ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พนักงานเลี้ยงเด็ก(โข่ง)

    ลำดับตอนที่ #5 : เด็กชายที่น่ารัก

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 64


     

    - 4 -

    เด็กชายที่น่ารัก

     

    ในเช้าวันอังคารชีวิตของอคิราห์ก็ยังคงดำเนินไปเหมือนเดิม มันยังคงวุ่นวายและแออัดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ทว่าสิ่งที่ทำให้วันนี้แตกต่างจากทุกวันก็คือ เขากำลังจะไปเริ่มงานใหม่ งานที่ไม่เคยทำมาก่อน งานที่ไม่ใช่แค่เดินส่งเอกสารไปวัน ๆ ทั้งที่สมัครเข้ามาในแผนกทำบัญชี  และงานที่เขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน 

    โดยวันนี้ชายหนุ่มเลือกที่จะออกเดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะกะเอาไว้ว่าคงไปถึงที่นั่นตอนแปดโมง และสิ่งที่เขาเลือกจะพึ่งพาก็คือแอปนำทางที่มีชื่อว่า Google Maps  ระหว่างมือจับพวงมาลัยหักไปตามทางก็คิดถึงเด็กชายทั้งสองคนที่ตนกำลังจะไปเจอในวันนี้  จินตนาการในหัวมากมายว่า เจ้าตัวน้อยที่ตนจะไปปรนนิบัติคงจะมีหน้าตาที่น่ารักและเป็นก้อน ๆ เหมือนซาลาเปาในหม้อนึ่ง

    เมื่อขับไปได้ระยะหนึ่งหัวคิ้วของชายหนุ่มก็เริ่มย่นระยะเข้าหากัน  นัยน์ตาสีม่วงแสนหายากเหลือบมองเส้นทางในแอปพลิเคชันที่บ่งบอกว่าเขานั้นมาได้ถูกทางแล้ว  หากแต่ในใจก็กึ่งเชื่อมั่นและไม่เชื่อมั่น เพราะครึ่งหนึ่งบอกเขาว่าตัวเองกำลังหลงทาง  ชั่งใจอยู่นานอคิราห์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูประวัติการโทรที่ผู้รับสมัครโทรเข้ามาหาเขาเมื่อวานนี้  ก่อนจะกดโทรออกไปอย่างไม่ลังเลใจ

    Rrrrrr

    (วิชัยพูดสายครับ)

    “เอ่อ สวัสดีครับ ผมอิมเมจนะครับ” เขาเลี้ยวรถเข้ามาชิดที่ด้านหนึ่งของขอบทางแล้วมองซ้ายมองขวาสำรวจรอบด้านว่า มีจุดไหนสำคัญพอจะบอกอีกฝ่ายได้ไหม “พอดีผมว่าตอนนี้ผมกำลังหลงทาง”

    (อ่า คุณออกมาแล้วสินะครับ)

    “ครับ ตอนนี้ผมอยู่ตรงซอยอะไรสักอย่างที่มีต้นไม้เต็มไปหมดเลย”

    (....)

    “ข้างหน้าก็โล่งมาก ๆ ครับ ไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง”

    (ถ้าตรงนั้นคุณมาถูกแล้วครับ คุณช่วยกลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายตรงป้าย ตรงมาหน่อยก็เลี้ยวขวาเข้ามาตามทางเลยครับ ด้านหน้าจะมีรูปปั้นตัวใหญ่ตั้งอยู่)

    “อ่อครับ ขอบคุณครับ”

    เขากดวางสายแล้วขับรถไปตามทางที่ปลายสายบอกทันที  พลางคิดว่าทางที่ตัวเองกำลังใช้นั้นก็เปลี่ยวไม่หยอก  ถ้ามาตอนกลางคืนคงมีผวากันบ้างไม่มากก็น้อย  แต่มองไปมองมาก็เข้าใจได้ว่ามันคงเป็นถนนส่วนบุคคลเลยเงียบเหงาแบบนี้  ตั้งแต่เลี้ยวเข้าซอยนี้มาอคิราห์ยังมองไม่เห็นบ้านสักหลัง  จะมีก็แต่ต้นไม้รายล้อมไปตลอดทาง  

