คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ข้อตกลงที่เจ้าแฝดเสนอ
-5-
ข้อตกลงที่เจ้าแฝดเสนอ
“แฮ่ก ๆ” ร่างเล็กในสภาพที่เหนื่อยหอบก้มหน้าลง มือเท้าไปที่แขนเพื่อพยุงตัว นัยน์ตาวูบไหวจวนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ หากให้เทียบสภาพของอคิราห์กับเจ้าสุนัขก็คงแยกไม่ออกว่าอันไหนคนอันไหนสัตว์กันแน่ ส่วนเหตุผลที่แยกไม่ออก ก็คงเพราะลิ้นสีแดงสดที่ห้อยออกมาพร้อมกับน้ำลายเหนียวหนืดซึ่งย้อยตรงปลายลิ้น “อึก”
นี่แค่มาทำงานวันแรกยังขนาดนี้ พรุ่งนี้จะขนาดไหนเขาไม่อยากจะคิดมันเลย เป็นอะไรที่อคิราห์กล้าพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำว่าโคตรเหนื่อย มันเหนื่อยกว่าการที่เขาต้องวิ่งส่งเอกสารตอนเข้าไปฝึกงานที่บริษัทเสียอีก
Rrrrrrr
ก๊อก แกร๊ก...
(อิมเมจ กาแฟของผมได้รึยัง)
“ดะ..ได้แล้ว ครับ”
(เร็ว ๆ)
“ครับ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”
(อืม)
8 ชั่วโมงก่อนหน้า
“อ่า เป็นอะไรที่เลือกไม่ได้สินะ”
“...”
“ถ้าอย่างนั้น...เราก็ควรมาทำความรู้จักกันไว้เยอะ ๆ นะครับ คุณอิม” ฟรั้งค์เอ่ยบอกพร้อมทั้งเน้นคำโดยเฉพาะชื่อของเจ้าคนไม่รู้ชะตาให้นึกหวั่นใจเล่น ขณะเดียวกันคนที่รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่ตลอดเวลาก็มองสำรวจเจ้าเด็กโข่งที่ตนต้องดูแลด้วยความแนบเนียน โดยกะจากระยะสายตาและเวลาอันกระชั้นชิดนั้นทำให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าฟรังค์และแฟร้งค์มีอุปนิสัยที่ต่างกัน ทางฟรังค์ที่เป็นคนพี่ดูจะเข้าถึงยาก เหมือนว่าอีกฝ่ายพยายามรักษาภาพพจน์ของตัวเองตลอดเวลา ที่สำคัญความเคร่งขรึมบนใบหน้านั้นแผ่กำจายให้อคิราห์ได้รู้สึกหนาวสั่นแบบไม่เกรงใจแอร์ที่เปิดด้วยอุณหภูมิยี่สิบกว่าองศานั่นเลย ส่วนแฟร้งค์นั้นคงเดาได้ไม่ยาก อีกฝ่ายดูยิ้มง่าย เข้าถึงได้ง่ายกว่าฟรังค์หลายเท่าตัว ทว่าความเข้าถึงง่ายนั้นก็เหมือนจะทิ้งไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์เจ้ากล
“อะ..เอ่อ ผมชื่ออิมเมจ อายุ 25 ปี จบการตลาดจากมหาลัยราชภัฏ” นัยน์ตาสีม่วงเลื่อนขึ้นมองสบกับคนสองคนตรงหน้าสลับกันไปมา อนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องวางจุดโฟกัสสายตาไว้ตรงไหน เขาพักหายใจหายคอให้โล่งไปชั่วครู่แล้วเริ่มพูดแนะนำตัวใหม่ ปากเล็กยกยิ้มอย่างใจดี ทำตามสำนวนไทยที่ว่า ‘ใจดีสู้เสือ’ เผื่อว่าพระเจ้ายังพอเห็นใจให้ตนได้รอดพ้นจากภัยอันตรายตรงหน้า “อ่า คือ ขอบอกไว้นิดหนึ่งนะครับ ผมไม่เคยทำงานเลี้ยงดะ...เอ่อ ดูแลคนอื่นน่ะครับ ไม่เคยทำมาก่อนเลย”
“แล้วก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไร”
