล้าหาญ มุ่งมั่น เฉลียวฉลาด โรแมนติก ตรงไปตรงมา ใจกว้าง อย่าว่าแต่ว่าจะชนะใจของอสูรเลย เธอยังสามารถที่จะชนะใจคนอ่านทั่วโลกได้อีกด้วย ....ใช่ไหมคะ








    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เมือง ๆ หนึ่งมีครอบครัวของมหาเศรษฐีอยู่ครอบครัวหนึ่งซึ่งในครอบครัว นี้มีลูกชายและลูกสาวมากมายถึง หกคนด้วยกัน ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อนั้นเป็นคนที่ใจดีมีมานะและขยัน มั่นเพียรในการทำงานเป็นอย่างมาก แม่ของลูก ๆ นั้นหรือได้ตายจากเขาไปเป็นเวลานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิด ที่จะแต่งงานใหม่เลยสักครั้งเดียว เป็นด้วยเพราะเขานั้นกลัวว่า แม่เลี้ยงคนใหม่จะไม่รักลูก ๆ ของเขามากพอนั่นเอง แต่แล้ว...อยู่ต่อมาไม่นานครอบครัวของเขาก็ต้องมีอันได้รับเคราะห์กรรมอันใหญ่หลวง จนเรียกได้ว่าจากความมั่งคั่ง และร่ำรวย ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพที่หมดเนื้อประดาตัวเสียสิ้น ด้วยคฤหาสทั้งหลัง และสมบัติต่าง ๆ ได้โดนไฟไหม้เผาผลาญศูนย์หายไปจนหมด จะมีลงเหลือสมบัติอยู่อีกนิดก็คือบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ที่ในป่า กับที่ทำสวนเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่งแห่งเดียวเท่านั้น...ชายวัยกลางคนด้วยหมดหนทาง จึงได้หอบเอาลูกชาย และ ลูกสาวทั้งหมดของเขามาอาศัยทำสวนหากินเพื่อประทังชีวิตกันอยู่ที่บ้านหลังเล็กในป่านั้นเอง....


    ลูก ๆ ทั้งหมดให้เป็นทุกข์ใจด้วยเพราะพวกเขานั้นเคยอยู่กันมาอย่างสุขสบาย แต่ตอนนี้ต้องมาตกระกำอยู่กัน อย่างลำบาก....จะมีก็แต่เพียงลูกสาวคนเล็กคนสุดท้องคนเดียวเท่านั้น ที่ยังยิ้มระรื่นไม่เคยเลยที่จะทำหน้าเศร้าให้ผู้ เป็นพ่อได้เห็นและเป็นทุกข์ใจเลยสักครั้ง แล้วเธอก็จะคอยช่วยพ่อทำสวนให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยทีเดียว ก็ว่าได้....เธอมีชื่อว่า " บิวตี้ " เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สวยงามและน่ารัก เป็นคนจิตใจงาม ชอบเห็นอกเห็นใจผู้อื่น กล้าหาญ มุ่งมั่น ถ่อมตัว และจะใจดีกับทุก ๆ คนอยู่เสมอ... วันหนึ่งได้มีจดหมายส่งมาจากในเมืองความว่า ชายวัยกลาง คนนั้นยังคงจะมีเงินหลงเหลืออยู่ที่ในเมืองอีกนิดหน่อย ให้เดินทางไปเอาเสียในเร็ววัน ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงตกลง ใจที่จะเดินทางเข้าไปเอาเงินที่ว่านั้นในเมืองทันที....


    ชายวัยกลางคนด้วยความดีใจที่ได้รู้ว่าตนนั้นยังคงจะมีเงินหลงเหลืออยู่บ้าง และก่อนที่จะเดินทางออก จากบ้านไปนั้น เขาจึงถามลูก ๆทั้งหมดของเขาว่า " ลูกสาวและลูกชายของพ่ออยากได้อะไรบ้างจ๊ะ เรายังมีเงินอยู่อีกนะ ใครอยากได้อะไรก็บอกพ่อมาสิ " ซึ่งคำตอบก็จะต่างกันไป ลูกสาวคนหนึ่งบอกว่า " หนูอยากได้ผ้าสวย ๆ สำหรับ มาใช้ตัดเสื้อจ้ะ " ลูกชายอีกคนก็บอกว่าเขาอยากได้ " เครื่องประดับเก๋ ๆ แปลก ๆ กับกางเกงตัวใหม่ครับพ่อ " ส่วน ลูกสาวและลูกชายที่เหลือก็บอกว่า " หาเสื้อสวย ๆ กับอาหารแปลก ๆ มาด้วยนะพ่อ " ส่วนลูกสาวคนเล็กสุดคือ บิวตี้ นั้นได้บอกกับพ่อว่า " หนูขอให้พ่อเดินทางทั้งขาไปและขากลับอย่างปลอดภัยจ๊ะ แต่ถ้าพ่อจะบอกว่าไม่ได้หรอกนะ แล้วละก็..งั้นก็ขอดอกกุหลาบแดงแสนสวยสักดอกเดียวเท่านั้นก็พอจ้ะพ่อ "