    ขับเข้ามาได้ประมาณห้ากิโลเมตรก็เห็นประตูรั้วอยู่ไม่ไกล  ทว่าจากระยะตรงนี้ก็เห็นแค่รั้วอย่างเดียวนั่นแหละ  แต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงกว่าถนนที่เงียบเหงาชวนใจหวิว ก็คงเป็นความอลังการของป้อมปราการซึ่งอยู่ตรงหน้า  

    รั้วของบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาให้สูงกว่าตัวบ้าน  มีประตูบานใหญ่สามบานที่กึ่งกลางกำแพง ใช้กลไกการเปิดแบบผ่ากลาง  มิวายมีประตูอีกสองบานเล็กข้าง ๆ กัน  ตรงเสาข้างประตูบานใหญ่มีนกขนาดยักษ์ที่จำได้ราง ๆ ว่ามันคือ อสุรกายในกรีก–โรมัน  ทว่าชื่อของมันนั้นเขาจำได้ไม่แม่นยำนัก  

    ถึงกระนั้นอคิราห์ก็ไม่ได้ลดความสงสัยลง เขาจึงลองสำรวจรายละเอียดต่าง ๆ และลองนึกดูอีกครั้ง ก็พบว่ามันคือสัตว์ในเทพนิยาย  เป็นครึ่งนกอินทรีครึ่งสิงโต  โดยส่วนหัว ขาคู่หน้า และปีกเป็นนกอินทรี  ส่วนลำตัวและขาคู่หลังเป็นสิงโต  มีหางเป็นงู “อ่อ กริฟฟิน” 

      เมื่อมั่นใจว่าตัวเองมาถูกหลังแล้วก็กดโทรออกไปหาวิชัยอีกครั้งหลังจากที่จอดรถอยู่หน้าบ้านเป็นเวลานาน  ผ่านไปเพียงสองนาทีก็มีคนมาเปิดประตูรั้วให้

     

    อคิราห์ขับรถเข้ามาตามทาง  ผ่านน้ำพุขนาดใหญ่ และสนามหญ้าที่ใหญ่ไม่ปานว่าเป็นสนามกอล์ฟ  เมื่อมองไปด้านหน้าก็เจอกับตัวบ้าน  ดวงตากลมโตจ้องมองมันแทบถลนเพราะความอลังการที่แผ่ออกมา  ตอนสมัครงานก็ไม่ได้คิดว่าบ้านของคนเหล่านี้จะมีฐานะที่ร่ำรวยมากมายมหาศาลอะไร

    “โคตรใหญ่” สำหรับตนแล้วสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเรียกคฤหาสน์ หาใช่บ้านที่ใช้พื้นที่ไม่ถึงหนึ่งพันตารางเมตรขึ้นไป

    ชายหนุ่มขับเคลื่อนเจ้า Suzuki สีดำตัดแดงมาจอดไว้ที่ด้านหน้าทางเข้า  ซึ่งตรงจุดนี้มีผู้ชายวัยกลางคนยืนรออยู่  เมื่อเขาลงจากรถก็มีชายอีกคนมาขอกุญแจและขับออกไปจอดอีกทาง ทอดสายตาตามไปก็เห็นโรงรถที่มีรถหลากหลายยี่ห้อจอดอยู่ 

    ร่างโปร่งเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่ยืนกุมมือพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ  เพื่อไม่ให้เสียมารยาทอคิราห์จึงส่งยิ้มบางไปให้อีกฝ่ายเช่นกัน  เขายกมือขึ้นไหว้แล้วเอ่ยทักทายร่างป้อมอย่างเป็นมิตร “สวัสดีครับ”

    “สวัสดีครับคุณอิมเมจ ผมชื่อวิชัย แต่คุณอิมจะเรียกชัยเฉย ๆ ก็ได้เช่นกัน” 

