ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พนักงานเลี้ยงเด็ก(โข่ง)

    ลำดับตอนที่ #6 : ข้อตกลงที่เจ้าแฝดเสนอ

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 64


    -5-

    ข้อตกลงที่เจ้าแฝดเสนอ

     

    “แฮ่ก ๆ” ร่างเล็กในสภาพที่เหนื่อยหอบก้มหน้าลง  มือเท้าไปที่แขนเพื่อพยุงตัว นัยน์ตาวูบไหวจวนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ หากให้เทียบสภาพของอคิราห์กับเจ้าสุนัขก็คงแยกไม่ออกว่าอันไหนคนอันไหนสัตว์กันแน่  ส่วนเหตุผลที่แยกไม่ออก ก็คงเพราะลิ้นสีแดงสดที่ห้อยออกมาพร้อมกับน้ำลายเหนียวหนืดซึ่งย้อยตรงปลายลิ้น “อึก”

    นี่แค่มาทำงานวันแรกยังขนาดนี้ พรุ่งนี้จะขนาดไหนเขาไม่อยากจะคิดมันเลย เป็นอะไรที่อคิราห์กล้าพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำว่าโคตรเหนื่อย มันเหนื่อยกว่าการที่เขาต้องวิ่งส่งเอกสารตอนเข้าไปฝึกงานที่บริษัทเสียอีก 

    Rrrrrrr

    ก๊อก แกร๊ก...

    (อิมเมจ กาแฟของผมได้รึยัง)

    “ดะ..ได้แล้ว ครับ”

    (เร็ว ๆ)

    “ครับ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

    (อืม)

     

    8 ชั่วโมงก่อนหน้า

    “อ่า เป็นอะไรที่เลือกไม่ได้สินะ”

    “...”

    “ถ้าอย่างนั้น...เราก็ควรมาทำความรู้จักกันไว้เยอะ ๆ นะครับ คุณอิม” ฟรั้งค์เอ่ยบอกพร้อมทั้งเน้นคำโดยเฉพาะชื่อของเจ้าคนไม่รู้ชะตาให้นึกหวั่นใจเล่น  ขณะเดียวกันคนที่รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่ตลอดเวลาก็มองสำรวจเจ้าเด็กโข่งที่ตนต้องดูแลด้วยความแนบเนียน โดยกะจากระยะสายตาและเวลาอันกระชั้นชิดนั้นทำให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าฟรังค์และแฟร้งค์มีอุปนิสัยที่ต่างกัน  ทางฟรังค์ที่เป็นคนพี่ดูจะเข้าถึงยาก เหมือนว่าอีกฝ่ายพยายามรักษาภาพพจน์ของตัวเองตลอดเวลา ที่สำคัญความเคร่งขรึมบนใบหน้านั้นแผ่กำจายให้อคิราห์ได้รู้สึกหนาวสั่นแบบไม่เกรงใจแอร์ที่เปิดด้วยอุณหภูมิยี่สิบกว่าองศานั่นเลย  ส่วนแฟร้งค์นั้นคงเดาได้ไม่ยาก  อีกฝ่ายดูยิ้มง่าย  เข้าถึงได้ง่ายกว่าฟรังค์หลายเท่าตัว  ทว่าความเข้าถึงง่ายนั้นก็เหมือนจะทิ้งไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์เจ้ากล

    “อะ..เอ่อ ผมชื่ออิมเมจ อายุ 25 ปี จบการตลาดจากมหาลัยราชภัฏ” นัยน์ตาสีม่วงเลื่อนขึ้นมองสบกับคนสองคนตรงหน้าสลับกันไปมา  อนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องวางจุดโฟกัสสายตาไว้ตรงไหน  เขาพักหายใจหายคอให้โล่งไปชั่วครู่แล้วเริ่มพูดแนะนำตัวใหม่  ปากเล็กยกยิ้มอย่างใจดี  ทำตามสำนวนไทยที่ว่า ‘ใจดีสู้เสือ’  เผื่อว่าพระเจ้ายังพอเห็นใจให้ตนได้รอดพ้นจากภัยอันตรายตรงหน้า “อ่า คือ ขอบอกไว้นิดหนึ่งนะครับ ผมไม่เคยทำงานเลี้ยงดะ...เอ่อ ดูแลคนอื่นน่ะครับ ไม่เคยทำมาก่อนเลย”

