คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เด็กชายที่น่ารัก
- 4 -
เด็กชายที่น่ารัก
ในเช้าวันอังคารชีวิตของอคิราห์ก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม มันยังคงวุ่นวายและแออัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าสิ่งที่ทำให้วันนี้แตกต่างจากทุกวันก็คือ เขากำลังจะไปเริ่มงานใหม่ งานที่ไม่เคยทำมาก่อน งานที่ไม่ใช่แค่เดินส่งเอกสารไปวัน ๆ ทั้งที่สมัครเข้ามาในแผนกทำบัญชี และงานที่เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน
โดยวันนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะออกเดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะกะเอาไว้ว่าคงไปถึงที่นั่นตอนแปดโมง และสิ่งที่เขาเลือกจะพึ่งพาก็คือแอปนำทางที่มีชื่อว่า Google Maps ระหว่างมือจับพวงมาลัยหักไปตามทางก็คิดถึงเด็กชายทั้งสองคนที่ตนกำลังจะไปเจอในวันนี้ จินตนาการในหัวมากมายว่า เจ้าตัวน้อยที่ตนจะไปปรนนิบัติคงจะมีหน้าตาที่น่ารักและเป็นก้อน ๆ เหมือนซาลาเปาในหม้อนึ่ง
เมื่อขับไปได้ระยะหนึ่งหัวคิ้วของชายหนุ่มก็เริ่มย่นระยะเข้าหากัน นัยน์ตาสีม่วงแสนหายากเหลือบมองเส้นทางในแอปพลิเคชันที่บ่งบอกว่าเขานั้นมาได้ถูกทางแล้ว หากแต่ในใจก็กึ่งเชื่อมั่นและไม่เชื่อมั่น เพราะครึ่งหนึ่งบอกเขาว่าตัวเองกำลังหลงทาง ชั่งใจอยู่นานอคิราห์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูประวัติการโทรที่ผู้รับสมัครโทรเข้ามาหาเขาเมื่อวานนี้ ก่อนจะกดโทรออกไปอย่างไม่ลังเลใจ
Rrrrrr
(วิชัยพูดสายครับ)
“เอ่อ สวัสดีครับ ผมอิมเมจนะครับ” เขาเลี้ยวรถเข้ามาชิดที่ด้านหนึ่งของขอบทางแล้วมองซ้ายมองขวาสำรวจรอบด้านว่า มีจุดไหนสำคัญพอจะบอกอีกฝ่ายได้ไหม “พอดีผมว่าตอนนี้ผมกำลังหลงทาง”
(อ่า คุณออกมาแล้วสินะครับ)
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่ตรงซอยอะไรสักอย่างที่มีต้นไม้เต็มไปหมดเลย”
(....)
“ข้างหน้าก็โล่งมาก ๆ ครับ ไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง”
(ถ้าตรงนั้นคุณมาถูกแล้วครับ คุณช่วยกลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายตรงป้าย ตรงมาหน่อยก็เลี้ยวขวาเข้ามาตามทางเลยครับ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นตัวใหญ่ตั้งอยู่)
“อ่อครับ ขอบคุณครับ”
เขากดวางสายแล้วขับรถไปตามทางที่ปลายสายบอกทันที พลางคิดว่าทางที่ตัวเองกำลังใช้นั้นก็เปลี่ยวไม่หยอก ถ้ามาตอนกลางคืนคงมีผวากันบ้างไม่มากก็น้อย แต่มองไปมองมาก็เข้าใจได้ว่ามันคงเป็นถนนส่วนบุคคลเลยเงียบเหงาแบบนี้ ตั้งแต่เลี้ยวเข้าซอยนี้มาอคิราห์ยังมองไม่เห็นบ้านสักหลัง จะมีก็แต่ต้นไม้รายล้อมไปตลอดทาง
ขับเข้ามาได้ประมาณห้ากิโลเมตรก็เห็นประตูรั้วอยู่ไม่ไกล ทว่าจากระยะตรงนี้ก็เห็นแค่รั้วอย่างเดียวนั่นแหละ แต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงกว่าถนนที่เงียบเหงาชวนใจหวิว ก็คงเป็นความอลังการของป้อมปราการซึ่งอยู่ตรงหน้า