    “เอ่อ สวัสดีอีกครั้งครับคุณชัย”

    “ครับ เชิญเข้าไปข้างในก่อนเถอะครับ” 

    ชายกลางคนพยักหน้ารับแล้วเดินนำคนมาใหม่ให้ตามตนไปด้านในอย่างไม่เร่งรีบนัก  ระหว่างที่เดินไปอยู่นั้น อคิราห์ก็มองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ไปตลอดทาง  ของทุกชิ้นที่นี่ดูมีราคาจนเขาเริ่มเกร็ง  ด้วยกลัวว่าตนจะเดินไปชนอะไรแล้วตกลงมาแตกเข้า  หากแต่ในตอนนั้นเองสายตาของเขาก็ดันไปสะดุดกับมอเตอร์ไซค์ BMW Mini สีแดงที่สามารถขึ้นไปควบขี่ได้  โดยพลังงานหมุนเวียนสำหรับเจ้ามอเตอร์ไซค์คันนี้คือ แบตเตอรี่  หากย้อนไปตอนที่ตนยังเป็นเด็กน้อยของแบบนี้ยังไม่มีมาขายเลยด้วยซ้ำ  แต่ถึงมีก็คงไม่ซื้อมัน  เพราะนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดึงดูดก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้อีก  ต่อให้ขี่ได้จริงก็คงไม่พ้นซอยหน้าบ้าน เพราะแบตหมดก่อนที่จะได้ขี่กลับ  

    เดินมาได้สักระยะก็ถึงที่หมายที่ชายวัยกลางคนต้องการ   มองไปรอบ ๆ อคิราห์ก็ลงความเห็นว่ามันน่าจะเป็นห้องรับแขกที่บ้านทุกหลังต้องมี  เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังนั่งอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม  พวกเขามีหน้าตาที่ถอดแบบกันมาทุกกระเบียดนิ้ว  ต่างกันก็แค่สีผมที่ถูกย้อมโดยช่างฝีมือดี  คนหนึ่งย้อมมันด้วยสีเทาน้ำตาล  อีกคนย้อมสีน้ำตาลเข้ม  

    นัยน์ตาสีม่วงธรรมชาติมองชายหนุ่มสองคนที่วางท่าทีดูสง่าผ่าเผย  แล้วคิดวิเคราะห์ แยกแยะ ก่อนคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนตรงหน้าของเขาเป็นใครกัน  เป็นพี่ชาย พ่อบุญธรรมของเด็ก หรือว่าเป็นเครือญาติทางฝั่งใดของเด็ก ๆ ที่ตนต้องรับผิดชอบ  แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดอะไรไปมากกว่านี้วิชัยก็แนะนำให้เขาได้รู้จักกับคนตรงหน้า

    “คุณฟรังค์ เป็นแฝดพี่” วิชัยผายมือไปทางคนที่มีผมสีน้ำตาลเข้ม  ทำให้อคิราห์ต้องรีบยกมือขึ้นไหว้อย่างงงงวย  ซึ่งคนถูกไหว้เองก็ยกมือไหว้กลับมาให้เช่นกัน 

    “ส่วนนี่ คุณแฟร้งค์ เป็นแฝดน้อง” วิชัยผายมือไปทางผู้ชายผมสีเทาน้ำตาล  และเหตุการณ์การชวนงงเหมือนก่อนหน้าก็วนลูปกลับมาอีกครั้ง  ชวนให้ชายหนุ่มเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายจะยกมือไหว้ตนทำไม  ก่อนคำตอบของชายวัยกลางคนจะทำให้ได้กระจ่างแจ้ง  เมื่อเขาหันไปแนะนำตนให้เจ้าแฝดได้รู้จัก