    “แล้วก่อนหน้านี้คุณทำงานอะไร”

    “ก่อนหน้านี้ผมทำงานบริษัทมาก่อน งานเกี่ยวกับเอกสารน่ะ ”

    “หืม งั้นเหรอ  แล้วทำไมถึงรับงานนี้ล่ะ” แฟร้งค์ยังคงถามต่อด้วยความสงสัย

    “เอ่อ..คือ”

    “คืออะไรครับ” เป็นฟรังค์ที่รีบสำทับเพื่อกดดันให้อีกคนรีบคายความลับ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ตนในภายภาคหน้า ทว่าคำตอบที่ได้รับนั้นก็ดูธรรมดาเกินไป  

    “คือผมตกงานเลยลองเข้าเว็บหางานดู แล้วก็เจองานนี้พอดี เลยลองสมัคร”

    “อือหึ”

    “ตะ..แต่ แต่ว่าในรายละเอียดเขาบอกว่าผมต้องดูแลเด็กสองคน” และเขาก็ไม่คิดว่าเด็กชายแสนน่ารักจะกลายเป็นเจ้าเด็กโข่งที่โตจนหมาเลียตูดไม่ถึง  คิดแล้วก็ได้แต่เออออกับตัวเอง  ด้วยเพราะอคิราห์นั้นไม่กล้าพูดออกไปแบบเต็มปากเต็มคำว่าตนเองก็ถูกล่อลวงมาเหมือนกัน  หากว่ารับรู้ตั้งแต่แรกว่าเด็กที่ต้องดูแลจะเป็นผู้ใหญ่มากอารมณ์เขาคงไม่ตกปากรับคำคุณวิชัยออกไป

    “อ่อ อย่างนี้นี่เอง” 

    “...”

    “อืม” เจ้าฝาแฝดพยักหน้าหงึกหงักแล้วตอบรับออกมาพร้อมกัน  โดยที่แฟร้งค์นั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกไปเลยนอกเสียจากการตอบรับในลำคอ

     “งั้นพวกผมขอแนะนำตัวอีกครั้ง ฟังให้ดี ๆ นะครับ ผมแฟร้งค์” มือหนายกขึ้นมาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง  ก่อนจะชี้ไปทางพี่ชายฝาแฝดที่ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง  พร้อมทั้งยืดตัวตรง “นั่นฟรังค์”

    “ครับ”

    “พวกเราเป็นแฝด และพวกเราก็อายุ 29 แล้ว ไม่ ต้อง การ คน ดู แล แล้วครับ” 

    “โอ้แม่เจ้า!!” เสียงอุทานของเจ้าตัวเล็กดังขึ้นราวสายฟ้าฟาด ไม่เพียงแต่คำตอบที่ได้รับ แต่มันเหมือนคำปฏิเสธที่พุ่งชนเข้ามาอย่างจังว่าพวกเขานั้นโตเป็นควายจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วจริง ๆ  

    ฝ่ายคนพูดที่ทำทีปฏิเสธต่างก็จ้องมองดวงตาซึ่งเบิกกว้างแทบจะถลนออกมาด้วยความขบขันอยู่ในใจ  ทว่าเมื่อมือเรียวที่เคยกุมไว้ด้านหน้ายกขึ้นมาปิดปากเล็กดูจิ้มลิ่มที่อ้าหวอก็จำต้องหลุดหัวเราะออกมาแบบไร้เสียง  แต่แค่แวบเดียวพวกเขาก็กลับมาทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม  เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับอคิราห์ไปมากโข  เพราะอีกฝ่ายมีแค่คำถามที่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่ามันคือเรื่องจริงใช่ไหม  ต่อให้ได้ยินมันแจ่มแจ้งแค่ไหนชายหนุ่มก็ยังไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย

    คิดแล้วก็ได้แต่มองฟรังค์กับแฟร้งค์สลับกันตาปริบ ๆ  ปากหุบเข้าหุบออกด้วยเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี  แต่สุดท้ายก็เค้นเสียงพูดออกไปจนได้ 