“ก่อนหน้านี้ผมทำงานบริษัทมาก่อน งานเกี่ยวกับเอกสารน่ะ ”
“หืม งั้นเหรอ แล้วทำไมถึงรับงานนี้ล่ะ” แฟร้งค์ยังคงถามต่อด้วยความสงสัย
“เอ่อ..คือ”
“คืออะไรครับ” เป็นฟรังค์ที่รีบสำทับเพื่อกดดันให้อีกคนรีบคายความลับ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ตนในภายภาคหน้า ทว่าคำตอบที่ได้รับนั้นก็ดูธรรมดาเกินไป
“คือผมตกงานเลยลองเข้าเว็บหางานดู แล้วก็เจองานนี้พอดี เลยลองสมัคร”
“อือหึ”
“ตะ..แต่ แต่ว่าในรายละเอียดเขาบอกว่าผมต้องดูแลเด็กสองคน” และเขาก็ไม่คิดว่าเด็กชายแสนน่ารักจะกลายเป็นเจ้าเด็กโข่งที่โตจนหมาเลียตูดไม่ถึง คิดแล้วก็ได้แต่เออออกับตัวเอง ด้วยเพราะอคิราห์นั้นไม่กล้าพูดออกไปแบบเต็มปากเต็มคำว่าตนเองก็ถูกล่อลวงมาเหมือนกัน หากว่ารับรู้ตั้งแต่แรกว่าเด็กที่ต้องดูแลจะเป็นผู้ใหญ่มากอารมณ์เขาคงไม่ตกปากรับคำคุณวิชัยออกไป
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง”
“...”
“อืม” เจ้าฝาแฝดพยักหน้าหงึกหงักแล้วตอบรับออกมาพร้อมกัน โดยที่แฟร้งค์นั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปเลยนอกเสียจากการตอบรับในลำคอ
“งั้นพวกผมขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฟังให้ดี ๆ นะครับ ผมแฟร้งค์” มือหนายกขึ้นมาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนจะชี้ไปทางพี่ชายฝาแฝดที่ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง พร้อมทั้งยืดตัวตรง “นั่นฟรังค์”
“ครับ”
“พวกเราเป็นแฝด และพวกเราก็อายุ 29 แล้ว ไม่ ต้อง การ คน ดู แล แล้วครับ”
“โอ้แม่เจ้า!!” เสียงอุทานของเจ้าตัวเล็กดังขึ้นราวสายฟ้าฟาด ไม่เพียงแต่คำตอบที่ได้รับ แต่มันเหมือนคำปฏิเสธที่พุ่งชนเข้ามาอย่างจังว่าพวกเขานั้นโตเป็นควายจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วจริง ๆ
ฝ่ายคนพูดที่ทำทีปฏิเสธต่างก็จ้องมองดวงตาซึ่งเบิกกว้างแทบจะถลนออกมาด้วยความขบขันอยู่ในใจ ทว่าเมื่อมือเรียวที่เคยกุมไว้ด้านหน้ายกขึ้นมาปิดปากเล็กดูจิ้มลิ่มที่อ้าหวอก็จำต้องหลุดหัวเราะออกมาแบบไร้เสียง แต่แค่แวบเดียวพวกเขาก็กลับมาทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับอคิราห์ไปมากโข เพราะอีกฝ่ายมีแค่คำถามที่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่ามันคือเรื่องจริงใช่ไหม ต่อให้ได้ยินมันแจ่มแจ้งแค่ไหนชายหนุ่มก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย
คิดแล้วก็ได้แต่มองฟรังค์กับแฟร้งค์สลับกันตาปริบ ๆ ปากหุบเข้าหุบออกด้วยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี แต่สุดท้ายก็เค้นเสียงพูดออกไปจนได้