    ชายวัยกลางคนเมื่อเดินทางมาถึงที่ในเมืองแล้ว และเขาก็ได้รับทราบว่าได้มีคนปลอมตัวมาเป็นตัวของเขาและได้รับเอา เงินทั้งหมดนั้นตัดหน้าเขาไปเสียก่อนล่วงหน้าเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ต้องเสียใจและหมดหวัง เท่านั้นยังไม่พอในตอนขากลับเขา ก็ยังมีอันต้องหลงทางอีกรอบเข้าจนได้...ด้วยวันนั้นมีพายุโหมพัดกระหน่ำหิมะก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เส้นทางที่ใช้ จึงมีแต่หิมะปกคลุมอยู่โดยรอบ ทำให้เขามองหนทางไม่ชัด ชายวัยกลางคนพยามยามขี่ม้าฝ่าหิมะไป ข้างหน้าเรื่อย ๆอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อหาทางออก...แล้วอะไรจะช่างแปลกประหลาดอย่างนั้นก็ไม่รู้ เพราะเขาได้ไปพบกับเส้น ทางสายหนึ่งที่ไม่มีหิมะปกคลุมอยู่สักน้อยนิดเลยจริง ๆ น่าแปลกใจมาก.....


    ทั้ง ๆ ที่แปลกใจแต่เขาก็เดินทางเข้ามาในเส้นทางสายนั้น และเมื่อเดินทางเข้ามาได้สักพัก เขาก็ได้พบกับปราสาทหลัง ใหญ่หลังหนึ่ง ชายวัยกลางคนได้เดินเข้าไปสำรวจตรวจดูภายในปราสาทอย่างเสียมารยาท เพราะมันดูเหมือนกับว่า จะเป็นปราสาทร้างอะไรทำนองนั้น สิ่งของทุกอย่างดูสะอาดตา แต่ให้ตายเถอะ..ที่นั่นไม่มีใครอาศัยอยู่เลยสักคนเดียว... เมื่อเขาเดินลึกเข้าไปถึงในห้องโถงใหญ่ เขาก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นอาหารอันเลอเลิศมากมายจัดเรียงรายเอาไว้ให้เหมือน ต้อนรับเขายังไงอย่างนั้นไม่มีผิด และเป็นด้วยเดินทางมาไกล ความหิวโหยมันทำให้เขาไม่ทันที่จะหันมานั่งคิดว่าอาหาร เหล่านั้นมันเป็นของใครและผู้ใดนำมาวางไว้เสียสิ้น...เขาลงนั่งที่โต๊ะแล้วจัดการกับอาหารเหล่านั้นอย่างหิวโหย ....


    เมื่อกินอาหารที่วางอยู่นั้นจนอิ่มหมีพีมันแล้ว ขณะที่เขากำลังจูงม้าเพื่อเตรียมจะออกไปจากปราสาทหลังนั้น เขาก็ได้เหลือบไปเห็นเข้ากับกอดอกกุหลาบสีแดงสดที่สวยงาม และกำลังเบ่งบานอยู่เต็มที่ พลันเขาก็นึกถึงคำพูดของ บิวตี้ ลูกสาวสุดที่รักและแสนดีของเขาขึ้นมาได้ " ที่มีดอกกุหลาบแดงเต็มสวนหน้าปราสาทเลยทีเดียว ขอเด็ดไปสักดอก คงไม่เป็นไรหรอกนะ " เขาดีใจมาก จึงได้เด็ดดอกกุหลาบสีแดงดอกที่สวยที่สุดมาได้ดอกหนึ่ง แล้วเตรียมตัวที่ จะขึ้นหลังม้าเพื่อจากไป.... แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อมีเสียงคำรามดังขึ้นที่ทางด้านหลังของเขา " กรรรรรรร"


