ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : แววตาที่คุ้นเคย (ต่อ)
ณ เมืองเฟบริค
เมืองที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานเพราะได้รวมหลายๆเมืองเข้ามาเป็นแหล่งเดียว ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าแก่มีน้อยนักเพราะสถาปัตยกรรมแบบเก่าได้ถูกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา จะมีก็แต่คฤหาสน์โบราณนับสิบหลังที่ไม่ถูกรื้อเพราะลูกหลานยังมีชีวิตอยู่ แต่สมัยนี้มีแต่แสงสีผู้คนหลงใหลในหลอดไฟนีออนมากกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้า ผู้คนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างยากลำบากเพื่อจะได้มีเงินทองใช้ภายหลัง แต่บางคนมีทุกอย่างแต่กลับคิดว่าบนโลกนี้มีว่างเปล่าเหลือเกิน ร่างบางของเคทยืนต้านลมอยู่บนยอดคอนโดสุดหรูริมแม่น้ำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองลงมายังพื้นล่างที่มีคนมากมายกำลังเดินกลับบ้าน บางคนเดินจูงมือกับคู่รักหรือไม่ก็ลูกของตัวเอง ชีวิตของแต่ละคนมีจุดหมายไม่เหมือนกัน เคทยืนกอดอกมองอย่างสงบจนแสงของพระอาทิตย์สีส้มแดงหายไปอย่างช้าๆไปกับตา
ในเวลาตี4ของทุกๆวันร่างบางระหงจะเดินอย่างเงียบๆออกมาจากคอนโด เคทในชุดนักศึกษาสถาบันการศึกษาภาคอินเตอร์กระโปรงสั้นโชว์ขาขาวซีดเดินอย่างใจเย็น ในสัญชาติญาณของมนุษย์เมื่อเจอที่เปลี่ยวย่อมรีบเดินให้พ้นๆจากตรงนั้นผิดกับเธอที่เดินได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แสงไฟสีเหลืองสาดมาทางด้านหลังของเธอ เสียงมอเตอร์ไซต์แต่งส่งเสียงดังแสบหูวัยรุ่นวัย20ต้นๆ 4-5คนขี่มอเตอร์ไซด์ไล่หลังพร้อมกับผิวปากแซวเธอไม่หยุดแต่เธอก็ไม่เหลียวหลังไปดูได้แต่เดินไม่รู้สึกอะไร
"น้องสาวมหาลัยอยู่ไหนให้พี่ไปส่งมั้ย"
พวกวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซต์ล้อมหน้าล้อมหลังจนเธอเดินต่อไม่ได้ เคทจึงหยุดมองหน้าพวกนั้นด้วยความรำคาญ
"ว่างไปเป็นแฟนพี่รึเปล่าจ้ะ มามะ" พวกวัยรุ่นลงจากมอเตอร์ไซต์มายืนดักกันท่าเธอไว้ เธอได้แต่นิ่งกอดอกมอง
"เอ๊ะ!ชอบจริงๆไม่พูดไม่จาถ้างั้นไปกับพี่เลยละกัน"
"หุบปากได้มั้ยรำคาญ!" เคทขึ้นเสียงพวกวัยรุ่นหื่นกามไม่ฟังอะไรทั้งนั้นได้แต่ทำล้อเลียนหารู้มั้ยว่าความตายกำลังจะมาเยือน
"ชู่วววว...อย่าพูดอย่างงี้สิมันไม่น่ารักนะ"
"ได้! พูดดีๆไม่รู้เรื่องก็ไปเยี่ยมนรกเลยละกันนะ!"
