ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #26 : [OS] Feeling-Waiting-Depending | JackJae

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.04K
      12
      26 ส.ค. 60



    Feeling-Waiting-Depending

     



    โทรศัพท์มือถือเครื่องบางถูกโยนจนลอยละลิ่วไปในอากาศ ก่อนจะตกลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนที่นอนนุ่ม เป็นการกระทำที่หากคุณนายชเวมาเห็นเข้าคงจะได้กรีดร้องเพราะความไม่รักษาข้าวของของคุณลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแน่นอน

     

    แต่แหงล่ะ คนโยนเขาสนใจซะที่ไหนกัน

     

    อย่างน้อยมันก็ตกลงบนเตียงอย่างที่คิดเอาไว้นั่นแหละน่า

     

    "เฮ้อ"

     

    เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้นมาพร้อมๆกับร่างนุ่มนิ่มที่ทิ้งตัวลงบนที่นอน เฉียดจะทับเจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมอยู่รอมร่อ กระเป๋าสะพายที่เจ้าตัวยังคงสะพายคาทิ้งไว้บนไหล่ช่วยบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัวคงจะพุ่งขึ้นมายังห้องนอนทันทีที่กลับจากมหาวิทยาลัย

     

    ยองแจไม่แน่ใจว่าเขานอนอยู่อย่างนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ อาจจะสักสิบนาที หรืออาจจะชั่วโมงหนึ่ง...ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนนี้คงจะเลยเวลาทานอาหารเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวมาได้สักพักแล้ว เรื่องดีอย่างหนึ่งคือการที่แม่ของเขาไม่เดินดุ่มๆขึ้นมาและลากเขาลงไปทานข้าวในสภาพแบบนี้เหมือนกับเมื่อก่อน

     

    คงต้องขอบคุณชีวิตมหาวิทยาลัยที่ทำให้คุณนายชเวเริ่มจะมีภาพติดตาขึ้นมาบ้างว่า บางทียองแจก็ต้องการเวลาพักผ่อนหลังจากผ่านวันอันหนักหน่วงในมหาวิทยาลัยมาบ้าง

     

    และแน่นอนว่าการพักผ่อนที่ว่า คงไม่ได้หมายถึงการลงไปนั่งฝืนยิ้ม กดความเหนื่อยล้าและทำเป็นมีความสุขกับมื้ออาหารทั้งที่ในใจอยากจะขึ้นไปนอนเต็มแก่

     

    โอเค ทำความเข้าใจใหม่ ไม่ใช่ว่าแม่เขาทำกับข้าวไม่อร่อย หรือการไปนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวมันเป็นเรื่องน่าอึดอัดขนาดนั้น มันก็แค่ว่า เขาอยากจะนั่งพักสมองเงียบๆอยู่ในห้อง หรือไม่ก็หลับยาวตั้งแต่ห้าโมงจนถึงสองสามทุ่มแล้วค่อยลงไปหาอะไรกิน ก็แค่นั้น

     

    แต่เอาเถอะ ที่พูดๆมานี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสาเหตุที่ทำให้ชเวยองแจต้องมาทิ้งตัวลงบนเตียง ข้างๆโทรศัพท์มือถือคู่กายแบบนี้หรอก

     

    วันนี้เขาไม่ได้เหนื่อยจากการเรียนในมหาวิทยาลัยจนต้องมาทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่ถึงบ้าน เอาจริงๆมันก็แค่ข้ออ้างที่จะทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆก็เท่านั้น

     

    ทั้งหมดมันก็แค่...

     

    ก็แค่...

     

    ...

     

    Sigh

     

    ...

     

    ช่างมันเถอะ

     

    =

     

    การมาถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่แม้เวลาเรียนจริงๆจะเป็นเก้าโมงครึ่งหรือสิบเอ็ดโมงแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับชเวยองแจไปเสียแล้ว

     

    เดี๋ยวค่อยไปนั่งหลับเอาใต้ตึกหรือในห้องสมุดก็แล้วกัน

     

    ดังนั้น ภาพนักศึกษาตาปรือ เส้นผมชี้โด่เด่เล็กน้อย นั่งกอดกระเป๋าด้วยท่าทางยังตื่นไม่เต็มที่อยู่ตรงโต๊ะใต้ตึกเรียนจึงกลายเป็นภาพคุ้นตาของนักศึกษาในละแวกนั้นเช่นเดียวกัน ฮะๆ

     

    ใครแคร์กันล่ะ

     

    ก็ดีกว่าไปนั่งหลับในห้องมั๊ย ถามใจดูแล้วกัน

     

    เพียงแต่ว่า

     

    เหมือนวันนี้จะมีอะไรแปลกไปกว่าปกติอยู่นิดหน่อย

     

    ...