    แล้วร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น มันเป็นสิงโตร่างสูงใหญ่ ทั้งน่าเกลียดน่ากลัว น่าขนพองสยองเกล้า ดวงตาสีแดงที่มองมานั้นมันเหมือนจะถลนออกนอกเบ้าจ้องมองมาที่ชายวัยกลางคนอย่างประสงค์ร้าย แล้วร่างนั้นก็พูดเสียง เหี้ยมว่า " เห็นหลงทางมา..อุตส่าห์ให้อาหารกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ยังไม่พอ...ท่านยังจะมาขโมยกุหลาบที่สำคัญ ของข้าเสียอีกหรือนี่ อะไรกันจะหมายทั้งกินทั้งคาบเลยน่ะสิ...ท่านต้องตาย " มันเงื้ออุ้งมืออันใหญ่โตของมันขึ้นหมายขยุ้ม ร่างของเขาให้แหลกเหลว ชายวัยกลางคนตกใจมากเขาพยายามร้องอ้อนวอนขอชีวิตจากเจ้าหน้าสิงห์ แต่สิงโตตัวนั้นไม่ ยอม มันจับตัวเขาไว้และจะพาเข้าไปภายในปราสาท


    " ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิดท่าน เราเพียงแต่อยากจะนำดอกกุหลาบสักดอกเดียวไปฝากลูกสาวที่มักน้อย แสนดีและบริสุทธิ์ของเราเท่านั้นเองจริง ๆ เราต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นของที่ท่านหวงแหน ได้โปรด ไว้ชีวิตเราด้วยเถิดเรามีลูกหลายคนที่ต้องเลี้ยงดู ได้โปรดเถิดพ่อคุณ...อย่ากินเราเลย" สิงโตอสูรร้ายหยุดนิ่งฟังอย่างใช้ความคิด แล้วมันก็พูดขึ้นว่า " อ้อ..ท่านมีลูกหลายคนละสิ ! ถ้างั้นเอาลูกสาวมาให้เราสักคน เพื่อแลกเปลี่ยน แต่คนที่จะ มานั้นจะต้องเต็มใจและกล้าพอที่จะมาที่นี่ด้วยนะ ห้ามฝืนใจพามาเป็นอันขาด แล้วเราถึงจะให้อภัย เข้าใจไหม? "


    แล้วเจ้าสิงโตมันยังได้พูดแบบสัมทับขึ้นอีกว่า " ห้ามลืมคำสัญญาเป็นอันขาด ข้าจะตามฆ่าและกินท่านให้ถึงที่เลยทีเดียว เข้าใจนะ เพราะข้าหละ...ให้เป็นเกลียดคนที่ชอบผิดสัญญามากเสียด้วยสิ ! " พูดแล้วมันก็ชี้มือบอกให้ชายวัยกลาง คนเข้าไปเอาของในหีบสมบัติใบใหญ่ที่วางอยู่ที่ในห้องที่อยู่ข้าง ๆติดกับห้องโถงใหญ่ในปราสาท " แล้วในห้องนั่น มี ของที่มีค่ามากมายหลายอย่าง ท่านอยากได้อะไรก็เลือกเอากลับไปฝากลูก ๆ ของท่านได้ตามสบายเลย.... " ชายวัย กลางคนจึงเลือกสิ่งต่าง ๆ ที่เขาต้องการซึ่งก็มีเสื้อผ้าที่ราคาแพงพร้อมทั้งแก้วแหวนเงินทองของมีค่า แล้วเขาก็นำสิ่ง ของที่เลือกนั้นขึ้นเทียบม้า ในมือถือดอกกุหลาบสีแดงดอกที่เขาได้ขโมยเก็บมันมาตอนแรกนั้นไว้แน่น แล้วเดินทาง ออกจากปราสาทมุ่งตรงกลับไปสู่บ้านที่มีลูก ๆ ของเขาคอยการกลับมาของเขาอยู่ทันที....


