ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B1A4] Infatuation. ?

    ลำดับตอนที่ #2 : 2nd Act– let the hunting begins.

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 54



    2nd Act
    let the hunting begins.

     

     

     

    ลมหายใจถูกผ่อนออกมายาวๆจากริมฝีปากบางที่โค้งลงฉายแววไม่พอใจ ร่างโปร่งบางนั่งไขว่ห้างมองออกไปนอกรถด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่นัก จากอาการฮึดฮัดนั่งไม่ติดที่ก็น่าจะบ่งบอกได้ดีว่ากำลังอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย แต่ผู้ที่กำลังขับรถอยู่ก็ยังไม่คิดที่จะพูดอะไรขึ้นมา จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้จินยองหงุดหงิดที่สุด

      

     

    "นายคิดจะทำอะไร?" จินยองยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเลิกคิ้วมองคนข้างกายอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ



    "เปล่านี่ครับ ผมก็แค่มารับ"



    "ฉันกลับบ้านเองอยู่ทุกวัน แล้วทำไมถึงโผล่หน้ามาวันนี้?"


     

    "หงุดหงิดที่ผมมาขัดจังหวะการเดทอย่างนั้นเหรอครับ?"


     

    "ไม่ใช่เดท ก็แค่... เฮ้อ ช่างเถอะ"


     

     

    จินยองตัดสินใจเลิกคิดที่จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับโชเฟอร์จำเป็นที่อยู่ดีๆก็โทรเข้ามาว่าจอดรถรออยู่ด้านหลังร้านอาหารร้านโปรดของเขาโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย(ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในการให้อีกฝ่ายรอเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้วก็ตาม) เขาเข้ามาอยู่คอนโดในเมืองมาก็หลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีโชเฟอร์มาคอยเทียวรับเทียวส่งกลับไปที่บ้านใหญ่เหมือนตอนเด็กๆ แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือเป็นคนคนนี้ที่ถึงกับมาหาด้วยตัวเอง

     

    ดวงตาคู่สวยเหลือบมองข้าวของที่วางอยู่บนเบาะหลังของรถคันหรูแล้วก็ต้องหันหน้าไปมองคนที่กำลังขับรถอยู่ที่ยังตีหน้าไร้อารมณ์ได้อย่างน่าโมโห จินยองเริ่มจะเดาอะไรได้ลางๆ



     

    "อย่าบอกนะว่า..."


     

    "ใช่ ผมจะย้ายเข้าไปอยู่กับคุณนับจากวันนี้"


     

    "ชานชิค นาย!" จินยองแทบจะยื่นมือออกไปกระชากปกเสื้อเชิ๊ตที่อีกฝ่ายใส่อยู่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ได้แต่สบถกับตัวเอง "นี่มันเรื่องบ้าอะไร?"

     

    "ไม่ใช่ความคิดผม แต่เป็นพ่อของคุณต่างหากล่ะ แล้วอย่าสบถให้ท่านได้ยินเชียวนะครับ"


     

    "สบถแล้วจะทำไม? จะให้ฉันเป็นคนอย่างนายรึไง? ทำหน้าเบื่อโลกได้ตลอดเวลาแบบนี้น่ะ มีความสามารถทำได้แค่นี้เหรอ!"


     

    รถคันสวยถูกกระชากดึงเข้าจอดที่ข้างทางกระทันหันโดยฝีมือคนขับที่ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิท ยางเสียดกับพื้นถนนจนเกิดเสียงดังเสียดหูกึกก้อง จินยองหลับตาแน่นตกใจไปกับแรงเหวี่ยงแล้วเผลอคว้าเอาแขนของอีกฝ่ายมากอดเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว เมื่อทุกอย่างสงบลงรวมถึงลมหายใจของจินยองแล้ว กงชานก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบ 

      

     

    "ดึงแขนผมไปแบบนั้น มีสิทธิ์ว่ารถทั้งคันจะพุ่งผ่านรั้วตกลงไปในแม่น้ำนะครับ"


     

    "นายนั่นแหละ! อยู่ดีๆก็หักพวงมาลัยแบบนั้นได้ยังไง!?"

