ตอนที่ 2 : บทที่ ๑ จุดเริ่มต้น
บทที่ ๑ จุดเริ่มต้น
ใบหน้าเรียวขมวดคิ้วอย่างไม่รู้จะทำยังไงดีกับเจ้าเครื่องเล็กๆ ในมือที่กำลังส่งเสียงครางครืดๆ อยู่ขณะนี้ เพราะดูชื่อแล้วเห็นทีคงต้องคุยกันยาว และคงหนีไม่พ้นคำถามโลกแตก ที่เธอก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ และเลิกเซ้าซี้เธอในเรื่องนี้เสียที ถึงแม้จะเข้าใจดีว่าคนเป็นแม่ย่อมห่วงใยอนาคตของลูกเป็นธรรมดา
หวัดดีค่ะแม่ ในที่สุดเจ้าของเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กก็กดรับสายด้วยน้ำเสียงออดอ้อน หลังจากที่ปล่อยให้มันดังอยู่เกือบ 3 รอบ
รับสายได้แล้วเหรอแม่คุณ ทำไมให้แม่รอตั้งนาน กดมามือจะหงิกแล้ว ทำอะไรอยู่ หึ? ครั้งก่อนๆ ก็เหมือนกัน ไม่รับสายแม่แล้วยังไม่ยอมโทรกลับอีกนะ ปลายสายตัดพ้อทันทีที่ได้ยินเสียงลูกสาว นางรู้ดีว่าแม่ลูกสาวตัวดีพยายามหลบเลี่ยงโทรศัพท์ของนาง และของพี่ชายเจ้าหล่อนมากแค่ไหน
ก็วายุ่งๆ นี่คะแม่ เวลาทำงานก็ต้องเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในล็อกเกอร์ ไม่ได้รับสายของใครหรอกค่ะ ได้เห็นเบอร์โทรเข้าอีกทีก็ตอนเลิกงานโน่น แม่ก็รู้นี่คะว่ากว่าวาจะเลิกงานก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว เธอตอบตามคอนเซ็ปเดิมที่เคยตอบเสมอ
แต่ดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนแม่ก็รับโทรศัพท์ลูกได้นะยะ ผู้เป็นมารดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดแกมหมั่นไส้ลูกสาวที่ท่านทั้งรักทั้งห่วงใย โดยเฉพาะความห่วงใยที่มีมากกว่าลูกคนอื่นๆ เพราะความที่เป็นลูกสาวคนเดียวแถมยังเป็นน้องนุชคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้งสามคน
ก็วาไม่อยากกวนแม่ตอนดึกๆ นี่คะ เกิดแม่กำลังฝันดีวาก็เป็นมารผจญความฝันของแม่เสียเท่านั้น เจ้าหล่อนแกล้งเย้าคล้ายจะแก้ตัวกลายๆ
โอ้ย.. ไม่ต้องมาแถเลยแม่ตัวดีทำไมแม่จะไม่รู้ว่าเราเป็นคนยังไง ดูท่าว่าคุณแม่จะไม่หลงเหลี่ยมของลูกสาวง่ายๆ แล้วนี่เราอยู่ไหนเนี่ย?
อยู่ห้องค่ะ
ไม่ไปทำงานเหรอ แล้วเข้าไปเรียนมั่งหรือเปล่า?
เริ่มเข้าเรื่องเรียนแล้วเอาไงดี?
วันนี้วันหยุดค่ะ แล้ววาก็เตรียมตัวสอบด้วย ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว
ใกล้สอบแล้วเหรอลูก แล้วเทอมนี้จะจบหรือเปล่า?
นั่นไง! มาแล้วคำถามมหาภัย
วา... ฟังแม่อยู่รึเปล่า? เมื่อลูกสาวเงียบไป นางจึงส่งเสียงมาอีก
ฟังอยู่ค่ะแม่ ยังไม่จบหรอก วายังไม่ได้ฝึกงานเลย เสียงที่ตอบกลับฟังดูอ่อยๆ
อ้าว! ไหนบอกว่าหาที่ฝึกงานตั้งนานแล้วนี่ ยังไม่ได้อีกเหรอ?