    “อ่า ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงผมก็ต้องทำหน้าที่ดูแลพวกคุณอยู่ดี” ถึงตนจะอายุน้อยกว่าสี่ปีก็ไม่ได้เกิดผลกระทบอันใด เพราะงานแบบนี้มันวัดกันที่ฝีมือและความคล่องแคล่ว  ถ้าเลี้ยงเด็กเขาก็ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน  และถ้าเขาเลี้ยงเด็กก็จำต้องให้ความใส่ใจดูแลไม่ต่างจากคนพวกนี้นักหรอก  ปลอบใจตัวเองเสร็จสรรพก็ยกยิ้มใจดีให้เจ้าฝาแฝดที่กระตุกยิ้มกลับมาให้พร้อมคำตอบรับที่เหมือนจะเปิดศึกสงครามแก่กัน   

     “หึ ได้สิ” หากแต่เสียงตอบรับในลำคอของแฟร้งค์นั้นทำให้อคิราห์นึกหวั่นอยู่ไม่น้อย  เหมือนอีกคนกำลังบอกให้เขาเตรียมหม้อ ไห กะละมังมาเป็นเกราะกำบังให้ดี ๆ

     “เอาล่ะ งั้นเรามาเริ่มงานกันเลยดีไหมครับ”

     “ครับ”

     “งั้นคุณช่วยเอานี่ไปให้ป้าเพ็ญหน่อยสิครับ” ฟรั้งค์ยื่นแก้วกาแฟของตัวเองไปข้างหน้า  ส่งผลให้อคิราห์ที่ยืนอยู่เกินช่วงแขนต้องขยับเข้ามารับมันไว้  ก่อนจะหันไปรับของแฟร้งค์ที่ส่งมันมาให้เขาเช่นกัน

     หากแต่ยังไม่ทันได้เดินออกไปไหน เสียงทุ้มของเจ้าหนุ่มผมสีเทาน้ำตาลกลับรั้งให้ร่างเล็กหันมามองด้วยความสงสัย  ต่อด้วยคนพี่ที่พูดเสริมโดยไม่ได้ช่วยไขความกระจ่างให้เลย “เสร็จแล้วตามขึ้นไปที่ห้องทำงานด้วยนะครับ” 

     “ถ้าไปไม่ถูกก็ให้แม่บ้านพาไปแล้วกันนะ เพราะพวกผมคงไม่มีเวลาพาคุณชมสถานที่”

     “ครับ”

     

    สองขาก้าวเดินสลับกันไปมา  ในมือถือจานที่มีแก้วกาแฟวางซ้อนอยู่ สายตาสำรวจไปรอบด้านว่าตรงไหนคือห้องอะไรบ้าง  โดยจุดหมายปลายทางที่ชายหนุ่มต้องการคือห้องครัวที่คงฟุ้งไปด้วยกลิ่นอาหาร  เดินอยู่นานในสุดก็เจอห้องครัวห้องใหญ่ซึ่งมีสาวใช้และแม่บ้านสูงวัยยืนเก็บข้าวของเข้าชั้นให้เป็นระเบียบ

    ระหว่างที่ยืนลังเลอยู่นานว่าจะเดินเข้าไปเลยดีไหมก็มีคนตาดีคนหนึ่งหันมาเห็นเขาเข้าแบบพอดิบพอดี  เธอส่งสายตาสงสัยมาให้ก่อนจะหันไปสะกิดคนข้าง ๆ ให้หันมามองตนเช่นกัน เมื่อเห็นแบบนั้นอคิราห์จึงเอ่ยปากชวนพูดคุยออกไปไม่ให้บรรยากาศมันกระอักกระอ่วน  อีกใจก็กลัวว่าแม่สาวใช้ตรงหน้าจะวิ่งแจ้นไปแจ้งตำรวจว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในบ้านของผู้เป็นนาย “เอ่อ คือ คุณฟรังค์กับคุณแฟร้งค์ให้ผมเอาอันนี้มาเก็บ”

    “เอ๋ เป็นคนงานใหม่รึ”