พวกหื่นกามหัวเราะร่วนเคทยื่นแขนไปคล้องคอคนตรงหน้าไว้แล้วบรรจงก้มหน้าไปจรดที่คอของคนๆนั้น พวกที่เหลือพากันกืนน้ำลายเฮือก ชายผู้เป็นเหยื่อคนแรกไม่เอะใจอะไรแม้แต่น้อย พร้อมหลับตาพริ้มคิดว่าจะได้สาวสวยอย่างเคทไปง่ายๆ นัตย์ตาของเคทเปลี่ยนเป็นสีแดง เขี้ยวแหลมทั้งสองงอกออกมาเสี้ยววินาทีเคทก็กัดเข้าไปที่คอเหยื่อรายแรกเสียจมเขี้ยว ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือใดๆเพราะมันเร็วมากจนไม่ทันได้พูดอะไรออกมาผู้เป็นเหยื่อตาเหลือกโปน มือไม้เกรงไปทั้งตัว ใบหน้าซีดขาวเลือดของเหยื่อถูกดูดออกไปหมดตัวร่างไร้วิญญาณทรุดลงไปกองแทบเท้าของเธอ ร่างสวยที่มีแต่เลือดเต็มปากจนไหลย้อยเปื้อนคางหันไปสบตาก็พวกที่เหลือ พวกวัยรุ่นตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้จะก้าวขาหนีแต่ก็เหมือนถูกมนต์สะกด เคทสบตานิ่งกับเหยื่อนับ
1....2....3......4
ร่างกายต้องมนต์สะกดถูกตรึงไว้กับที่ร่างบางพุ่งเข้ามาฝังเขี้ยวกับอีก4คนที่เหลือ วิญญาณชั่วที่อยู่ในร่างมนุษย์ที่ชอบทำร้ายคนอื่นเป็นภัยต่อสังคมล้วนแต่เป็นเหยื่ออันโอชะของเธอ
พละกำลังของเธอเพิ่มมาอีกเป็น10เท่าเมื่อได้รับเลือดที่มากมาย เธอเหวี่ยงร่างไร้วิญญาณของวัยรุ่นโยนไปกองกันที่ริมถนน ขั้นตอนสุดท้ายเธอส่งเมสเซจหาหน่วยกู้ภัยให้มาเก็บศพไปส่วนเธอก็เป็นเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงผู้พบเห็นเท่านั้น แล้วเธอก็เดินจากไปนัยต์ตาของเธอจากสีแดงกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเดิม ร่างกายของเธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นไม่ซีดขาวเหมือนกับวันก่อนๆที่ยังไม่ถึงเวลาล่าเหยื่อ ไม่นานเธอก็เดินมาถึงมหลาวิทยาลัยเพียงไม่กี่นาทีทั้งๆที่คอนโดกับมหาลัยห่างกันเป็น30กิโลเมตรแต่เธอก็เดินมาด้วยสองเท้า
.....................................................................................
มหาวิทยาลัยเอวิลแซนเดรีย เวลา 05.00 น.
เคทมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่มีท่าทางอดโรยด้วยระยะทางที่ไกลมากผู้หญิงผอมบางไม่สามารถเดินได้ขนาดนั่งรถมายังเกือบชั่วโมง ไม่รอช้าเธอเปิดประตูใหญ่แทรกตัวเข้าไปในทันที มหาวิทยาัลัยที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงยามฟ้ายังไม่สว่างบรรยากาศช่างเงียบเหงาอ้างว้างเสียเหลือเกิน เธอเดินไปนั่งในที่ม้านั่งเก่าๆตัวหนึ่งในจุดนั้นก็มีแสงตะเกียงสลัวๆ ร่างบางนั่งมองตัวอาคารของมหาวิทยาลัยเพียงแวบเดียวภาพเก่าในอดีตก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอ
โบสถ์เอวิลแซนเดรีย
เสียงระฆังวันวิวาห์พร้อมกับเสียงวงดนตรีกลุ่มใหญ่ที่บรรเลงอย่างเข้ากับบรรยากาศงานแต่งงาน เสียงเด็กๆวิ่งเล่นไล่กันในงาน ผู้คนมากมายต่างพากันใส่ชุดสวยงามมาร่วมงาน พอเริ่มพิธีตัวแทนจุดเทียนเป็นผู้เริ่มจุดเทียนที่อยู่ด้านซ้ายและขวาของบริเวณงาน ฉันเดินใจเต้นไม่เป็นจังหวะคล้องแขนออกมากับคุณพ่อฉันอยู่ในชุดเจ้าสาวที่สวยงามราวกับชุดเจ้าหญิง เสียงดนตรีประโคมฉันตลอดทางที่เดินออกมาพาใจสั่นไหวไม่น้อย คุณพ่อบีบมือให้กำลังใจฉัน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฉันกับคุณหมอไททั้นจะได้แต่งงานเป็นสามี ภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ใกล้เข้ามาผู้คนที่นั่งอยู่ก็พากันลุกขึ้นให้เกียรติฉัน คุณหมอรูปหล่อในชุดสูททักสิโด้สีดำดูหล่อมาก คุณพ่อส่งฉันตรงหน้าบาทหลวงและคุณหมอ พร้อมเชกแฮนด์คุณหมอไททั้นพอเป็นพิธี ต่อมาบาทหลวงก็เริ่มอ่านคัมภีร์คู่ชีวิตและคำพูดสำคัญของพิธีก็มาถึง
"คุณหมอไททั้น คุณจะรับนางสาวเคทธี่ เป็นภรรยาหรือไม่?"