    “คนนี้คือคุณอิม จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับคุณทั้งสองคน” อคิราห์เบิกตากว้างอย่างตกใจ  แตกต่างจากเจ้าแฝดที่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ร่างเล็ก  ทว่ารอยยิ้มที่ได้รับนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความดีใจเลยแม้แต่น้อย  กลับกันมันทำให้รู้สึกว่าพวกเขากำลังสนุกเหมือนเวลาเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่  ยิ่งอีกฝ่ายยิ้มกว้างเท่าไหร่อคิราห์ยิ่งน้ำตาตกในมากขึ้นเท่านั้น  เขาพร่ำถามตัวเองในใจซ้ำ ๆ กับคำถามเดิม ๆ ที่ไม่มีทางเกิดขึ้น

     “ฮือ ลาออกตอนนี้จะทันมั้ยนะ”

     

    “นะ...นี่  นี่คือเด็กที่คุณบอกเหรอ” นิ้วชี้ข้างขวาถูกยกขึ้นแล้วมุ่งเป้าไปยังชายสองคนตรงหน้าที่ยังคงยกยิ้มอยู่แบบเดิม  ประกอบกับเสียงพูดที่ติดขัดเล็กน้อยก่อนรวบรวมสติถามร่างป้อมของวิชัยที่ยืนอยู่ข้างกัน

    หากแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการพยักหน้าแล้วบอกว่า “ครับ” ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจเหมือนก่อนหน้าไม่แตกต่าง 

     สวนทางกับอคิราห์ที่อุทานในใจพร้อมกับเหน็บแนมด้วยใบหน้าคล้ายจะเป็นลมไปในที “นี่ที่บ้านคุณเรียกเด็กเหรอ บ้านผมเรียกโตเป็นควายจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว” 

    “คุณจะเริ่มงานวันนี้เลยใช่ไหมครับ”

    “คะ...ครับ ได้เลย” แล้วตนเลือกอะไรได้บ้างล่ะ นอกจากตกปากรับคำอย่างดิบดี  แต่ในใจนั้นน้ำตาตกในจนจะท่วมปอดอยู่รอมร่อ 

    “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายวัยกลางคนหันไปบอกฟรังค์กับแฟร้งค์  ก่อนจะก้มหัวคล้ายการทำความเคารพแล้วเดินออกไป  ทิ้งให้อคิราห์อยู่กับชายแปลกหน้าสองคน  เขาหันไปมองคนเหล่านั้นสลับกันไปมาอย่างหวาด ๆ  โดยตอนนี้บนใบหน้าของพวกเขาไม่มีรอยยิ้มอยู่แล้ว  ทำให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปีกระวนกระวายรีบหาวิธีสร้างพันธมิตรกับคนเหล่านี้ไว้ก่อน  คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าต้องเปิดปากคุยกับพวกเขาเป็นอันดับแรก  แต่ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรฟรังค์ก็แทรกพูดขึ้นมาซะก่อน

    “สวัสดีครับ คุณอิม”

    “ครับ สวัสดี” 

    “พวกเราไม่อยากได้พี่เลี้ยง” นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนตัวโตจะพูดมันออกมาตรง ๆ ไม่ปิดบัง  โดยน้ำเสียงที่เขาใช้พูดนั้นก็เรียบนิ่งไม่ต่างจากสีหน้าและท่าทาง

    “อ่า ครับ ผมเข้าใจ”

    “ถ้าเข้าใจงั้นคุณก็ไปบอกคุณชัยเลยสิว่าไม่อยากทำแล้ว” แฟร้งค์ที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาบ้างเมื่อมีช่องว่างให้ตนได้แทรกแซง 

    “ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้”

    “ทำไม หรืออยากได้เงิน งั้นผมจะจ่ายค่าเสียเวลาให้คุณดีมั้ย”