    “ใช่ครับ ผมเพิ่งมาใหม่” ใหม่แบบแกะกล่องเลยก็ว่าได้

    “อ้าว งั้นเข้ามาเลย เอามาวางตรงนี้ เดี๋ยวป้าจะล้างเอง” มองสำรวจอยู่นานก็ได้ใจความว่าหญิงมีอายุตรงหน้าคงเป็นป้าเพ็ญที่เจ้าฝาแฝดเอ่ยถึง  ได้ยินแบบนั้นอคิราห์จึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปตามคำบอกกล่าว  เขาวางจานและแก้วกาแฟไว้ในซิงค์  แล้วก็ถือโอกาสล้างมือของตัวเองไปด้วย  สาเหตุที่ทำแบบนั้นก็เพราะฝ่ามือของเขานั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ  เป็นเหงื่อที่ถูกกระตุ้นมาจากความตื่นเต้น ความกลัว ความไม่เข้าใจในอารมณ์ ซึ่งแผ่ออกมาพร้อม ๆ กันในเวลาไม่กี่นาที 

    “เอ่อ คือ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

    “ถามอะไรรึ”

    “คือ ห้องของคุณแฟร้งค์กับคุณฟรังค์อยู่ตรงไหนเหรอครับ”

    “ห้อง”

    “ครับ”

    “เขาบอกให้คุณขึ้นไปหรือ” เธอถามออกไปด้วยความสงสัย  เพราะตั้งแต่อยู่ร่วมกันมาหลายปีเจ้านายทั้งสองไม่ยินยอมให้ใครขึ้นไปโดยพลการ  และจะขึ้นไปได้เฉพาะคนที่มีหน้าที่ทำความสะอาดเท่านั้น

    “ใช่ครับ เขาบอกให้ผมขึ้นไปหาที่ห้องทำงานถ้าผมเอาแก้วมาเก็บเสร็จแล้ว”

    “อ่อ ป้าก็นึกว่าคุณ ๆ เขาให้ขึ้นไปบนห้องโน้น”

    “แหะ ๆ ขอโทษครับ ผมพูดไม่ละเอียดเอง”

    “ไม่เป็นไร ๆ ยายแจ๋วพาคุณเขาขึ้นไปห้องทำงานหน่อยเร็ว”

    “ค่ะป้า!!” เสียงตอบรับของหญิงสาวดังกังวานก่อนที่เจ้าของร่างเล็กป้อมจะปรากฏตัวออกมาให้อคิราห์ได้เห็น  เมื่อเห็นว่ามีคนพาไปแล้วชายหนุ่มจึงก้มหัวขอบคุณและเดินตามหลังแจ๋วไปตลอดทาง  ก้าวข้ามบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าจนในที่สุดก็ถึงห้องทำงานของเจ้าฝาแฝดซะที “ห้องนี้แหละจ้ะ”

    “ขอบคุณครับ”

    “โอ๊ย ขอบคงขอบคุณอะไรกัน เดี๋ยวก็ต้องเจอหน้ากันบ่อย ๆ แล้ว รู้จักกันไว้ ๆ”

    “ฮะ ๆ ครับ” 

    “เออนี่ ว่าแต่มาทำงานตำแหน่งอะไรเหรอ”

    “พี่เลี้ยงครับ”

    “โอ๊ะ พี่เลี้ยงรึ”

    “อ่า”

    “ฮิ ๆ โชคดีนะพ่อหนุ่ม ฉันต้องรีบไปทำงานแล้วล่ะ” ว่าแล้วก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดี  ทว่าอีกนัยก็เหมือนเจ้าหล่อนมีเรื่องยุบยิบให้รู้สึกคันปากจนต้องหาที่ระบาย  ถึงกระนั้นอคิราห์ก็ไม่ได้สนใจ  เขายกมือขึ้นเกาหัวแก๊ก ๆ ก่อนจะกำมือเข้าหากันและเคาะไปบนบานประตู

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

    “ขอเข้าไปนะครับ” 

