คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1วันที่แสนร้อน
“เบื่อ”
ร่างบางตรงหน้าบ่นพึมพำขึ้นมา มือบางเท้าคางอยู่บนโต๊ะขณะส่งสายตาเบื่อหน่ายเหม่อลอยมาให้ตน
คูลเลิกคิ้ว ละสายตาจากหนังสือในมือ “ถ้าเบื่อก็หาอะไรทำสิครับ หนังสือที่ซื้อมาอ่านจบแล้วเหรอ”
“อ่านจบแล้ว เบื่อ…ไม่มีอะไรทำ” เด็กสาวขมวดคิ้วเมื่อเจอคำแนะนำที่ไม่ชอบใจ “ปิดเทอมน่าเบื่อจะตาย”
เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มนิดๆกับท่าทางแสดงความเบื่อหน่ายของเด็กสาว ท่าทางจะเบื่อมากจริงๆ…ปิดเทอมทีไรก็เห็นแต่บ่นแบบนี้ เอาเถอะ เห็นเธอเซ็งแบบนี้เขาก็ไม่ค่อยชอบนัก ชอบเวลาเธอยิ้มอย่างสนุกสนานมากกว่า “แล้วอุ้มอยากจะทำอะไรล่ะครับ ไม่ลองไปคุยกับเพื่อนล่ะเผื่อว่าจะได้หายเบื่อหายเหงาด้วย”
อุ้มเงียบกับข้อเสนอแต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการไตร่ตรอง “คุยทุกวันจนเริ่มเบื่อแล้ว…คูล ไม่มีเรื่องสนุกอะไรให้ฉันทำบ้างเหรอ ฉันเฉาจะตายแล้วเนี่ย หรือนายอยากเห็นฉันเฉาตายไปจริงๆ”
“ไม่อยากน่ะสิครับ เพราะงั้นผมถึงได้พยายามช่วยคุณไง” คูลยิ้มอ่อนโยนให้อย่างเช่นเคย
“เนี่ยเหรอช่วย” เด็กหนุ่มหัวเราะนิดๆ มือหนาปิดหนังสือในมือก่อนจะนำไปวางเก็บไว้ที่ชั้นอย่างเป็นระเบียบ ร่างสูงกับเรือนผมสี…หันกลับมายิ้มให้
“เอางี้ ผมเองก็ชักจะเริ่มเบื่อแล้วเหมือนกัน…ไปข้างนอกกันเถอะครับ”
อุ้มเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะทวนคำ “ข้างนอก?” เมื่อได้รับการพยักหน้ายืนยันจากหนุ่มหล่อตรงหน้าก็รีบถามต่อ “นายหมายถึงจะพาฉันไปเที่ยวเหรอ…จริงอ่ะ?”
“จริงสิครับ ก็คุณเบื่อมากนี่นา อีกอย่างตอนปิดเทอมคุณก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน…หรือถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไรครับ”
“ใครว่าจะไม่ไป” เด็กสาวลุกขึ้นจากที่นั่ง ฉีกยิ้มอย่างนึกสนุก “ดีเหมือนกัน จะได้ไปซื้อหนังสือเล่มใหม่ด้วย”
“หนังสืออีกแล้วเหรอครับ”
“ไม่ได้หรือไง”
“ได้ครับ ได้อยู่แล้ว” ร่างสูงยิ้ม “ถ้าทำให้คุณมีความสุขก็ได้เสมอล่ะครับ”
“โห ตามใจฉันน่าดูเลย แต่ก็ดี งานนี้นายพาเที่ยวนะ ออกไปรอข้างนอกก่อนฉันเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึง”
“แค่นี้ก็สวยแล้วครับ” หยอกอย่างเอ็นดู
อุ้มไม่ตอบ แต่ส่งสายตาถาม ‘จะออกหรือไม่ออก’ ร่างสูงจึงยอมถอยออกไปเหลือเด็กสาวคนเดียวในห้อง
10.24 am.
