ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไม่...ลืม

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ: เมื่อเธอ เจอกับ เขา

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 50


    --- 2 ทุ่ม ครึ่ง ---

                    เวลาแบบนี้ สำหรับผู้คนในเมืองใหญ่ คงยังเป็นเวลาอาหารค่ำ แสงสีคงยังครึกครื้นและคราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่สำหรับตำบลเล็กๆแห่งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันปิดบ้าน ดูทีวี หรือพูดคุยกันเบาๆภายในครอบครัว จะมีก็แต่แสงไฟตามรายทางเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างอยู่ภายนอก ในบ้านกึ่งทรงไทยหลังงามหลังนี้ก็เช่นกัน ไฟบนบ้านที่เปิดอยู่ภายในตัวบ้านมีเพียงไฟในห้องของแขกที่มาพักและไฟหน้าห้องน้ำในส่วนกลาง ที่เปิดไว้เพื่อความสะดวกของแขกเวลาเข้าห้องน้ำ ส่วนนอกตัวบ้าน ก็มีเพียงแสงไฟจากไฟแสงจันทร์ที่เปิดมองแสงสลัวในแต่ละมุมของบ้าน ที่จะเรียกให้ถูกต้องเรียกว่าแต่ละมุมของสวนเท่านั้น มองออกไปที่ศาลาริมน้ำ จึงเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆของร่างบางที่นั่งกึ่งนอนทอดอารมณ์อยู่เท่านั้น

                    "ยังไม่นอนอีกหรือลูก มานั่งทำไมมืดๆคนเดียว เดี๋ยวเถอะยุงกัดตาย"   คุณมาลีทักขึ้นเบาๆพลางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ทำให้ร่างนั้นขยับตัวเปลี่ยนท่าหันหน้ากลับมาหา

                    "ไม่มืดหรอกแม่ วันนี้พระจันทร์สว่างออก ดูสิ ทรงกลดด้วยนะ"   ปาลิดาว่าพลางชี้ชวนให้อีกฝ่ายเงยหน้าตามตนเอง   "แขกนอนหมดแล้วหรือ"

                    "ก็เข้าห้องกันแล้วล่ะ เห็นเหนื่อยกันมาทั้งวัน แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปตลาดน้ำกันด้วย"   ผู้เป็นมารดาว่ายิ้มๆอย่างพึงใจ

                    หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงรับรู้  นี่เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆของมารดา กับการทำบ้านเป็นเหมือน Home Stay ให้คนเมืองใหญ่และชาวต่างชาติ ได้มาสัมผัสชีวิตชนบท ซึ่งเธอเองก็เห็นชอบด้วย เมื่อมารดาอยากหาอะไรทำเวลาว่าง

                    "แล้วหนูล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เข้ากรุงเทพไม่รีบนอนหรือลูก"

                    "โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ หนูไม่ไปเช้ามากหรอก พรุ่งนี้ยังไม่เริ่มงานจริงหรอก กะว่าซัก 10 โมงค่อยไปน่ะ"   เธอว่าพลางจุดตะเกียงน้ำมันหอมขึ้น ให้แสงสว่างเล็กน้อย แต่มีกลิ่นหอมเย็นๆลอยมา ปาลิดาชอบของพวกนี้ ถึงแม้เธอจะเรียนจบด้านศิลปศาสตร์ แต่ความรู้ในการผสมน้ำมันหอมของเธอดูเหมือนจะเชี่ยวชาญกว่าวิชาที่เรียนจบมาซะอีก สมัยที่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย เมื่อถึงวันเกิดของเพื่อนสนิท หญิงสาวจะใช้เวลากว่าอาทิตย์ในการคิดผสมกลิ่นน้ำหอมที่น่าจะเข้ากับเพื่อนของเธอทุกคน จนกลายเป็นฉายาในหมู่เพื่อนที่ตั้งให้ว่า "ยัย mint" เพราะเธอเป็นคนที่เหมาะกับกลิ่นมินท์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสบู่มินท์ น้ำมันหอมกลิ่นมินท์ หรือแม้แต่โคโลญก็ยังเป็นกลิ่นมินท์ แทนที่จะเรียกเธอว่า "ปาย" ซึ่งเป็นชื่อเล่นจริงๆของเธอ

                    "ตามใจลูก แม่ฝากบอกยัยเล็กด้วยแล้วกันนะว่า แม่คิดถึง ไว้จะหาโอกาสไปหาที่คอนโด ช่วงนี้แขกเข้าเยอะเหลือเกิน ไม่มีเวลาเลย"   คุณมาลีว่าพลางลุกขึ้นยืน   "งั้นแม่ไปนอนละนะ เราเองก็อย่านอนดึกล่ะ"