     

    โทรศัพท์มือถือคู่กายและกระเป๋าสะพายที่เจ้าตัวมักใช้ต่างหมอนวางคู่กันอยู่บนโต๊ะใต้อาคารเรียน

     

    ดวงตาเรียวที่ดูจะปิดอยู่รอมร่อมองของสองสิ่งบนโต๊ะสลับกันไปมา แม้ตาจะหรี่เต็มทีเพราะความง่วงตามแบบฉบับคนนอนดึกตื่นเช้า แต่หัวคิ้วทั้งสองข้างกลับขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

     

    อาจจะหน้าเครียดกว่าตอนทำข้อสอบวิชาอารยธรรมหรือเขียนเปเปอร์วิชาปรัชญาเสียด้วยซ้ำ

     

    “อืมมมม”

     

    เผลอเปล่งเสียงในลำคอออกมาอย่างทุกครั้งที่ต้องใช้ความคิดหนัก ยิ่งเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเจ็ดโมงสิบห้า ยองแจก็ยิ่งคิดหนัก เขาเสียเวลานอนอันมีค่ามานั่งจ้องของสองสิ่งบนโต๊ะนี่กว่าสิบห้านาทีแล้ว และเขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีก

     

    อันที่จริงเขาควรจะเลือกกระเป๋าสะพายและก้มหน้าฟุบลงไปให้มันจบๆไปซะ จะได้นอนมันสมใจสักที

     

    แต่เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์รูปทรงสี่เหลี่ยมตรงหน้ายังคงทำให้เขาลังเลใจ

     

    มันมีความเป็นไปได้สูงมากๆว่า ถ้ายองแจเกิดใจอ่อนหยิบเจ้าโทรศัพท์นี่ขึ้นมา...ความง่วงที่เกาะกินเขาอยู่ในตอนนี้จะหายไป

     

    และแน่นอน มันจะกลับมาอีกครั้งตอนที่เขานั่งหง่าวอยู่ในห้องเลคเชอร์

     

    เขาไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น

     

    แต่ว่า...

     

    ...

     

    “โอย ช่างหัวมันแล้ว”

     

    หลุดสบถคำหยาบออกมาอย่างคนเริ่มจะอารมณ์เสีย มือทั้งสองข้างยกขึ้นยีเส้นผมสลับกับตบกะโหลกตัวเองสองสามทีโทษฐานมานั่งเสียเวลาอยู่กับอะไรไร้สาระตั้งนานสองนาน

     

    เขาควรจะเอาเวลาไปนอน

     

    ใช่ ยองแจควรทำแบบนั้น

     

    แต่สิ่งที่ถูกผลักให้ห่างตัวออกไป กลับเป็นกระเป๋าสะพายใบโปรดที่ยองแจมักใช้ต่างหมอนในทุกๆเช้า

     

    นิ้วเรียวกดเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างชำนาญ ใช้เวลาไม่กี่วินาที รูปภาพหน้าจอน้องหมาขนฟูก็ปรากฏสู่สายตา แน่นอนว่าปุ่มเปิดรับสัญญาณไวไฟอันเฉื่อยชาของมหาวิทยาลัยคือสิ่งต่อไปที่จะต้องถูกเปิดใช้งาน

     

    เช่นเดียวกับโทรศัพท์ทุกเครื่อง ตอนนี้เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สีขาวของยองแจกำลังสั่นครืดเหมือนเจ้าเข้า ทั้งการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม และอื่นๆ

     

    ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนฮอตหรืออะไรทำนองนั้นหรอก อย่างเฟซบุ๊ค ยองแจรู้ดีว่า เข้าไปก็เจอแต่การแจ้งเตือนว่ามีคนเข้ามาโพสต์ขายของ ขายชมรม ขายงานอีเว้นท์ในกลุ่มเฟซรุ่น ไอ้รำคาญมันก็ใช่ แต่เขาคงจะโง่เทคโนโลยีไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะปิดการแจ้งเตือนพวกนี้ยังไง ก็ทำได้แค่ทนๆไป

     