เด็กสาวในชุดลำลองใหม่ปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นตามใบหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลฉายความไม่พอใจและท่าทางจะหงุดหงิดกว่าเดิม “ร้อน…” คนข้างๆหันมามองด้วยความเป็นห่วง “ขนาดยังไม่เที่ยงยังร้อนขนาดนี้เลย”
“ถ้าไม่ไหวก็กลับได้นะครับ ตากแดดนานๆเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“แบบนั้นก็น่าเบื่อแย่สิ” อุ้มแย้ง
คูลครุ่นคิด ก่อนจะจูงมือเดินนำคนตัวเล็กให้เดินไปยังร้านค้าแห่งหนึ่งที่มีหมวกสวยๆและร่มอยู่หลายคันหลายใบ ร่างสูงยิ้มให้กับพนักงานขายจนคนด้านหลังแอบหมั่นไส้
“ใส่หมวกสักหน่อยนะครับ” มือหนาคว้าหมวกปีกกว้างใบหนึ่งซึ่งมีหน้าตาที่น่ารักขึ้นมาสวมใส่ให้ จัดผมสั้นสวยให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจและชื่นชม “น่ารักจริงๆด้วย”
“เอ้อ…” อุ้มแหงนมองหมวกใบใหม่ “น่ารักดี…ขอบใจนะ”
“ฮะๆ คนใส่ก็น่ารักอยู่นะครับ”
“เลิกชมแล้วไปจ่ายตังค์ได้แล้วย่ะ ไหนบอกจะพาฉันมาเดินเที่ยวไงหรือจะอยู่แค่ตรงนี้” เด็กสาวผมสั้นค้อนใส่ร่างสูงกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มแห้งๆแล้วยอมทำตามแต่โดยดี
พอใส่หมวกแล้วก็ช่วยเรื่องป้องกันแดดไอความร้อนได้มากอยู่ แต่ก็แค่ส่วนศีรษะเท่านั้น ตามเนื้อตามตัวของเด็กสาวยังมีเหงื่อผุดขึ้นมาบ้างประปราย จนเจ้าตัวต้องคอยเช็ดออกเป็นระยะๆ มือบางพัดให้กับตัวเองหวังคลายความร้อนได้บ้างขณะเดินตามร่างสูงที่ยังคงนำเที่ยวต่อไปโดยไม่บ่นอิดออดอะไรเลย
‘ไม่ร้อนบ้างหรือไง’
เมื่อรู้สึกเหมือนถูกจ้อง ร่างสูงจึงหันมาแล้วฉีกยิ้มให้ “ไม่ร้อนหรอกครับ อีกอย่างมีคนบอกว่าถ้ายิ่งบ่นก็ยิ่งร้อนแถมยังหงุดหงิดขึ้นด้วย…” เขาอธิบายอย่างใจเย็นและไม่ทุกข์ร้อนกับแสงแดดที่แผดเผาเลย
“ก็จริง ว่าแต่นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย”
แถวนี้เป็นย่านการค้าที่เธอไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ เพราะส่วนมากก็จะเก็บตัวอยู่แค่ในบ้านมากกว่าออกมาข้างนอก มีแต่ร้านค้าใหม่ๆที่ไม่คุ้นตากับสิ่งของน่าสนใจ ก็ต้องขอชมคูลว่าเลือกที่เที่ยวได้เหมาะสมสำหรับเด็กสาววัยอย่างเธอดี ถึงเธอจะไม่ค่อยสนใจของพวกนี้เท่าไหร่ก็เถอะ
คูลเดินนำโดยไม่บ่นอะไรสักอย่าง แต่อุ้มก็ยังสังเกตเห็นเหงื่อจำนวนไม่น้อยที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นตามใบหน้าเขา ทั้งที่ไม่ได้ใส่หมวกแต่ก็ยังไม่บ่นร้อนซักแอะ ถึงหมอนั่นจะบอกว่าไม่ร้อนก็เถอะ
โอ๊ย อากาศเมืองไทย ทำไมร้อนได้ขนาดนี้นะ
จะโทษโลกร้อนหรือลักษณะภูมิประเทศตัวเองดีล่ะ ตามที่ร่ำที่เรียนมาประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงมีแค่สามฤดูไม่เหมือนต่างประเทศ แต่เชื่อเถอะมันไม่ใช่ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาวตามที่ในหนังสือบอกหรอก มันจะมีก็แต่ ‘ร้อน’ กับ ‘ร้อนมาก’ และ ‘ร้อนโคตรของโคตร’
