ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KNB] Dimension of love ผจญมิติรักร้ายกับนายปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง : ที่นี่ที่ไหน...?

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 58


    บทที่หนึ่ง : ที่นี่ที่ไหน...?



              “เธอตายรึยังน่ะ...”

             
              “ดูเหมือนจะยัง แค่สลบไป”

             
              “ว้า อดกินเลยแหะ”

             
              “มันใช่เรื่องที่ต้องพูดมั้ยห๊ะ
    !

             
              “แล้วจะทำยังไงกับพวกเธอ”

             
              “เป็นมนุษย์นี่นา”

             
              “เฮ้อ เรื่องน่ารำคาญอีกแล้ว”

             
              “อะ อือ” เฟลทขยับเปลือกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงคุยจุกจิกเหนือหัวของเธอ ใจก็อยากจะลืมตามองเสียให้รู้แล้วรู้รอดว่าใครมันบังอาจ (
    ?) กวนเวลานอนของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเปลือกตาก็หนักอึ้งเกินกว่าจะเปิดได้ง่ายๆ ซ้ำความรู้สึกมึนหัวตึ้บเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบใส่นี่อีก

             
              “อ๊ะ ตื่นซะแล้ว”

            
              “พวกนายคงไม่อยากให้พวกหล่อนเห็นหรอกนะ”

             
              “รีบเผ่นเถอะครับ”

             
              “โอ๊ย น่ารำคาญ
    !!” เฟลทตะโกนสุดเสียงแล้วเด้งตัวลุกจากพื้น นัยน์ตาสีเขียวอความารีนปรือขึ้นเล็กๆ ก่อนจะกระพริบปริบสองสามหนเพื่อนปรับสภาพสายตา คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อพบว่าตนอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ไอ้สวนหินแบบญี่ปุ่นกว้างๆ บ่อน้ำที่ได้ยินเสียงปลากระโดด ต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ที่กำลังผลัดใบสีแดงสด...เดี๋ยว รู้สึกว่าตอนนี้ฤดูร้อน แล้วประเทศไทยก็ไม่มีต้นเมเปิ้ลด้วย แล้วที่นี่มันที่ไหน!!??

             
              เด็กสาวผมสีเขียวอความารีนหันซ้ายหันขวา เจอก็เพียงบ้านสไตล์ญี่ปุ่นใหญ่โต กับระเบียงทางเดินที่ทำจากไม้ พอไล่สายตามามองข้างๆ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เมื่อร่างของเพื่อนสนิทก็นอนแผ่อยู่ข้างๆ กันนี่เอง

             
              “วาตื่นๆ ตื่นดิตื่นนนนนน” เฟลทเขย่าตัวเพื่อนจากเบาๆ เริ่มไปแรง...แล้วแรงมากขึ้น

             
              “อะ อื้ม....งืมๆ เฟลท เช้าแล้วเหรอ” วายันตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ อย่างง่วงงุน ดูท่าจะยังไม่ได้สติดีเท่าไหร่

             
              “เช้าบ้าเช้าบออะไร แหกขี้ตาดูรอบๆ ก่อนเพื่อนรัก เราหลุดมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้จ้ะ
    !!” เฟลทกอดอกแล้วทำหน้ายิ้มทั้งๆ ที่ขมับมีเส้นเลือดปูดอยู่ แบคกราวน์ด้านหลังเหมือนเปลวเพลิงกำลังลุกโชดช่วง (?)

             
              “ฮะ ที่นี่ที่ไหนอ่ะ
    !” เด็กสาวผมดำประบ่าหายง่วงทันทีแล้วเด้งตัวขึ้นมามองรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เอ้ย ตื่นตระหนกตกใจ

             
              “ฉันก็ไม่รู้” เฟลทมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ในหัวพยายามคิดทบทวนความทรงจำก่อนหน้านี้

             
              “เดี๋ยวนะๆ ความทรงจำล่าสุดของฉัน....เอ้อ เฮ้ยเฟลท
    ! เราถูกพายุพัดใช่มั้ยอ่ะ!?” วาเหมือนจะนึกขึ้นได้ก่อนโพล่งขึ้นมา