รั้วของบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาให้สูงกว่าตัวบ้าน มีประตูบานใหญ่สามบานที่กึ่งกลางกำแพง ใช้กลไกการเปิดแบบผ่ากลาง มิวายมีประตูอีกสองบานเล็กข้าง ๆ กัน ตรงเสาข้างประตูบานใหญ่มีนกขนาดยักษ์ที่จำได้ราง ๆ ว่ามันคือ อสุรกายในกรีก–โรมัน ทว่าชื่อของมันนั้นเขาจำได้ไม่แม่นยำนัก
ถึงกระนั้นอคิราห์ก็ไม่ได้ลดความสงสัยลง เขาจึงลองสำรวจรายละเอียดต่าง ๆ และลองนึกดูอีกครั้ง ก็พบว่ามันคือสัตว์ในเทพนิยาย เป็นครึ่งนกอินทรีครึ่งสิงโต โดยส่วนหัว ขาคู่หน้า และปีกเป็นนกอินทรี ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต มีหางเป็นงู “อ่อ กริฟฟิน”
เมื่อมั่นใจว่าตัวเองมาถูกหลังแล้วก็กดโทรออกไปหาวิชัยอีกครั้งหลังจากที่จอดรถอยู่หน้าบ้านเป็นเวลานาน ผ่านไปเพียงสองนาทีก็มีคนมาเปิดประตูรั้วให้
อคิราห์ขับรถเข้ามาตามทาง ผ่านน้ำพุขนาดใหญ่ และสนามหญ้าที่ใหญ่ไม่ปานว่าเป็นสนามกอล์ฟ เมื่อมองไปด้านหน้าก็เจอกับตัวบ้าน ดวงตากลมโตจ้องมองมันแทบถลนเพราะความอลังการที่แผ่ออกมา ตอนสมัครงานก็ไม่ได้คิดว่าบ้านของคนเหล่านี้จะมีฐานะที่ร่ำรวยมากมายมหาศาลอะไร
“โคตรใหญ่” สำหรับตนแล้วสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเรียกคฤหาสน์ หาใช่บ้านที่ใช้พื้นที่ไม่ถึงหนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป
ชายหนุ่มขับเคลื่อนเจ้า Suzuki สีดำตัดแดงมาจอดไว้ที่ด้านหน้าทางเข้า ซึ่งตรงจุดนี้มีผู้ชายวัยกลางคนยืนรออยู่ เมื่อเขาลงจากรถก็มีชายอีกคนมาขอกุญแจและขับออกไปจอดอีกทาง ทอดสายตาตามไปก็เห็นโรงรถที่มีรถหลากหลายยี่ห้อจอดอยู่
ร่างโปร่งเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนกุมมือพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ เพื่อไม่ให้เสียมารยาทอคิราห์จึงส่งยิ้มบางไปให้อีกฝ่ายเช่นกัน เขายกมือขึ้นไหว้แล้วเอ่ยทักทายร่างป้อมอย่างเป็นมิตร “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับคุณอิมเมจ ผมชื่อวิชัย แต่คุณอิมจะเรียกชัยเฉย ๆ ก็ได้เช่นกัน”
“เอ่อ สวัสดีอีกครั้งครับคุณชัย”
“ครับ เชิญเข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ”
ชายกลางคนพยักหน้ารับแล้วเดินนำคนมาใหม่ให้ตามตนไปด้านในอย่างไม่เร่งรีบนัก ระหว่างที่เดินไปอยู่นั้น อคิราห์ก็มองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ไปตลอดทาง ของทุกชิ้นที่นี่ดูมีราคาจนเขาเริ่มเกร็ง ด้วยกลัวว่าตนจะเดินไปชนอะไรแล้วตกลงมาแตกเข้า หากแต่ในตอนนั้นเองสายตาของเขาก็ดันไปสะดุดกับมอเตอร์ไซค์ BMW Mini สีแดงที่สามารถขึ้นไปควบขี่ได้ โดยพลังงานหมุนเวียนสำหรับเจ้ามอเตอร์ไซค์คันนี้คือ แบตเตอรี่ หากย้อนไปตอนที่ตนยังเป็นเด็กน้อยของแบบนี้ยังไม่มีมาขายเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงมีก็คงไม่ซื้อมัน เพราะนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก ต่อให้ขี่ได้จริงก็คงไม่พ้นซอยหน้าบ้าน เพราะแบตหมดก่อนที่จะได้ขี่กลับ
เดินมาได้สักระยะก็ถึงที่หมายที่ชายวัยกลางคนต้องการ มองไปรอบ ๆ อคิราห์ก็ลงความเห็นว่ามันน่าจะเป็นห้องรับแขกที่บ้านทุกหลังต้องมี เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม พวกเขามีหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกกระเบียดนิ้ว ต่างกันก็แค่สีผมที่ถูกย้อมโดยช่างฝีมือดี คนหนึ่งย้อมมันด้วยสีเทาน้ำตาล อีกคนย้อมสีน้ำตาลเข้ม