อุ้มบนนานาสารพัดอยู่ในใจ คนก็เยอะอากาศก็ร้อน เบียดกันแย่งอากาศออกซิเจนกับลมเย็นๆที่ชักจะเหลือน้อยเข้าทุกวัน มันทำให้เธอหงุดหงิดจนคูลเริ่มสังเกตได้ หนุ่มหล่อพยายามยิ้มปลอบแต่มันไม่ได้ทำให้เธอใจชื้นขึ้นเลยซักนิด
จนสุดท้ายคูลก็ยอมเดินไปซื้อน้ำจากร้านขายน้ำมาให้ แก้วน้ำขนาดเหมาะมือที่มีน้ำเย็นสดชื่นก็ถูกยื่นมาให้ถึงแม้จะไม่ใช่น้ำอัดลมแบบที่อยากได้หวังมาดื่มให้หายร้อนแต่ก็รู้ว่าพ่อคนที่ไปซื้อเป็นห่วงสุขภาพเธอมากแค่ไหน จึงยอมดื่มแต่โดยดีและไม่ปริปากบ่นอะไร แค่นมเย็นสีชมพูใสในแก้วนี้ก็หายร้อนแล้ว…อุ้มคิดพลางดื่มอย่างมีความสุข
คูลไม่ลืมซื้อน้ำให้กับตัวเอง เขาซื้อชานมที่มีราคาเท่ากันกับนมเย็นแสนอร่อยที่อุ้มถืออยู่ เขาคนหลอดเล่นไปมาอยู่ในแก้วพลางมองน้ำแข็งก้อนเล็กก้อนน้อยวนตามกระแสไปเรื่อยอย่างสนุกสนานจนเผลอยิ้มออกมา ร่างบางข้างกายเห็นไม่ยอมดื่มเสียทีจนเริ่มแซวเล่น “เอ้าๆ พ่อคุณคะ จะไม่กินใช่มั้ย เล่นแบบนั้นน้ำแข็งละลายจนเสียรสชาติหมด ฮะๆ”
เมื่อเห็นเด็กสาวหัวเราะร่างสูงก็ส่งยิ้มให้อย่างเอ็นดูและอ่อนโยน “เห็นคุณหัวเราะผมก็ดีใจครับ” ดื่มชาเย็นในแก้ว รู้สึกสดชื่นหายเหนื่อยขึ้นเยอะเลย “อร่อยนะครับ เจ้านั้นน่ะ”
“อื้อ คราวหลังต้องมาซื้อบ่อยๆแล้วล่ะ” อุ้มดื่มนมเย็นจนหมดแก้ว และใช้หลอดเขี่ยน้ำแข็งบางส่วนที่เริ่มละลายที่ก้นแก้วเล่น เมื่อทั้งคู่พักหายเหนื่อยกับน้ำดื่มเย็นๆจึงเริ่มเดินเที่ยวต่อ
คูลพาเด็กสาวเข้าไปในร้านหนังสืออย่างรู้ใจหนอนหนังสือเช่นเธอ เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่พอควรและแบ่งแยกโซนออกเป็นโซนนวนิยาย โซนวรรณกรรม โซนการ์ตูน โซนแบบเรียน และอีกหลายโซนที่แสดงถึงความเยอะของหนังสือในร้าน
น่าเสียดายที่ไม่มีหนังสือใหม่ๆกับหนังสือที่อุ้มอยากได้เลย ทุกเล่มก็เป็นเล่มที่เธอเคยอ่านมาแล้วและมีอยู่ที่บ้านแล้วทั้งนั้น จึงคิดที่จะไปที่อื่นต่อ เด็กสาวเริ่มมองดูตามโซนต่างๆเพื่อหาชายที่พาเธอมาร้านหนังสือ
ดวงตากลมโตไปสะดุดที่โซนวรรณกรรม ร่างสูงโปร่งแขนขายาวเรียวยืนไล่เปิดหนังสือในมือทีละหน้าอย่างเบามือ ดวงตาสีครามจับจ้องอักษรอย่างตั้งใจและมีสมาธิจนเธอไม่อยากจะรบกวน เมื่อมองชื่อหนังสือก็รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
「The Tragedy of Hamlet , Prince of Denmark 」
แฮมเล็ตหรอกเหรอ…
ดวงตาสีครามคู่สวยละสายตาจากหนังสือฉับพลันราวกับรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร คูลส่งยิ้มให้อย่างเคย
“แฮมเล็ตน่ะครับ…เป็นแนวโศกนาฏกรรม ถึงตอนจบตัวละครสำคัญจะตายหมดแต่ก็เป็นเรื่องที่สนุกดี”
“ก็เคยได้ยินมาบ้าง…ไม่นึกว่าในบ้านเราจะหาหนังสือเชกสเปียร์ได้” อุ้มจ้องหนังสือนั้นไม่วางตา