     

     

    ร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วโน้มตัวลงมากระแทกฝ่ามือเข้ากับกระจกรถ เฉียดใบหน้าของเขาไปเพียงคืบ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองคนตรงหน้าที่จ้องมองมาด้วยแววตาคมกริบ


     

     

    "มีความสามารถแค่นี้รึเปล่าก็คอยดูเอาเอง... เก็บคำสบประมาทของคุณกลับไป อย่าลืมสิครับ คุณใช้นามสกุล กง อยู่นะ"


     

     

    ริมฝีปากบางเม้มแน่น จินยองใช้หน้าแขนดันกงชานออกแล้วทิ้งตัวลงกับเบาะนุ่มอย่างยอมแพ้ เขายกมือขึ้นนวดขมับแล้วไว้อาลัยให้กับอิสรภาพของตัวเองที่กำลังจะจบลง พอรถเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง จินยองก็พบตัวเองกำลังจับจ้องไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าแต่กลับเป็นถึงลูกมือชั้นหนึ่งของพ่อ กงชานชิคเป็นลูกของคนในบ้านที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน หรือจะให้พูดตรงๆก็คือเคยเป็นราวกับบอดี้การ์ดนอกเครื่องแบบให้กับจินยองนั่นแหละ แต่นั่นมันก็เรื่องที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว ทั้งที่ตอนเด็กๆก็เคยวิ่งเล่นหัวเราะด้วยกันดีๆ โตขึ้นทำไมถึงได้ดุและโหดแบบนี้วะ?

     


     

    "คุณต้องยอมให้ผมคอยจับตามองคุณโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ"


     

    "ฉันไม่ค่อยออกไปไหนหรอก ส่วนมากก็ทำงานอยู่ที่บ้าน นายต้องเบื่อแน่ๆ"



    "ไม่แน่หรอกครับ เพราะชีวิตของคุณจะไม่สงบสุขเหมือนเดิมแล้ว" 

     

     

    เหมือนว่าเขาจะได้ยินกงชานลอบหัวเราะน้อยๆจากคำพูดนั้น จินยองกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิดใจ มันจะไม่สงบสุขอย่างแน่นอน เขาก็รู้สึกได้ ถึงจะแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว แต่จินยองก็ไม่ได้หลุดออกไปจากวงจรของธุรกิจในบ้านขนาดนั้น พวกข่าวคราวและเรื่องราววงในของเหล่าผู้มีอิทธิพลในด้านต่างๆเขาก็เก็บข้อมูลเอาไว้หมดนั่นแหละ อาจจะรู้เรื่องของพ่อตัวเองมากกว่าเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำ จะหวังอะไรน้อยไปกว่านี้จากคนที่มีคอนเนคชั่นมากมายตามประสานักเขียนอิสระอย่างเขา พอจะเดาได้อยู่หรอกว่ามันต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นที่ทำให้พ่อต้องส่งกงชานมาแบบนี้ และมันก็คงไม่พ้นที่จะเกี่ยวกับตัวเขาเอง

     

     

     

    "แล้วยังไงต่อ?"

     

     

    "ถึงเวลาของรุ่นลูกอย่างคุณแล้วครับ ก่อนอื่นก็คือข้อมูล เราต้องหาข้อมูลของฝ่ายนั้นมาให้ได้ก่อนที่เขาจะหาตัวคุณเจอ"

     

     

    "อ้อ นายหมายถึงลูกคนโตของทางนู้นสินะ... พอได้ข้อมูลมาก็วางแผน ถ้ามีข้อมูลทางลบก็เผื่อไว้แบล็คเมล์ ถ้าฝ่ายไหนเริ่มลงมือก่อนเมื่อไหร่ก็เท่ากับการประกาศสงครามใช่ไหม?"