             
              “เออใช่ๆ นั่นแหละๆ แล้วไหง...เรามาโผล่นี่ได้ล่ะ” เฟลทกุมขมับอย่างปวดหัว คิดยังไงมันก็เรื่องบ้าบอชัดๆ โดนพายุพัดลอยขึ้นฟ้า สลบไป แล้วจู่ๆ ก็มาโผล่ในสวนหินญี่ปุ่นที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้
    เดี๋ยวนะ...รู้สึกก่อนจะลืมตาขึ้นมา...รู้สึกได้ยินเสียงอะไรเหมือนคนคุยกันดังอยู่รอบๆ นี่นา

             
              เฟลทสอดสายตามองรอบๆ มองแล้วมองอีก หันซ้ายหันขวา มองล่างมองบน ก็หาได้พบสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากพวกเธอสองคน

             
              “เฟลท แกมองหาอะไรอ่ะ” วาถามอย่างฉงนใจ เมื่อเห็นเพื่อมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้ากังวลปนสงสัยอะไรบางอย่าง

             
              “คือว่านะ ฉันคิดว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเราหรอก” เฟลทพูดเสียงกดต่ำอย่างจริงจัง

             
              “อ...เฮ้ยยยย
    ! อย่าพูดเรื่องผีสางกับฉ้านนนน ได้โปรดดด” วาเอามือทั้งสองช้างปิดหูส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากรับรู้อะไร

             
              “แกนี่ก็โวยวายให้ดูสถานการณ์บ้างดิเอ้อ ฉันไม่ได้หมายถึงผี อาจเป็นคนก็ได้...เพราะก่อนที่ฉันจะตื่นขึ้นมาน่ะฉันได้ยินเสียงคนคุยกันน่ะ” เฟลทส่ายหัวกับความกลัวเรื่องลี้ลับขึ้นสมองของเพื่อน

             
              “ง...งั้นคนที่แกว่าอาจช่วยพวกเราได้ใช่ป่ะ” วาค่อยๆ ลดมือลงจากใบหูของตน ถามเพื่อนเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร (
    ?)

             
              “เออ ฉันคิดว่างั้นน่ะนะ” เด็กสาวผมเขียวอความารีนพูดอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่

             
              “ไอ้เสียงไม่มั่นใจนั่นมันอะไรรร แกกำลังทำฉันกลัววววว” วาเบะปากเตรียมร้องไห้เต็มที่ กับเรื่องอื่นวาบ่หยั่นแต่กับเรื่องลี้ลับนั้นขอเผ่นไปให้ไกล..
    ?

             
              “เอาน่า เลิกโวยวายก่อนแล้วมาสำรวจบ้านนี้กันดีกว่า ว่ามีใครอยู่มั้ย บ้านก็ดูท่าจะกว้างมากเลยด้วย” เฟลทยันตัวลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะปัดๆ กระโปรงยาวเท่าเข่าสีดำของตนเบาๆ

             
              “อ..อือ” เด็กสาวผมดำตอบไม่เต็มเสียง เพราะไม่เต็มใจจะร่วมสำรวจบ้านเลยสักนิด บ้านกว้างๆ กบัเวลาเย็นโพล้เพล้แบบนี้ นี่มันเวลาสยองขวัญในหนังผีชัดๆ เลยอ่ะ
    !

             
              “ฟะ เฟลท แกห้ามทิ้งฉันนะ ยังไงแกก็ห้ามทิ้งนะ” วายันตัวลุกขึ้นตามเพื่อน แล้วพูดเสียงสั่น

             
              “จ้ะๆ ไม่ทิ้งแน่นอนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าเราอยู่ที่ไหน” เฟลทพยายามปลอบเพื่อนที่สูงกว่าเธอด้วยการลูบหัว
    “และดูเหมือนกระเป๋าเราทั้งคู่จะปลิวไปไหนไม่รู้แล้ว คงใช้โทรศัพท์ไม่ได้ด้วย” เด็กสาวบ่นเล็กน้อย แล้วออกเดินนำเพื่อนของตนเพื่อนไปสำรวจบ้านทรงญี่ปุ่นหลังนี้