    “เชิญครับ” เมื่อได้รับอนุญาตจึงบิดลูกบิดแล้วเดินเข้ามาข้างในที่ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำเหมือนห้องรับแขกด้านล่างไม่ผิดเพี้ยน  สิ่งต่อมาที่ยังเหมือนเดิมก็คือร่างสูงที่ถอดแบบกันออกมากำลังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟากำมะหยี่ราคาแพง  พอมองไปรอบ ๆ ก็เจอกับโต๊ะทำงานที่ตั้งไว้ตรงกลาง  ที่มุมหนึ่งมีชุดโซฟาคล้ายโต๊ะรับแขกตั้งอยู่  ถัดออกไปไม่ไกลพบตู้หนังสือหลายตู้วางเรียงรายอย่างเป็นระบบระเบียบ  เมื่อมองไปอีกฝั่งกลับพบประตูบานหนึ่งอยู่ชิดด้านในสุดของห้อง  

     “นั่งสิ” เป็นแฟร้งค์ที่เอ่ยเรียกให้คนตัวเล็กเลิกสำรวจห้องทำงานของเขาเสียที  ทว่าชั่วขณะหนึ่งชายหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างชอบใจ  เหตุเพราะท่าทีตกใจของคนดูแลคนใหม่มันชวนให้เขาเอ็นดู

     “ครับ”

    “เรามาทำข้อตกลงกันดีไหมครับ” เมื่อเห็นว่าร่างเล็กนั่งเรียบร้อยแล้วฟรังค์จึงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้  เป็นข้อตกลงที่พวกเขาทำขึ้นก่อนที่อคิราห์จะเดินทางมาถึงที่บ้านเสียด้วยซ้ำ ความจริงก็ตั้งแต่ที่รู้ว่าวิชัยหาคนดูแลคนใหม่ได้แล้วนั่นแหละ “นี่คือข้อตกลงของเรา”

    “ข้อตกลงระหว่างการทำงาน”

    “ครับ จริง ๆ พวกเราทราบข้อตกลงระหว่างคุณกับคุณชัยดี แต่ข้อตกลงอันนี้เป็นข้อตกลงระหว่างเราไม่เกี่ยวกับคุณชัย  คุณลองอ่านดูสิ” ขณะที่พูดไปทำท่าทางอย่างนักธุรกิจที่กำลังเสนอราคาหรือตกลงการลงทุนร่วมไปพลาง  ฟรั้งค์ก็ยกยิ้มอย่างนึกสนุกและพูดประโยคบีบบังคับแกมดูถูกไปในที “แต่ถ้าคุณรับข้อเสนอนี้ไม่ได้ ผมแนะนำให้คุณลาออกไปเลยดีกว่า”

    “...”

    “ต่อให้คุณอยู่ในช่วงทดลองงานผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าคุณลาออกไปจะดีกว่า”

    อคิราห์ไม่ได้สนใจคำพูดของแฝดคนพี่เลยสักนิด  เพราะเขากำลังจดจ่อสายตาและความสนใจไปกับอักขระบนกระดาษที่อยู่ในมือ  โดยข้อความที่ถูกดีดออกมานั้นลงรายละเอียดทุกอย่างไว้แบบชัดเจน ใจความระบุถึงหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบเอาไว้ว่า จะต้องเริ่มงานตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงสามทุ่มแบบไม่ขาดไม่เกิน  เขาจะต้องติดตามเจ้าฝาแฝดไปทุกที่เพราะอีกฝ่ายนั้นมีงานมีการที่ต้องทำเช่นกัน

    นัยน์ตาสีหายากเลื่อนขึ้นสบกับแฟร้งค์ที่มองเขาด้วยความเคร่งขรึมเมื่ออ่านมาถึงข้อตกลงข้อที่สามซึ่งบอกเอาไว้ว่า เมื่อพวกเราเรียกคุณต้องมาภายในห้านาที  เป็นความรู้สึกที่เขาอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง  แต่เมื่อเจอข้อต่อไปที่ว่า ไม่มีวันหยุดให้แต่จะเพิ่มเงินเดือนให้จากเดิมที่ได้รับ กรณีที่เจ็บป่วยหรือมีเหตุการณ์กะทันหันให้แจ้งกับเจ้าตัวโดยตรงไม่ต้องผ่านคุณชัย ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นบ้าง เมื่ออ่านต่อไปอีกก็เจอกับข้อตกลงสองข้อสุดท้ายนั่นคือ เขาจะต้องมาอยู่ที่บ้านหลังนี้โดยไม่มีข้อแม้  และเมื่อทดลองงานครบสามเดือนจะไม่มีการจ้างต่อไม่ว่ากรณีใด ๆ 