    เมื่อชายวัยกลางคนกลับมาถึงที่บ้านของเขาแล้ว ก็นำสมบัติที่ได้มาจากเจ้าสิงโตออกมาแบ่งแจกจ่ายให้กับลูก ๆ ทุกคน และสุดท้ายก็ได้มอบกุหลาบสีแดงแสนสวยให้กับบิวตี้ พร้อมทั้งได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาต้องไป ประสบพบมาอย่างน่ากลัวนั้นให้กับลูก ๆ ทุกคนฟัง และเมื่อเขาได้เล่าจบลง...พร้อมทั้งความหวาดกลัวและความ เศร้าใจ...พวกพี่ ๆ ทุกคนจึงรวมหัวกันหันมาดุบิวตี้ทันทีว่า " เพราะดอกกุหลาบของเธอนั่นแหละเป็นตัวการ ขอ อะไรไม่เข้าเรื่อง พ่อเลยต้องแย่เลยเห็นไหมล่ะทีนี้ แกนั่นแหละตัวก่อเรื่องทั้งหมด บิวตี้ "


    บิวตี้ให้เป็นเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว มันก็ดูเหมือนกับว่าเธอนั้นเป็นตัวต้นเหตุนั่น แหละไม่มีผิด เพราะถ้าพ่อไม่ไปเก็บเอาดอกกุหลาบนั่นทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงได้ บอกกับพ่อของเธอว่า " ฉันไม่ดีเองเป็นตัวก่อเรื่องขึ้นมาจริง ๆ อย่างที่พวกพี่ ๆ เขาว่ามานั่นแหละพ่อ ถูกต้องที่สุดดัง นั้นฉันจะเป็นผู้ไปที่ปราสาทหลังนั้นให้เจ้าหน้าสิงห์มันกินแทนพ่อเอง " ไม่มีใครสามารถคัดค้านความตั้งใจของหญิง สาวได้ ดังนั้นในวันต่อมาชายวัยกลางคนจึงพาลูกสาวคนเล็กที่เขารักยิ่งปานดวงใจเดินทางไปยังปราสาทแห่งนั้น... อย่างจำใจและเสียใจเป็นอย่างที่สุด


    และเมื่อเดินทางมาถึงที่ปราสาทแล้ว...บิวตี้ให้เป็นนึกทึ่งในความใหญ่โตของปราสาทหลังนั้นเป็นอย่างมาก และเมื่อได้เข้าไปถึงในห้องโถงด้านใน ก็ได้มีอาหารอันเลอเลิศวางเรียงรายเอาไว้ต้อนรับการมาของทั้งสองอีกเหมือนเดิม และด้วยความหิวทั้งสองจึงจัดการกับอาหารเหล่านั้นอย่างลืมความกลัวและจุดมุ่งหมายที่ได้เดินทางมาที่นี่เสีย โดยหมดสิ้น เมื่อเวลาได้ผ่านไปสักพักพลันก็มีเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้งได้เดินมาหยุดลงที่หน้าประตูห้อง...ใช่แล้วมันคือ เจ้าหน้าสิงห์อสูรเจ้าของปราสาทนั่นเอง


    พ่อรีบลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารด้วยอาการสั่นเทา ส่วนบิวตี้นั้นแม้ทั้งที่หวาดกลัวอย่างที่สุดแต่เธอก็ย่อตัวลงทำความเคารพ เจ้าของปราสาทอย่างมีมารยาท เจ้าหน้าสิงห์มันรู้สึกเหมือนว่าจะพอใจ แล้วมันยังได้มอบหีบสมบัติใบใหญ่ที่ดูเหมือน จะมีของมีค่ามากมายให้กับพ่ออีกด้วย พ่อร้องไห้จนน้ำตานองหน้าแล้วจำใจจากไปโดยทิ้งบิวตี้ไว้กับอสูร เมื่อพ่อจากไปแล้ว หญิงสาวจึงพยายามตัดความกลัวออกจากใจ แล้วเดินไปยังห้องพักที่อสูรบอกว่าได้จัดเตรียมไว้ให้ตามคำบอกเล่านั้น และถึงแม้ว่าจะพยายามทำใจให้แข้มแข็งเพียงใดก็ตาม แต่พอได้ยินเสียงนกกลางคืนกู่ร้องขึ้นในความมืด เธอก็อดจะสะดุ้ง และหวาดหวั่นเสียมิได้


    บิวตี้รู้สึกหวาดกลัวจนต้องร่ำไห้อยู่ในห้องที่อสูรได้จัดไว้ให้นั้นจนได้ผลอยหลับไป ในตอนนั้นเธอได้ฝันไปว่า ได้มีเจ้าชายที่งามสง่ามาก มาปรากฏกายให้เห็น เจ้าชายได้พูดเป็นเชิงเหมือนขอร้องและเป็นเหมือนมีปริศนา ในคำพูดกับเธอว่า " บิวตี้ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิด เธอเป็นผู้เดียวที่จะสามารถช่วยเราได้ หนทางก็มีอยู่ที่ว่าเธอ จงอย่ามองทุกอย่างแต่เพียงภายนอกและด้วยรูปร่างอย่างเดียว จงมองให้ถ่องแท้ลึกเข้าไปถึงภายใน จงหาเรา ให้พบให้จงได้ ...ได้โปรดช่วยเราด้วยเถิด บิวตี้...สัญญาสิ.."