นัยน์ตาสีม่วงธรรมชาติมองชายหนุ่มสองคนที่วางท่าทีดูสง่าผ่าเผย แล้วคิดวิเคราะห์ แยกแยะ ก่อนคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนตรงหน้าของเขาเป็นใครกัน เป็นพี่ชาย พ่อบุญธรรมของเด็ก หรือว่าเป็นเครือญาติทางฝั่งใดของเด็ก ๆ ที่ตนต้องรับผิดชอบ แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดอะไรไปมากกว่านี้วิชัยก็แนะนำให้เขาได้รู้จักกับคนตรงหน้า
“คุณฟรังค์ เป็นแฝดพี่” วิชัยผายมือไปทางคนที่มีผมสีน้ำตาลเข้ม ทำให้อคิราห์ต้องรีบยกมือขึ้นไหว้อย่างงงงวย ซึ่งคนถูกไหว้เองก็ยกมือไหว้กลับมาให้เช่นกัน
“ส่วนนี่ คุณแฟร้งค์ เป็นแฝดน้อง” วิชัยผายมือไปทางผู้ชายผมสีเทาน้ำตาล และเหตุการณ์การชวนงงเหมือนก่อนหน้าก็วนลูปกลับมาอีกครั้ง ชวนให้ชายหนุ่มเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายจะยกมือไหว้ตนทำไม ก่อนคำตอบของชายวัยกลางคนจะทำให้ได้กระจ่างแจ้ง เมื่อเขาหันไปแนะนำตนให้เจ้าแฝดได้รู้จัก
“คนนี้คือคุณอิม จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับคุณทั้งสองคน” อคิราห์เบิกตากว้างอย่างตกใจ แตกต่างจากเจ้าแฝดที่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ร่างเล็ก ทว่ารอยยิ้มที่ได้รับนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความดีใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันทำให้รู้สึกว่าพวกเขากำลังสนุกเหมือนเวลาเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ ยิ่งอีกฝ่ายยิ้มกว้างเท่าไหร่อคิราห์ยิ่งน้ำตาตกในมากขึ้นเท่านั้น เขาพร่ำถามตัวเองในใจซ้ำ ๆ กับคำถามเดิม ๆ ที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
“ฮือ ลาออกตอนนี้จะทันมั้ยนะ”
“นะ...นี่ นี่คือเด็กที่คุณบอกเหรอ” นิ้วชี้ข้างขวาถูกยกขึ้นแล้วมุ่งเป้าไปยังชายสองคนตรงหน้าที่ยังคงยกยิ้มอยู่แบบเดิม ประกอบกับเสียงพูดที่ติดขัดเล็กน้อยก่อนรวบรวมสติถามร่างป้อมของวิชัยที่ยืนอยู่ข้างกัน
หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการพยักหน้าแล้วบอกว่า “ครับ” ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจเหมือนก่อนหน้าไม่แตกต่าง
สวนทางกับอคิราห์ที่อุทานในใจพร้อมกับเหน็บแนมด้วยใบหน้าคล้ายจะเป็นลมไปในที “นี่ที่บ้านคุณเรียกเด็กเหรอ บ้านผมเรียกโตเป็นควายจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว”
“คุณจะเริ่มงานวันนี้เลยใช่ไหมครับ”
“คะ...ครับ ได้เลย” แล้วตนเลือกอะไรได้บ้างล่ะ นอกจากตกปากรับคำอย่างดิบดี แต่ในใจนั้นน้ำตาตกในจนจะท่วมปอดอยู่รอมร่อ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายวัยกลางคนหันไปบอกฟรังค์กับแฟร้งค์ ก่อนจะก้มหัวคล้ายการทำความเคารพแล้วเดินออกไป ทิ้งให้อคิราห์อยู่กับชายแปลกหน้าสองคน เขาหันไปมองคนเหล่านั้นสลับกันไปมาอย่างหวาด ๆ โดยตอนนี้บนใบหน้าของพวกเขาไม่มีรอยยิ้มอยู่แล้ว ทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีกระวนกระวายรีบหาวิธีสร้างพันธมิตรกับคนเหล่านี้ไว้ก่อน คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าต้องเปิดปากคุยกับพวกเขาเป็นอันดับแรก แต่ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรฟรังค์ก็แทรกพูดขึ้นมาซะก่อน