    รอจนมั่นใจว่าการแจ้งเตือนทุกอย่างขึ้นครบหมดแล้ว แอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตสีเหลืองอ๋อยถึงได้ค่อยถูกเปิดใช้งานขึ้นมา ถามว่าทำไมต้องรอให้การแจ้งเตือนขึ้นจนหมดก่อน เหตุผลก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าเหตุผลที่ว่า โทรศัพท์มันก็เก่าแล้ว ขืนไปเปิดอะไรมากๆเข้ามันก็จะค้างและอ๊องขึ้นมาน่ะสิ

     

    ต้องใจเย็นๆ

     

    ยองแจบอกตัวเองอย่างนั้น

     

    อ้อใช่ นอกจากโทรศัพท์จะเก่า ช้า เปิดหลายๆแอพพร้อมกันก็ไม่ได้ แถมยังค้างบ่อยจนน่าหงุดหงิดแล้ว เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมกะโหกกะลานี่ยังชอบกวนส้นติงเจ้าของอีกต่างหาก

     

    คิดได้ไง การแจ้งเตือนทุกอย่างขึ้นนครบหมดแล้ว ยกเว้นแจ้งเตือนข้อความข้าวของ Kakaotalk แบบนี้

     

    จะบอกว่าไม่มีข้อความใหม่เข้ามาเลยตั้งแต่สี่ทุ่มของเมื่อคืน ยองแจว่ามันก็ฟังดูเกินไปนิดนึง

     

    เออ ก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คนเพื่อนเยอะหรือคนฮอตขนาดที่ว่าต้องมีข้อความเข้ามารัวๆ แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะมีข้อความจากพวกแชทรุ่น หรือไม่ก็ข้อความโฆษณาจากบรรดาออฟฟิเชียลแอคเค้าท์บ้างมั๊ยล่ะ

     

     อันหลังนี่...ฟังดูเศร้าๆเหมือนกันเนอะ ฮะๆ

     

    โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กสั่นครืดขึ้นมาอีกรอบหลังเปิดแอพพลิเคชั่นสีเหลืองยอดฮิตขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง ข้อความใหม่ๆที่ถูกส่งเข้ามาตั้งแต่หลังสี่ทุ่มของเมื่อคืนทยอยปรากฏขึ้นสู่สายตา

     

    จะบอกว่าจับมือถือไว้แน่นหน่อยเพราะกลัวทำตกตามประสาคนซุ่มซ่ามก็พอจะเข้าใจได้

     

    แต่ไอ้อาการเหงื่อเริ่มชื้นตามฝ่ามือนี่...ยองแจว่าข้ออ้างข้างบนคงจะช่วยแก้ต่างให้อาการนี้ไม่ได้ล่ะมั้ง

     

    ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกำโทรศัพท์แน่นขนาดนี้

     

    ไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ามือต้องเริ่มชื้นเหงื่อ

     

    แน่นอน ฟันหน้าที่เริ่มขบริมฝีปากนั่นก็ด้วย

     

    ...

     

    โกหกน่ะ เขาเข้าใจหมดนั่นแหละว่าอาการบ้าๆพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร

     

    อาการหดหู่แบบทันทีทันใดตอนที่เห็นว่าข้อความล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามา เป็นข้อความของยัยยองจี พี่สาวบังเกิดเกล้าก็เช่นกัน

     

    บ้านรึก็อยู่หลังเดียวกัน ห้องนอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อยู่ติดแนบชิดซะไม่มี กำแพงนี่บางขนาดที่ว่ายัยนั่นบ่นพึมพำอะไรเขาก็ได้ยินทุกอย่าง เพราะงั้น แค่เดินมาเคาะประตูเพื่อบอกว่า พรุ่งนี้เย็นกลับด้วยนะมันยากลำบากจนยัยนั่นต้องส่งข้อความมาเลยหรือไงนะ

     

    แต่ถึงจะบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ยองแจก็พิมพ์ข้อความตอบกลับพี่สาวไปอยู่ดี

     

    เขาไม่ควรหงุดหงิดแล้วพาลมาลงกับพี่สาวสินะ...ถึงแม้ว่ายัยนั่นจะทำตัวน่าหงุดหงิด และสมควรถูกพาลใส่ก็เถอะ

     

    ใช่ ยองแจรู้ตัวว่าเขากำลังหงุดหงิด

     

    ไม่สิ

     

    เขากำลัง เริ่ม หงุดหงิด

     

    และทั้งหมดนั่นเป็นเพราะสาเหตุโง่ๆในโทรศัพท์มือถือกากนั่น

     

    จากแอพพลิเคชั่นแชทสีเหลืองอ๋อยที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง

     

    ...Ignorance...

