ตอนที่ 13 : หน้าที่ 12 ราชาสีคราม
“สำนักงานนักสืบเอกชนแห่งหนึ่งลงมืออย่างหุนหันพลันแล่น…เป็นเหตุให้เหยื่อในคดีคนหายต่อเนื่องในโยโกฮาม่าถึงแก่ความตาย…เหรอ”
ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่ถูกส่งมาให้ทุกวันแปลกก็ตรงที่เรื่องงานไหว้วานของเรานั้นได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งซึ่งถ้าเป็นข่าวดีก็คงจะดีใจกันไม่ใช่น้อยเพียงแต่มันเป็นข่าวร้ายนี่สิ…
หลังจากฉันอ่านเสร็จก็หันไปหาคุณคุนิคิดะที่สภาพจิตใจยังไม่ค่อยโอเคท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะอยู่ข้างหน้าแท้ๆแต่กับช่วยเอาไว้ไม่ได้…สายตาเขาสั่นไหวไปมากับแสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านมาที่พวกเรา ฉันที่ไม่รู้จะปลอมประโลมเขายังไงได้แต่มองหน้าเขาด้วยความเงียบ
“ศัตรูเล็งไว้แบบนั้นเองเหรอ…” เขาเอ่ยออกมาเสียงเบาเพื่อทำลายความเงียบ
“จะบอกว่าเป้าหมายคือล่อให้สำนักงานนักสืบมาติดกับเหรอคะ”
“บางทีมันคงไม่ใช่ตาฉันออกโรงอย่างที่ดาไซว่าจริงๆ…”
“คุณคุนิคิดะ?...” ฉันแอบเป็นห่วงท่าทางที่หวั่นไหวของเขาไม่สมเป็นเขาอย่างทุกทีเลย
“….คุณซาซากิล่ะ” เขาพ่นลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าโหมดทำงานและถามหาเหยื่อคนเดียวที่สามารช่วยออกมาได้
“น่าจะอยู่ที่ห้องพยาบาลนะคะ”
พอว่างั้นเสร็จฉันกับคุณคุนิคิดะก็เดินไปห้องพยาบาลกันแต่ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของคนสองคนขึ้นมาอย่างสนุกสนาน พอเข้าไปก็เจอกับคุณดาไซที่กำลังคุยออกรสกับคุณซาซากิอยู่ คุณซาซากิที่สังเกตเห็นหน้าเอ๋อๆของฉันแอบส่องอยู่ที่ประตูก็เลยชะงักหันมาหาพวกเรา
“ที่ช่วยไว้วันก่อน ต้องขอขอบคุณมากเลยนะคะถ้าตอนนั้นไม่ถูกช่วยไว้ฉันก็คงไม่มีชีวิตมาอยู่ตรงนี้หรอกค่ะ” เธอนอบน้อมกล่าวคำขอบคุณกับฝ่ายเราด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“ไม่หรอกครับ” คุณคุนิคิดะว่า
“เท่านั้นไม่พอ เมื่อคืนยังขอไปค้างบ้านมาอีก…”พอเธอพูดเรื่องนี้ขึ้นทำเอาฉันกับอีกคนที่ยืนอยู่ทำหน้าตางงๆ
“เอ๊ะ…”
“ไปค้างที่ไหนมาเหรอคะ?” ฉันถามออกไปตามความไร้เดียงสาของตัวเองก่อนจะรับรู้ถึงคำตอบที่ไม่ควรได้ยินเพราะคุณซาซากิส่งสายตามองไปยังคนที่นั่งข้างๆเตียงเธอด้วยสีหน้าเขินอาย
“บ้านเค้าเอง” คุณดาไซตอบด้วยสีหน้าระรื่น
“เอ๋….x2” ฉันกับคุณคุนิคิดะร้องขึ้นพร้อมกัน
“ฉัน…เอ่อ…ไปรบกวนท่านดาไซเอาไว้มากเลยค่ะ” เธอว่างั้นและมองเขาอย่างเขินๆ
“ก็ตามนั้นแหละ”
“นั่นมันใช่เรื่องที่นักสืบควรทำไหมเนี่ย…”
แปล๊บ…
ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆตรงหัวใจฉันก็กระวนกระวายขึ้นมามันรู้สึกเจ็บๆจี๊ดๆจนฉันต้องเอามือตัวเองไปกำเสื้อไว้
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันนะ…ถึงจะว่างั้นแต่ฉันก็รีบสลัดความคิดพวกนั้นออกให้เร็วที่สุด
พวกเราทั้งสามกลับมาที่ห้องสำนักงาน