     


     

    กงชานลอบยิ้มน้อยๆอย่างไม่ให้คนอายุมากกว่าเห็น เวลาที่ผ่านมาก็ส่งข่าวคุยกันผ่านโทรศัพท์มาตลอด เจอกันบ้างในบางครั้งเวลาแม่ของจินยองบ่นคิดถึงลูก จินยองไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่ออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว หลักแหลม หัวไว และก็ยังรักชีวิตสันโดษเหมือนเดิม ความจริงแล้วเป็นกงชานนั่นแหละที่อาสามาเองแทนที่จะเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดมืออาชีพ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะมารบกวนคนรักสงบนักหรอก แต่เขาจะปล่อยให้จินยองตกอยู่ในอันตรายไม่ได้

     

     

    "มีเงื่อนไขอยู่ข้อเดียว คุณจะต้องไม่ปิดบังข้อมูลกับผม ห้ามออมมือ อย่าใจอ่อนเด็ดขาด ผมมาที่นี่ก็เพื่อจับตามองคุณให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้น" กงชานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ย้ำคำพูดด้วยการเหลือบมองจากปลายหางตา

     

     

    กลีบปากล่างถูกขบกัดจนแดงช้ำ จินยองท้าวคางมองบรรยากาศภายนอกด้วยดวงตาที่หมองลง หัวใจของเขาเต้นแผ่วเบาเมื่อคิดว่าเขากำลังจะต้องทำสิ่งที่ไม่อยากจะทำที่สุด พอจะเข้าใจอยู่ว่าต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แล้วก็ของครอบครัวด้วย แต่ทำไมเขาถึงจะต้องใช้ความรู้และความสามารถที่เขารักเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่น? จินยองก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบและซื่อตรงก็เท่านั้น

     

     

    "งั้นฉันก็ขอนายอย่างเดียว อย่ารบกวนเวลาฉันไปอ่านหนังสือ"

     

     

    "ไม่ต้องกังวล ผมจะไม่ไปขัดจังหวะเดทของคุณตราบใดที่ไม่มีเหตุฉุกเฉิน"

     

     

    "เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ใช่... นายนี่มันน่าโมโหชะมัด"

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาไม่นาน รถสีดำสนิทแวววาวก็เคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้าล็อบบี้ของคอนโดสูงตระหง่านที่ดูยังไงก็หรูหราดูดีเกินกว่าที่คนที่แต่งตัวอย่างเรียบง่ายอย่างจินยองอาศัยอยู่ จนสัมภาระของกงชานก็ถูกพนักงานจัดการส่งขึ้นไปบนห้องเรียบร้อย ร่างโปร่งบางก็เหวี่ยงกระเป๋าตัวเองพาดไหล่แล้วปิดประตูรถอย่างกระแทกกระทั้นตั้งใจที่จะประชดใครบางคน กงชานถอนหายใจเฮือกแล้วลดกระจกลง

     

     

    "ไม่ต้องมาทำนิสัยเด็กๆกับผม ความอดทนของผมก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ"

     

    "นายน่าจะชินได้แล้ว" จินยองเถียงกลับพร้อมกับกลอกลูกตาอย่างยียวน ทำเอากงชานต้องหายใจเข้าลึกเพื่อที่จะกลืนเอาความหงุดหงิดทั้งหมดกลับลงไป

     

    "ขึ้นห้องไปก็อาบน้ำเตรียมตัวนอน แล้วก็อย่าแตะต้องของของผม" 

     

    "รู้แล้วน่า..."

     

     

     

     

    จริงอยู่ที่จินยองชอบที่จะยั่วโมโหทำป่วนให้กงชานหัวเสียเล่นๆ แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าเขาทำตัวเหมือนเด็ก มันเป็นแค่วิธีการวุ่นวายกับสมองคนอื่นในแบบฉบับของเขาต่างหาก ถึงมันจะเป็นวิธีเด็กๆก็เถอะนะ แต่เขาก็เป็นแบบนี้เฉพาะกับคนหน้านิ่งคนนี้เท่านั้นแหละ ทำให้กงชานแสดงอารมณ์ออกมาบ้างก็ยังดีเสียกว่า ไม่ใช่ตีสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้


     

     

     

    "เริ่มจากไหนดีนะ... เฮ้อ ไม่มีแรงจูงใจเอาซะเลย" ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวนุ่มโดยที่โยนสิ่งที่กงชานกำชับให้ทำเมื่อครู่ออกนอกหน้าต่างไปอย่างง่ายดาย เขาควักเน็ตบุ๊คตัวเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วถือไว้อย่างนั้นในขณะที่ใช้ความคิด งานนี้สงสัยจะอาศัยแค่คนรู้จักไม่ได้ เพราะเขากำลังจะต้องรับมือกับสิ่งที่เกือบจะไม่มีตัวตน...