    “อื้อ” อ่านต่ออีกหน่อยก็มีสวัสดิการที่ตนสมควรได้รับเมื่อเข้าทำงานที่นี่  นับเป็นความใส่ใจที่ชายหนุ่มรู้สึกดีไม่น้อยเลย

     ‘หากเจ็บป่วยสามารถเข้าไปใช้สิทธิ์ที่โรงพยาบาลอินเตอร์ได้โดยแจ้งว่าเป็นพนักงานของซาเว

    “เอ๊ะ..อันนี้” 

    ‘ค่าตอบแทนช่วงทดลองงานคือ ห้าหมื่นบาทต่อเดือน (ไม่มีวันหยุด)’

    เขาอ่านทุกอย่างอย่างละเอียดจนถึงข้อสุดท้ายที่บอกว่าสวัสดิการจะสิ้นสุดเมื่อตนพ้นสภาพการเป็นพนักงาน  โดยความรู้สึกหลังอ่านจบก็มีบางข้อที่เอ๊ะบ้าง ไม่พอใจบ้าง แต่ก็มีบางข้อที่สามารถนำมากลบมาล้างมันได้ จึงไม่มีปัญหาให้ติดขัดจนต้องยอมลาออก  เมื่อเข้าใจดีแล้วชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองฟรังค์และแฟร้งค์  ก่อนจะหยิบปากกามาเซ็นชื่อตัวเองลงในสัญญา

    “ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ ไม่ได้ติดปัญหาอะไร” พูดพร้อมส่งเอกสารให้แฟร้งค์ที่ยังดูตกใจกับการยอมรับข้อเสนอไม่หาย

    “งั้นวันนี้คุณก็เริ่มงานเลยแล้วกัน”

    “ครับจะให้ทำอะไรก็บอกผมได้เลย” ก็อย่างว่าแหละนะ ไม่เลือกงานไม่ยากจน  คิดแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ฟรังค์ที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา  ไม่รู้ว่าเขาเคยบอกไปหรือยังว่าเขาน่ะ ทำงานอะไรก็ได้ทั้งนั้น  ถึงงานนี้จะดูกดขี่ไปสักหน่อยแต่ก็คุ้มค่าไม่หยอกเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่ได้รับ

    “ช่วยแยกเอกสารกองนั้นให้หน่อยแล้วกัน” นิ้วยาวชี้ไปยังกองเอกสารที่วางไว้ด้านหนึ่งของห้อง  เมื่อมองตามไปอคิราห์กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นลมเสียอย่างไรอย่างนั้น  เริ่มต้นงานวันแรกก็ไม่ได้สาหัสอะไรนัก  เพราะมันเป็นแค่การแยกเอกสารที่กองพะเนินถึงสะดือเมื่อเขานั่งลงแนบพื้นพรม  ที่สำคัญมันไม่ได้มีแค่กองเดียว เพราะมันมีมากถึงห้ากองโต ๆ  

    “ฮือ จะไม่ตาลายตายก่อนใช่ไหม”

    “อะไรนะครับ”

    “ปะ..เปล่า เปล่าสักหน่อย” ว่าแล้วก็จดจ่อสายตาไปที่กระดาษนับพันแผ่นตรงหน้า  ขณะเดียวกันฟรังค์ที่นั่งทำท่าทางขึงขังมานานก็ยกยิ้มและกุมมือไว้ที่ริมฝีปากเพราะต้องการซ่อนเร้นความรู้สึกของตัวเอง

    “หึ ๆ”

    “เป็นอะไร”

    นัยน์ตาสีเดียวกันสบประสาน มุมปากของแฟร้งค์ยกยิ้มเมื่อรู้ว่าพี่ชายกำลังจะสื่ออะไร  เมื่อทราบแล้วจึงหันชะโงกหน้าไปมองร่างเล็กของอคิราห์ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเรียงเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ “ชิ้นนี้ของกู”