“คุณซาซากิบอกไม่เห็นหน้าคนร้ายเลยจริงๆแหละ เห็นว่าเป็นลมประจำเพราะเป็นโลหิตจางอยู่แล้ว ที่หมดสติไปในวันเกิดเหตุเพราะสาเหตุนั้นล่ะนะ ส่วนถูกลักพาตัวไปยังไงก็ไม่รู้”
คุณดาไซพิมพ์เอกสารในคอมต่ออย่างกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกสองคนที่ปั้นหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วมองอาฆาตอยู่ทั้งข้างตัวและข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว
ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน…ว่าทำไมต้องทำหน้าตาบึ้งตึงเป็นยักษ์เป็นมารอย่างนี้
“นายชอบผู้หญิงแนวนี้เหรอ” คุณคุนิคิดะโพล่งถามขึ้นมาโต้งๆ
“ฉันก็ชอบผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ…แต่คุณซาซากิเป็นประเภทที่ถ้าช่วนไปฆ่าตัวตายคู่ด้วยคงยอมไปง่าย ซึ่งก็ดีเลย…ไม่เหมือนผู้หญิงบางคนที่กล้าปฏิเสธฉันน่ะ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มเสียดแทงใจดำใครบางคนข้างๆซึ่งก็คือฉันเนี่ยแหละ
ฉันทำหน้าบึ้งตึงมองหน้าเขาต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้แต่ก็ไม่ได้พูดขัดหรือต่อว่าอะไรอีกฝ่ายคุณคุนิคิดะก็คงรู้สึกไม่ต่างกับฉันเพราะได้แต่กัดฟันเอาไว้ด้วยความไม่พอใจลึกๆ
“แล้วคุนิคิดะคุงล่ะ ใช่สเป็คมะ?”
“เธอเป็นเหยื่อในคดีแล้วก็เป็นพยาน ก็แค่นั้นแหละ…”
“อ่า..คุนิคิดะคุงว่างั้นหรอกเหรอ” คุณดาไซพ่นลมหายใจเล็กๆออกมาด้วยความเห็นใจกับอาการปากแข็งไม่เข้าเรื่องของอีกฝ่าย
“จริงสิ อัตสึโกะจัง อ่านนี่ไหม ผู้หญิงในอุดมคตินะ” เขาเปลี่ยนเรื่องก่อนจะยื่นสมุดพกของคุณคุนิคิดะมาให้ฉันโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวว่าไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“เฮือก!!! นี่แกแอบฉกไปตั้งแต่เมื่อไหร่!!!!”
นี่มันสมุดพก อุดมคติ ของคุณคุนิคิดะที่พกติดตัวประจำนี่น่า
“อ่านเหรอ? มีเขียนไว้ด้วยเหรอคะ?” ฉันรับมันเอามาไว้ในมือแล้วเปิดอ่านทีละหน้า
“สมุดของคุนิคิดะคุงน่ะ มีทั้งกำหนดงาน แผนงาน อุดมคติทุกอย่างเขียนเอาไว้หมดเลยนา ดูนี่สิอย่างหน้านี่…” คุณดาไซพูดอย่างกับมันเป็นสมุดของตนเองแถมยังชี้แนะนำหน้าอ่านให้พร้อม
“อุหวา!!!นี่มันออกจะมากเกินไปหน่อย…” ฉันถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้าให้ แต่ก็โดนเจ้าตัวมาแย่งจากมือไปที่ข้างหลัง
“แล้วมันหนักหัวแกตรงไหนมิทราบ”
“ป่าวคะ…แต่ผู้หญิงในอุดมคติที่ว่าฉันก็แอบเห็นด้วย…”
“อย่าเอาไปให้ผู้หญิงคนอื่นเห็นจะดีกว่านะ” คุณดาไซบอกกับคุณคุนิคิดะ
“อึก…ช่างฉันเถอะน่า!!ตอนนี้เอาเรื่องลักพาตัวก่อน!! ได้เรื่องอะไรบ้างแล้วรึยัง!!” เขาว่าอย่างอารมณ์เสียกับคุณดาไซแล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องงานแทน
“ได้สิ” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“…” คุนิคิดะรอฟัง
“รูปถ่ายในหนังสือพิมพ์นี่ ถ่ายรูปคุนิคิดะคุงออกมาหล่อใช้ได้เลย”
“พูดแบบนี้แกวอนอยากโดนต่อยนักสินะ!?”