    "จริงสิ ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่นะ"

     

     


    จินยองเปิดหน้าจอเครื่องใช้อิเลคโทรนิคในมือขึ้นมาแล้วกระตุกยิ้ม ที่ผ่านมาเขาเอาแต่นั่งอ่านหนังสือ รับงานเขียนคอลัมน์บ้าง วิจารณ์หนังบ้าง เขียนเรื่องสั้นบ้าง แต่นานแล้วที่เขาไม่ได้ใช้ความรู้ตามสายที่เขาเรียนมา มันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีจริยธรรมสูงไม่น้อยถึงจะอยู่ในขอบเขตของความเหมาะสม การสืบหา ตามรอยข้อมูล และเจาะเข้าไปในระบบน่ะเป็นความสามารถพิเศษของเขาเชียวนะ

     

     


    ก่อนที่จะได้ลงมือจริงๆ ก็ต้องขอซ้อมซักนิดหน่อย

    และเขาก็คิดได้แล้วว่าอะไรจะเป็นบททดสอบฝีมือของเขาในคราวนี้







    "เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ อย่าเพิ่งตกหลุมพรางของผมนะ ไม่งั้นคงไม่สนุก

     





    – I don't even know why I'm doing this. Can you give me the reason?

     


     

     

     

    หลังจากนั่งคุยงานอยู่ข้างล่างเสียนาน ในที่สุดร่างสูงโปร่งก็ก้าวเข้ามาในเพนท์เฮ้าส์ที่กว้างขวาง กงชานยืนพิงกรอบประตูของห้องรับแขกแล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจยาวเมื่อได้รับการต้อนรับจากเจ้าของห้องที่หลับไปแล้วอยู่บนโซฟาโดยที่ยังเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ เน็ตบุ๊คที่เจ้าตัวกอดไว้หลวมๆก็ถูกเปิดทิ้งไว้อีกเครื่อง ดวงตากลมโตมองไปรอบๆห้องที่สะอาดสะอ้านก่อนจะเดินสำรวจภายในอย่างถือวิสาสะ จนสรุปได้ว่าในที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ จินยองคงใช้อยู่แค่ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วก็ห้องนอน ซึ่งถ้าจะให้เขาเดา มันก็คือโซฟาในห้องรับแขกนั่นแหละ


    อ้อ แล้วก็ห้องทำงานที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่อีกตั้งสามสี่เครื่อง อย่างน้อยๆจินยองก็ระมัดระวังทำระบบความปลอดภัยได้แน่นหนาพอที่จะรับมือกับระดับอย่างเขา

     

     


    "ช่องโหว่เต็มไปหมดแบบนี้ คงไม่มีใครทันคิดแน่ว่าคุณมาจากบ้านนั้น" กงชานพูดเสียงเบาราวกับเป็นการกระซิบกับตัวเองแล้วจึงไปค้นเอาหมอนและผ้าห่มออกมาจัดแจงให้คนที่หลับไม่รู้เรื่อง เขายืนมองอีกฝ่ายอยู่ซักพักแล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่จินยองพลาดโอกาสไม่ได้เห็น

     

     

     

    "บ่นสารพัด แต่ไม่เคยผลักไส... คุณก็เป็นซะแบบนี้"

     

     



    – you're way too far for me to reach.





     

    "ขอโทษนะ แต่ผมขอแบบสุกๆ"


     


    ยามเช้าที่จินยองเกลียดเป็นทุนเดิมยิ่งกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า...