     

    นั่นคือคำสั้นๆที่ยองแจเพิ่งตั้งเป็นสเตตัสบนแอคเค้าท์ Kakaotalk ของตนเองเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

     

    มันไม่ใช่ว่ากำลังยุ่งอยู่ หรือว่ากำลังเดินทาง

     

    มันก็แค่ว่า อยาก หรือ ไม่อยาก

     

    สนใจ บ้างมั๊ย

     

    สำคัญบ้างหรือเปล่า

     

    แน่นอนว่าคำตอบคงเป็น ไม่

     

     

    นี่คงเป็นอีกครั้งที่ชเวยองแจกำลังหงุดหงิดแล้วพาล

     

    แน่นอนว่าผู้โชคร้ายในคราวนี้นี้ไม่ใช่พี่สาวสุดที่รักอย่างชเวยองจีอีกต่อไป

     

    Good for her though

     

    =

     

    [หน้าซังกะตายอย่างนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจออะไรมา]

     

    “ตลกมากเลยสิ”

     

    [เห็นกูขำเหรอ]

     

    “น่าสมเพชมากใช่มั๊ย”

     

    [มึงพูดเองนะ]

     

    “ไปตาย”

     

    นี่คงเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถ้าหากคุณนายชเวมาเห็นหรือได้ยินเข้า คงได้กรีดร้องเพราะรับไม่ได้ในวาจาผรุสวาทของลูกชายแน่นอน

     

    แต่ ณ ตอนนี้ ใครสนกันล่ะ แม่เขาไม่ได้มายืนฟังอยู่ข้างหลังนี่เสียหน่อย

     

    ...

     

    อย่าพูดถึงคุณนายเธอบ่อยก็แล้วกัน พูดๆไปนี่ก็เสียวสันหลังอยู่

     

    “อยากตายเหรอ ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร”

     

    แต่ถึงจะเสียวสันหลังอย่างไรก็ตาม วาจาผรุสวาทยังคงถูกส่งให้กับคนที่กำลังลอยหน้าลอยตาอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ คงเป็นโชคดีของคิมยูคยอมแล้วล่ะที่ไม่ได้กำลังคุยกับยองแจอยู่แบบตัวเป็นๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงได้หลังลายกันไปข้างแล้วล่ะ

     

    [เป็นนากหงอยเลยเพื่อนกู]

     

    “หงอยที่หน้า”

     

    [เดี๋ยวนี้หยาบคายนะเรา]

     

    “ก็เพราะมีเพื่อนแบบมึงอ่ะ”

     

    [ร้องไห้แป๊บ]

     

    เข้าใจหรือยังว่าทำไมคุยกับคิมยูคยอมทีไร ยองแจต้องกลายเป็นคนหยาบคายทุกที

     

    ทำตัวเองล้วนๆ บอกเลย

     

    สมน้ำหน้ามัน

     

    [แล้วมึงจะทำไงต่อ]

     

    แต่บทจะจริงจังขึ้นมา คนปลายสายก็วกเข้าประเด็นเสียหักมุมจนยองแจตั้งตัวแทบไม่ทันอยู่เหมือนกัน

     

    “หมายถึงเรื่องนี้อ่ะนะ”

     

    [ตอนนี้ชีวิตมึงมีเรื่องให้คิดมากอยู่กี่เรื่องล่ะ] ยังไม่ทันไร กลับมากวนติงอีกละ ดูมัน [คิดสิครับน้อง ใช้หัวหน่อย]

     

    “วางสายละ บาย”

     

    [เอาเลย]

     

    สัด

     

    นอกจากจะกวนประสาทแล้ว ยองแจยังรู้อีกด้วยว่าตนพลาดไปแล้วที่สนิทกับคิมยูคยอมมากเกินไป

     

    สนิทจนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวในชีวิตทุกเรื่องของเขาแบบนี้

     

    ใช่ เรื่องนั้นก็ด้วย

     

    และเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ เรื่องนั้นยูคยอมถึงได้มั่นอกมั่นใจนักหนาว่ายองแจจะไม่มีวันกดตัดสายไปตอนนี้อย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะกวนประสาทอีกฝ่ายแค่ไหนก็ตาม