                    "จ้า อีกแป๊บนึงก็ไปนอนแล้วค่า คุณนาย"   หญิงสาวแกล้งลากเสียงยาน จนผู้เป็นมารดาต้องหันมาค้อนให้หนึ่งทีอย่าหมั่นไส้แกมเอ็นดูก่อนจากไป ปาลิดาเงยหน้ากลับขึ้นไปมองบนท้องฟ้าสีหม่นอีกครั้ง คิดถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่น้องสาวต่างบิดาของเธอ "ยัยเล็ก" หรือ แซนดรา  ฌอน  เฟลลิงค์  ดารานักแสดงสาวลูกครึ่งไทย สเปน ชื่อดัง มาหามารดาและเธอที่บ้าน

                    "นะคะ แม่ให้พี่ปายไปช่วยแซนด์นะ แซนด์ไม่มีใครจริงๆที่พอจะพึ่งได้"

                    "อะไรกันยัยแซนด์ จะให้พี่เนี่ยนะไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวเธอน่ะนะ โห ไม่เอาอ่ะ"   ปาลิดาว่าพลางส่ายหน้าจนเจ้าของชื่อทำหน้ามุ่ย

                    "ไรอ่ะ ช่วยแค่เนี๊ยไม่ได้หรือไง เห็นน้องลำบากแล้วไม่ช่วยเหรอ ใจร้าย"   คุณมาลีที่ฟังอยู่เงียบๆตั้งแต่ต้นถอนใจพลางหันไปหาบุตรสาวคนโต

                    "เอาล่ะๆ ปาย ไปอยู่ช่วยน้องสักพักนะ อย่างน้อยจนกว่าคุณแพทตี้จะหายดีก็แล้วกัน"   เธอว่าพลางเอ่ยถึงผู้จัดการชายร่างใหญ่ใจหญิงของลูกสาวคนเล็กที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน

                    "อะไรกันอ่ะแม่ มัดมือหนูชกงี้เลยเหรอ"

                    "โธ่ นะคะ นะคะพี่ปาย ช่วยแซนด์นะ ถ้าพี่แพทตี้ไม่โดนรถชนจนต้องเข้าเฝือก แซนด์ก็ไม่รบกวนพี่ปายหรอก นะ นะ พี่ปาย"   น้องเล็กของครอบครัวว่าพลางเกาะแขนพี่สาว ทำหน้าทำตาอ้อนตามแบบฉบับดารา ปาลิดาถอนใจหนักหน่วง พลางพยักหน้าเบาๆอย่างเสียไม่ได้ จนน้องสาวคนเล็กร้องกรี๊ดลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น

                     "ไชโยๆๆๆ แซนด์จะรอพี่ปายที่คอนโดนะคะ วันอาทิตย์หน้าพี่ปายขึ้นไปหาแซนด์เลยนะ ฮิฮิ ขอบคุณค่าาา"  ....
                     ..หญิงสาวหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงหน้าน้องสาวคนสวยของเธอ ถึงแม้แซนด์จะเป็นน้องสาวต่างบิดา แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนโตมาด้วยกัน จึงทำให้เธอไม่รู้สึกขัดเขินในการวางตัว แต่ด้วยความที่นิสัยต่างกันมาก  แซนด์จะเป็นคนสนุกสนานร่าเริง ต่างกับเธอที่เป็นคนเงียบๆ จึงทำให้ทั้งสองไม่ค่อยได้ใช้เวลาด้วยกันแบบพี่น้องมากนัก
                     "ขอโทษครับ ตรงนี้มีคนนั่งรึเปล่าครับ"  เสียงๆหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หญิงสาวหันไปตามเสียง ก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางเป็นนักท่องเที่ยว มือหนึ่งสะพายกล้อง อีกมือหอบของฝากจาก"เมืองแม่กลอง" พะรุงพะรัง
                     "ขอโทษค่ะ นั่งได้ค่ะ ตรงนี้ว่าง" ปาลิดาว่าพลางยกเป้ใบเล็กซึ่งวางไว้ที่เบาะข้างๆขึ้นวางบนตัก ปกติ หากคนไม่แน่น หญิงสาวมักจะวางกระเป๋าไว้แบบนี้เสมอ ด้วยไม่ชอบให้มีคนที่ไม่รู้จักมานั่งอยู่ข้างๆเท่าใดนัก แต่วันหยุดปลายสัปดาห์อย่างวันนี้ คนเดินทางเข้ากรุงเทพกันมาก นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว พวกมนุษย์งานก็ยังกลับเข้าไปเพื่อเตรียมตัวทำงานวันจันทร์ด้วย 
                     ชายหนุ่มโค้มตัวลงนิดหนึ่งอย่างสุภาพ ก่อนจะทำท่าเก้ๆกังๆเก็บข้างของขึ้นบนชั้นวาง ปาลิดานั่งมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกไปอย่างคนเคยตัวจากงานบริการ 
                    "ส่งกล้องมาให้ช่วยถือก่อนไม๊คะ คุณจะได้เก็บของสะดวก" 
                     ชายหนุ่มคนนั้นก้มหัวลงมามอง แล้วก็ปลดกล้องลงพร้อมยื่นส่งให้ "ครับ ขอบคุณ"  พลางเก็บของเข้าที่และลงนั่งจนเรียบร้อยจึงยื่นมือมาขอกล้องคืน "ขอบคุณมากๆครับ เรียบร้อยแล้ว" 
                    "ค่ะ" เธอรับคำเบาๆพร้อมส่งกล้องคืนให้ แล้วไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก แต่ร่างสูงกลับเอ่ยต่อ  "เอ่อ จะรังเกียจไม๊ครับ ถ้าผมขอถามอะไรสักนิด" 
                    "อะไรคะ"
                    "คือ..." เขาว่าพลางหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมากางให้ดู  "ถ้าผมจะไปที่นี่ ต้องทำอย่างไรครับ" 
                    ภาพที่ชายหนุ่มเอาให้ดูเป็นภาพวัดอันคุ้นตาของปาลิดาเป็นอย่างดีและคงคุ้นตาของคนทั้งเมืองไทยเช่นกัน นั่นทำให้ร่างบางยิ้มและถามกลับอย่างแปลกใจ  "วัดพระแก้ว?" 