"รับครับ"
"และคุณ เคทธี่ คุณจะรับคุณหมอไททั้นเป็นสามีหรือไม่?"
"รับค่ะ"
"ทั้งคู่สวมแหวนให้กันได้" ฉันกับคุณหมอสวมแหวนให้กัน เขาประทับจูบลงที่มือของฉัน สบตาได้ซักครู่ตัวแทนก็นำเทียนมาให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวไปจุดฝ่ายชายไปทางขวา ฝ่ายหญิงไปทางซ้าย และก็เดินมาจุดตรงกลางพร้อมกัน บาทหลวงจึงให้พรและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
"ต่อไปชายหญิงสองคนนี้ได้เป็นสามี ภรรยาถูกต้องตามพิธีขอให้ทั้งคู่รักกันไปชั่วนิรันด์"
เสียงปรบมือดังเกลียวกราวเด็กๆโยนกลีบกุหลาบรอบๆทั้งสอง เดซี่เด็กผู้หญิงวัยสี่ชวบถือช่อดอกทิวลิปสีขาวสะอาดตามาให้เธอเพื่อที่จะโยน ช่วงเวลานี้สาวน้อยสาวใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างกรูกันเข้ามา เธอหันหลังและโยนช่อดอกไม้สูงลิ่วดอกไม้หล่นไปอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นญาติของเธอ
เคทธี่และหมอมองหน้ากันและมอบจูบอันแสนหวานให้กันแต่อยู่ดีๆเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกระสุนปริศนาก็พุ่งเข้ามาที่กลางหลังทะลุหน้าอก เลือดแดงฉานจากรอยถูกยิงไหลออกมามากจนหมอไททั้นหน้าซีดเผือก ผู้คนต่างวิ่งหนีตายกันออกจากงานไป เหลือแค่ฉันกับคุณหมอกันสองคน
"เคทธี่ผมรักคุณ" คุณหมอทรุดฮวบและสิ้นใจในทันที
" ไม่!! " ฉันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เคทสะดุ้งตัวตื่นจากความฝันอย่างหวาดกลัว น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
"เพราะแกคนเดียว" ฉันนั่งคำรามและร้องไห้ออกมาอย่างเคียดแค้น รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่คือที่สุดท้ายที่คนรักของตัวเองตาย ทำไมฉันต้องกลับมาที่นี่
ผ่านมาแล้วกว่า 200 ปี ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรู้จัก ในตอนนี้ฉันเป็นแวมไพร์ที่สามารถกินอาหารเหมือนมนุษย์ทั่วไปได้แล้ว ไม่ต้องออกล่าเหยื่อบ่อยแค่ได้กินเป็นครั้งคราว ตอนแรกมันค่อนข้างเก็บกดนะ แต่ฉันเลือกที่จะทนเพราะยังไงฉันไม่มีวันตายอยู่แล้วก็ขอเนียนกับมนุษย์ธรรมดาเลยละกัน อีกอย่างที่อยากเล่าคือฉันอยู่คนเดียวมาตลอดเดินทางมาแล้วรอบโลก ผ่านมากี่ยุคจนมาถึงยุคนี้ ใบวุฒิบัตรนับร้อยใบจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก พูดเป็นทุกภาษา ไม่อยากจะพูดเลยว่าฉันเรียนมาทุกวิชาแล้วและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาตลอด เก่งใช่มั้ย ถึงจะเก่งแต่มันก็แค่นั้นแหละ ฉันเรียนเพื่อให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านมัวแต่นั่งร้องไห้ถึงแม้จะผ่านมาเป็นร้อยปี ฉันก็ยังจำได้