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมที่สุดในบรรดาเรื่องที่เชกสเปียร์ประพันธ์เลยนะครับ ถึงคนอื่นจะนึกว่าเป็นโรมิโอกับจูเลียต…แต่ผมว่าก็สนุกทุกเรื่องแหล่ะครับ เขาน่ะเป็นถึงนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใช่มั้ยล่ะ” คูลหัวเราะนิดๆ
“นายน่ะ…หันมาสนใจอ่านพวกวรรณคดีไทยมั่งเถอะ…ถึงหน้าตาจะฝรั่งจ๋าไปหน่อยแต่ก็คนไทยใช่มั้ยล่ะ”
“แหงสิครับ ก็เพราะผมกับคุณน่ะเป็นเหมือนกันนี่นา”
หัวเราะเป็นครั้งที่ร้อย…ไม่รู้ทำไมคนคนนี้ถึงได้หัวเราะบ่อยนักหนา ชอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ทำไม…อยู่ด้วยแล้วมีความสุข…อุ้มสะบัดไล่ความคิดนั้นไปก่อนจะถามแทรกขึ้นมา “แล้วอ่านถึงไหนแล้วล่ะ”
“…There is nothing either good or bad but thinking makes it so…”
เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาแต่ดังชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำถามจากอีกฝ่าย ร่างสูงก็ชิ่งอธิบายก่อนจะแย้มยิ้ม “ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะดีหรือว่าเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีหรือความเลว…ให้แปลก็คงประมาณนี้ล่ะมั้งครับ แต่สำนวนผมก็ยังใช้ไม่ได้ด้วยสิ”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีเยี่ยมหรือเลวร้าย แต่ความคิดมนุษย์เป็นตัวตัดสินว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ใช่มั้ย?”
“ก็ถ้าให้สวยหรูหน่อยก็ประมาณนั้นแหล่ะครับ” คูลยิ้ม มือหนาพลิกหน้าหนังสือไปอีกหลายๆหน้า ดวงตากลมโตของเด็กสาวจ้องมองอย่างไม่ละสายตาด้วยความสงสัย
“Where love is great the littlest doubts are fear, Where little fears grow great, great love grows there”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนเปล่งขึ้นมาทีละคำอย่างเชื่องช้าแต่เข้าถึงคนฟัง ดวงตาสีน้ำตาลประสานกับดวงตาสีครามอีกคู่หนึ่งที่ส่งความอ่อนโยนมาให้จากรอยยิ้มและดวงตา คูลยิ้มให้ก่อนจะอธิบาย
“บทของพระราชินีน่ะครับ…ประมาณว่า เมื่อเราได้หลงรักใครสักคน หรือเมื่อเราได้ชอบพอใครสักคน เราจะเริ่มสงสัยกับอะไรเพียงเล็กน้อย เพียงเพราะว่าเรากลัว แต่เมื่อความกลัวของเราลุกลามจนใหญ่โต รักของเราก็จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นด้วย…อันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะครับ หมายความว่าความกลัวยิ่งผลักดันให้เราแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่าน้า”
“คงจะอย่างงั้น แต่ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจแฮะ สงสัยอะไรเพียงเล็กน้อยนี่หมายถึงเราแคร์เขาเหรอ?”
“ Now, what my love is, proof hath made you know
And as my love is sized, my fear is so
Where love is great, the littlest doubts are fear
Where little fears grow great, great love grows there.