     

    "รู้แล้วน่า ฉันไม่ได้แก่ถึงขนาดจะลืมเรื่องง่ายๆแบบนี้หรอก แล้วทำไมฉันต้องทำให้นายกินด้วยเนี่ย?" หลังจากที่ได้ยินเด็กหนุ่มร้องเรียกขึ้นมาจากหน้าทีวีเสียงดังฟังชัดให้คนในครัวได้ยิน จินยองจำต้องบ่นกระปอดกระแปด ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับอาหารเช้าที่เขาตัดปัญหาทำอะไรง่ายๆอย่างอเมริกันเบรคฟาสต์แทนที่จะเป็นอะไรซับซ้อนที่เขาทำกินเองประจำ ในเมื่อนับจากวันนี้ไป เขาจำต้องยอมที่จะมีเพื่อนร่วมห้องและก็ต้องทำอาหารให้กินด้วย 

     


    "ก็คุณเป็นเจ้าของบ้านนี่ แล้วอีกอย่าง... มันปกติไม่ใช่เหรอครับ คุณกง––"




    "ถ้านายยังพูดต่อ ก็หลบมีดให้ดีๆแล้วกัน"




    กงชานหัวเราะเบาๆกับตัวเองแล้วกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยเปื่อย ไม่เสี่ยงพูดต่อหรอก เพราะจินยองน่ะแม่นน่าดูเลยล่ะ เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ถึงจะไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจน แต่ในความคิดเขาแล้ว เวลาอยู่กับจินยองก็ไม่มีเบื่อจริงๆ ก็เพราะจินยองชอบที่จะปั่นหัวเขาเล่น และเขาก็จะเอาคืนในแบบของตัวเอง เหมือนเป็นการลับสมองที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน ต่างฝ่ายต่างก็มองหาจังหวะเล่นงานกันและกันแบบนี้มานานแล้ว




    คุณสร้างกำแพงของตัวเองขึ้นมา แสร้งว่าเข้มแข็งและยิ้มรับทุกๆอย่าง

    รอบๆตัวเหมือนมีบานกระจกนับไม่ถ้วนที่สะท้อนภาพหลากหลาย

    จนไม่รู้ว่า จินยอง คนไหนกันแน่ที่เป็นคุณจริงๆ

    ในโลกนี้ จะมีใครซักคนไหมนะ

    ที่จะสามารถค้นหาตัวตนจริงๆของคุณเจอ?





    – I will protect you. Even if it means to give up my life.


     



    "นี่ พ่อยังโกรธอยู่หรือเปล่า?" จินยองพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาลง แต่ก็ยังพอให้กงชานได้ยินจากข้างนอก มือใหญ่วางรีโมทลงแล้วนิ่งฟัง เขายังไม่ตอบอะไรออกไปก็เพื่อให้อีกฝ่ายพูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกมาก่อน "นายเข้าใจฉันใช่มั้ย? จะให้ขึ้นไปแทนพ่อ ฉันทำไม่ได้หรอก ถึงจะเป็นลูกคนเดียวก็เถอะ..."




    กงชานกดปิดทีวีแล้วลุกขึ้นมาจากโซฟาตัวนุ่ม ขาเรียวยาวก้าวตรงไปในห้องครัวที่เงียบกริบ ไม่มีเสียงอุปกรณ์และเสียงทำอาหารดังเหมือนเมื่อครู่ ดวงตากลมโตมองไปยังร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะอาหารด้วยใบหน้าที่ก้มลงจดจ้องเหมือนกับว่าอาหารที่อยู่ในจานมันน่าสนใจมากขนาดนั้น



    "เรารู้จักกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว จินยอง ผมรู้"




    สิ้นเสียงถอนหายใจ ร่างโปร่งบางก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วกวักมือเรียกให้มานั่งด้วยกัน กงชานนั่งลงตรงข้ามแล้วก็ต้องส่ายหน้าน้อยๆเมื่อเห็นจินยองขบกัดส้อมอย่างใช้ความคิด เป็นนิสัยเล็กๆเวลาที่ลูกชายคนเดียวของครอบครัวจองกำลังใช้สมองมากๆ และก็เป็นสิทธิพิเศษของกงชานด้วยที่สามารถรั้งมือของอีกคนเอาไว้ได้โดยที่ไม่โดนเหวี่ยงใส่ จินยองยอมวางส้อมลงแล้วเหลือบตาขึ้นมองดวงตากลมๆของคนตรงหน้าที่เหมือนจะยิ้มมาให้