ก็ดูๆ อยู่ค่ะ
แล้วเมื่อไหร่จะจบสักทีล่ะ? เพื่อนรุ่นเดียวกับลูกเขาจบกันหมดแล้ว แม่ไม่รู้จะตอบคำถามของคนแถวบ้านว่ายังไงถ้าโดนถามอีก คนเป็นแม่บ่นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ
แม่ก็บอกเขาไปสิคะ ว่าวาอยากได้ความรู้เยอะๆ ก็เลยอยากเรียนนานๆ ไว้วามั่นใจว่าได้ความรู้เพียงพอเมื่อไหร่เดี๋ยววาก็จบเองแหละ จากเสียงอ่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสียงทะเล้นขึ้นทันที หวังเปลี่ยนเรื่องเครียดๆ ให้เป็นเรื่องตลกขบขัน
เออ เดี๋ยวเวลามีใครมาถามแม่อีกว่าเมื่อไหร่วาจะจบ แม่จะบอกว่าวาเค้าไม่อยากจบหรอก เค้าอยากเป็นแม่เฒ่าเฝ้ามหาวิทยาลัยมากกว่า ผู้เป็นแม่ตอบกลับอย่างเอือมระอา ด้วยไม่ว่าจะเคี่ยวเข็ญเรื่องเรียนยังไง ก็ดูท่าว่าลูกสาวนางจะไม่ค่อยรับรู้
แม่อ่ะ ถ้าวาเป็นแม่เฒ่าแม่ก็เป็นคุณทวดแหละ เสียงลูกสาวกระเง้ากระงอดแกมขำนิดๆ
ย่ะ ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร แม่ก็ต้องพลอยโดนกระทบไปด้วยนั่นแหละ ก็เรามันเบ่งออกมาเองนี่ คนเป็นแม่ยังไม่วายประชด เลยได้เสียงหัวเราะครื้นเครงจากลูกสาวเป็นการตอบแทน นี่ไม่ต้องมาหัวเราะ ที่โทรมาแม่จะถามว่างานแต่งงานของพี่พิมพ์เราจะกลับมาวันไหน จะกลับพร้อมตาวัฒน์รึเปล่า?
อ๋อ วากลับเองคนเดียวดีกว่าค่ะ พี่วัฒน์กลับก่อนงานแต่งตั้ง 3 วัน วาลางานไม่ได้หรอกค่ะ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ มีพนักงานลาออกไป 2 คน ทางร้านเลยไม่ค่อยมีคน วาคงกลับไปถึงตอนเช้าของวันงานเลย
อ้าว! แล้วไม่มาร่วมงานเลี้ยงก่อนเหรอ? ญาติๆ กันทั้งนั้นนะลูก นางยุพิน ผู้เป็นมารดาหมายถึงงานวันสุกดิบที่จัดก่อนวันแต่งจริงหนึ่งวันซึ่งจะมีญาติจากทั่วสารทิศมาช่วยงาน ดูไปก็คล้ายวันพบญาติวันหนึ่ง
ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ วาไม่ใช่คนสำคัญอะไรนี่คะ ไปไม่ทันวันเลี้ยงก็คงไม่เป็นไร วายุรินทร์กล่าวอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ เธอมักเอือมกับการอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้องที่ไม่ค่อยสนิทสนม แต่คุณแม่ยุพินของเธอกลับเป็นคนญาติเยอะ และให้ความสำคัญกับญาติๆ เสมอ
หลายครั้งที่วายุรินทร์นึกอึดอัดและรำคาญเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางญาติพี่น้อง คอยฟังคนโน้นพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฟังคนนี้ถามเรื่องนี้เรื่องนั้นจนเธอต้องแอบปลีกตัวหลบเลี่ยงอยู่หลายครั้งหลายครา และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธอพยายามหลบเลี่ยงโดยการตั้งใจไปร่วมงานของพิมพ์อร ญาติสาวผู้พี่ที่คลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็กในวันแต่งงานของเธอเลย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูห้องอพาร์ตเมนต์ดังขึ้น เจ้าของห้องขมวดคิ้วแปลกใจเพราะไม่ได้นัดให้ใครมาหา เธอลุกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่นั่งทำงานตลอดทั้งบ่ายเดินไปเปิดประตู
อ้าว! อุ้ม มาได้ไง? ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน? เสียงใสร้องทัก พลางเปิดประตูรับ อ้อมดาว หรือ อุ้ม ด้วยความดีใจ