    “ไม่ได้จริง ๆ ผมรับปากไปแล้วว่าจะดูแลพวกคุณ อีกอย่างนี่คืองาน” อคิราห์รีบบอกเหตุผลของตัวเองไปในทันที  แต่พอพูดจบสีหน้าของคนฟังกลับแสดงออกว่าไม่พอใจ  พวกเขาหันไปมองหน้ากันเหมือนจะสื่อสารทางสายตา  ก่อนที่ความไม่พอใจก่อนหน้านี้จะหายไป  เหลือไว้เพียงรอยยิ้มอย่างสนุกสนานที่พวกเขาเข้าใจกันอยู่สองคนเท่านั้น

    นั่นยิ่งส่งให้อคิราห์รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นไปอีก  เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าในแต่ละวันที่ตนต้องมาดูแลเจ้าเด็กโข่งพวกนี้ ตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง 

     เป็นเหตุผลให้คำพูดมากมายผุดขึ้นในหัวเหมือนดอกเห็ด  ทั้งคำค่อนขอด  คำอุทาน  ไม่เว้นแม้แต่คำข่มขู่ตัวเอง 

    “นี่กูคิดถูกใช่มั้ยเนี่ยที่รับงานนี้”

    “ไหนบอกว่ากูต้องมาดูแลเด็กไง นี่มันเด็กโข่งชัด ๆ”

    “ฮือ...นี่มันหายนะในชีวิตเลยนะ”

    “ไหวไหม กูเนี่ยไหวรึเปล่า ฮือ...มึงตายแน่ไอ้อิม”

     

     

    TBC.

    TALK : สวัสดีเจอกันอีกแล้วหลังจากที่หายไปสองอาทิตย์ เริ่มต้นวันใหม่ในสัปดาห์ใหม่พอดีเลย ขอโทษด้วยนร๊าที่หายไปนาน แบบว่าไรท์ว่าช่วงนี้ไรท์ดวงตกหน่อย ๆ แหละ ฮืออ คือหลังจากวันนั้นน่ะนะ ไรท์ก็มีผลข้างเคียงวัคซีนใช่มะ แล้วประมาณวันเสาร์ไรท์ก็แบบฝันเห็นจระเข้แหละ ที่บ้านบอกว่าเขามาทวงที่เราบนบานศาลกล่าวเอาไว้ ไรท์ก็บั่บว่าไม่รู้ว่าตัวเองบนไรไว้ไง  แต่ก็แก้ไปตามวิธีที่ผู้ใหญ่บอก ทีนี้วันจันทร์ไรท์ก็ขี่รถจะไปข้างนอก โดนตัวเหี้ยตัดหน้าแบบกระชั้นชิด  แบบมันเป็นตัวเหี้ยจริง ๆ น่ะ ตัวมันบะลั่กขลั่กมาก ๆ อื้อ จากปวดซ้ายก็มาปวดขวาต่อ  ต่อด้วยสองวันก่อนอากาศเปลี่ยนลมโชยนอนสบาย ด้วยความที่บ้านอยู่กลางทุ่งก็เลยติดลม ภูมิแพ้เลยถามหา ขี้มูกโป่ง+ไข้ ไปสองวันเต็ม วันนี้ก็ยังเป็นอยู่แต่เบาแล้วแหละ ดีขึ้นเยอะเลยมาต่อ ๆ ให้แหละ 

    ส่วนเนื้อหา อันนี้พยายามยึดใจความเดิมให้ได้มากที่สุดเลย แต่ด้วยความที่มันเป็นเนื้อบรรยายที่เห็นตัวละครพูดในใจหรืออุทานในใจไรท์เลยต้องหาวิธีไม่ให้มันหายไปด้วยการใส่เป็นตัวเอียง  ความคิดตั่งต่างก็จะอยู่ในการบรรยายเหมือนเดิม ไม่รู้คนอ่านรู้สึกเหมือนไรท์ไหมนะ เพราะถ้าเป็นตัวไรท์มันจะเหมือนได้เห็นมุมมองของน้องและก็ของทุกคน เป็นการสลับกันมองแหละ แบบบรรทัดนี้คือน้อง บรรทัดนี้คือเรา หรือตัวละครตัวอื่น ๆ ประมาณนั้นแหละอื้อ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×