“อ่า ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงผมก็ต้องทำหน้าที่ดูแลพวกคุณอยู่ดี” ถึงตนจะอายุน้อยกว่าสี่ปีก็ไม่ได้เกิดผลกระทบอันใด เพราะงานแบบนี้มันวัดกันที่ฝีมือและความคล่องแคล่ว ถ้าเลี้ยงเด็กเขาก็ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน และถ้าเขาเลี้ยงเด็กก็จำต้องให้ความใส่ใจดูแลไม่ต่างจากคนพวกนี้นักหรอก ปลอบใจตัวเองเสร็จสรรพก็ยกยิ้มใจดีให้เจ้าฝาแฝดที่กระตุกยิ้มกลับมาให้พร้อมคำตอบรับที่เหมือนจะเปิดศึกสงครามแก่กัน
“หึ ได้สิ” หากแต่เสียงตอบรับในลำคอของแฟร้งค์นั้นทำให้อคิราห์นึกหวั่นอยู่ไม่น้อย เหมือนอีกคนกำลังบอกให้เขาเตรียมหม้อ ไห กะละมังมาเป็นเกราะกำบังให้ดี ๆ
“เอาล่ะ งั้นเรามาเริ่มงานกันเลยดีไหมครับ”
“ครับ”
“งั้นคุณช่วยเอานี่ไปให้ป้าเพ็ญหน่อยสิครับ” ฟรั้งค์ยื่นแก้วกาแฟของตัวเองไปข้างหน้า ส่งผลให้อคิราห์ที่ยืนอยู่เกินช่วงแขนต้องขยับเข้ามารับมันไว้ ก่อนจะหันไปรับของแฟร้งค์ที่ส่งมันมาให้เขาเช่นกัน
หากแต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปไหน เสียงทุ้มของเจ้าหนุ่มผมสีเทาน้ำตาลกลับรั้งให้ร่างเล็กหันมามองด้วยความสงสัย ต่อด้วยคนพี่ที่พูดเสริมโดยไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างให้เลย “เสร็จแล้วตามขึ้นไปที่ห้องทำงานด้วยนะครับ”
“ถ้าไปไม่ถูกก็ให้แม่บ้านพาไปแล้วกันนะ เพราะพวกผมคงไม่มีเวลาพาคุณชมสถานที่”
“ครับ”
สองขาก้าวเดินสลับกันไปมา ในมือถือจานที่มีแก้วกาแฟวางซ้อนอยู่ สายตาสำรวจไปรอบด้านว่าตรงไหนคือห้องอะไรบ้าง โดยจุดหมายปลายทางที่ชายหนุ่มต้องการคือห้องครัวที่คงฟุ้งไปด้วยกลิ่นอาหาร เดินอยู่นานในสุดก็เจอห้องครัวห้องใหญ่ซึ่งมีสาวใช้และแม่บ้านสูงวัยยืนเก็บข้าวของเข้าชั้นให้เป็นระเบียบ
ระหว่างที่ยืนลังเลอยู่นานว่าจะเดินเข้าไปเลยดีไหมก็มีคนตาดีคนหนึ่งหันมาเห็นเขาเข้าแบบพอดิบพอดี เธอส่งสายตาสงสัยมาให้ก่อนจะหันไปสะกิดคนข้าง ๆ ให้หันมามองตนเช่นกัน เมื่อเห็นแบบนั้นอคิราห์จึงเอ่ยปากชวนพูดคุยออกไปไม่ให้บรรยากาศมันกระอักกระอ่วน อีกใจก็กลัวว่าแม่สาวใช้ตรงหน้าจะวิ่งแจ้นไปแจ้งตำรวจว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในบ้านของผู้เป็นนาย “เอ่อ คือ คุณฟรังค์กับคุณแฟร้งค์ให้ผมเอาอันนี้มาเก็บ”
“เอ๋ เป็นคนงานใหม่รึ”
“ใช่ครับ ผมเพิ่งมาใหม่” ใหม่แบบแกะกล่องเลยก็ว่าได้