อ้อมดาวเป็นเพื่อนคนแรกที่วายุรินทร์รู้จักเมื่อเริ่มไปทำงานที่ร้านอาหารช่วงแรกๆ และแม้ว่าตอนนี้เธอจะลาออกจากร้านอาหารแล้ว เพราะเรียนจบปริญญาตรีและได้ทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยังแนบแน่นไม่เปลี่ยนแปลง อ้อมดาวยังหาเวลาว่างมานั่งเล่นนอนเล่นที่ห้องวายุรินทร์บ่อยๆ หรือบางครั้งอาจเป็นวายุรินทร์เองที่ไปขลุกอยู่อพาร์ตเมนต์อ้อมดาวทั้งวันทั้งคืนเมื่อ เชน หรือ อนุชิต แฟนของอ้อมดาวต้องกลับบ้านต่างจังหวัด
โทรมาบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ อยู่คนเดียวเหรอ? ผู้มาใหม่ถามขณะกำลังถอดรองเท้าวางบนชั้นวางข้างประตู ในขณะที่วายุรินทร์เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำพร้อมขนมขบเคี้ยวมาวางที่โต๊ะหน้าโซฟาสารพัดประโยชน์ในห้อง
ถามแปลก จะให้อยู่กับใครล่ะ? ก็รู้อยู่ว่าฉันอยู่คนเดียว
อ้าว ก็นึกว่าจะมีหนุ่มๆ มาเที่ยวห้องมั่งอ่ะดิ อ้อมดาวส่งสายตาล้อเลียนให้ พลางเดินมาทิ้งตัวนั่งกึ่งนอนบนโซฟา
นี่ อย่าบอกนะ ว่าที่แอบมาเงียบๆ เนี่ย จะมาจับผิดฉัน ขอบอก ไม่มีความผิดให้จับจ้ะ เชิญรับประทานแห้วไปได้เลย
ไม่มีจริงอ่ะ? เพื่อนสาวทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนจะแกล้งยั่ว ถามจริง ทำไมไม่มีแฟนกับเขาสักที? แก่เข้าไปทุกวันแล้วนะ
แกจะมายุ่งอะไรเรื่องของฉันเนี่ย? คนถูกหาว่าแก่เข้าไปทุกวันถามกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญนิดๆ
ก็แปลกใจไง เพื่อนเราก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ แต่ไหงยังไม่มีคู่ตุนาหงันกับใครเขาเสียทีน้า....?
ก็ใช่ซี๊ ตัวเองลอยตัวแล้วนี่ ถึงได้มีเวลาว่างมาเป็นห่วงเรื่องของคนอื่นเค้า คนไร้คู่ทำเสียงประชดเพื่อน
อ๊ะ มันแน่อยู่แล้ว เรียนก็จบ งานก็รุ่ง แล้วยังมีหนุ่มมาคอยดูแลหัวใจไม่ให้แห้งเหี่ยวเฉาตาย จะมีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีกล่ะ หือ...? เพื่อนรักทำท่าเลิกคิ้วได้อย่างน่าหมั่นไส้จนวายุรินทร์โมโหในอารมณ์ขึ้นมาตงิดๆ
เออ ขอให้เรื่องงานรุ่ง ดวงความรักพุ่งให้ตลอดแล้วกัน ไอ้เชนมันไปมีอีหนูกกอยู่ในสวนมันเมื่อไหร่ฉันจะนั่งหัวเราะสักเจ็ดวันไม่มีหยุดพักเลยคอยดู หาเรื่องย้อนเพื่อนไม่ได้ก็ต้องหาอะไรสักอย่างมาว่าให้ได้
วายุรินทร์รู้จักกับอนุชิตไล่เลี่ยกับที่รู้จักอ้อมดาว เพราะอนุชิตเองก็เป็นพนักงานรุ่นพี่ในร้านอาหารที่วายุรินทร์ทำงานอยู่เหมือนอย่างอ้อมดาว ทั้งสองเริ่มคบหาเป็นแฟนกันหลังจากที่วายุรินทร์เข้าทำงานได้ไม่นานเพราะพฤติกรรมแซวเช้าแซวเย็น แซวทุกครั้งที่มีโอกาสของวายุรินทร์นั่นเองทำให้ทั้งสองได้ลงเอยกัน ทั้งที่คนแซวก็ไม่ได้จริงจังอะไรแค่แกล้งยั่วเล่นสนุกสนาน ตัวคนถูกแซวก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรพิเศษเลยสักนิด แต่ไปไงมาไงก็ไม่รู้ทั้งคู่ถึงได้ดูรักกันปานจะกลืนกินอย่างตอนนี้ คนแซวเองก็ยังสงสัยไม่หาย
อนุชิตลาออกจากงานร้านอาหารทันทีที่อ้อมดาวเรียนจบ และกลับไปดูแลสวนที่บ้านซึ่งเป็นของครอบครัว เพื่อสร้างฐานะตนให้เป็นปึกแผ่น จะได้มาขออ้อมดาวได้อย่างออกหน้าออกตา