วันนี้ฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง เฟบริค บ้านเกิดของฉัน ตอนแรกฉันเกือบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ที่ฉันเคยอยู่ ตึกรามบ้านช่องใหม่ คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยมีก็กลายสภาพเป็นบ้านแบบใหม่ ถึงไม่คุ้นตานักแต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ โบสถ์เอวิลแซนเดรีย คฤหาสน์ตระกูลบริงเทสตั้น คูลแลน คอนเนอร์ และโรงพยาบาลเก่ายังคงอยู่ ฉันเคยแอบไปดูลูกหลานของฉันเหมือนกัน ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดแล้ว เห็นว่าอยู่มหาลัยนี้ซะด้วย ฉันจะคอยดูแลลูกหลานของฉันและตระกูลคูลแลนของคุณให้เอง
.....................................................................................
เวลา 05.45 น.
บ้านเมเออร์
บรรยากาศตอนใกล้เช้า หมอกลงหนาตาในห้องนอนแสนอบอุ่นร่างใหญ่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มยังไม่ตื่นเพราะยังไม่ถึงเวลา 6 โมงเช้า เซ็ธ เมเออร์หนุ่มหล่อ นิสัยดีเป็นลูกบุญธรรมของเจมส์ เมเออร์ ตระกูเก่าแก่แต่ไม่ค่อยออกงานสังคมจึงเป็นตระกูลที่เงียบแต่อบอุ่น ร่างสูงคงยังไม่ลุกขึ้นมาง่ายๆ
เมืองที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานเพราะได้รวมหลายๆเมืองเข้ามาเป็นแหล่งเดียว ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าแก่มีน้อยนักเพราะสถาปัตยกรรมแบบเก่าได้ถูกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา จะมีก็แต่คฤหาสน์โบราณนับสิบหลังที่ไม่ถูกรื้อเพราะลูกหลานยังมีชีวิตอยู่ แต่สมัยนี้มีแต่แสงสีผู้คนหลงใหลในหลอดไฟนีออนมากกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้า ผู้คนตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างยากลำบากเพื่อจะได้มีเงินทองใช้ภายหลัง แต่บางคนมีทุกอย่างแต่กลับคิดว่าบนโลกนี้มีว่างเปล่าเหลือเกิน ร่างบางของเคทยืนต้านลมอยู่บนยอดคอนโดสุดหรูริมแม่น้ำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองลงมายังพื้นล่างที่มีคนมากมายกำลังเดินกลับบ้าน บางคนเดินจูงมือกับคู่รักหรือไม่ก็ลูกของตัวเอง ชีวิตของแต่ละคนมีจุดหมายไม่เหมือนกัน เคทยืนกอดอกมองอย่างสงบจนแสงของพระอาทิตย์สีส้มแดงหายไปอย่างช้าๆไปกับตา
ในเวลาตี4ของทุกๆวันร่างบางระหงจะเดินอย่างเงียบๆออกมาจากคอนโด เคทในชุดนักศึกษาสถาบันการศึกษาภาคอินเตอร์กระโปรงสั้นโชว์ขาขาวซีดเดินอย่างใจเย็น ในสัญชาติญาณของมนุษย์เมื่อเจอที่เปลี่ยวย่อมรีบเดินให้พ้นๆจากตรงนั้นผิดกับเธอที่เดินได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แสงไฟสีเหลืองสาดมาทางด้านหลังของเธอ เสียงมอเตอร์ไซต์แต่งส่งเสียงดังแสบหูวัยรุ่นวัย20ต้นๆ 4-5คนขี่มอเตอร์ไซด์ไล่หลังพร้อมกับผิวปากแซวเธอไม่หยุดแต่เธอก็ไม่เหลียวหลังไปดูได้แต่เดินไม่รู้สึกอะไร