             
              “อ...อื้ม เข้าใจแล้ว” วาพยักหน้าหงึกหงัก แล้วเดินตามเฟลทไป

             
              เฟลทมองไปรอบๆ ทางเดินระเบียงไม้ที่พวกเธอกำลังก้าวเดินอยู่นี้ สภาพบ้านโดยรอบบ่งบอกว่ามี
    ใคร อาศัยอยู่จริงๆ เพราะตัวบ้านสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลอย่างดี ดังนั้นไม่มีทางที่บ้านหลังใหญ่โตหลังนี้จะเป็นบ้านร้างแน่นอน แต่ถึงจะพูดว่าไม่ใช่บ้านร้าง ก็หาได้เจอสิ่งมีชีวิตนอกเหนือจากปลาคาร์ฟในบ่อตรงสวนที่พวกเธอตื่นขึ้นเลย บ้านทั้งบ้านเงียบสงัด ไม่มีแม้เสียงฝี่เท้าของคนอื่นนอกจากพวกเธอ...

             
              “ฟ...เฟลท ที่นี่เงียบเป็นบ้าเลยอ่ะ” วาพูดเสียงสั่น ก้าวตามหลังเพื่อนของตนไม่ห่าง นัยน์ตาสีเฮเซลมองไปรอบๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ

             
              “นั่นสิ มันแปลกจริงๆ” เฟลทเดินต่อไปเรื่อยๆ พลางเหลือบสายตาไปมองแผ่นผ้าอะไรสักอย่างบนผนัง

             
              พอหยุดเพ่งมองก็พบว่ามันเป็นผ้าเหมือนผ้ายันต์ของไทย แต่เขียนอักษรญี่ปุ่นไว้ อ่านได้ว่า
    กักขัง เฟลทรู้สึกแปลกใจตัวเองที่จู่ๆ ก็อ่านภาษาที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเกิดออก ถึงเธอจะเรียนศิลป์ญี่ปุ่นมา แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจขนาดพูดคล่องอ่านคล่อง แต่พอมาเวลานี้กลับอ่านปุ๊บแปลได้ปั๊บราวกับมันเป็นภาษาที่เธอคุ้นเคยดี

             
              “วา...มันมียันต์อยู่ตรงนี้....” เฟลทหันไปจะชี้ยันต์ให้เพื่อนดู แต่ก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจ “วา
    !!!” ใช่แล้ว ร่างเพื่อนเธอที่ควรยืนอยู่ข้างหลังกลับหายไป หายไปอย่างไร้ร่องรอย!

             
              เฟลทกัดฟันแน่น รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน..ถูกพัดมายังที่ไม่รู้จัก แล้วจู่ๆ เพื่อนรักก็หายตัวไป
    !

             
              “ใครเล่นบ้าอะไรกัน ที่นี่มีใครอยู่ ออกมานะ
    !!” เฟลทตะโกนเสียงดังอย่างไม่คิดจะอดกลั้น นี่มันจะมากไปแล้ว ทั้งพาตัวเธอมานี่ ทั้งพาเพื่อนเธอไป และขอบอกเลยว่าเฟลทจะไม่ทน!!

             
              “ขี้โวยวายจริงน้ออออ” เสียงทุ้มดังข้นจากมุมใดมุมหนึ่ง เฟลทหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง แต่ก็ไม่พบใครนอกจากตัวเธอเอง

             
              “น..นั่นใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ
    !” เด็กสาวผมเขียวอความารีนกุมมือไว้ที่อก แล้วถามเสียงสั่น

             
              “นั่นสิน้า ใครกันน้อออออ” เสียงนั้นยังคงดังอย่างทะเล้นราวกับกำลังกลั่นแกล้ง หากแต่เจ้าของเสียงก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที

             
              “ย..อย่ามาวนประสาทฉันนะ
    ! เอาวาคืนมา!” เฟลทมองไปรอบๆ หวังจะเจอเจ้าของเสียงเสียที ในตอนนี้ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาจนเด็กสาวแทบรับไม่ไหว ทั้งความกลัว ความกังวล ความตกใจ

             
              “วา...เอ...อ้อ เด็กผมดำนั่นสินะ...นั่นสิน้า รู้สึกคนที่พาไปจะเป็น
    คนๆ นั้น เสียด้วยสิ จะรอดกลับมามั้ยหนอออ” เสียงนั่นยังคงพูดยียวน แต่เนื้อหาทำให้เฟลทรู้สึกร่างกระตุกเกร็ง

             
              อะไรที่หมายถึงคนๆ นั้น อะไรที่หมายถึงจะ
    รอด กลับมามั้ย!