“สวัสดีครับ คุณอิม”
“ครับ สวัสดี”
“พวกเราไม่อยากได้พี่เลี้ยง” นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนตัวโตจะพูดมันออกมาตรง ๆ ไม่ปิดบัง โดยน้ำเสียงที่เขาใช้พูดนั้นก็เรียบนิ่งไม่ต่างจากสีหน้าและท่าทาง
“อ่า ครับ ผมเข้าใจ”
“ถ้าเข้าใจงั้นคุณก็ไปบอกคุณชัยเลยสิว่าไม่อยากทำแล้ว” แฟร้งค์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาบ้างเมื่อมีช่องว่างให้ตนได้แทรกแซง
“ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไม หรืออยากได้เงิน งั้นผมจะจ่ายค่าเสียเวลาให้คุณดีมั้ย”
“ไม่ได้จริง ๆ ผมรับปากไปแล้วว่าจะดูแลพวกคุณ อีกอย่างนี่คืองาน” อคิราห์รีบบอกเหตุผลของตัวเองไปในทันที แต่พอพูดจบสีหน้าของคนฟังกลับแสดงออกว่าไม่พอใจ พวกเขาหันไปมองหน้ากันเหมือนจะสื่อสารทางสายตา ก่อนที่ความไม่พอใจก่อนหน้านี้จะหายไป เหลือไว้เพียงรอยยิ้มอย่างสนุกสนานที่พวกเขาเข้าใจกันอยู่สองคนเท่านั้น
นั่นยิ่งส่งให้อคิราห์รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นไปอีก เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าในแต่ละวันที่ตนต้องมาดูแลเจ้าเด็กโข่งพวกนี้ ตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
เป็นเหตุผลให้คำพูดมากมายผุดขึ้นในหัวเหมือนดอกเห็ด ทั้งคำค่อนขอด คำอุทาน ไม่เว้นแม้แต่คำข่มขู่ตัวเอง
“นี่กูคิดถูกใช่มั้ยเนี่ยที่รับงานนี้”
“ไหนบอกว่ากูต้องมาดูแลเด็กไง นี่มันเด็กโข่งชัด ๆ”
“ฮือ...นี่มันหายนะในชีวิตเลยนะ”
“ไหวไหม กูเนี่ยไหวรึเปล่า ฮือ...มึงตายแน่ไอ้อิม”
TBC.
TALK : สวัสดีเจอกันอีกแล้วหลังจากที่หายไปสองอาทิตย์ เริ่มต้นวันใหม่ในสัปดาห์ใหม่พอดีเลย ขอโทษด้วยนร๊าที่หายไปนาน แบบว่าไรท์ว่าช่วงนี้ไรท์ดวงตกหน่อย ๆ แหละ ฮืออ คือหลังจากวันนั้นน่ะนะ ไรท์ก็มีผลข้างเคียงวัคซีนใช่มะ แล้วประมาณวันเสาร์ไรท์ก็แบบฝันเห็นจระเข้แหละ ที่บ้านบอกว่าเขามาทวงที่เราบนบานศาลกล่าวเอาไว้ ไรท์ก็บั่บว่าไม่รู้ว่าตัวเองบนไรไว้ไง แต่ก็แก้ไปตามวิธีที่ผู้ใหญ่บอก ทีนี้วันจันทร์ไรท์ก็ขี่รถจะไปข้างนอก โดนตัวเหี้ยตัดหน้าแบบกระชั้นชิด แบบมันเป็นตัวเหี้ยจริง ๆ น่ะ ตัวมันบะลั่กขลั่กมาก ๆ อื้อ จากปวดซ้ายก็มาปวดขวาต่อ ต่อด้วยสองวันก่อนอากาศเปลี่ยนลมโชยนอนสบาย ด้วยความที่บ้านอยู่กลางทุ่งก็เลยติดลม ภูมิแพ้เลยถามหา ขี้มูกโป่ง+ไข้ ไปสองวันเต็ม วันนี้ก็ยังเป็นอยู่แต่เบาแล้วแหละ ดีขึ้นเยอะเลยมาต่อ ๆ ให้แหละ
ส่วนเนื้อหา อันนี้พยายามยึดใจความเดิมให้ได้มากที่สุดเลย แต่ด้วยความที่มันเป็นเนื้อบรรยายที่เห็นตัวละครพูดในใจหรืออุทานในใจไรท์เลยต้องหาวิธีไม่ให้มันหายไปด้วยการใส่เป็นตัวเอียง ความคิดตั่งต่างก็จะอยู่ในการบรรยายเหมือนเดิม ไม่รู้คนอ่านรู้สึกเหมือนไรท์ไหมนะ เพราะถ้าเป็นตัวไรท์มันจะเหมือนได้เห็นมุมมองของน้องและก็ของทุกคน เป็นการสลับกันมองแหละ แบบบรรทัดนี้คือน้อง บรรทัดนี้คือเรา หรือตัวละครตัวอื่น ๆ ประมาณนั้นแหละอื้อ
ความคิดเห็น