     

    แหงล่ะ ขืนไม่ได้ระบาย มีหวังได้อกแตกตายก่อน

     

    [อ่ะ อยากจะระบายอะไรก็ว่ามา พี่พร้อมจะรับฟังเสมอ]

     

    “มึงอ่อนกว่ากูหลายเดือนอยู่มั๊ย ประเด็น”

     

    [ประเด็นคือ ตอนนี้กูเป็นคนเดียวที่มึงจะสามารถระบายทุกอย่างที่อยู่ในหัวให้ฟังได้ต่างหากล่ะ]

     

    แม่ ง

     

    บอกแล้ว ว่าพลาดที่สนิทกับมันมากเกินไปแบบนี้

     

    มีจังหวะหนึ่งที่ยองแจเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอกเวลาห้าทุ่มยี่สิบนาที อีกสี่สิบนาทีจะเที่ยงคืน และนั่นเป็นเวลาที่ยองแจควรจะนอนให้หลับหากไม่อยากไปเรียนสายในวันรุ่งขึ้น

     

    เขาเป็นคนหลับยาก ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็ครึ่งชั่วโมงในการเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงเพื่อข่มตาให้หลับหากไม่เหนื่อยจริงๆจนน็อคไปทันทีที่หัวถึงหมอน

     

    โชคร้ายที่เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าไรนัก

     

    ยิ่งเมื่อมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่ในหัวแบบนี้ คงจะสี่สิบหรือห้าสิบนาทีเป็นอย่างต่ำเลยล่ะกว่ายองแจจะสามารถกล่อมตนเองให้หลับได้

     

    ยองแจควรจะนอนได้แล้ว

     

    แต่การได้ระบายหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในหัวตอนนี้ให้กับคนปลายสายฟัง ก็เป็นสิ่งที่ยองแจไม่อยากจะพลาดโอกาสเช่นกัน

     

    ระหว่างนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมีเรื่องให้อึดอัดอยู่เต็มอก กับแอบไปสัปหงกในห้องเรียนวันพรุ่งนี้ คิดว่ายองแจจะเลือกข้อไหนดีนะ

     

    “วันนี้กูไม่ได้คุยกับเขาเลย”

     

    สรรพนามสื่อถึงบุคคลที่สามปรากฏขึ้นมาในบทสนทนาของคนทั้งคู่เป็นครั้งแรกของคืน ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาการสนทนาสองชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ทั้งคู่จะคุย เรื่องนั้นเป็นประเด็นหลักก็เถอะ

     

    [เค้าไม่ตอบเลยเหรอ]

     

    “อือ”

     

    [แล้วเค้าอ่านป่ะ]

     

    “กูจะไปรู้ได้ไง” คิมยูคยอมคงเป็นรายต่อไปที่ถูกยองแจพาลใส่เพราะความหงุดหงิด “เออ กูป๊อดเองอ่ะ กูไม่กล้าเข้าไปส่องหรอก กูไม่อยากรู้สึกแย่ถ้ารู้ว่าเค้าอ่านแล้วแต่ไม่ยอมตอบ โอเคป่ะ สัด”

     

    [โอ๋ ไม่หัวร้อนนะลูก]

     

    สิ่งที่ยูคยอมพูดเมื่อครู่ คือสิ่งที่ยองแจกำลังพร่ำบอกตนเองอยู่ในใจเหมือนกัน

     

    ไม่หัวร้อน

     

    ไม่หงุดหงิด

     

    เอางี้ดีกว่า

     

    มีสิทธิหัวร้อนด้วยเหรอ

     

    มีสิทธิหงุดหงิดด้วยหรือเปล่า

     

    ...

     

    อ้าว เศร้าเลยกู

     

    [มึงโอเคนะ]

     

    คงเพราะเห็นว่ายองแจนั่งนิ่งไป คนปลายสายถึงได้ถามขึ้นมาแบบนี้

     

    “อือ”

     

    โชคดีที่ยูคยอมสนิทกับยองแจมากพอที่จะรู้ว่า คำว่า อือของยองแจในที่นี้มีความหมายไม่เท่ากับคำว่า โอเคอย่างสิ้นเชิง

     

    โอเคก็แย่ละ ทำหน้าอย่างกับตัวนากขาดอาหารขนาดนั้น

     

    [มึงเพิ่งรู้จักเขาเองไม่ใช่เหรอ ของแบบนี้บางทีมันต้องใช้เวลาหรือเปล่า]