“อ้าว งั้นเข้ามาเลย เอามาวางตรงนี้ เดี๋ยวป้าจะล้างเอง” มองสำรวจอยู่นานก็ได้ใจความว่าหญิงมีอายุตรงหน้าคงเป็นป้าเพ็ญที่เจ้าฝาแฝดเอ่ยถึง ได้ยินแบบนั้นอคิราห์จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปตามคำบอกกล่าว เขาวางจานและแก้วกาแฟไว้ในซิงค์ แล้วก็ถือโอกาสล้างมือของตัวเองไปด้วย สาเหตุที่ทำแบบนั้นก็เพราะฝ่ามือของเขานั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เป็นเหงื่อที่ถูกกระตุ้นมาจากความตื่นเต้น ความกลัว ความไม่เข้าใจในอารมณ์ ซึ่งแผ่ออกมาพร้อม ๆ กันในเวลาไม่กี่นาที
“เอ่อ คือ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”
“ถามอะไรรึ”
“คือ ห้องของคุณแฟร้งค์กับคุณฟรังค์อยู่ตรงไหนเหรอครับ”
“ห้อง”
“ครับ”
“เขาบอกให้คุณขึ้นไปหรือ” เธอถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่อยู่ร่วมกันมาหลายปีเจ้านายทั้งสองไม่ยินยอมให้ใครขึ้นไปโดยพลการ และจะขึ้นไปได้เฉพาะคนที่มีหน้าที่ทำความสะอาดเท่านั้น
“ใช่ครับ เขาบอกให้ผมขึ้นไปหาที่ห้องทำงานถ้าผมเอาแก้วมาเก็บเสร็จแล้ว”
“อ่อ ป้าก็นึกว่าคุณ ๆ เขาให้ขึ้นไปบนห้องโน้น”
“แหะ ๆ ขอโทษครับ ผมพูดไม่ละเอียดเอง”
“ไม่เป็นไร ๆ ยายแจ๋วพาคุณเขาขึ้นไปห้องทำงานหน่อยเร็ว”
“ค่ะป้า!!” เสียงตอบรับของหญิงสาวดังกังวานก่อนที่เจ้าของร่างเล็กป้อมจะปรากฏตัวออกมาให้อคิราห์ได้เห็น เมื่อเห็นว่ามีคนพาไปแล้วชายหนุ่มจึงก้มหัวขอบคุณและเดินตามหลังแจ๋วไปตลอดทาง ก้าวข้ามบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าจนในที่สุดก็ถึงห้องทำงานของเจ้าฝาแฝดซะที “ห้องนี้แหละจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
“โอ๊ย ขอบคงขอบคุณอะไรกัน เดี๋ยวก็ต้องเจอหน้ากันบ่อย ๆ แล้ว รู้จักกันไว้ ๆ”
“ฮะ ๆ ครับ”
“เออนี่ ว่าแต่มาทำงานตำแหน่งอะไรเหรอ”
“พี่เลี้ยงครับ”
“โอ๊ะ พี่เลี้ยงรึ”
“อ่า”
“ฮิ ๆ โชคดีนะพ่อหนุ่ม ฉันต้องรีบไปทำงานแล้วล่ะ” ว่าแล้วก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทว่าอีกนัยก็เหมือนเจ้าหล่อนมีเรื่องยุบยิบให้รู้สึกคันปากจนต้องหาที่ระบาย ถึงกระนั้นอคิราห์ก็ไม่ได้สนใจ เขายกมือขึ้นเกาหัวแก๊ก ๆ ก่อนจะกำมือเข้าหากันและเคาะไปบนบานประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขอเข้าไปนะครับ”
“เชิญครับ” เมื่อได้รับอนุญาตจึงบิดลูกบิดแล้วเดินเข้ามาข้างในที่ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำเหมือนห้องรับแขกด้านล่างไม่ผิดเพี้ยน สิ่งต่อมาที่ยังเหมือนเดิมก็คือร่างสูงที่ถอดแบบกันออกมากำลังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟากำมะหยี่ราคาแพง พอมองไปรอบ ๆ ก็เจอกับโต๊ะทำงานที่ตั้งไว้ตรงกลาง ที่มุมหนึ่งมีชุดโซฟาคล้ายโต๊ะรับแขกตั้งอยู่ ถัดออกไปไม่ไกลพบตู้หนังสือหลายตู้วางเรียงรายอย่างเป็นระบบระเบียบ เมื่อมองไปอีกฝั่งกลับพบประตูบานหนึ่งอยู่ชิดด้านในสุดของห้อง