                   "ครับ คือผมไปไม่ถูกจริงๆครับ รู้แต่ว่าอยู่ไม่ไกลจากสายใต้นัก อยากจะลองแวะไปก่อนกลับโรงแรม ไม่รู้จะทันหรือเปล่า เพราะเย็นนี้ก็ต้องบินแล้วครับ" ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มเก้อๆ นั่นเลยทำให้ปาลิดาเข้าใจว่าที่จริงเค้าไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวจากกรุงเทพ แต่เป็นจากต่างประเทศเลยต่างหาก ถึงแม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่เขาพูดไทยชัดแจ๋ว

                   "อ๋อ ค่ะ ไม่ไกลหรอกค่ะ แต่คุณคงจะเข้าไปไม่ได้แน่ๆค่ะ ขอโทษนะคะ บังเอิญที่นั่นเค้าไม่ให้คนแต่งตัวไม่สุภาพเข้าน่ะค่ะ คือ คุณนุ่งกางเกงขาสั้นเข้าไม่ได้ค่ะ"  หญิงสาวแนะนำตามที่เคยรู้มา  
                   "อ้าว เหรอครับ โธ่ ผมไม่ได้เอามาเปลี่ยนเสียด้วย เพิ่งออกจากโรงแรมเมื่อเช้าก็มาที่นี่เลย เสียดายจริงๆครับ"  ชายหนุ่มว่าพลางส่ายหัวเบาๆ   "เอาไว้ผมมาอีกทีดีกว่า คงต้องเคลียร์งานก่อน"  ว่าพลางหันมายิ้นให้หญิงสาวอีกครั้งอย่างคนอารมณ์ดีพลางยื่นมือออกมาตามรูปแบบฝรั่งจ๋า  "ผม เควินครับ เรียกว่าเคนท์ก็ได้ ยินดีที่รู้จักครับ" 
                   หญิงสาวยิ้มพลางยื่นมือออกไปสัมผัสเล็กน้อยอย่างสุภาพ   "ดิชั้น ปาลิดาค่ะ คุณเควินพูดไทยชัดมากเลยนะคะ เป็นคนไทยรึเปล่าคะ"
                  ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆพร้อมกับพยักหน้า  "ครึ่งหนึ่งผมเป็นคนไทยครับ พ่อผมเป็นคนไต้หวัน แต่แม่เป็นคนไทย แต่พวกท่านย้ายไปอยู่ที่โน่นกันหลายปีแล้ว" 
                  ทั้งสองคนคุยกันอีกหลายเรื่อง ปาลิดารู้สึกสบายใจอย่างประหลาดในการคุยกับเพื่อนรวมทางแปลกหน้าเช่นนี้ ทั้งที่เธอไม่เคยชอบการที่มีคนไม่รู้จักมานั่งข้างๆ จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รถทัวร์สาย996 แล่นเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพ เสียงพนักงานเก็บตั๋วเอ่ยบอกปลายทาง ผู้โดยสารต่างพากันขยับตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง
                  "หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ " เควินว่าพลางยิ้มอีกครั้ง แล้วเขาก็หยิบเอานามบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์สีขุ่น "นี่ครับนามบัตรผม ถ้าไปเที่ยวไต้หวันอย่าลืมโทรหานะครับ ผมจะพาเที่ยว" 
                  หญิงสาวรับมาพร้อมยิ้ม " ค่ะ หวังว่าคงจะได้พบกันอีก เที่ยวให้สนุกนะคะ".....
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×