“ที่น่าเสียดายก็ตรงนี้แหละน้า…อุตสาห์ได้ลงข่าวทั้งทีน่าจะใส่แว่นที่มีเสน่ห์เร้าใจมากกว่านี้น้า แว่นจืดๆแบบนี้นะ…” คุณดาไซยังคงพูดเรื่องแว่นต่ออย่างไม่สนใจอีกฝ่ายก่อนจะไปฉกแว่นของคุณคุนคิดะมา
“เฮ้ย!”
“มีแค่คนที่หล่อขั้นเทพมาตั้งแต่เกิดแบบฉันเท่านั้นแหละที่ใส่ขึ้น ดูเป็นไงบ้าง อัตสึโกะจัง” เขาสวมเข้ากับใบหน้าของตัวเองก่อนจะทำท่าทางมั่นใจในความหล่อและถามความเห็นจากฉัน
“ก็…ดูดีใช่ได้นี่คะ…” ฉันที่ยังไม่หายอาการแปลกๆแต่ก็ตอบเขาไปตามความจริง
“ฉันเห็นแค่นักต้มตุ๋นคนนึงวะ….หืม? เดี๋ยวก่อนนะ…” คุณคุนิคิดะพูดว่าคุณดาไซแต่ก็เหมือนจะคิดอะไรออกก็เลยรีบหยิบแว่นที่ดาไซเอาไปมาสวมคืนหน้าตัวเอง
“ทำไมเหรอคะ…”
“ไปกันได้แล้ว ทั้งคู่เลย”
“…”
คุณคุนิคิดะบอกพวกเราทั้งสองให้รีบลุกและไปสักทีด้วยแต่ด้วยความยังมึนงงกันอยู่ทั้งฉันและคุณดาไซ คุณคุนิคิดะเลยหันกลับมาบอกอีกครั้งเพื่อให้คำมันกระจ่างกว่าเดิม
“รู้ตัวคนร้ายแล้ว”
.
.
“โทษทีนะ ที่อยู่ๆก็เรียกใช้” คุณคุนิคิดะบอกกับคนขับรถแท็กซี่คนเดิมที่เขาเรียกเมื่อวานให้มารับตรงท่าเรืออีกครั้ง
“เห็นบอกทางโทรศัพท์บอกรู้ตัวคนร้ายแล้ว กำลังจะไปจับอย่างงั้นเหรอครับ”
“ใช่แล้ว”
“งั้นรีบไปกันเถอะครับ จุดหมายคือที่ไหนครับ?” เขากระตือรือร้นและพร้อมจะขับไปส่งพวกเราเว้นแต่ว่า…
“ที่นี่แหละ” สิ้นเสียงคุณคุนิคิดะคนขับรถก็หันไปมองหน้าเขางงๆ
“หา?”