    แล้วตอนนั้นพลันบิวตี้ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาจากผวัง ด้วยมีเสียงฝีเท้าของคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของเธอ เจ้าอสูรนั่นเอง เมื่อมันเข้ามาในห้องแล้วก็ได้บอกกับบิวตี้ว่า " ทุกเช้าเธอต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกับฉัน พรุ่งนี้เจอกัน " เท่านั้น แล้วก็เงียบไป หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แล้วร้องไปว่า " ฉันมาที่นี่เพื่อ ให้ท่านกินแทนพ่อ ไม่ได้มาเพื่อนั่งร่วมโต๊ะกับท่าน ได้ยินไหม ? " เงียบ.....ไม่มีคำตอบแล้วอสูรก็ออกจากห้องไป รุ่งเช้า หญิงสาวตื่นนอนแต่เช้า แล้วรีบลงไปข้างล่างเพื่อเข้าครัวเหมือนว่าเธอเคยทำตอนอยู่บ้าน แต่ปราสาทหลัง ใหญ่มีหลายห้อง เธอจึงหาครัวไม่เจอ หญิงสาวจึงออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ก่อน ขณะที่เธอกำลังเพลินชม ดอกไม้อยู่นั่นเอง เธอก็ได้ยินเสียงคำรามดังแว่วมา โดยอัตโนมัติ เธอรู้ว่า ถึงเวลาที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของ ปราสาทแล้ว หญิงสาวผละจากสวนดอกไม้ตรงไปยังห้องโถง หญิงสาวตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก สิงโตจึงพยักหน้า เชื้อเชิญเธอให้มานั่งกับมัน หญิงสาวเดินเข้าไปแบบกล้า ๆ กลัว ๆ และหากเธอจะสังเกตสักนิด เธอคงจะเห็นความ เศร้าสร้อยจากดวงตาคู่นั้น แต่ความกลัวทำให้เธอไม่ได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น อสูรจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนมันจะรู้ว่าหญิงสาวกลัวและขยะแขยงมัน มันจึงรีบทานแล้วก็ลุกจากโต๊ะไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ


    และในทุก ๆ วันหลังจากนั้นหญิงสาวก็นึกเบื่อที่จะต้องอยู่เฉย ๆ เธอจึงฉวยไม้กวาด และไม้ขนไก่มาทำความสะอาดปราสาทพลางร้องเพลงพลาง แล้วเธอก็รู้สึกว่า ทุกอย่างรอบตัวเธอนั้นเต้นรำไปด้วย กับตัวเธอ หญิงสาวจึงไม่เบื่อเกินไปนัก และเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อค่ำหญิงสาวยังคงแสดงทีท่ากล้า ๆ กลัว ๆ และ รังเกียจอสูรหน้าสิงห์อยู่ แต่เธอก็รวบรวมความกล้าถามมันว่า " เมื่อไร ท่านจึงจะจัดการกินฉันเสียที " มันไม่ตอบ ยังก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง " เมื่อไร ท่านจึงจะจัดการกินฉันเสียทีคะ ท่านจะปล่อยฉัน ไว้ทำไม " อสูรกระแทกช้อนลง หญิงสาวสะดุ้ง แล้วมันก็พูดโดยไม่มองหน้าเธอว่า " คนผิดคำสัญญา " คราวนี้หญิง สาววางช้อนแบบกระแทกบ้าง ยืดตัวขึ้นด้วยความโกรธ ลืมความกลัวเสียสิ้น เธอเน้นทุกถ้อยคำกับอสูรตนนั้นว่า " ฉันคือคนที่ขโมยกุหลาบของท่านอย่างแท้จริง พ่อเพียงทำตามคำสั่งของฉันเท่านั้น เพราะฉะนั้น หากท่านต้องการ คนขโมยดอกกุหลาบของท่านแล้วละก็ ก็ยืนอยู่ตรงหน้าท่านนี่แล้ว อีกอย่างในโลกของมนุษย์ เราไม่มีทางปล่อยให้ผู้ ที่ให้กำเนิดเดินมาหาความตายโดยไม่ทำอะไรหรอกค่ะ แต่พูดไปท่านก็คงจะไม่เข้าใจหรอก " ตอนท้ายเธอกระแทก เสียงใส่อย่างไร้ความเกรงกลัวอสูรหัวเราะเสียงก้อง เผยให้เห็นเขี้ยวขาวมันวับ หญิงสาวถึงกับตัวแข็งอีกครั้ง เมื่อร่าง นั้นย่างสามขุมเข้ามาแล้วย่อตัวลงนั่งคุกเข่าลงที่ข้างหน้าของเธอ แล้วพูดว่า " แต่งงานกับเราได้ไหมบิวตี้ " บิวตี้ก็ได้ แต่ส่ายหน้าอยู่อย่างเดิม เหมือนคราวแรก