ได้เพื่อน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แกจะหัวเราะเยาะเย้ยฉันนานแค่ไหนก็ตามสบาย แต่วันนี้ฉันขอหัวเราะแกก่อน ที่แกยังนั่งเฝ้าคานต่องแต่ง อ้อมดาวพูดพลางหัวเราะพลางจนหน้าแดงไปหมด
เออ ทีใครทีมัน สิ้นเสียงพูดของวายุรินทร์หมอนอิงใบโตก็ลอยแหวกอากาศมาใส่หน้าอ้อมดาวเต็มๆ โดยไม่มีโอกาสเลี่ยงหลบ
โอ้ย ทำร้ายร่างกายกันเลยเหรอเนี่ย? ซาดิสม์แบบนี้น่ะสิถึงหาแฟนไม่ได้
เลิกพูดเรื่องนี้เลยนะ ถ้ายังไม่อยากตายคาห้องฉัน
จ้าๆ เลิกพูดแล้ว เลิกพูดแล้วววว อ้อมดาวแสร้งกลัว แต่ยังทำหน้าทะเล้นใส่ ฉันว่านะ ตอนนี้แกยังไม่มีใคร แกก็น่าจะลองคบกับนายณัฐไปพลางๆ ก่อนก็ได้นะวา ดีออก นายณัฐออกจะเอาใจแกจะตาย อ้อมดาวยังไม่วายแหย่วายุรินทร์เล่นด้วยการเอ่ยชื่อณัฐพงศ์ เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่แสดงทีท่าว่าชอบวายุรินทร์จริงจัง แต่วายุรินทร์มิได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับรุ่นน้องคนนั้นมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง
นี่ ยังไม่หยุดใช่มั้ย?
จ้าๆๆ หยุดแล้ว คราวนี้หยุดจริงๆ เลย คนที่พูดจ้อยๆ อยู่เมื่อครู่ร้องบอกลั่นห้อง เมื่อเห็นวายุรินทร์ทำท่าจะเข้ามาบีบคอเธอจริงๆ มาพูดเรื่องนี้กันดีกว่า วันเสาร์หน้าว่างมั้ย? คนกลัวเพื่อนบีบคอหมกห้องรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน
ทำไมเหรอ? วายุรินทร์ทำหน้าสงสัยขณะหันมาหยิบขนมเข้าปาก
ว่าจะชวนไปหาซื้อของขวัญให้เพื่อนที่ทำงานหน่อย พี่เค้าจะย้ายกลับไปทำงานต่างจังหวัด
คงไม่ได้หรอก ฉันจะกลับบ้านวันศุกร์
กลับไปทำไมเหรอ? ปกติแกไม่ค่อยกลับบ้านนี่ เห็นปีใหม่ สงกรานต์ ก็ไม่เคยกลับ แล้วไงคราวนี้มากลับบ้านได้ ไม่เห็นจะมีช่วงเทศกาลอะไรเลย หรือว่าทางบ้านแกจะแบ่งมรดก? คนถามทำหน้าเหลอหลาในประโยคสุดท้าย บ่งบอกว่าสงสัยเต็มที
ปากนะแก บ้านแกสิจะแบ่งมรดก วายุรินทร์ว่ากลับเข้าให้ ก็มีอย่างที่ไหนมากล่าวเหมือนจะแช่งชักหักกระดูกผู้ใหญ่ในบ้านเธอ
อ้าว... แล้วแกกลับบ้านไปทำไมล่ะ?
พี่สาว ลูกของป้าน่ะ จะแต่งงาน แกว่างหรือเปล่าล่ะ? ไปเที่ยวบ้านฉันมั้ย?
อืม น่าสนใจดีนะ ไปกี่วัน?
อาทิตย์นึง ไปวันศุกร์ กลับวันศุกร์
โหหห.. อ้อมดาวครางเสียงยาว ตามสบายเลย แก อยากเห็นเพื่อนตกงานมากหรือไง?
ก็แค่ถามดู ไม่ไปก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ วายุรินทร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับน้ำเสียงประชดของเพื่อน ความจริงก็รู้อยู่หรอกนะ ว่าอ้อมดาวต้องทำงาน ที่เอ่ยชวนไปก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย
แกกินข้าวยัง? ว่าจะมาหาเจ้ามือเลี้ยงหน่อย คิดถึงร้านส้มตำเจ้าประจำมาหลายวันแล้ว
แกนี่ ประจำเลย มาแล้วให้ฉันเลี้ยงทุกที เมื่อไหร่จะมาแล้วเลี้ยงฉันมั่งนะ
เอาน่าเพื่อนรัก แกก็เห็นใจฉันหน่อยสิ ควักตังค์ตัวเองทีไรกินข้าวไม่ค่อยลงทุกที แต่พอคนอื่นจ่ายให้นะ โห กินอิ่มอร่อยทุกมื้อเลย คนพูดยิ้มแป้นแร้นประจบ
วายุรินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาระคนเอ็นดูเพื่อนรัก
จะไปเลยหรือเปล่าล่ะ?