“สถานที่เกิดเหตุคือที่นี่ แล้วคนร้ายก็คือแกไงล่ะ…แกวางยานอนหลับใส่เหยื่อที่มาขึ้นแท็กซี่แล้วลักพาตัวไปในตอนที่หมดสติ ส่วนตัวเองก็สวมหน้ากากป้องกันสินะ”
“เป้าหมายคืออะไรกันคะ” ฉันเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ถ้าเป้าหมายล่ะก็พอนึกออกอยู่นะ” คุณดาไซบอกฉัน
“อ่ะ…”
“การค้าไงล่ะ”
“การค้าเหรอคะ…” ฉันทำหน้างง
“ก็เอาไปขายไงล่ะ ในโลกเบื้องหลังมีตลาดมืดที่ขายอวัยวะกันอยู่…เพราะเอาไปขายในต่างประเทศเลยได้เงินเยนญี่ปุ่นไม่มากเท่าไหร่แต่ถ้าทำคนเดียวคงรายได้งามน่าดู” คุณดาไซพูดอธิบายแววตาไร้ความรู้สึกใดๆ
“โหดร้ายจัง…”
“แหมๆเดี๋ยวสิครับถ้าก่อเหตุในรถแท็กซี่คนนี้จริงตำรวจที่สืบร่องรอยของเหยื่อคงรู้ไปตั้งนานแล้วสิครับ” เขายังคงยิ้มหาเหตุผลแก้ตัวกับพวกเราต่อไป
“เปล่าเลย ไม่มีใครให้ความสนใจแท็กซี่คันนี้สักคนเพราะที่เหยื่อหายไปและไม่มีร่องรอยให้ตรวจสอบในวันต่อมาอีกวัน พอลูกค้าขึ้นรถมาแกก็ทำให้เขาหมดสติจากนั้นก็จับไปขังแล้วก็ขโมยสัมภาระกับเสื้อผ้ามา…ที่เหยื่อคนในโรงพยาบาลร้างทุกคนเหลือแต่ชุดชั้นในก็เพราะแบบนั้นแล้วแกก็เอาเสื้อผ้าที่ขโมยมาใส่ปลอมตัวเป็นเหยื่อแล้วไปเช็คอินตามโรงแรมที่เหยื่อจองไว้โดยจงใจให้กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้…”
คุณคุนิคิดะอธิบายการก่อคดีอย่างละเอียดตามที่เขาได้สังหรณ์เอาไว้หรืออาจจะเป็นเพราะคู่หูอีกคน คุณดาไซมองออกแต่แรกแล้วแต่ก็ยังคอยใบ้คำตอบให้คุณคุนิคิดะอยู่เรื่อยๆโดยไม่ได้พูดออกไปตรงๆ
“ที่แกเลือกแต่เหยื่อที่ใส่แว่นกับหมวกเพราะปลอมตัวง่ายล่ะสินะเพราะแบบนั้นจะต้มพวกตำรวจได้ง่าย”
“ตอนลักพาตัวคุณซาซากิยิ่งง่ายใหญ่เลยใช่ไหมละเพราะเธอเป็นลมไปที่หน้าสถานีได้พลเมืองดีช่วยส่งขึ้นรถแท็กซี่เพราะที่หน้าสถานีเรียกแท็กซี่มันเร็วกว่าเรียกรถพยาบาลล่ะนะ” คุณดาไซเสริมเรื่องคุณซาซากิเข้าไป
“ทั้งหมดเป็นแค่พยานแวดล้อมครับ” คนขับรถยังคงสู้ต่อ
“หือ ก็นะ” คุณดาไซเองก็เห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้เลยเอนตัวมาพิงไหล่ฉันเพื่อใช้ความคิด
“ก็จริงอย่างว่าล่ะนะ…เอาไงดี คุนิคิดะคุง”
“นี่แกเอาจริง…”
“มาตั้งขอแลกเปลี่ยนกันครับ!” คนขับรถโพล่งขึ้นมาขัดคุณคุนิคิดะ
“ข้อแลกเปลี่ยน?”
“ถ้าทำตามเงื่อนไขผม ผมจะยอมมอบตัว…ช่วยคุ้มครองผมไว้ที่สำนักงานนักสืบบุโซทีครับ! ผมต้องการการคุ้มครองตัวผมใน 72 ชั่วโมงจนกว่าตำรวจจะไต่สวนและดำเนินการคุ้มครองพยานเสร็จครับ!” เขาพูดข้อแลกเปลี่ยนอย่างลนลาน
“หมายความว่าไง?”
“ผมถูกแนะนำมาครับ…องค์กรลักลอบค้าอวัยวะรับประกันให้ว่าถ้าไปได้สวยไม่มีใครจับได้แน่นอน…แล้วทำไม…”
“มีคนที่อยู่เบื้องหลังอีกงั้นเหรอ! เจ้าพวกนั้นอยู่ไหน?”