    “ไม่ได้เว้ย”

    “อะไร”

    “กูจะเอาเหมือนกัน”

    “ได้ไง”

    เสียงกระซิบกระซาบเหมือนผึ้งรวมฝูงดังหึ่ง ๆ จนคนตัวเล็กต้องเอี้ยวหน้าไปมองเจ้านายทั้งสอง ทว่าเมื่อหันไปกลับพบว่าฟรังค์กับแฟร้งค์ไม่ได้สนทนาอะไรกันเลย  จะมีก็แต่ก้มหน้าก้มตาสไลด์หน้าจอ Ipad กับ Laptop ของใครของมัน “หูฝาดเหรอวะ หรือในห้องมีผึ้ง”

    “...”

    “แต่บ้ารึเปล่า ถ้ามีคงปีกแข็งตายห่ากันไปก่อนจะได้อ้าปากพูดแล้วมั้ง อากาศเย็นขนาดนี้ พูดแล้วก็..บรึ๋ย!! ขนลุก”

    เมื่อเห็นว่าคนร่วมห้องอีกคนไม่ได้สนใจต้นตอของเสียงซุบซิบแล้วฟรังค์จึงถือโอกาสหยิบคุกกี้ธัญพืชที่อยู่ในจานเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

    “ไอ้เชี้ย กูบอกชิ้นนี้ของกูไง”

    “อึก ก็กูหยิบได้ก่อน” 

    “มึงแม่ง”

    “หึ ๆ” เสียงหัวเราะร่าของพี่ชายนั้นเสียดแทงไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง  แฟร้งค์มองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันด้วยความขุ่นมัว  ก่อนที่เขาจะแค่นเสียงสะใจออกมาเมื่อเห็นเจ้าพี่ชายฝาแฝดยกน้ำขึ้นดื่มแต่ไร้ซึ่งของเหลวที่อยู่ในแก้ว  หากแต่ฟรังค์อย่างไรก็เป็นฟรังค์ 

    “อิมครับ ไปเอากาแฟให้หน่อยสิครับ”

    “ครับ”

    ปึก!!

    “จะเริ่มเลยเหรอ”

    “อะไร”

    “มึงก็รู้อยู่”

    “หึ ๆ” 

    “โชคดีที่กูเกิดมามีพี่ชายชั่ว ๆ อย่างมึง เหมาะสม ๆ”

    “ไอ้แฟร้งค์”

    “หึ ๆ ฮ่า ๆ” ถ้าใครบอกว่าแฟร้งค์เจ้าเล่ห์คงเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์  เพราะคนที่เจ้าเล่ห์และมากไปด้วยเหลี่ยมมันคือฟรังค์ต่างหาก

    แกร๊ก!!

     “อิมครับ เอาอะไรหวาน ๆ ให้หน่อยสิครับ”

     “ครับ” ดวงตากลมโตชำเลืองมองแฟร้งค์ที่สั่งให้เขาทำสิ่งต่อมาทันทีทั้งที่ตนเพิ่งจะลงไปเอากาแฟที่ป้าเพ็ญชงขึ้นมาวางให้ฟรังค์ไม่ถึงหนึ่งนาที  และถ้าลดมาเป็นวินาทีก็คงไม่ถึงครึ่งวิซะทีเดียว เนื่องจากก้นที่กำลังจะหย่อนลงบนพื้นพรมนั้นยังไม่ถึงจุดหมายเลยด้วยซ้ำ  แต่จะทำอะไรได้เพราะตนเป็นลูกน้องก็ต้องรับฟังคำสั่งของเจ้านาย  ร่างเล็กหายไปหลังบานประตูก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อผ่านไปห้านาที  ทว่าคราวนี้เจ้าสองแฝดนั่นไม่ได้ใช้ให้เขาทำสิ่งใดอีก  หากแต่.....

    10 นาทีผ่านไป

     “อิมครับ กระดาษหล่น เก็บให้หน่อยสิครับ”

     “ครับ”

    3 นาทีผ่านไป

     “อิมครับ ตอนนี้มันร้อน ช่วยลดแอร์ให้หน่อยได้ไหม”

     “ได้ค้าบบ...”