    ในทุก ๆ วันเจ้าอสูรหน้าสิงห์จะใช้ความพยายามขอเธอแต่งงานอย่างไม่ลดละ และถึงแม้เธอจะคอยปฏิเสธอยู่ตลอด เวลาก็ตาม บิวตี้ต้องอยู่อย่างทุกข์ใจมาตลอด แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งในขณะที่บิวตี้เดินชมสวนคนเดียว เธอนึกเบื่อหน่าย จึงหันหลังวิ่งออกจากปราสาทแห่งนั้นพลางพูดกับตัวเองไปตลอดทางว่า " ฉันต้องหนี ฉันต้องหนี " เธอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าอสูรตนนั้นก้าวตามเธออย่างช้า ๆ หากแต่ดูมั่นคง มั่นใจว่าเธอคงหนีมันไม่พ้น หญิงสาววิ่งออกมานอกปราสาท กระโดดขึ้นม้าแล้วใช้ขากระแทกสีข้างให้มันออกวิ่ง เธอควบม้าด้วยความเร็วสูง จนมาถึงเขตป่าใหญ่ ทันใด นั้นเองม้าของเธอก็ตกหล่มเสียหลัก ร่างแบบบางกระเด็นตกจากหลังม้า " โอ๊ย " ร่างบางจมลงไปกับเศษไม้ใบหญ้า สัก พักก็พยายามยันกายลุกขึ้น แต่เธอรู้สึกปวดแปลบที่ข้อเท้าจนต้องครางออกมา...แต่ช้าไม่ได้ เธอต้องไปให้พ้นเจ้าอสูรหน้า สิงห์ตนนั้นให้ได้ แต่ขณะที่เธอกำลังพยายามจะลุกขึ้นอยู่นั่นเอง อสูรตัวนั้นก็ควบม้าตามมาทัน ! มันจัดการอุ้มเธอขึ้นม้า ตัวเดียวกับมัน แล้วบ่ายหน้ากลับปราสาท โดยมีม้าที่เธอขี่มานั้นเดินตามกลับไป แม้จะกลัวแสนกลัว แต่ยามอยู่ใกล้ชิด กับมันแบบนี้ หญิงสาวกลับได้ถึงความอบอุ่น ความใจดี และความเศร้าสร้อยของมัน ดังนั้นเธอจึงไม่มีความหวาดกลัว มันอีกต่อไปเธอกล้าที่จะเอนศรีษะที่มีเส้นผมอันนุ่มละมุนนั้นซบอกมัน ยอมให้มันอุ้มเธอไปส่งถึงห้องนอน ยอมให้มันเป็น คนดูแลนวดเท้าที่เพลงของเธอ บัดนี้เธอมองเห็นความใจดีของมัน นาทีนั้นเธอก็สัมผัสได้ชัดเจนว่า มันเป็นเพียงสิงโตขี้ เหงาตัวหนึ่งเท่านั้น ! ในวันรุ่งขึ้นหญิงสาวก็ลงมาร่วมโต๊ะกับอสูรตามปกติ ความหวาดกลัวหายไปจากใจเธอหมดสิ้น ดังนั้น พวกเขาจึงทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข เดินชมสวนด้วยกัน อ่านหนังสือให้กันฟัง แล้วก็เต้นรำด้วยกัน วันหนึ่ง ขณะที่เธอล่องลอยอยู่ในอ้อมแขนของมัน อสูรตนนั้นก็ถามเธอขึ้นว่า " เธอจะอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตได้หรือไม่ ฉัน หมายถึงอยู่กับฉันในฐานะภรรยาของฉัน " หญิงสาวชงักไปนิดหนึ่ง แต่งงานอย่างนั้นหรือ แต่งงานกับอสูรอย่างนั้นหรือ? ท่าทีครุ่นคิด ลังเล และระแวงนั้น ทำให้อสูรปล่อยร่างของเธอให้เป็นอิสระ และกล่าวว่า " ฉันโง่เอง " น้ำเสียงนั้นบ่งบอก ความเจ็บปวด สีหน้าแววตานั้นก็ปวดร้าว จนหญิงสาวมิกล้าสบตา แต่หญิงสาวก็ใจกล้าพอที่จะบอกกับเจ้าอสูรว่า " ฉันคิดถึงและยังเป็นห่วงพ่อกับพวกพี่ ๆอยู่ เป็นอย่างมาก ขออนุญาติให้ฉันกลับไปเยี่ยมพวกเขาสักครั้ง...ได้ไหมคะ แล้ว...เมื่อถึงตอนนั้นฉันอาจจะมีคำตอบให้กับท่านค่ะ... " อสูรพยักหน้ารับอย่างใจดี " แต่เธอต้องสัญญานะว่าจะกลับ มาที่นี่อีกจริง ๆ สัญญาสิ..เพราะไม่อย่างนั้น เราคงจะต้องตายอย่างแน่นอน.... " บิวตี้พยักหน้ารับคำ....