ก็ไปเลยสิ หิวจนกินควายได้ทั้งตัวแล้ว อ้อมดาวพยักหน้าหงึกหงัก ลูบท้องตัวเองประกอบเพื่อยืนยันว่าหิวมากมายจริงๆ
อย่างแกนี่ ถึงไม่หิวก็กินควายเข้าไปได้ทั้งตัวแหละน่า คนพูดลุกขึ้นไปจัดการเซฟงานที่ทำค้างอยู่ลงฮาร์ดดิสก์ ปิดโปรแกรม และชัตดาวน์เครื่องคอมพิวเตอร์
รถทัวร์พาวายุรินทร์มาถึงปลายทางเมื่อเวลาประมาณตีห้าของเช้าวันใหม่ โดยมี วิทวัธน์ พี่ชายคนโตไปรอรับที่ บขส. ในตัวจังหวัด
พี่วิททางนี้! หญิงสาวตะโกนเรียกแจ้วๆ ทันทีที่สังเกตเห็นชายหนุ่มผิวเข้ม สูงไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใบหน้าคุ้นตามาตั้งแต่เกิด
หวัดดีค่ะพี่ชายสุดที่รัก ยกมือไหว้ทำความเคารพตามมารยาทอันดีงามอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยเสร็จ เจ้าหล่อนก็กระโดดเข้ากอดพี่ชายอย่างน้องน้อยขี้อ้อนประจบประแจง ซึ่งวิทวัธน์ก็กางเขนออกรับทันทีเพราะรู้นิสัยน้องน้อยดีอยู่
จ้ะหวัดดี นั่งรถมาเป็นไงบ้าง? น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถาม มือแข็งแรงที่กรำงานสวนมาอย่างโชกโชนโยกหัวเจ้าหล่อนไปด้วย
ก็ดีค่ะพี่วิท แต่ถ้าได้นั่งเครื่องนะ วาว่าคงจะดีกว่านี้แหงมๆ เลย
แล้วทำไมไม่มาเครื่องล่ะ? พูดพลางก็ก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางใบกะทัดรัดของน้องสาวมาถือไว้ แล้วก้าวนำไปที่รถกระบะสมรรถนะสูง ซึ่งชาวไร่ชาวสวนชอบซื้อไว้ใช้เพราะมันทนทานและคล่องตัว ใช้งานได้หลากหลาย
แหม...คุณพี่คะ ให้ค่ารถมาแค่พันเดียว ถ้าวานั่งเครื่องได้ควักเนื้อเห็นๆ
ควักเนื้อแล้วจะเป็นไรไป งานก็มีทำแล้วนี่
งานมีทำ แต่ค่าแรงไม่พอกินอ่ะดิ มีพี่ชายอยู่สองคนก็พากันใจร้ายทั้งคู่ ปล่อยให้น้องสาวอดๆ อยากๆ คนเป็นน้องสาวบ่นกระปอดกระแปด แต่พี่ชายไม่หลงคารมง่ายๆ
นี่ ไม่ต้องมาบ่นเลย พี่รู้ความเคลื่อนไหวทางการเงินของเราดี เงินเดือนจากทางบ้านก็ได้อยู่ทุกเดือน แล้วไหนจะขอนายวัฒน์ใช้อีก อยู่แบบฟุ่มเฟือยน่ะสิถึงไม่พอใช้ พูดพลางก็เปิดประตูรถเอากระเป๋าเดินทางของน้องสาวไว้บริเวณตอนหลังของรถกระบะ ในขณะที่เจ้าของกระเป๋าขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว และกำลังง่วนอยู่กับการคาดเข็มขัดนิรภัย
บ่นเป็นตาแก่ไปได้พี่วิท พ่อยังไม่บ่นขนาดนี้เลย
ก็เพราะพ่อไม่บ่นน่ะสิ พี่ถึงต้องบ่นแทน ชายหนุ่มเข้าประจำที่คนขับเตรียมตัวออกเดินทาง
ขี้บ่นมากๆ ระวังจะหน้าแก่ก่อนหาเมียได้นะ ขนาดยังไม่ทันแก่ยังหาเมียยากเลย คนว่าว่าพลางหัวเราะคิก
พูดมากจริงเรานี่ วิทวัธน์ทำเสียงรำคาญน้องสาว
พูดแทงใจดำเข้าละซี้...