     

    ยองแจแค่นยิ้มให้กับคำพูดของยูคยอม

     

    เออ นานๆทีมันก็พูดอะไรดีๆเป็นเหมือนกัน

     

    ถึงจะเป็นเหมือนเรื่องโกหกให้รู้สึกดีไปวันๆก็เถอะ

     

     

    ใช่ ยองแจเพิ่งรู้จักกับ เขาได้ไม่นานนัก มันก็แค่ความรู้สึกโง่ๆตอนที่ยองแจได้มีโอกาสรู้จักผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรก

     

    ความรู้สึกดีโง่ๆที่ผลักดันให้เขาพาตัวเองมาจนถึงจุดนี้

     

    จุดที่เขาในตอนนั้นใฝ่ฝันว่าตนเองจะก้าวมาถึง

     

    จุดที่คิดว่าตัวเองจะมีความสุข

     

    จุดที่...สุดท้ายแล้ว...แม่ งก็แค่เรื่องโง่ๆที่เขามโนขึ้นมาเองคนเดียว

     

    เชื่อมั๊ย จนถึงตอนนี้ยองแจยังคงมโนว่า สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาสักวัน

     

     

    “คนเราจะคุยกันไปเพื่อะไรวะ ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องพัง”

     

     

    คำถามเดิมๆถูกส่งไปหาคนปลายสายนับครั้งไม่ถ้วนทั้งๆที่มันเป็นคำถามที่ยองแจเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

     

    ก็แค่ยังไม่ใจกล้าพอที่จะหยุด

     

    ก็แค่ความหวัง

     

    ...ลมๆแล้งๆ...

     

    เขาไม่ใช่หมอดู หรือนักพยากรณ์ชื่อดังที่จะหยั่งรู้อนาคต แต่เชื่อเถอะ! ต่อให้เอาคนโง่ที่สุดมาฟังเรื่องราวของเขาในตอนนี้ คนคนนั้นก็ยังรู้ว่าสุดท้ายมันก็ไปไม่รอด

     

    สุดท้ายแล้วมันก็ต้องพัง

     

    ใจกูนี่แหละที่พัง

     

    อห.

     

    แปลตัวย่อนี้ตามใจชอบเลย จะโอ้โห ไอ้เหี้ย อีห่า หรือจะไรก็ตามใจ

     

    หยาบคายแบบนี้ จะถูกเด็กดีแบนมั๊ยนะ

     

    ช่างเถอะ

     

    อย่างกับว่าเขาแคร์นักแหละ

     

     

    “กูเหนื่อยว่ะ”

     

    ริมฝีปากพร่ำพูดอะไรต่างๆออกมาอีกมากมายราวกับถูกปลดล็อก

     

    ความรู้สึก

     

    ความอัดอั้น

     

    หงุดหงิด

     

    เศร้า

     

    ผิดหวัง

     

    เหนื่อย

     

    อยาก...ยอมแพ้

     

     

     [เหนื่อยก็พอ]

     

    คนปลายสายเอ่ยขึ้นมา

     

    น่าเสียดายที่ตอนนี้ยองแจติดต่อกับยูคยอมได้เพียงทางเสียงและภาพ เพราะหากเจ้านั่นนั่งคุยอยู่ด้วยกันข้างๆนี่ ศีรษะทุยๆของยองแจคงได้ไปซุกอยู่ที่พุงของเพื่อนสนิทแล้วแน่ๆ

     

    เหตุผลก็คงเป็น ทั้งเพื่อออดอ้อน หาที่พึ่งพิง และอาจรวมถึงเพื่อซ่อนอะไรบางอย่างที่อาจจะซึมออกมาจากหางตาเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยเช่นกัน

     

    [ก็อย่างที่มึงถามกูบ่อยๆนั่นแหละ]

     

     

    [ถ้าหาเหตุผลในการคุยต่อไปไม่ได้ มึงจะคุยต่อทำไมวะ]

     

     

    พูดแบบนี้ เอามีดมาปักอกกูเลยเถอะ

     

    ยองแจล่ะอยากจะตอบกลับไปแบบนี้

     

    ติดที่ว่า ขืนพูดอะไรออกไปตอนนี้ สิ่งที่หลุดออกไปคงไม่ได้มีแค่เสียงพูด แต่ยังรวมถึงก้อนขมๆที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาอีกด้วย

     