จำได้คร่าวๆก็ประมาณนี้ล่ะครับ สมกับเป็นบทประพันธ์สุดยอดของนักเขียนผู้สุดยอด มีแต่คำที่ชวนให้คิดแล้วก็คำดีๆมากมายเลยนะครับ เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ชอบอ่านไง“
เด็กหนุ่มชะงักก่อนจะรีบถาม “อ๊ะ อยากไปที่อื่นต่อสินะครับ ผมก็มัวแต่พล่ามคุณคงรำคาญแย่เลย”
คูลเก็บหนังสือเข้าที่เดิมแล้วทำท่าว่าจะเดินมาหา แต่อุ้มถามขัดเสียก่อน “ไม่ซื้อเหรอ เห็นบอกว่าชอบนี่”
เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ “ไม่ล่ะครับ แค่ได้อ่านคร่าวๆผมก็พอใจแล้วล่ะ”
“ซื้อก็ไม่เห็นเป็นไรนี่…อ๊ะ” ถูกดันหลังให้เดินก้าวไปข้างหน้าทั้งที่ยังพูดไม่จบ อุ้มหันมาค้อน
“อ้าว ก็เห็นตอนแรกอยากจะไปต่อ ไม่อยากเที่ยวแล้วเหรอครับ”
“ย่ะ”
สุดท้ายก็ยอมออกมาจากร้านโดยไม่มีอะไรติดมือมาเลย พนักงานที่เฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ก่อนที่ประตูร้านจะปิดลง ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไร เล่นไปยืนอ่านหนังสือร้านเขาตั้งนานแต่ไม่ยอมซื้ออะไร ก็สมควรอยู่ที่เขาจะค้อนล่ะนะ อุ้มเหลือบมองร้านค้าที่ตั้งขนาบทางเดินทั้งสองข้างด้วยความสนใจ ร้านนู้นก็น่าเข้า ร้านนี้ก็โอเค แต่ปัญหาคือเที่ยวคราวนี้เธอจะได้ของอะไรกลับไปมั้ยล่ะเนี่ย
ทั้งที่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วแต่แดดเจ้ากรรมที่เคยแผดเผาทุกคนเมื่อเช้ากลับอ่อนลงจนน่าแปลกใจ ลมเย็นๆพัดมาทำให้สดชื่นและอารมณ์ดีขึ้น ผู้คนเดินกันขวักไขว่มากมายจนน่าเสียวว่าจะหลงทาง คูลจึงต้องจับมืออีกฝ่ายเอาไว้
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตกใจอะไรที่โดนจับมือแบบนี้ เพราะว่าชินซะแล้ว ยังไงคูลก็ดูแลเธอมาตลอดเหมือนผู้ปกครองคนหนึ่ง แค่จับมือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว แต่ถ้าอย่างอื่นล่ะก็ไม่แน่ คูลก็ให้ความเคารพและให้เกียรติกับเธอมากด้วย กอดเกิดอะไรกันไม่เคยหรอก ถึงจะบอกว่าเป็นเหมือนผู้ปกครอง แต่ก็ไม่เคยเกินเลยไปมากกว่านั้น
“ระวังหลงนะครับ จับมือผมแน่นๆนะ” เพราะคนเยอะมากคูลจึงบอกเตือนเอาไว้ อุ้มทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
บางทีคูลก็เป็นเหมือนพี่ชายที่พึ่งพาได้ และก็อาจจะเป็นผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงบางคนซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เธอ เธอไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อนและไม่แม้แต่จะอยากคิด อุ้มเคยลองคิดข้อดีต่างๆนานาของพ่อคนแสนดีเอาไว้…ก็ทั้งใจดี อ่อนโยน ยิ้มง่าย มีความรับผิดชอบ ถึงบางทีจะกวนจนทำให้หงุดหงิดแต่ก็ไม่มีเจตนาว่าร้าย ที่คอยตำหนิตักเตือนก็ถูกต้อง สมเป็นตัวตนอีกคนหนึ่งที่มีบุคลิกตรงข้ามกับเธอเสียจริง
แต่บางทีคูลก็น่าหมั่นไส้
ทั้งหน้าตาหล่อ ทั้งสูงยาวเข่าดี ก็ไอ้เรื่องส่วนสูงเนี่ยแหล่ะที่หมั่นไส้ คนบ้าอะไรสูงชะมัด แล้วก็ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดคารมมาโต้วาทีกับเธอได้เยอะจัง(เถียงนั่นล่ะ แต่หมอนี่ก็ถูกอีกอยู่ดี) ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกันแต่กลับอ่านใจอะไรไม่เคยออกแต่ดันเป็นฝ่ายถูกเดาใจซะเอง มันน่าโมโหชะมัด แถมยังมีแต่คนชม ให้ตายเถอะ ไม่มีใครเห็นด้านเสียๆของหมอนี่เหมือนที่เธอเห็นบ้างเหรอ น่าหมั่นไส้จะตาย! โดนหมอนั่นหลอกเข้าแล้วล่ะ!
อุ้มเริ่มชักจะสับสน ในหัวคิดแต่ทั้งข้อดีทั้งข้อเสียสลับไปสลับมาจนเหม่อ สุดท้ายก็ต้องไล่ความคิดนั้นออกไปเพราะไม่อยากให้ผิดสังเกต โชคดีที่คูลยังไม่บ้ามานึกจับผิดอะไรเธอตอนนี้
ตอนที่ถูกดวงตาสีครามนั่นจ้องมองมันรู้สึกแปลกๆล่ะ
เพราะโดนจับผิดหรือเปล่านะ คูลชอบทำเหมือนรู้ทุกอย่างแค่มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว บางทีนี่ก็เป็นเรื่องดีแต่บางทีก็ไม่ชอบ มันรู้สึกแปลกๆอย่างที่พูดนั่นล่ะ บอกไม่ถูกแต่พักหลังมานี้ชักจะเป็นบ่อย อะไรเนี่ย
สุดท้ายเธอคิดแต่เรื่องของคูลเต็มหัว แปลกชะมัด รู้สึกความคิดมันตีกันไปหมดจนชักสับสน หรือเพราะเธอเดินมานานจนเริ่มเหนื่อยเลยฟุ้งซ่านกันนะ…ก็แล้วทำไมต้องเป็นเรื่องหมอนี่ด้วย
“คูล…” อุ้มหยุดเดินเรียกให้คนที่เดินนำจูงมือไปก่อนหยุด และหันมามอง
ถูกดวงตานั้นจ้องอีกแล้ว...