วิทวัธน์ใช้เวลาขับรถประมาณยี่สิบนาทีก็พาวายุรินทร์มาถึงจุดหมายซึ่งเป็นบ้านน้าสาวที่ใช้สำหรับจัดงานแต่งในวันนี้
ไงวา ไปอยู่กรุงเทพฯตั้งนาน ไม่คิดจะขาวขึ้นมั่งเลยรึเรา? เสียงทักของญาติหนุ่มคนหนึ่ง ผู้มีใบหน้าคมสัน ผิวเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ ที่ยึดอาชีพหนุ่มสวนยางสืบสานเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ดังเข้ามากระทบประสาทรับฟังของวายุรินทร์ ขณะที่คนทักกำลังเดินเข้ามาในวงสนทนาของเธอกับพี่ชาย และญาติห่างๆ อีก 3-4 คน ในตอนเช้าของวัน
นี่ อย่ามาพูดจาหยาบคายนะพี่อ้น ใครบอกว่าวาไม่ขาว พี่อ้นไม่เห็นตอนวาอยู่กรุงเทพฯเอง วาออกจะขาวจั๊วะ
ฮ้า... ขาวจั๊วะเลยเรอะ? แล้วไหงเป็นงี้ไปได้ล่ะเนี่ย เพิ่งมาถึงยังไม่ทันข้ามวันเลย
โอ้ย ไม่ต้องให้ข้ามวันหรอก แค่รถทัวร์เข้าเขตจังหวัด วาก็ดำปิ๊ดปี๋แล้ว กลับบ้านทีไรวานึกว่ามาเที่ยวแอฟริกาทุกที คนพูดทำหน้าค้อนขวัก ทำคนรอบข้างขำกับท่าทางและคำพูดของเธอไปตามๆ กัน
ความจริงวายุรินทร์ก็ใช่ว่าจะไม่ขาว ผิวของเธอออกสีแทนที่ค่อนมาทางขาว เพราะอย่างนี้จึงเรียกว่าผิวสีแทนก็ไม่ได้ ผิวขาวก็ไม่ได้อีก ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเธออยู่ในหมวดไหน แต่ข้อดีของมันคือเธอสามารถใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับผิวพรรณของเธอได้เกือบทุกเฉดสี บวกกับรูปร่างที่ดูเผินๆ เหมือนจะสูงโปร่ง ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ ถ้าเป็นสีสันสำหรับคนผิวสีแทน เธอจะใส่ได้อย่างเท่ เก๋ไก๋ มีสไตล์ แฝงความเซ็กซี่เร้าใจ ชวนให้ค้นหา ถ้าเป็นสีสันของคนผิวขาวก็ออกมาบอบบางน่ารักน่าทะนุถนอม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเองหาได้รู้อะไรในเรื่องแบบนี้เลยสักนิด
ไม่ใช่มาเที่ยวแอฟริกาหรอก อย่างเงี้ยะน่าจะเพิ่งกลับมาจากแอฟริกามากกว่าม้าง.. ญาติหนุ่มยังไม่วายแหย่
ถึงจะไม่ใช่คนผิวดำที่ดำปิ๊ดปี๋ แต่ใครเลยจะยอมให้คนอื่นมาว่ากันได้ง่ายๆ มันหยามกันอย่างแรง ต้องเอาคืนให้สาสม
ไม่ต้องมาว่าคนอื่นเค้าเลยพี่อ้น ตัวเองน่ะเห็นเดินมาไกลๆ วายังสงสัยว่าใครเอาหมีควายมาปล่อยไว้แถวนี้ ทั้งดำทั้งถึก
เอ๊ะ! ยัยวานี่ ทำไมไปว่าพี่เค้าอย่างนั้นล่ะ? คุณยุพินซึ่งควบคุมการเตรียมอาหารไว้คอยรับรองแขกเหรื่ออยู่ในครัว เดินออกมาทันได้ยินบุตรสาวตัวดีต่อว่าญาติหนุ่ม จึงอดไม่ได้ที่จะออกอาการปรามนิสัยปากไวของบุตรสาว
ก็มันจริงนี่ แม่ลองดูพี่อ้นสิ ดำมั้ยล่ะ? ถึกมั้ยล่ะ? คนโดนดุเถียงไม่ลดละ
เอ๊ะ! ยังจะมาเถียงอีก ยัยลูกคนนี้
ปล่อยเขาเถอะครับน้ายุพิน วาเค้าแค่อยากหาเพื่อนมาร่วมก๊วนคนตัวดำด้วยเท่านั้นแหละ คนตัวดำ ที่ถูกกล่าวหาทำท่าจะเต้นอีกรอบ หากไม่ได้ยินเสียงทักของผู้หญิงรุ่นคุณป้าท่านหนึ่ง
หนูวาใช่ไหมนี่? แหมเป็นสาวแล้วนะเรา โตขึ้นจนป้าจำแทบไม่ได้เลยแน่ะ ถ้าไปเจอกันที่อื่นป้าคงไม่รู้ว่าเป็นหนู ผู้มาใหม่ทักทายน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู พินิจหญิงสาวรุ่นลูกรุ่นหลานที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