“ไม่ทราบครับ…” เขาว่าเสียงสั่น
“แต่สถานที่แลกเปลี่ยนทุกครั้งคือตึกตรงใจกลางท่าเรือทุกรอบครับ”
“ที่นั่นงั้นเหรอ…” เหมือนจะเป็นสถานที่ที่คุณคุนิคิดะรู้จักทำให้ใบหน้าคมนั้นจริงจังมากกว่าเดิม
“แล้วทำไมถึงอยากให้คุ้มครองล่ะ” คุณดาไซถามถึงเหตุผล
“อันที่จริง…ในคนที่ผมลักพาตัวมาเหมือนจะมีพวกเกี่ยวข้องกับพอร์ตมาเฟียด้วยครับ”
“เป็นเรื่องแล้วไง…” คุณดาไซว่างั้นจบก็กดหัวฉันเข้าไปที่แผลงอกตัวเองเพื่อเอาร่างกายบังอะไรสักอย่างไม่ให้มาโดนฉัน
ปังๆๆ…..ปังๆๆๆ
เสียงปืนกระหน่ำขึ้นมาจากข้างหลังเป็นพวกชายชุดดำจำนวนสองสามคนคาดว่าน่าจะเป็นพวกพอร์ตมาเฟีย
“ช่วยด้วย…ผมยังไม่อยากตาย!!” ด้วยความที่คนขับรถหวาดกลัวความตายตรงหน้าจึงรีบเปิดประตูวิ่งออกจากรถแล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียวไปอีกฝั่งนึงโดยทิ้งพวกเราเอาไว้
“ เดี๋ยวก่อน…” คุณคุนิคิดะที่กำลังจะวิ่งตามไปแต่ก็โดนชายชุดดำสองคนข้างหน้ายิงดักทางไว้
“คุณคุนิคิดะ โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ!” ฉันพยายามใช้โทรศัพท์โทรออกแต่ไม่เป็นผล
“โดนคลื่นรบกวนสินะ” คุณดาไซที่น่าจะพอรู้สาเหตุบอกกับฉัน
“ถ้าคนขับหนีไปได้ความจริงจะไม่ถูกเปิดเผย…ดาไซไล่ตามคนขับรถไปซะ ส่วนยัยหนูไปขอความช่วยเหลือจากทางตำรวจ ฉันจะดึงความสนใจไว้เอง”
“รับทราบ!! x2”
หลังจากฉันกับคุณดาไซยืนยันคำสั่งตามแผนการ คุณคุนิคิดะก็รีบขีดเขียนถ้อยคำลงไปในสมุดพกของตนเอง
“เอาล่ะนะ…พลังวิเศษ ยอดกวีร่ายคำ!!!” เขาฉีดกระดาษออกมาจากสมุด
“ระเบิดแสง!!”
กระดาษเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งของตามที่คุณคุนิคิดะเขียนและเขาก็ขว้างระเบิดแสงใส่ชายชุดกำข้างหน้าทำให้เกิดแสงสีขาวแสบตาไปทั่ว
“ตอนนี้ล่ะ!!”
สิ้นเสียงคุณคุนิคิดะพวกเราออกตัววิ่งกันไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้ก่อนฉันจะแอบสังหรณ์ใจไม่ดีเพราะจับสัมผัสได้ถึงสัตว์ร้ายบางอย่างที่กำลังมาหาคุณคุนิคิดะแต่เราจะถอยหลังไปก็ไม่ได้เลยรีบวิ่งไปอย่างเร็วที่สุดเพื่อกับมาช่วยเขา!!!