“เหนื่อยงั้นเหรอครับ นั่นสินะ ป่านนี้แล้วยังไม่ได้ทานข้าวกันเลย อยากทานอะไรมั้ยครับ”
“คิดไม่ออก” เพราะมัวแต่คิดเรื่องนายเมื่อกี้เลยคิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้ว
“ให้เดินหาไปเรื่อยๆก็เดี๋ยวจะเหนื่อยกันซะก่อน ยังไงดีนะ…” คูลครุ่นคิด
ท่าทางจะคิดหนัก หมอนี่ชอบคิดจริงๆ เดาออกเลยว่าต้องคิดเรื่องปริมาณสารอาหาร ค่าของกิโลแคลอรีและสุขภาพร่างกายเธออยู่เป็นแน่แท้ มันชักจะเป็นผู้ปกครองเจ้าระเบียบไปแล้ว ก็รู้อยู่หรอกว่าอยากให้แข็งแรงแต่มัวแต่คิดแบบนี้ก็หิวตายกันพอดี
อุ้มตัดสินใจเดินหาร้านอาหารเอง ซึ่งคูลก็ได้แต่เดินตาม เขาไม่ชอบขัดใจเธอ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นเขาก็จะอธิบายด้วยเหตุผล ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีจริงเขาก็จะตักเตือนและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ
ทั้งที่มีร้านอาหารมากมายที่เดินผ่านมา แต่กระเพาะมันไม่เรียกร้องอะไรสักอย่าง ทั้งที่หิวแทบตายแต่ไม่ยักกะอยากกิน กระเพาะอาหารช่างเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจจริงๆ เฮ้อ…
อุ้มเดินมาหยุดที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งตกแต่งทั้งนอกร้านและในร้านอย่างน่ารัก มีทั้งที่นั่งด้านในและที่นั่งกางร่มข้างนอก บรรยากาศดูสงบดี ของกินก็ท่าทางอร่อย…มันคือร้านขนมหวาน
คุณผู้ปกครองเจ้าระเบียบต้องไม่ให้เธอกินขนมหวานเป็นอาหารกลางวันแน่
คิดในใจ แต่ก็ไม่อาจก้าวไปไหนได้ โอเค กระเพาะมันเริ่มเรียกร้องละ อยากทาน…จะให้พูดไปได้ยังไง๊ ต้องโดนขัดแน่ว่าไม่ดี แต่ยังไงก็ของกินเหมือนกันแก้หิวได้เหมือนกัน โอ๊ย ไม่อยากเดินต่อแล้ว
เด็กสาวจ้องร้านขายขนมหวานตาไม่กระพริบขณะที่ในใจความคิดนู้นความคิดนี้ตีกันไปตีกันมา คูลหัวเราแล้วยิ้มกับท่าทางแบบนั้น ถึงไม่บอกเขาก็เข้าใจท่าทางนั้นได้อยู่ดี เจ้าตัวเล่นแสดงออกเสียขนาดนั้น
“ถ้าอยากทานก็ทานสิครับ”
เขาเสนอ บอกแล้วว่าเขาไม่ชอบขัดใจอุ้มหรอก ถึงอุ้มจะคิดว่าเขาจะต้องค้านแน่ว่าทานขนมหวานเป็นอาหารกลางวันน่ะไม่ดี…ก็จริง มันไม่ค่อยได้สารอาหาร แต่พวกของหวานจะทำให้แจ่มใส มีความสุข เพราะว่าน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว
แค่อุ้มยิ้มออกมาได้ก็พอแล้วล่ะ
“ให้เหรอ?” อุ้มถาม เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางนั้น ทั้งดูกังวลแต่ก็ดีใจจนกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“ให้สิครับ ก็เป็นของโปรดคุณนี่นา เห็นคุณทานทีไรยิ้มแป้นทุกที…มื้อกลางวันคือมื้อตามใจปากนี่ใช่มั้ย?”