    "ถ้ายังโกรธ... ก็คงไม่ร้อนรนเป็นห่วงคุณขนาดนี้หรอกครับ"



    จินยองจิ้มส้อมลงกับสลัดผักสีสดแล้วหัวเราะในลำคอ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย พ่อพยายามไกล่เกลี่ยให้เขาขึ้นเป็นซีอีโอในอนาคตและเขาก็จะปฏิเสธหัวชนฝาทุกครั้งไป เราทะเลาะกัน เถียงกันเป็นว่าเล่น แต่ก็เท่านั้นแหละ คนเป็นพ่อก็ต้องเป็นห่วงเพราะคงจะรู้ตัวแล้วว่าทำให้ลูกพลอยตกเป็นอันตรายไปด้วย แต่คนปากไม่ตรงกับใจก็ทำเป็นโกรธไม่พูดกันเลยนับจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันเมื่อหลายเดือนก่อน






    "ตอนนี้ ฉันแค่ต้องคอยระวังไม่ให้ใครหาตัวเจอ แล้วก็ไม่ให้ถูกยิงก็พอใช่ไหม?"


    รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเนียน กงชานหรี่ตามองจินยองที่ยักไหล่ให้ราวกับว่าสิ่งที่พูดเมื่อกี้นั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาเสียมากมาย แต่มือบางก็ต้องเผลอปล่อยส้อมหล่นกระทบลงกับจานเมื่อเขาได้เห็นคนตรงหน้ากระตุกยิ้มที่มุมปาก ถึงจะเป็นเพียงรอยยิ้มเล็กๆก็ตาม






    "แน่นอนเพราะยังไงคนที่จะเข้าไปรับลูกกระสุนแทนคุณก็คือผม"




     

     "อย่าพูดอย่างนั้นนะ" จินยองช้อนตาขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่มีแววล้อเล่น ซึ่งเมื่อกี้กงชานก็พูดออกมาอย่างไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน "อย่าแม้แต่จะคิด ถ้านายจะเป็นอะไรไป มันต้องมาจากฝีมือฉันต่างหาก"

     



    ตลกร้ายของจินยองไม่เคยพลาดทำให้กงชานหลุดขำขึ้นมา อาจจะฟังดูโหดร้ายไปซักหน่อยแต่มันก็สื่อถึงความห่วงใยในแบบของจินยองได้ดีที่สุดแล้ว เพราะผู้ชายคนนี้ไม่มีวันที่จะทำร้ายเขาหรือไม่ว่าใครก็ตาม มันเป็นการแสดงออกทางคำพูดในทางอ้อมที่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในอาชีพที่อันตราย ต้องยกระดับจิตใจและความคิดของตัวเองให้สูงกว่าคนอื่นเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำได้อย่างแนบเนียนแล้วใครจะไปรู้ว่าจินยองทำเพื่อป้องกันจิตใจที่เปราะบางของตัวเอง




    "นายจะไปทำงานใช่มั้ย? ฝากความคิดถึงไปให้พ่อด้วยนะ" ร่างบางพูดขณะที่กำลังคาบช้อนซุปแล้วมองตามกงชานที่ลุกขึ้นไปเก็บจาน "วางไว้ในอ่างนั่นล่ะ เดี๋ยวฉันล้างเอง"




    จินยองนั่งละเลียดซุปครีมข้นของตัวเองไปอย่างใจเย็นพลางนึกอะไรไปเพลินๆ ไม่พ้นที่จะเป็นเรื่องราวของคนที่เขาได้พบเมื่อสามวันก่อน มือบางยกขึ้นกำๆแบๆตรงหน้าแล้วยิ้มกว้าง





    เข้าใกล้ไปอีกหน่อยแล้ว... อีกนิดเดียว





    กงชานจัดเนคไทสีกรมท่าให้เข้าที่แล้วเหลือบมองร่างโปร่งบางที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายดูมีความสุขอะไรนักหนา สิ่งที่จินยองทำในคอมพิวเตอร์น่ะมันมีแต่อะไรซับซ้อนที่เขาไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายดูตั้งใจและสนุกกับมันมากทีเดียว จินยองกำลังค้นหาอะไรอยู่กันนะ?