วา นี่ป้าภาไง จำได้มั้ยลูก? คุณยุพินหันมาแนะนำญาติผู้ใหญ่กับบุตรสาว
อ๋อ ป้าภาหวัดดีค่ะ คนถูกแนะนำพนมมือไหว้ทำความเคารพ ป้าภา ที่ยืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า จำได้คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอสามสี่ครั้ง แต่นานมาแล้ว ก่อนเธอจะไปเรียนต่อกรุงเทพฯด้วยซ้ำ
คุณยุพินกับ ป้าภา หรือ คุณอรภา นั้นความจริงก็ใช่ว่าจะเป็นญาติกันเสียทีเดียว ทว่าความสัมพันธ์เริ่มมาจากทั้งบิดาของคุณยงยุทธ์และคุณอรรณพเป็นเพื่อนรักกันที่สามารถตายแทนกันได้ด้วยนิสัยนักเลงแบบคนจริง จึงทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นนั้นดำเนินมาถึงรุ่นลูก ซึ่งก็คือคุณยงยุทธ์และคุณอรรณพที่คลุกคลีตีโมงกันมาตั้งแต่สมัยเด็กจนกระทั่งรุ่นหนุ่มและต่างคนต่างมีครอบครัว แต่ถึงกระนั้นทั้งสองครอบครัวก็ยังคงติดต่อไปมาหาสู่กันเสมอ ทำให้สะใภ้ของทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกลมเกลียวกันไปด้วย จนเมื่อคุณอรรณพย้ายครอบครัวไปลงหลักปักฐานที่ชุมพรนั่นแหละ จึงได้ห่างหายกันไป นานๆ ครั้งจะได้ไปมาหาสู่กันบ้าง ทำให้รุ่นลูกไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไหร่ จนทุกวันนี้คงเรียกได้ว่าแทบจะไม่รู้จักกันเลยคงไม่ผิดนัก
ไหว้พระเถิดลูก แล้วมาถึงเมื่อไหร่นี่?
เพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เองค่ะ
อ้าว แล้วได้นอนพักมั่งรึยัง นั่งรถมาตั้งไกลไม่เหนื่อยแย่รึ? คุณอรภาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย จริงใจ
วาได้หลับในรถมาหลายชั่วโมงแล้วค่ะ
ออ... คนหนุ่มคนสาวก็อย่างนี้แหละนะ แข็งแรง ต่อให้ทางไกลแค่ไหนก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่เหมือนอย่างเราๆ นะแม่ยุพิน จากชุมพรกว่าจะมาถึงนี่ได้เล่นเอาเมื่อยไปทั้งตัว คุณอรภาหันไปพยักพเยิดกับขาเม้าท์เจ้าประจำ
แหม พี่ภาก็ เรามันรุ่นดึกแล้วนี่คะ จะไปเปรียบกับพวกรุ่นๆ เค้าได้ยังไงกัน
นั่นน่ะสิ คุณอรภาหัวเราะเออออห่อหมก เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับคุณยุพิน
งานแต่งของพิมพ์อรผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสพลอยเป็นสุขไปกับคู่บ่าวสาวที่สมัครสมานพร้อมใจแบ่งปันครึ่งชีวิตที่เหลือให้กัน บรรยากาศจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งรักซึ่งเบ่งบานมาจากหัวใจรักบริสุทธิ์
เมื่อพิธีการเสร็จสิ้นและงานเลี้ยงเลิกรา ญาติๆ ต่างทยอยกลับทีละกลุ่มสองกลุ่ม เหลือเพียงคณะของคุณยุพินและลูกๆ ซึ่งเป็นญาติสนิทชิดเชื้อ และคุณอรภาที่ลูกชายกำลังเดินทางมารับ
ไปเที่ยวบ้านฉันก่อนไหมพี่ภา แล้วค่อยให้ตาพงษ์ไปรับที่โน่นเลย ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว นางยุพินถามขึ้นอย่างถือสนิท เมื่อคณะของนางพร้อมที่จะเดินทางกลับ
เอาไว้คราวหน้าดีกว่านะแม่ยุพิน เมื่อครู่ตาพงษ์โทรมาบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงคงถึง ไม่อยากให้มาเสียเที่ยว อีกอย่างทิ้งบ้านมาหลายวัน ชักเป็นห่วง
ออ ตาพงษ์ใกล้ถึงแล้วรึ?