เด็กหญิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะฉีกยิ้มแล้วยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี “งั้นนายเลี้ยงนะ”
ข้อเสนอที่แทบไม่ต้องต่อรองต่อ “ครับๆ” คูลรับทราบแต่โดยดี “ผมก็เลี้ยงคุณมาตลอดวันเลยไม่ใช่หรือไง”
อุ้มเลือกที่นั่งด้านนอกร้านเพราะยังอยากเห็นวิว ทางร้านกางร่มเอาไว้ให้แล้วเลยไม่ต้องกังวลเรื่องแสงแดดแสนร้อนนักร้อนไหน(พอเที่ยงก็เย็นลงแล้ว เอาไงกันนะภูมิอากาศบ้านเรา) เธอเปิดเมนูดูแต่ละหน้าอย่างอารมณ์ดีและเลือกสั่งของโปรดมาหลายอย่าง จนคนเลี้ยงต้องทักขึ้นมาว่าเดี๋ยวก็อ้วนหรอก
“ช่างสิ มื้อกลางวันคือมื้อตามใจปากนี่ใช่มั้ย?”
แต่เธอก็เลือกสั่งของที่คิดว่าคูลน่าจะชอบมาด้วย ให้อีกฝ่ายมาทนหิวนั่งมองเธอกินอย่างเดียวออกจะ…
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะครับอยากทานอะไรก็ทานเลย เอาให้หายเหนื่อย แต่ถ้าอ้วนขึ้นมาหรือต้องเป็นเบาหวาน ความดันกับไขมันในเลือดสูงไปผมไม่รับผิดชอบนะ” คำพูดที่ทำให้เธอร้องอ้าวขึ้นมาเสียงดัง เด็กหนุ่มหัวเราะ
“ล้อเล่นครับ ผมน่ะจะคอยอยู่ดูแลคุณตลอดไป…อยู่แล้ว”
“อื้อออ~ ไอศกรีม วนิลาของที่นี่อร่อยจัง~”
อุ้มตักไอศกรีม วนิลาสีอ่อนทานอย่างเอร็ดอร่อยและเพลิดเพลิน ได้ทานของชอบแถมยังเป็นของเพิ่มความเย็นค่อยคลายร้อนไปหน่อย นอกจากนี้เธอยังทยอยสั่งอะไรอะไรไปอีกมากมายจนเต็มโต๊ะแต่ก็มีแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น ทั้งเชอร์เบธผลไม้ ช็อกโกแลต แล้วก็ของหวานอีกมากมาย
คูลนั่งทานอยู่เงียบๆอยู่อีกฟากของโต๊ะขณะยิ้มมองร่างบางรับประทานอย่างมีความสุข เขาไม่ค่อยชอบของหวาน และไม่ค่อยได้ทานเท่าไหร่แต่ถ้าจะทานก็ทานได้ ต้องขอบคุณอุ้มที่ยอมสั่งมาเผื่อเขาด้วยทั้งที่ตัวเขาจะทานหรือไม่ทานก็ได้ ขอแค่อุ้มอารมณ์ดีขึ้นก็พอแล้ว
“ผมเตือนแล้วนะครับ อย่าทานเยอะจนเกินไปนะ”
“อ้ามมม~” ดูเหมือนคนถูกตักเตือนจะเพลิดเพลินกับรสชาติของโปรดมากไปหน่อย “รู้แล้วค่า”
คูลหัวเราะอย่างเอ็นดู
“ครีมเลอะแน่ะครับ”
วิปครีมที่สั่งให้ทางร้านทำใส่เยอะไปหน่อยพอตักมาจึงมีครีมส่วนหนึ่งที่เลอะอยู่ตรงมุมปาก คนตัวเล็กทำท่างุนงงเมื่อเห็นคูลยื่นผ้าเช็ดหน้าสีครีมเนื้อให้ คูลจึงบรรจงเช็ดครีมที่ติดอยู่มุมปากให้เอง
ใบหน้าหวานแสดงอาการตกใจ เผลอถอยหนีโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อสังเกตดีๆใบหน้านั้นขึ้นสีแดงเรื่อแสดงความเขินอายและตกใจ คูลชะงักก่อนจะยิ้มนิดๆ “ผมแค่จะเช็ดให้น่ะครับ หายแล้วล่ะ”
“……” เงียบไปก่อนจะรู้สึกตัว “ขอบ…ขอบใ…ขอบใจ”
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ? ทำไมถึงได้หน้าแดงแล้วก็พูดตะกุกกักขนาดนั้น” อีกฝ่ายถาม