"น้องสาวมหาลัยอยู่ไหนให้พี่ไปส่งมั้ย"
พวกวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซต์ล้อมหน้าล้อมหลังจนเธอเดินต่อไม่ได้ เคทจึงหยุดมองหน้าพวกนั้นด้วยความรำคาญ
"ว่างไปเป็นแฟนพี่รึเปล่าจ้ะ มามะ" พวกวัยรุ่นลงจากมอเตอร์ไซต์มายืนดักกันท่าเธอไว้ เธอได้แต่นิ่งกอดอกมอง
"เอ๊ะ!ชอบจริงๆไม่พูดไม่จาถ้างั้นไปกับพี่เลยละกัน"
"หุบปากได้มั้ยรำคาญ!" เคทขึ้นเสียงพวกวัยรุ่นหื่นกามไม่ฟังอะไรทั้งนั้นได้แต่ทำล้อเลียนหารู้มั้ยว่าความตายกำลังจะมาเยือน
"ชู่วววว...อย่าพูดอย่างงี้สิมันไม่น่ารักนะ"
"ได้! พูดดีๆไม่รู้เรื่องก็ไปเยี่ยมนรกเลยละกันนะ!"
พวกหื่นกามหัวเราะร่วนเคทยื่นแขนไปคล้องคอคนตรงหน้าไว้แล้วบรรจงก้มหน้าไปจรดที่คอของคนๆนั้น พวกที่เหลือพากันกืนน้ำลายเฮือก ชายผู้เป็นเหยื่อคนแรกไม่เอะใจอะไรแม้แต่น้อย พร้อมหลับตาพริ้มคิดว่าจะได้สาวสวยอย่างเคทไปง่ายๆ นัตย์ตาของเคทเปลี่ยนเป็นสีแดง เขี้ยวแหลมทั้งสองงอกออกมาเสี้ยววินาทีเคทก็กัดเข้าไปที่คอเหยื่อรายแรกเสียจมเขี้ยว ไม่มีแม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือใดๆเพราะมันเร็วมากจนไม่ทันได้พูดอะไรออกมาผู้เป็นเหยื่อตาเหลือกโปน มือไม้เกรงไปทั้งตัว ใบหน้าซีดขาวเลือดของเหยื่อถูกดูดออกไปหมดตัวร่างไร้วิญญาณทรุดลงไปกองแทบเท้าของเธอ ร่างสวยที่มีแต่เลือดเต็มปากจนไหลย้อยเปื้อนคางหันไปสบตาก็พวกที่เหลือ พวกวัยรุ่นตกใจแต่ทำอะไรไม่ได้จะก้าวขาหนีแต่ก็เหมือนถูกมนต์สะกด เคทสบตานิ่งกับเหยื่อนับ
1....2....3......4
ร่างกายต้องมนต์สะกดถูกตรึงไว้กับที่ร่างบางพุ่งเข้ามาฝังเขี้ยวกับอีก4คนที่เหลือ วิญญาณชั่วที่อยู่ในร่างมนุษย์ที่ชอบทำร้ายคนอื่นเป็นภัยต่อสังคมล้วนแต่เป็นเหยื่ออันโอชะของเธอ
พละกำลังของเธอเพิ่มมาอีกเป็น10เท่าเมื่อได้รับเลือดที่มากมาย เธอเหวี่ยงร่างไร้วิญญาณของวัยรุ่นโยนไปกองกันที่ริมถนน ขั้นตอนสุดท้ายเธอส่งเมสเซจหาหน่วยกู้ภัยให้มาเก็บศพไปส่วนเธอก็เป็นเด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงผู้พบเห็นเท่านั้น แล้วเธอก็เดินจากไปนัยต์ตาของเธอจากสีแดงกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเดิม ร่างกายของเธอดูมีน้ำมีนวลขึ้นไม่ซีดขาวเหมือนกับวันก่อนๆที่ยังไม่ถึงเวลาล่าเหยื่อ ไม่นานเธอก็เดินมาถึงมหลาวิทยาลัยเพียงไม่กี่นาทีทั้งๆที่คอนโดกับมหาลัยห่างกันเป็น30กิโลเมตรแต่เธอก็เดินมาด้วยสองเท้า
.....................................................................................