ใช่จ้ะ อยู่รอตาพงษ์ก่อนนะ รอให้เด็กได้รู้จักกันก่อน คุณอรภาพูดในความหมายที่เข้าใจกันดีระหว่างสองคน และก่อนที่นางยุพินจะตอบว่าอย่างไรวายุรินทร์ก็เดินเข้ามารายงานมารดา
เรียบร้อยแล้วค่ะแม่ เตรียมตัวขึ้นรถโลด พี่วิทจะแวะทำธุระที่ตัวจังหวัดด้วย เห็นบอกว่าออกช้าเดี๋ยวไม่ทัน
งั้นเหรอ ทำไมไม่เห็นตาวิทบอกแม่? นางมีท่าทางแปลกใจ ก่อนจะปรายตาไปทางคุณอรภาเหมือนจะรู้กันว่าโอกาสนี้คงต้องผิดหวัง
ก็วาบอกแม่อยู่นี่ไงคะ
งั้นก็กลับกันเถอะ ชักเป็นห่วงบ้านอยู่เหมือนกัน กลับก่อนนะคะพี่ภา
กลับก่อนนะคะป้าภา วายุรินทร์กล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างมีมารยาทด้วยอีกคน
จ้ะ เดินทางกันปลอดภัยนะ
อำลาเจ้าบ้านที่มารอส่งเรียบร้อยแล้วคณะคุณยุพินก็เดินทางกลับ โดยมีวิทวัธน์เป็นสารถี คุณยงยุทธ์นั่งหน้าคู่คนขับ ส่วนวัฒนันธ์ คุณยุพิน และวายุรินทร์ นั่งในตอนหลังของรถ
คณะคุณยุพินออกเดินทางได้ไม่ถึงห้านาที รถกระบะสีดำปลอดก็เข้ามาจอดหน้าบ้านเจ้าภาพงานแต่ง ชายหนุ่มร่างสูง อกผายไหล่ผึ่งคนหนึ่งเปิดประตูลงมา เขาสวมกางเกงยีนสีซีด เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเชิ้ตสีดำเนื้อหนาปลดกระดุมหมดทุกเม็ด หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าดวงหน้านั้นมีหนวดเคราขึ้นเป็นปื้นคงห่างมีดโกนมาราวสามถึงสี่วัน ล้อมรอบริมฝีปากอิ่มสีน้ำตาลจาง ริมฝีปากบนหยักมุมเด่นชัดอยู่ใต้จมูกโด่งเป็นสัน มองเลยขึ้นไปจะเจอกับดวงตาสีดำสนิทคมกริบ มองแวบเดียวก็รู้ว่าชายผู้นี้เด็ดขาดและมั่นคงแค่ไหน เหนือขึ้นไปบนศีรษะเส้นผมสีดำปลายออกแดงคงเพราะกรำแดดกรำลมมานานวันดูยุ่งเหยิงไม่เป็นรูปทรง ทว่ากลับทำให้ใบหน้านั้นดูดีได้อย่างน่าพิศวง ชายหนุ่มเข้าไปทำความเคารพเจ้าบ้านซึ่งผู้เป็นมารดาแนะนำให้รู้จักแล้วเมื่อคราที่มาส่งนางก่อนหน้าจะมีงานแต่งเพียงสองวัน ก่อนจะหันมองหามารดาซึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
ตาพงษ์ มาช้าไปนิดเดียวนะเรา ถ้าถึงก่อนหน้านี้สักห้านาทีสิบนาที จะได้เจอกับหนูวา
หนูวาไหนครับแม่? เขาถามเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ก็ลูกสาวน้ายุพินไง
อ๋อ ชายหนุ่มทำเสียงรับรู้ แต่มารดากลับคิดไปว่าตาพงษ์ หรือ ภูพงษ์ จำหนูวาของนางได้ เขาไม่สนใจอะไรอีกนอกจากจัดการนำสัมภาระของมารดาที่วางอยู่บนโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านมาใส่ท้ายรถ เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงหันไปถามมารดา กลับเลยหรือเปล่าครับแม่?
กลับสิ
กล่าวลาเจ้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยคุณยุพินและลูกชายจึงขึ้นรถเดินทางกลับ
-------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำงานด้วยเป็นช่วงๆและเรียนหลายปีกว่าจะจบ
โดนทางบ้านถามเหมือนกันโดนล้อแบบเดียวกับแม่นางเอกเลย