             
              “โอ๊ะ แต่ว่าเธอก็ควรห่วงตัวเองสักหน่อยน้า” เฟลทรู้สึกราวกับเจ้าของเสียงนั้นเข้ามาใกล้ร่างของเธอเรื่อยๆ ใช่ ใกล้มากจนเธอสัมผัสได้ว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังเธอในระยะประชิด “เพราะเธอ ก็อาจไม่รอดเหมือนกัน” ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอและแขนแกร่งของชายหนุ่มโอบเข้าที่เอว เฟลทสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปเพื่อที่จะผละตัวออก

             
              แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย เฟลทก็เบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงอยู่ตรงนี้ แล้วทำไม...หมอนี่ถึงได้
    ! “น...นี่นาย!!!

             
              ...

             
              ทางด้านวาที่ถูกพาตัวไป...

             
              “อะ...อืม....” เด็กสาวผมดำประบ่าลืมตาปริบ รู้สึกมึนหัวอย่างกับเห็นดาวลอยวิ้งๆ อยู่ยังไงยังงั้น คิ้วขมวดหากันเล็กน้อย ให้ตาย นี่เธอสลบเป็นรอบที่สองของวันแล้วนะ อะไรจะขยันสลบขนาดนั้น...วายกมือขึ้นจับที่หน้าผากของตนเบาๆ หวังจะคลายความมึนหัวนี้ลงไปได้

             
              ‘ว่าแต่ว่า ที่นี่ที่ไหน?’ วาคิดในใจอย่างยังไม่ได้สติ มองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นห้องแบบญี่ปุ่น มีประตูกระดาษที่ญี่ปุ่นเรียกว่าโชวจิ พื้นก็ปูด้วยเสื่อทาทามิสีเขียวอ่อน วายันตัวลุกขึ้นนั่งก็พบว่าตนกำลังอยู่บนฟูตง หรือ ฟูกนอนของญี่ปุ่นที่ถูกปุไว้เรียบร้อย กับผ้านวมสีแดงสด แสงจากตะเกียงไฟบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้ข้างนอกเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว เธอก้มลงมองตัวเองก็พบว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่ใช่เสื้อตัวเดิม แต่เป็นชุดยูคาตะสีขาวผ้าบางสำหรับใส่นอน

             
              “เอ...แล้วเรา....เอ่อ” วานึกทบทวนเรื่องก่อนหน้านี้ เธอมักเป็นแบบนี้เสมอ หลับไปพอตื่นมาก็จะจำเรื่องก่อนจะหลับไม่ค่อยได้ ต้องนึกย้อนกันสักนิดหนึ่ง

             
              “เฮ้ย จริงด้วย
    ! เฟลท!” วาผุดลุกออกจากฟูกนิ่มๆ แต่เพราะลุกเร็วเกินขาเลยยังไม่มีแรงพอพยุงร่างกาย ทำให้เธอเสียหลักจะล้มอีกรอบ

             
              หมับ

             
              แขนของใครบางคนโอบที่เอวเธอเพื่อประคองไม่ให้ตัวเธอล้มลงไปกองกับฟูก แผ่นหลังใต้ชุดยูคาตะบางสัมผัสกับแผงอกแกร่งของชายหนุ่ม (คิดว่านะ) วารู้สึกโล่งที่หัวไปต้องฟาดพื้น ถึงจะมีฟูกรองไว้ แต่มันก็ต้องมีเจ็บกันบ้างล่ะ ขณที่กำลังคิดจะขอบคุณคนที่มาช่วยรับร่างเธอเอาไว้ เด็กสาวผมดำก็ต้องชะงักค้างไป