มหาวิทยาลัยเอวิลแซนเดรีย เวลา 05.00 น.
เคทมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่มีท่าทางอดโรยด้วยระยะทางที่ไกลมากผู้หญิงผอมบางไม่สามารถเดินได้ขนาดนั่งรถมายังเกือบชั่วโมง ไม่รอช้าเธอเปิดประตูใหญ่แทรกตัวเข้าไปในทันที มหาวิทยาัลัยที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงยามฟ้ายังไม่สว่างบรรยากาศช่างเงียบเหงาอ้างว้างเสียเหลือเกิน เธอเดินไปนั่งในที่ม้านั่งเก่าๆตัวหนึ่งในจุดนั้นก็มีแสงตะเกียงสลัวๆ ร่างบางนั่งมองตัวอาคารของมหาวิทยาลัยเพียงแวบเดียวภาพเก่าในอดีตก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอ
โบสถ์เอวิลแซนเดรีย
เสียงระฆังวันวิวาห์พร้อมกับเสียงวงดนตรีกลุ่มใหญ่ที่บรรเลงอย่างเข้ากับบรรยากาศงานแต่งงาน เสียงเด็กๆวิ่งเล่นไล่กันในงาน ผู้คนมากมายต่างพากันใส่ชุดสวยงามมาร่วมงาน พอเริ่มพิธีตัวแทนจุดเทียนเป็นผู้เริ่มจุดเทียนที่อยู่ด้านซ้ายและขวาของบริเวณงาน ฉันเดินใจเต้นไม่เป็นจังหวะคล้องแขนออกมากับคุณพ่อฉันอยู่ในชุดเจ้าสาวที่สวยงามราวกับชุดเจ้าหญิง เสียงดนตรีประโคมฉันตลอดทางที่เดินออกมาพาใจสั่นไหวไม่น้อย คุณพ่อบีบมือให้กำลังใจฉัน อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าฉันกับคุณหมอไททั้นจะได้แต่งงานเป็นสามี ภรรยากันอย่างสมบูรณ์ ใกล้เข้ามาผู้คนที่นั่งอยู่ก็พากันลุกขึ้นให้เกียรติฉัน คุณหมอรูปหล่อในชุดสูททักสิโด้สีดำดูหล่อมาก คุณพ่อส่งฉันตรงหน้าบาทหลวงและคุณหมอ พร้อมเชกแฮนด์คุณหมอไททั้นพอเป็นพิธี ต่อมาบาทหลวงก็เริ่มอ่านคัมภีร์คู่ชีวิตและคำพูดสำคัญของพิธีก็มาถึง
"คุณหมอไททั้น คุณจะรับนางสาวเคทธี่ เป็นภรรยาหรือไม่?"
"รับครับ"
"และคุณ เคทธี่ คุณจะรับคุณหมอไททั้นเป็นสามีหรือไม่?"