“นั่งสิ” เป็นแฟร้งค์ที่เอ่ยเรียกให้คนตัวเล็กเลิกสำรวจห้องทำงานของเขาเสียที ทว่าชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างชอบใจ เหตุเพราะท่าทีตกใจของคนดูแลคนใหม่มันชวนให้เขาเอ็นดู
“ครับ”
“เรามาทำข้อตกลงกันดีไหมครับ” เมื่อเห็นว่าร่างเล็กนั่งเรียบร้อยแล้วฟรังค์จึงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ เป็นข้อตกลงที่พวกเขาทำขึ้นก่อนที่อคิราห์จะเดินทางมาถึงที่บ้านเสียด้วยซ้ำ ความจริงก็ตั้งแต่ที่รู้ว่าวิชัยหาคนดูแลคนใหม่ได้แล้วนั่นแหละ “นี่คือข้อตกลงของเรา”
“ข้อตกลงระหว่างการทำงาน”
“ครับ จริง ๆ พวกเราทราบข้อตกลงระหว่างคุณกับคุณชัยดี แต่ข้อตกลงอันนี้เป็นข้อตกลงระหว่างเราไม่เกี่ยวกับคุณชัย คุณลองอ่านดูสิ” ขณะที่พูดไปทำท่าทางอย่างนักธุรกิจที่กำลังเสนอราคาหรือตกลงการลงทุนร่วมไปพลาง ฟรั้งค์ก็ยกยิ้มอย่างนึกสนุกและพูดประโยคบีบบังคับแกมดูถูกไปในที “แต่ถ้าคุณรับข้อเสนอนี้ไม่ได้ ผมแนะนำให้คุณลาออกไปเลยดีกว่า”
“...”
“ต่อให้คุณอยู่ในช่วงทดลองงานผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าคุณลาออกไปจะดีกว่า”
อคิราห์ไม่ได้สนใจคำพูดของแฝดคนพี่เลยสักนิด เพราะเขากำลังจดจ่อสายตาและความสนใจไปกับอักขระบนกระดาษที่อยู่ในมือ โดยข้อความที่ถูกดีดออกมานั้นลงรายละเอียดทุกอย่างไว้แบบชัดเจน ใจความระบุถึงหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบเอาไว้ว่า จะต้องเริ่มงานตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงสามทุ่มแบบไม่ขาดไม่เกิน เขาจะต้องติดตามเจ้าฝาแฝดไปทุกที่เพราะอีกฝ่ายนั้นมีงานมีการที่ต้องทำเช่นกัน
นัยน์ตาสีหายากเลื่อนขึ้นสบกับแฟร้งค์ที่มองเขาด้วยความเคร่งขรึมเมื่ออ่านมาถึงข้อตกลงข้อที่สามซึ่งบอกเอาไว้ว่า เมื่อพวกเราเรียกคุณต้องมาภายในห้านาที เป็นความรู้สึกที่เขาอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง แต่เมื่อเจอข้อต่อไปที่ว่า ไม่มีวันหยุดให้แต่จะเพิ่มเงินเดือนให้จากเดิมที่ได้รับ กรณีที่เจ็บป่วยหรือมีเหตุการณ์กะทันหันให้แจ้งกับเจ้าตัวโดยตรงไม่ต้องผ่านคุณชัย ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นบ้าง เมื่ออ่านต่อไปอีกก็เจอกับข้อตกลงสองข้อสุดท้ายนั่นคือ เขาจะต้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้โดยไม่มีข้อแม้ และเมื่อทดลองงานครบสามเดือนจะไม่มีการจ้างต่อไม่ว่ากรณีใด ๆ
“อื้อ” อ่านต่ออีกหน่อยก็มีสวัสดิการที่ตนสมควรได้รับเมื่อเข้าทำงานที่นี่ นับเป็นความใส่ใจที่ชายหนุ่มรู้สึกดีไม่น้อยเลย
‘หากเจ็บป่วยสามารถเข้าไปใช้สิทธิ์ที่โรงพยาบาลอินเตอร์ได้โดยแจ้งว่าเป็นพนักงานของซาเว’