    และในวันรุ่งขึ้นของวันใหม่บิวตี้ก็ได้เดินทางกลับไปสู่บ้านของเธอ และด้วยสมบัติอันมากมายที่อสูรได้มอบกลับมากับ เธอด้วยนั้น..บิวตี้ได้ปลูกบ้านหลังใหญ่หลังใหม่ให้กับพ่อและพี่ ๆ อยู่ พวกเขาดีใจกันเป็นอย่างมากที่ได้เห็นบิวตี้ ปลอดภัย และที่สำคัญที่สุดนั้นเพราะบิวตี้ดูร่าเริงและแจ่มใสทั้ง ๆ ที่ได้ไปอยู่กับอสูรมาตลอด..ทุกคนสบายใจและ มีความสุข บิวตี้ไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับอสูรหรอกว่าเธอจะต้องกลับไป แต่ด้วยต้องจากครอบครัวไปเป็นระยะเวลา อันยาวนาน ดังนั้นบิวตี้จึงยังจะไม่กลับไป ยังคงจะพักอาศัยอยู่กับครอบครัวอีกสักระยะคงไม่เป็นไรหรอกนะ... เธอคิดเหมือนเข้าข้างตัวเอง....


    วันหนึ่งบิวตี้ได้ฝันไปว่าได้เห็นอสูรนั้นกำลังเจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส....บิวตี้รู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกเป็นห่วง เป็นอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงเล่าสิ่งที่เธอฝันเห็นนั้นให้กับพ่อและพวกพี่ ๆ ฟัง ทุกคนพร้อมใจกันและเห็นด้วยว่าเธอสมควร จะกลับไปที่ปราสาทที่อสูรอยู่นั้นกันทุกคน และเมื่อบิวตี้ได้เดินทางมาถึงที่ปราสาทแล้ว...ทุกอย่างดูเศร้าสร้อย และวังเวงอย่างน่าสงสาร บิวตี้รีบวิ่งเข้าไปในปราสาทอย่างมีลางบอกเหตุร้ายเตือนมาไม่มีผิด แล้วเธอก็พลันได้เห็น ร่างที่ใหญ่โตของอสูรนั้นนอนล้มคว่ำอยู่ที่พื้นหน้าบันได ร่างนั้นนอนยาวเหยียดร่างกายเย็นชืดและไม่ไหวติง โธ่.....อสูรที่รัก