             
             ‘ก...ก็จำได้ว่าล่าสุดที่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่ เราเดินสำรวจกับเฟลท จู่ๆ ก็รู้สึกวืบๆ แล้วก็ตื่นมาโผล่ที่นี่...ล แล้วไอ้คนข้างหลังเรา ป เป็นใครง่ะ!?’ วาหน้าซีดพลางทบทวนความทรงจำที่เพิ่งกลับมาครบสมบูรณ์

             
              “อันตรายนะ ลุกขึ้นแบบนั้น...” เสียงทุ้มดังอยู่ใกล้ใบหู เหมือนว่าคนข้างหลังโน้มตัวเพื่อกระซิบพูดกับเธอ วาหน้าแดงฉาน ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกัน ทั้งเขินอาย แต่ก็กลัวและตื่นตกใจ

             
              “อ่ะ....” วากลืนน้ำหนืดลงคออย่างยากเย็น รู้สึกเหมือนเสียงของตนถูกดูดออกไป ทำได้แค่ยืนตัวแข็งให้คนข้างหลังกอดเอวอยู่อย่างนั้น

             
             ‘..ส..สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกันเนี่ย!’ เด็กสาวผมดำคิดแล้วหลับตาแน่น

             
              “เอาล่ะ ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วสินะ” เสียงทุ้มนั่นกล่าวที่ใกล้หูอีกครั้ง ก่อนที่จะผละออกไป แขนที่กอดเอวของเธอไว้ก็ผละออกเช่นเดียวกัน

             
              “......” ในหัวของวาตอนนี้กำลังตีรวน ในใจก็อยากจะวิ่งออกไปจากห้องนี้ หาตัวเฟลท แล้วหนีซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ขาเจ้ากรรมดันไม่ขยับเขยื้อนราวกับถูกสต๊าฟฟ์
    เสียงกุกกักข้างหลังบ่งบอกว่าชายหนุ่มปริศนาคนนั้นยังไม่ได้ออกไปไหน วากลั้นหายใจนับหนึ่งถึงสาม แล้วกะจะหันหลังไปดูว่าที่อยู่ด้านหลังเธอมันคนหรือผีกันแน่

             
              หนึ่ง...

             
              สอง...

             
              สาม...
    !!

             
              ควับ

             
              ใบหน้าของเด็กสาวผินไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีเฮเซลมีแต่ความหวาดกลัว หากแต่พอหันไปเห็นร่างที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้ากระดานหมากโชงินั้น....ใบหน้าของวาก็เกิดอาการอึ้งค้าง นัยน์ตาสีเฮเซลที่เคยฉายแววหวาดกลัวบัดนี้มีแต่ความตื่นตะลึง

             
             ‘ด ได้ไง!! คนๆ นี้ ท..ทำไมถึงได้!!??’ นั่นคือความคิดสุดท้าย ก่อนที่ร่างเด็กสาวจะล้มตึงไปกับฟูกอีกรอบ

    ====================================================================================
    คุยกับไรท์เตอร์

              
    บทที่หนึ่งตามมาติดๆ ทั้งสองคนโผล่มาในโลก (?) ที่ไม่รู้จัก บรรยากาศตอนนี้ช่วงแรกมันเหมือนหยังผีชอบกล (หรือผมคิดไปเอง) แบบเดินสำรวจแล้วเพื่อนหายไปทีละคนอะไรเงี้ย แต่ช่วงหลังๆ นี่ก็เริ่มพบตัวเหล่า...เอ่อ จะเรียกว่านักบาสก็ไม่ได้ เพราะฟิคนี้ไม่มีเรื่องบาส เดากันเอานะครับว่าคนที่เฟลทเจอเป็นใคร และคนที่พาวาไปเป็นใคร=w= (โดนเตะปลิว) ตอนต่อไป ถ้าไม่อะไรผิดพลาดน่าจะได้อัพพรุ่งนี้นะฮะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ ....โอยาสุมินาไซ! (คลุมโปง สลบ)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×