“เอ๊ะ..อันนี้”
‘ค่าตอบแทนช่วงทดลองงานคือ ห้าหมื่นบาทต่อเดือน (ไม่มีวันหยุด)’
เขาอ่านทุกอย่างอย่างละเอียดจนถึงข้อสุดท้ายที่บอกว่าสวัสดิการจะสิ้นสุดเมื่อตนพ้นสภาพการเป็นพนักงาน โดยความรู้สึกหลังอ่านจบก็มีบางข้อที่เอ๊ะบ้าง ไม่พอใจบ้าง แต่ก็มีบางข้อที่สามารถนำมากลบมาล้างมันได้ จึงไม่มีปัญหาให้ติดขัดจนต้องยอมลาออก เมื่อเข้าใจดีแล้วชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองฟรังค์และแฟร้งค์ ก่อนจะหยิบปากกามาเซ็นชื่อตัวเองลงในสัญญา
“ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ ไม่ได้ติดปัญหาอะไร” พูดพร้อมส่งเอกสารให้แฟร้งค์ที่ยังดูตกใจกับการยอมรับข้อเสนอไม่หาย
“งั้นวันนี้คุณก็เริ่มงานเลยแล้วกัน”
“ครับจะให้ทำอะไรก็บอกผมได้เลย” ก็อย่างว่าแหละนะ ไม่เลือกงานไม่ยากจน คิดแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ฟรังค์ที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าเขาเคยบอกไปหรือยังว่าเขาน่ะ ทำงานอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงงานนี้จะดูกดขี่ไปสักหน่อยแต่ก็คุ้มค่าไม่หยอกเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่ได้รับ
“ช่วยแยกเอกสารกองนั้นให้หน่อยแล้วกัน” นิ้วยาวชี้ไปยังกองเอกสารที่วางไว้ด้านหนึ่งของห้อง เมื่อมองตามไปอคิราห์กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นลมเสียอย่างไรอย่างนั้น เริ่มต้นงานวันแรกก็ไม่ได้สาหัสอะไรนัก เพราะมันเป็นแค่การแยกเอกสารที่กองพะเนินถึงสะดือเมื่อเขานั่งลงแนบพื้นพรม ที่สำคัญมันไม่ได้มีแค่กองเดียว เพราะมันมีมากถึงห้ากองโต ๆ
“ฮือ จะไม่ตาลายตายก่อนใช่ไหม”
“อะไรนะครับ”
“ปะ..เปล่า เปล่าสักหน่อย” ว่าแล้วก็จดจ่อสายตาไปที่กระดาษนับพันแผ่นตรงหน้า ขณะเดียวกันฟรังค์ที่นั่งทำท่าทางขึงขังมานานก็ยกยิ้มและกุมมือไว้ที่ริมฝีปากเพราะต้องการซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง
“หึ ๆ”
“เป็นอะไร”
นัยน์ตาสีเดียวกันสบประสาน มุมปากของแฟร้งค์ยกยิ้มเมื่อรู้ว่าพี่ชายกำลังจะสื่ออะไร เมื่อทราบแล้วจึงหันชะโงกหน้าไปมองร่างเล็กของอคิราห์ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเรียงเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ “ชิ้นนี้ของกู”
“ไม่ได้เว้ย”
“อะไร”
“กูจะเอาเหมือนกัน”
“ได้ไง”
เสียงกระซิบกระซาบเหมือนผึ้งรวมฝูงดังหึ่ง ๆ จนคนตัวเล็กต้องเอี้ยวหน้าไปมองเจ้านายทั้งสอง ทว่าเมื่อหันไปกลับพบว่าฟรังค์กับแฟร้งค์ไม่ได้สนทนาอะไรกันเลย จะมีก็แต่ก้มหน้าก้มตาสไลด์หน้าจอ Ipad กับ Laptop ของใครของมัน “หูฝาดเหรอวะ หรือในห้องมีผึ้ง”
“...”