“คุณตำรวจคะ!!!!!” ฉันตะโกนเรียกคุณตำรวจตรงทางเดินที่กำลังวิ่งเข้าไปหาและบอกเขาให้ส่งกองกำลังไปที่ท่าเรือตามที่ว่า
ทางด้านคุณดาไซเองก็จับคนขับรถกลับมาได้อย่างง่ายดายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง…ส่วนฉันรีบกลับไปหาคุณคุนิคิดะก่อนจะเผลอสบตากับคนๆหนึ่งที่กำลังเดินผ่านม่านควันตรงหน้าฉันไปด้วยความเร็วแสงมีเพียงคำพูดเล็กน้อยที่เขาพูดกับฉันก่อนจะหายไป
“ครั้งหน้า กระผมจะมาจับแก จินโค…”
ฉันหันขวับไปหาต้นเสียงแต่ร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว…เมื่อกี้…อาคุตางาวะงั้นเหรอ…
“ส่งตัวคนขับรถให้สารวัตรทหารแล้วนะ”
คุณดาไซบอกกับพวกเราขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางไปที่ตึกตรงใจกลางท่าเรือแต่ถึงจะบอกว่าเป็นตึกก็เถอะแจ่มันก็คือตึกร้างอีกแล้วนั้นเอง
“นี่คือตึกที่พวกลักลอบค้าอวัยวะใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนสินค้ากันเหรอคะ?”
ยามพลบค่ำพวกเราเดินเข้ามาข้างในกันอย่างไม่ลังเลก่อนจะเห็นที่ตรงหน้าที่เหลือเพียงข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด…เพียงแต่ไร้ผู้คน
“หนีไปหมดแล้วเหรอ”
“กำแพงโดนเผาเกรียมเลยนะคะ” ฉันมองดูรอบอาคารตึกที่มีแต่รอยไหม้
“ที่นี่คือที่ที่ราชาสีครามระเบิดตัวเองไปสินะ” คุณดาไซหวนเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง
“ใช่แล้ว”
“เอ๊ะ? หมายถึงราชาสีครามผู้โด่งดังในเหตุการณ์ก่อการร้ายธงสงครามนั้นเหรอคะ?” ฉันที่ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ได้แต่แต่สงสายตางุนงงไปถามเพื่อยืนยันคำตอบกับคุณดาไซ
“ใช่…ผู้ก่อการร้ายที่ทำลายสิ่งก่อสร้างของชาติกับบริษัทต่างๆไปหลายต่อหลายแห่ง…พอฉันได้ยินชื่อผู้ส่งสาส์นสีครามก็คิดแล้วล่ะว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกับราชาสีครามแน่”
“ฉันได้ยินมาว่าสุดท้ายราชาสีครามก็ระเบิดตัวเองตัวตายไป…คือที่นี่เองงั้นเหรอคะ”
“….”
“รู้สึกจะถูกตำรวจไล่ต้อนจนมุม เลยฆ่าตัวตายไปสินะคะ?”
“ใช่…ในตอนนั้นฉันรู้ว่าเจ้านั้นมาซ่อนที่นี่ เลยรายงานตำรวจไป” อยู่ๆคุณคุนิคิดะก็เล่าเรื่องของตัวเองออกมา
“คนที่พบที่ซ่อนตัวของราชาสีครามคือคุณคุนิคิดะเหรอคะ?” เขาพยักหน้าก่อนจะเล่าต่อ
“…แต่ในวันเกิดเหตุ กองทัพ หน่วยรักษาความปลอดภัยรัฐและตำรวจออกปฏิบัติการร่วมกันทำให้สายการบังคับบัญชายุ่งเหยิงไปหมด…คนที่ได้รับรายงานแล้วไปถึงที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็วมีแค่นักสืบเพียง 5 คนเท่านั้น เรื่องยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อผู้ก่อการร้ายราชาสีครามรู้ความเคลื่อนไหวของพวกตำรวจ เขาหอบระเบิกมาแล้วขังตัวเองอยู่ที่นี่…หลังถกเถียงกันเรื่องคำสั่งไปมาสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปให้เข้าโจมตีแต่พวกนักสืบไม่ใช่ทั้งหน่วยรบพิเศษหรือผู้มีพลังพิเศษจะไปทำอะไรได้…ราชาสีครามที่ถูกต้อนจนมุม ระเบิดตัวเองตายและจบชีวิตลงโดยลากนักสืบ 5 คนนั้นไปด้วยล่ะนะ”
“จำได้แล้วล่ะ คุนิคิดะคุง…หนึ่งในนักสืบที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่ตอนนั้นคือพ่อของพ่อหนุ่มโรคุโซนั้นสินะ”
“เขาเป็นนักสืบที่ดีที่ยึดมั่นในคุณธรรม คนที่รายงานที่ซ่อนตัวกับตำรวจก็คือฉัน…ก็เหมือนฉันเป็นคนฆ่าเขานั้นแหละ”
อย่างกับเรื่องกำลังประติดประต่อเข้าด้วยกัน...อดีตที่ยังตามหลอกหลอนของคุณคุนิคิดะกำลังกลับมา...ไหนจะเรื่องที่ก็เข้าใจสักทีเรื่องระหว่างเขากับพ่อค้าข่าวคุณทากุจิ โรคุโซคนนั้น
“ไม่จริงหรอกค่ะ! ไม่ใช่ความผิดของคุณนะคะ! คนที่ผิดคือคนร้ายที่ระเบิดตัวเองตายต่างหากค่ะ!”