    "จริงสิ นายอยากเอาอะไรไปกินมั้ย? อย่างแซนวิชอะไรพวกนี้"




    "เห... นี่คุณเตรียมตัวเข้าบ้านกงจริงๆเหรอเนี่ย?" ไม่พลาดโอกาสที่ร่างสูงจะออกปากแซวทันทีที่จินยองมีช่องว่าง จินยองกลอกตาไปมาอย่างปลงๆ



    "ตลกเถอะ นายจะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้มีน้องชายซักวันจะได้ไหม?"




    "ครับๆ แต่คุณเก็บไว้ทำกินเองเถอะ แล้วห้ามออกไปไหนนะ" กงชานกำชับด้วยน้ำเสียงเข้มและนิ้วที่ชี้หน้าจินยองอย่างคาดโทษ ร่างบางเดินตามกงชานไปถึงหน้าประตูแล้วยืนกอดอกมองด้วยรอยยิ้มกวนๆ เจ้าของบ้านโบกมือลาหยอยๆ ทำให้กงชานนึกหมั่นไส้อยากจะเปลี่ยนแผนกระทันหัน ไม่ไปทำงานแล้วอยู่แกล้งจินยองแทนซะดีไหม?





    พอแน่ใจว่าอีกคนลงลิฟท์ไปแล้ว จินยองก็ปิดประตูลงเบาๆแล้วรีบวิ่งกลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองโดยคว้าชามซุปไปด้วย ถ้ากงชานเห็นกินไปเล่นคอมไปก็จะต้องบ่นชุดใหญ่แน่ๆ เขากวาดสายตามองตัวหนังสือมากมายที่จัดเรียงกันเป็นแถวยาวจนแทบจะหาที่สิ้นสุดไม่เจอ




    "ต้องมีล่ะน่า... มาถึงขนาดนี้แล้ว ctlr+F ไม่เคยทรยศฉันอยู่แล้ว ใช่ไหม?" ริมฝีปากบางพึมพำกับตัวเองแล้วกดปุ่ม Enter ด้วยหัวใจที่เต้นรัว นี่เขาลงทุนเสี่ยงชีวิตและปวดหัวกับระบบความปลอดภัยมากมายจนสามารถเจาะเข้าไปในฐานข้อมูลของเครือข่ายโทรศัพท์เชียวนะ



    จังหวะที่คำค้นหาของเขาปรากฏขึ้นมาในทีแรกก็ต้องทำให้ผิดหวังเพราะข้อมูลอย่างอื่นมันไม่ตรงกับที่เขาร่างเอาไว้ มือขาวจัดสั่นน้อยๆขณะที่กดดูผลลัพธ์ต่อไปเรื่อยๆ



    "ผ่านมาหลายรายการแล้วนะ... " จินยองขบกัดริมฝีปากเบาๆ ถึงใจจะเริ่มไม่ดีแต่เขาก็ทำต่อไปอย่างใจเย็นโดยที่คว้าเอาความหวังเล็กน้อยไว้กับตัว "อ๊ะ..."






    บิงโก





    ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อรายการต่อไปที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าตรงกับที่เขาเก็บข้อมูลมาทุกอย่าง ทั้งชื่อ ทั้งรุ่นและลักษณะของมือถือที่ถูกลงทะเบียนไว้ จินยองกระพริบตาถี่ๆแล้วรีบบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมเท่าที่อยู่บนหน้าจอลงในแผ่นกระดาษ ก่อนที่ทุกๆโปรแกรมและขั้นตอนถูกปิดลงจนหมดไม่เหลือร่องรอยภายในพริบตา จินยองผ่อนลมหายใจยาวทันทีที่ปลดเลขไอพีและข้อมูลลวงของคอมพิวเตอร์ที่ใช้เสร็จเรียบร้อย ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม






    "ผมเจอคุณแล้วล่ะ ชินอู"



     


     

    つづく。 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×