“แต่บ้ารึเปล่า ถ้ามีคงปีกแข็งตายห่ากันไปก่อนจะได้อ้าปากพูดแล้วมั้ง อากาศเย็นขนาดนี้ พูดแล้วก็..บรึ๋ย!! ขนลุก”
เมื่อเห็นว่าคนร่วมห้องอีกคนไม่ได้สนใจต้นตอของเสียงซุบซิบแล้วฟรังค์จึงถือโอกาสหยิบคุกกี้ธัญพืชที่อยู่ในจานเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ไอ้เชี้ย กูบอกชิ้นนี้ของกูไง”
“อึก ก็กูหยิบได้ก่อน”
“มึงแม่ง”
“หึ ๆ” เสียงหัวเราะร่าของพี่ชายนั้นเสียดแทงไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง แฟร้งค์มองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันด้วยความขุ่นมัว ก่อนที่เขาจะแค่นเสียงสะใจออกมาเมื่อเห็นเจ้าพี่ชายฝาแฝดยกน้ำขึ้นดื่มแต่ไร้ซึ่งของเหลวที่อยู่ในแก้ว หากแต่ฟรังค์อย่างไรก็เป็นฟรังค์
“อิมครับ ไปเอากาแฟให้หน่อยสิครับ”
“ครับ”
ปึก!!
“จะเริ่มเลยเหรอ”
“อะไร”
“มึงก็รู้อยู่”
“หึ ๆ”
“โชคดีที่กูเกิดมามีพี่ชายชั่ว ๆ อย่างมึง เหมาะสม ๆ”
“ไอ้แฟร้งค์”
“หึ ๆ ฮ่า ๆ” ถ้าใครบอกว่าแฟร้งค์เจ้าเล่ห์คงเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ เพราะคนที่เจ้าเล่ห์และมากไปด้วยเหลี่ยมมันคือฟรังค์ต่างหาก
แกร๊ก!!
“อิมครับ เอาอะไรหวาน ๆ ให้หน่อยสิครับ”
“ครับ” ดวงตากลมโตชำเลืองมองแฟร้งค์ที่สั่งให้เขาทำสิ่งต่อมาทันทีทั้งที่ตนเพิ่งจะลงไปเอากาแฟที่ป้าเพ็ญชงขึ้นมาวางให้ฟรังค์ไม่ถึงหนึ่งนาที และถ้าลดมาเป็นวินาทีก็คงไม่ถึงครึ่งวิซะทีเดียว เนื่องจากก้นที่กำลังจะหย่อนลงบนพื้นพรมนั้นยังไม่ถึงจุดหมายเลยด้วยซ้ำ แต่จะทำอะไรได้เพราะตนเป็นลูกน้องก็ต้องรับฟังคำสั่งของเจ้านาย ร่างเล็กหายไปหลังบานประตูก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อผ่านไปห้านาที ทว่าคราวนี้เจ้าสองแฝดนั่นไม่ได้ใช้ให้เขาทำสิ่งใดอีก หากแต่.....