    " ฉันกลับมาช้าไปเสียแล้วหรือนี่..เธอจากฉันไปเสียแล้วหรือนี่ ? " บิวตี้ร่ำไห้ปานดวงใจแทบจะแตกสลาย หญิงสาวจับต้องร่างของอสูรด้วยความสงสาร แล้วเธอก็ทบทวนถึงสิ่งที่อสูรตนนี้ได้ทำเพื่อเธอ นับตั้งแต่ที่เธออย่าง เท้าเข้ามาในปราสาทแห่งนี้ อสูรตนนี้ก็ดูแลเธออย่างดีมาตลอด ไม่เคยสักครั้งที่จะทำให้เธอเสียใจ จะมีก็แต่ความ หวาดกลัวเท่านั้นที่เธอรู้สึกไปเอง....แท้จริงแล้วอสูรตนนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ตรงกันข้าม มันทำให้เธออบอุ่นหัวใจ อยู่เสมอ...อย่างนี้แล้วควรหรือที่เธอจะปฏิเสธน้ำใจอันงดงามของมัน..." ลุกขึ้นมาเถอะคนดีฉันยินดีจะอยู่ที่นี่กับท่าน ตลอดไปค่ะลุกขึ้นมาเถอะค่ะ...อย่าเพิ่งด่วนตายจากฉันไปเลย..ฮื่อ ๆๆๆ "บิวตี้ซบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาลงไปที่ หน้าอันหน้าเกลียดน่ากลัวของอสูรอย่างไม่นึกรังเกียจมันต่อไปอีก แล้วยังเต็มไปด้วยความรักและความอาวรณ์ อย่างที่สุด...แล้วพลันทันใดนั้นเอง....


    รอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มจากของตกแต่งภายในปราสาทกลับกลายเป็นคนมีชีวิตบ้างอยู่ในชุดทหาร บ้างอยู่ในชุดแต่ง กายอย่างพวกนางสนมในวัง คนพวกนั้นต่างก็พากันจ้องมองด้วยสีหน้าสีตาที่เปลี่ยมสุข ที่สำคัญมือที่เต็มไปด้วย ขนรุงรังของอสูรนั้น กลับกลายเป็นมือเรียวขาวสะอาดสะอ้าน เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่า อสูรตรงหน้าได้หายไป เหลือเพียงชายหนุ่มรูปงามที่มอบแววตาเปี่ยมรักให้เธอเท่านั้น หญิงสาวมองผู้ชายตรงหน้า มอง รอบ ๆ ตัวอย่างงง ๆ " เกิดอะไรขึ้น ท่านเป็นใครคะ " แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็เล่าความจริงให้ฟังว่า " ฉันคือเจ้าชายแห่ง ปราสาทแห่งนี้ ที่ถูกนางแม่มดสาปให้เป็นอสูรร้าย ฉันจะพ้นคำสาปก็ต่อเมื่อมีใครสักคนรักฉันในสภาพอสูรด้วยหัวใจ ที่แท้จริง และฉันก็จะกลายเป็นอสูรตลอดไป ถ้าหากผ่านพ้นคืนนี้ ซึ่งกุหลาบกลีบสุดท้ายจะร่วงกลีบมันลงพื้น แต่เธอ ก็มาหาฉันทันเวลา ฉันขอบใจเธอมาก สาวน้อย ฉันรอเวลานี้มานานนักหนาแล้ว รอมานานจนคิดว่า คงไม่มีวันนี้ สำหรับฉันและทุกคนในปราสาทแห่งนี้ เธอยินดีจะแต่งงานกับฉันหรือไม่ "


    หญิงสาวยิ้มหวาน พวงแก้มเป็นสีชมพูปลั่งก่อนที่จะตอบไปว่า " ฉันบอกท่านแล้วไงคะ ว่าฉันยินดีที่จะอยู่กับท่านที่นี่ แต่ฉันขออนุญาตรับพ่อและพวกพี่ ๆ มาอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ " " ไม่มีปัญหาหรอก เจ้าสาวแสนสวยของฉัน แต่ตอนนี้ เรามาเต้นรำกันต่อก่อนนะ " ทั้งสองล่องลอยอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน และอ้อมกอดนั้นก็รัดกันแน่นเข้าทุกที เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่า เขาทั้งสองคนจะรักกันอย่างเหนียวแน่นอย่างนี้ตลอดไปและตลอดกาล....... สิ่งที่เป็นคติเตือนใจของนิทานเรื่องนี้ ก็คงจะมีอยู่ที่ว่า...ผู้ที่ยึดถือคำมั่นสัญญาควรได้รับการสรรเสริญ ....รูปกายภายนอกตัดสินสิ่งใดมิได้เลย...ใช่ไหมคะ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×