โอ๊ย ตาบ้าเอ๊ย ปกติล่ะรู้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องถาม คราวนี้จะถามทำไมเนี่ย
อุ้มตัดปัญหาโดยการทานต่อไม่ยอมตอบคำถาม แต่ขนมที่สั่งมาเหมือนจะเยอะไปจนเธอเริ่มทานไม่หมด คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจึงเสนอที่จะช่วยแทนแม้จะไม่ชอบทานของพวกนี้
“สั่งมาเยอะไปนะครับ”
“โทษที” ยิ้มแห้งๆ
คูลหยิบช้อนของตนขึ้นมาตักของหวานที่อยู่ในถาดของอุ้มไปส่วนหนึ่ง แล้วก็ทยอยช่วยทานจนใกล้หมด ทั้งที่ไม่ชอบแท้ๆแต่ก็ยังอุตส่าห์ยอมช่วย รู้สึกเกรงใจแฮะ อีกอย่างหมอนี่เป็นคนเลี้ยงเราด้วย
“ทำหน้าแบบนั้นคิดเกรงใจอะไรผมล่ะครับ”
คูลทักขึ้นมาอย่างรู้ทัน
อ้าว กรรม ทีอย่างนี้ล่ะทำมาเป็นรู้ดี
“ย่ะ ถ้าไม่อยากให้เกรงใจก็กินไปให้เยอะๆเลย เอาให้เป็นเบาหวานรุมเร้าตายไปข้างเลย” อุ้มพูดประชด พลางตักของหวานในถาดมาแล้วจ่อที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายเชิงบังคับ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายมองตนอย่างตกใจและตะลึงถึงได้รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป กรรมเวร เผลอใกล้มากไปแล้ว แถมที่สำคัญ…
“คิกคิกคิก”
เสียงหัวเราะดังมาจากโต๊ะที่อยู่ด้านหลังทำให้ทั้งคู่หันไปมอง ก็พบหญิงสาวสองคนที่นั่งป้องมือหัวเราะอยู่อย่างพองาม พอเห็นว่าถูกจ้องหญิงสาวทั้งสองจึงก้มหัวขอโทษเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ขอโทษนะคะ แต่น้องกับแฟนน้องน่ารักมากเลย พวกพี่เลยอดเขินไม่ได้”
หา…
“ใช่จ้ะ ดูแลกันดีมากเลยนะ น้องผู้หญิงหน้าตาน่ารักมากเลย แถมยังเอาใจใส่ป้อนแฟนด้วย เป็นพี่พี่รักน้องตายเลย เนอะเธอ” หญิงสาวหันไปถามความเห็นเพื่อนและหัวเราะคิกคิกกันอีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าของเรื่องจ้องตาค้าง
แฟน…
เอาใจใส่…
ป้อน…
“!!!” อุ้มรีบชักช้อนกลับมาโดยพลัน แต่เมื่อเจอสายตาสีครามนั้นจ้องอีกครั้งก็ยิ่งอยู่ไม่เฉยเธอเลยตัดปัญหาตักของหวานเข้าปากแทนและแสร้งมองไปทางอื่นเหมือนกำลังชมวิวทิวทัศน์อยู่
“จะดีเหรอครับ”
“หา?”
“ก็เมื่อกี้น่ะ ช้อนนั้นมันโดนปากผมนะ…ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ”
คูลชี้ที่ริมฝีปากของตนเองและหัวเราะเล็กน้อย คนตัวเล็กตาค้างและปล่อยช้อนนั้นหล่นลงกระทบถาดเสียงดัง
เคร้ง…
อาย…อายจนหน้าแดงไปหมดแล้ว
ไอ้เมื่อกี้ก็เท่ากับว่า!...ไม่สิไม่สิ โดนปากมันไปแค่นิดเดียวนี่นา เลิกอายได้แล้ว
แต่ว่า! ดูมันยิ้มสิ โธ่เอ้ย ยิ่งยิ้มยิ่งเขินยิ่งอายใหญ่เลย ไม่เอาน่า แบบนี้โดนล้ออีกพอดี
.
.
.
.
.
.
.
ไอ้หัวใจนี่ก็เลิกเต้นตึกตักเสียทีจะได้ไหม แค่นี้ก็เขินกับความรู้สึกตัวเองจะตายอยู่แล้ว
ผู้แต่งเนื้อเรื่องด้านบนคือ......
ความคิดเห็น