10 นาทีผ่านไป
“อิมครับ กระดาษหล่น เก็บให้หน่อยสิครับ”
“ครับ”
3 นาทีผ่านไป
“อิมครับ ตอนนี้มันร้อน ช่วยลดแอร์ให้หน่อยได้ไหม”
“ได้ค้าบบ...”
5 นาทีผ่านไป
“อิมครับ”
40 วินาทีผ่านไป
“อิมเมจ”
และอีกสารพัด “อิมครับ”
“ค้าบผม..”
ก็นั่นแหละสาเหตุที่ทำให้เขากลับมานอนเป็นซากศพที่ห้อง นับเป็นโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่สลบไปกลางทาง เพราะถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ คงเป็นภาระให้กู้ภัยมาเก็บซาก แถมพรุ่งนี้ก็ยังต้องเก็บข้าวของของตัวเองย้ายไปบ้านเจ้าแฝด ตั้งแต่ตีสี่อีก
“ฮือ.. อิมอยากจะบ้า” ไม่นึกว่าการเปลี่ยนแนวทางในการทำงานคราวนี้จะชุลมุนวุ่นวายขนาดนี้ แต่ถึงรู้ก็คงต้องจำใจรับงานมาทำอยู่ดี เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะค่างวดรถที่ยังต้องส่งนี่อย่างไร คิดแล้วก็พลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย เหตุจากถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องลุกไปอาบน้ำชำระร่างกาย ทว่าร่างกายกลับส่งเสียงออกมาว่าไม่ไหว
“ง่วง ๆ โอ๊ย ง่วงจังเลยโว้ย!!” แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเหนอะหนะที่ก่อตัวไปทั่ว จำใจต้องฝืนร่างกายลุกไปหยิบผ้าขนหนูมาอาบน้ำ หากแต่เป็นการอาบน้ำที่อาบอย่างว่องไวโดยใช้เวลาไปเพียงห้านาที เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงโยกย้ายร่างกายอันปวกเปียกมานั่งบนเก้าอี้เพื่อกินข้าวที่ซื้อมา “งืม ๆ ข้าวแข็ง”
หลังจากจัดการกับกล่องข้าวเจ้าปัญหาเรียบร้อยจึงเดินลากขามาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม เปลือกตาที่หย่อนแล้วหย่อนอีกเปิดปรืออย่างอ่อนล้า แขนทั้งสองข้างของอคิราห์กางออกเหมือนตุ๊กตาเป่าลมที่อยู่ตามสี่แยกไฟแดง ทิ้งตัวได้ไม่นานเสียงเล็กหวานแหววก็พึมพำราวกับกำลังพูดคุยกับใครบางคน ทว่าห้องขนาดพอเหมาะที่ชายหนุ่มนอนอยู่นั้นไร้ซึ่งบุคคลอื่น เพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลเดียวที่อคิราห์พูดออกมาคือ เขาคุยกับตัวเอง “ท้องจะอืด จะปวด จะอะไรก็ชัง อิมไม่สน อิมจะนอนแล้ว อิมต้องการพักผ่อน ฮึก ขอนอนนะ”
“ไอ้เจ้านาย...ใจร้าย”
TBC.
Talk : อาทิตย์นี้ให้สองตอนเลยแล้วกันนะทุกคน ชดเชยที่หายไปนานแหละ แล้วก็อาการที่อิมเมจเป็นก็คือการละเมอทั่ว ๆ ไปนะคะ เป็นการละเมอพูดอะไรทำนองนี้ ซึ่งเหตุผลที่เป็นมาจากภาวะความเครียด ความกดดัน วิตกกังวล กรรมพันธุ์ หรือต่าง ๆ นานา ส่วนเนื้อหาหลัก อะไรที่เชื่อได้ก็เชื่ออะไรที่เอ๊ะก็ไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งตัดสิน โดยเฉพาะต้าวแฝดทั้งสอง จริง ๆพวกนางน่ารักนะ น่ารักมวั๊ก
ความคิดเห็น