    5 นาทีผ่านไป

     “อิมครับ”

    40 วินาทีผ่านไป  

    “อิมเมจ”

    และอีกสารพัด “อิมครับ”

     “ค้าบผม..”

     

     ก็นั่นแหละสาเหตุที่ทำให้เขากลับมานอนเป็นซากศพที่ห้อง  นับเป็นโชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่สลบไปกลางทาง  เพราะถ้าเกิดขึ้นจริง ๆ คงเป็นภาระให้กู้ภัยมาเก็บซาก  แถมพรุ่งนี้ก็ยังต้องเก็บข้าวของของตัวเองย้ายไปบ้านเจ้าแฝด ตั้งแต่ตีสี่อีก 

    “ฮือ.. อิมอยากจะบ้า” ไม่นึกว่าการเปลี่ยนแนวทางในการทำงานคราวนี้จะชุลมุนวุ่นวายขนาดนี้  แต่ถึงรู้ก็คงต้องจำใจรับงานมาทำอยู่ดี  เพราะอะไรน่ะหรือ  ก็เพราะค่างวดรถที่ยังต้องส่งนี่อย่างไร  คิดแล้วก็พลิกตัวไปมาด้วยความกระสับกระส่าย  เหตุจากถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องลุกไปอาบน้ำชำระร่างกาย  ทว่าร่างกายกลับส่งเสียงออกมาว่าไม่ไหว

    “ง่วง ๆ โอ๊ย ง่วงจังเลยโว้ย!!” แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความเหนอะหนะที่ก่อตัวไปทั่ว  จำใจต้องฝืนร่างกายลุกไปหยิบผ้าขนหนูมาอาบน้ำ หากแต่เป็นการอาบน้ำที่อาบอย่างว่องไวโดยใช้เวลาไปเพียงห้านาที  เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงโยกย้ายร่างกายอันปวกเปียกมานั่งบนเก้าอี้เพื่อกินข้าวที่ซื้อมา “งืม ๆ ข้าวแข็ง”

    หลังจากจัดการกับกล่องข้าวเจ้าปัญหาเรียบร้อยจึงเดินลากขามาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม  เปลือกตาที่หย่อนแล้วหย่อนอีกเปิดปรืออย่างอ่อนล้า  แขนทั้งสองข้างของอคิราห์กางออกเหมือนตุ๊กตาเป่าลมที่อยู่ตามสี่แยกไฟแดง  ทิ้งตัวได้ไม่นานเสียงเล็กหวานแหววก็พึมพำราวกับกำลังพูดคุยกับใครบางคน  ทว่าห้องขนาดพอเหมาะที่ชายหนุ่มนอนอยู่นั้นไร้ซึ่งบุคคลอื่น เพราะแบบนั้นจึงเป็นเหตุผลเดียวที่อคิราห์พูดออกมาคือ เขาคุยกับตัวเอง “ท้องจะอืด จะปวด จะอะไรก็ชัง อิมไม่สน อิมจะนอนแล้ว อิมต้องการพักผ่อน ฮึก ขอนอนนะ”

    “ไอ้เจ้านาย...ใจร้าย” 

     

    TBC.

    Talk : อาทิตย์นี้ให้สองตอนเลยแล้วกันนะทุกคน  ชดเชยที่หายไปนานแหละ  แล้วก็อาการที่อิมเมจเป็นก็คือการละเมอทั่ว ๆ ไปนะคะ เป็นการละเมอพูดอะไรทำนองนี้ ซึ่งเหตุผลที่เป็นมาจากภาวะความเครียด ความกดดัน วิตกกังวล กรรมพันธุ์ หรือต่าง ๆ นานา ส่วนเนื้อหาหลัก อะไรที่เชื่อได้ก็เชื่ออะไรที่เอ๊ะก็ไว้ก่อนนะคะ อย่าเพิ่งตัดสิน โดยเฉพาะต้าวแฝดทั้งสอง จริง ๆพวกนางน่ารักนะ น่ารักมวั๊ก 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×