"รับค่ะ"
"ทั้งคู่สวมแหวนให้กันได้" ฉันกับคุณหมอสวมแหวนให้กัน เขาประทับจูบลงที่มือของฉัน สบตาได้ซักครู่ตัวแทนก็นำเทียนมาให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวไปจุดฝ่ายชายไปทางขวา ฝ่ายหญิงไปทางซ้าย และก็เดินมาจุดตรงกลางพร้อมกัน บาทหลวงจึงให้พรและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
"ต่อไปชายหญิงสองคนนี้ได้เป็นสามี ภรรยาถูกต้องตามพิธีขอให้ทั้งคู่รักกันไปชั่วนิรันด์"
เสียงปรบมือดังเกลียวกราวเด็กๆโยนกลีบกุหลาบรอบๆทั้งสอง เดซี่เด็กผู้หญิงวัยสี่ชวบถือช่อดอกทิวลิปสีขาวสะอาดตามาให้เธอเพื่อที่จะโยน ช่วงเวลานี้สาวน้อยสาวใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างกรูกันเข้ามา เธอหันหลังและโยนช่อดอกไม้สูงลิ่วดอกไม้หล่นไปอยู่กับหญิงสาวผู้เป็นญาติของเธอ
เคทธี่และหมอมองหน้ากันและมอบจูบอันแสนหวานให้กันแต่อยู่ดีๆเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกระสุนปริศนาก็พุ่งเข้ามาที่กลางหลังทะลุหน้าอก เลือดแดงฉานจากรอยถูกยิงไหลออกมามากจนหมอไททั้นหน้าซีดเผือก ผู้คนต่างวิ่งหนีตายกันออกจากงานไป เหลือแค่ฉันกับคุณหมอกันสองคน
"เคทธี่ผมรักคุณ" คุณหมอทรุดฮวบและสิ้นใจในทันที
" ไม่!! " ฉันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
เคทสะดุ้งตัวตื่นจากความฝันอย่างหวาดกลัว น้ำตาไหลพรากออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
"เพราะแกคนเดียว" ฉันนั่งคำรามและร้องไห้ออกมาอย่างเคียดแค้น รู้ทั้งรู้ว่าที่นี่คือที่สุดท้ายที่คนรักของตัวเองตาย ทำไมฉันต้องกลับมาที่นี่
ผ่านมาแล้วกว่า 200 ปี ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรู้จัก ในตอนนี้ฉันเป็นแวมไพร์ที่สามารถกินอาหารเหมือนมนุษย์ทั่วไปได้แล้ว ไม่ต้องออกล่าเหยื่อบ่อยแค่ได้กินเป็นครั้งคราว ตอนแรกมันค่อนข้างเก็บกดนะ แต่ฉันเลือกที่จะทนเพราะยังไงฉันไม่มีวันตายอยู่แล้วก็ขอเนียนกับมนุษย์ธรรมดาเลยละกัน อีกอย่างที่อยากเล่าคือฉันอยู่คนเดียวมาตลอดเดินทางมาแล้วรอบโลก ผ่านมากี่ยุคจนมาถึงยุคนี้ ใบวุฒิบัตรนับร้อยใบจากมหาวิทยาลัยทั่วโลก พูดเป็นทุกภาษา ไม่อยากจะพูดเลยว่าฉันเรียนมาทุกวิชาแล้วและได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาตลอด เก่งใช่มั้ย ถึงจะเก่งแต่มันก็แค่นั้นแหละ ฉันเรียนเพื่อให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านมัวแต่นั่งร้องไห้ถึงแม้จะผ่านมาเป็นร้อยปี ฉันก็ยังจำได้
วันนี้ฉันกลับมาที่นี่อีกครั้ง เฟบริค บ้านเกิดของฉัน ตอนแรกฉันเกือบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ที่ฉันเคยอยู่ ตึกรามบ้านช่องใหม่ คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เคยมีก็กลายสภาพเป็นบ้านแบบใหม่ ถึงไม่คุ้นตานักแต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือ โบสถ์เอวิลแซนเดรีย คฤหาสน์ตระกูลบริงเทสตั้น คูลแลน คอนเนอร์ และโรงพยาบาลเก่ายังคงอยู่ ฉันเคยแอบไปดูลูกหลานของฉันเหมือนกัน ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาวหมดแล้ว เห็นว่าอยู่มหาลัยนี้ซะด้วย ฉันจะคอยดูแลลูกหลานของฉันและตระกูลคูลแลนของคุณให้เอง
.....................................................................................
เวลา 05.45 น.
บ้านเมเออร์
บรรยากาศตอนใกล้เช้า หมอกลงหนาตาในห้องนอนแสนอบอุ่นร่างใหญ่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มยังไม่ตื่นเพราะยังไม่ถึงเวลา 6 โมงเช้า เซ็ธ เมเออร์หนุ่มหล่อ นิสัยดีเป็นลูกบุญธรรมของเจมส์ เมเออร์ ตระกูเก่าแก่แต่ไม่ค่อยออกงานสังคมจึงเป็นตระกูลที่เงียบแต่อบอุ่น ร่างสูงคงยังไม่ลุกขึ้นมาง่ายๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น