ฉันตะโกนบอกเขาเสียงดัง…ฉันไม่อยากให้ตัวเขาคิดว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเป็นความผิดของตัวเอง…ทำไมต้องแบกรับทุกเรื่องแบบนี้ตลอดเลยนะคนๆนี้
“ใช่แล้วล่ะ อัตสึโกะจัง…แต่ถึงแบบนั้นคุนิคดะคุงก็อดเข้าไปดูแลพ่อหนุ่มโรคุโซคนนั้นไม่ได้อยู่ดีแทนพ่อที่ตายไปแล้วล่ะนะ”
ฉันเม้มปากแน่นพลางรู้สึกเจ็บปวดแทนกับการที่ไม่ว่าใครก็ตามต้องมาเจอกับเหตุกาณ์แบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวแบบนี้เลย…
ติ่ง!!
เสียงคอมพิวเตอร์ดังขึ้นทำลายบรรยากาศอึดครึ้มขึ้นมาคุณคุนิคิดะเดินเข้าไปเปิดดูก่อนจะพบกับเอกสารฉบับหนึ่งที่ถูกเขียนเอาไว้
“คำไหว้วานถึงสำนักงานนักสืบ…ผู้ไหว้วานคือ…ผู้ส่งสาส์นสีคราม”
“อย่างงี้เองสินะ…เริ่มเดาตัวจริงของผู้ส่งสาส์นสีครามนั่นออกแล้วสิ แล้วเนื้อหาว่าไง”
“คำไหว้วานให้ไปเก็บกู้ระเบิด” คุณคุนิคิดะอ่านเนื้อหาให้ดาไซฟังตามที่ว่า
“ระเบิด!?” ฉันร้องเสียงหลง
“ถ้าเก็บกู้ระเบิดไม่ได้ก่อนอาทิตย์ตกดินพรุ่งนี้…คนหลายร้อยคนจะตาย”
“ระเบิดที่มีพลังขนาดนั้นจะสร้างได้ง่ายๆเลยเหรอคะ…”
“อุปกรณ์ที่มีอยู่ที่นี่เอาไว้ใช้สร้างระเบิดได้ แค่อุปกรณ์แค่นี้ก็สามารถสร้างระเบิดที่มีพลังทำลายล้างสูงได้แล้ว”
“ไม่จริงน่า…”
“ไม่ต้องห่วง เราไม่ปล่อยให้มันระเบิดหรอก” คุณคุนิคิดะมาตบหัวฉันเบาๆเพื่อไม่ให้ฉันคิดมากจนเกินไป
“อ่ะ…”
“ครั้งนี้แหละพวกเราจะหยุดให้ได้!!”
เขาพูดด้วยแววตาจริงจังเพราะไม่อยากให้ซ้ำรอยกับเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นอีกแล้วก็เป็นไปได้...ชีวิตของเหล่าผู้คนในเมืองโยโกฮาม่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายของผู้ส่งสาส์นสีครามอย่างงั้นก็คงจะได้สินะ
*** ข้อความจากไรท์ 21/05/20 ***
เข้าโหมดจริงจังกันแล้วววววหรือจะเข้าโหมดอินเลิฟอันนั้นก็แล้วแต่อารมณ์ไรท์...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