    [นอกจากว่ามึงจะอยากได้พี่เพิ่มอีกสักคนน่ะนะ ฮะๆ]

     

    “ตลกตายห่า แค่ยองจีกูก็จะประสาท”

     

    เสียงฮัดชิ่วดังลอดผ่านผนังบางๆกั้นระหว่างสองห้อง นอกจากความสงสัยว่าทำไมพี่สาวบังเกิดเกล้าถึงได้นอนดึกแบบนี้ ความคิดที่ว่า ตายยากชิบหายก็แว่บเข้ามาในความคิดยองแจเช่นกัน

     

    อา หงุดหงิดทีไร หยาบคายไปทั่วทุกทีเลย

     

    แย่จัง

     

    “กูควรพอป่ะวะ”

     

    “ไม่รู้สิ บางทีกูก็สมเพชตัวเองนะ”

     

    “กูใช้เวลาหลายนาที บางทีเป็นชั่วโมงเพื่อแค่คิดแทบตายว่าพิมพ์ไปยังไงดีให้เขาไม่เลิกคิ้วใส่ หรืออย่างดีที่สุดคือตอบกลับมา”

     

    “แล้วกูได้อะไรวะ สติกเกอร์โง่ๆตัวนึงกับเสียงหัวเราะงี้อ่อ หน้ากูเหมือนคณะตลกมากดิ”

     

     

    “ทำไมความรู้สึกคนเราต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของใครก็ไม่รู้แบบนั้นด้วยวะ แม่ ง”

     

     

    เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาตามหลังประโยคคำถามที่เจ้าตัวไม่ได้อยากได้คำตอบ

     

     

    ยองแจยังคงคุยกับยูคยอมต่อไปอีกสักพัก อาจจะสักสิบหรือสิบห้านาทีเพื่อให้ตนเองสบายใจขึ้นและสามารถข่มตาให้หลับได้ในคืนนี้

     

     

    [มึงยังมีกูอยู่ตรงนี้นะ]

     

     

    นั่นคงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ยูคยอมพูดอะไรชวนลื่นหูในรอบปี

     

    ด่ามันไปงั้นแหละ อันที่จริง ถ้าไม่มีเจ้าเพื่อตัวโตนี่ ยองแจคงอกแตกตายไปนานแล้ว

     

    อย่างว่านั่นล่ะ ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังแล้วจะไปเล่าให้ใครฟัง

     

    พ่อแม่เหรอ?

     

    เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นเด็กมีความลับอะไรขนาดนั้น แต่ก็แค่คิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่หากจะไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง

     

    เขานึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง ถ้าหากวันหนึ่งเขาเดินหน้าเครียดไปปรึกษาแม่ว่า แม่ ผู้ชายที่ผมชอบมันไม่ตอบข้อความผมฮะๆ

     

    พี่สาวงั้นเหรอ?

     

    ยัยยองจีอ่ะนะ?

     

    ลืมไปได้เลย ถถ

     

    ก็เหลือแต่ไอ้เด็กยักษ์นี่แหละ

     

     

    ขอบคุณนะ

     

     

     

    “เฮ้อ นอนๆ”

     

    มือทั้งสองข้างยกขึ้นตบแก้มตุ่ยๆของตนเองงจนขึ้นรอยแดง ทั้งหมดนี่ก็เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายแหล่ออกจากหัวและเตรียมตัวนอนสักที เที่ยงคืนครึ่งแล้ว แทนที่จะมาเครียดเรื่องใครก็ไม่รู้ที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเราด้วยเลยแบบนี้ ยองแจควรจะเครียดว่าพรุ่งนี้เขาจะตื่นไปเรียนทันหรือเปล่าเสียมากกว่าอีก

     

    เลิก! คิด! มาก! ได้! แล้ว!

     

    เขาไม่ตอบก็ดี

     

    เราจะได้รู้ตำแหน่งของเรา

     

    รู้จุดที่เราควรจะอยู่

     

    รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ

     

    ควรจะ...

     

     

     

    หยุด

     

     

     

     

    ...

     

     

    ครืดๆ

     

     

     

     

    คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำหลังแปรงฟันก่อนนอนเสร็จเรียบร้อยชะงักไปเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือคู่ใจสั่นครืด

     

    คงหนีไม่พ้นการแจ้งเตือนจากกลุ่มเฟซรุ่น

     

    ข้อความจำพวกแนะนำชมรม ขายของ ฝากทำแบบสอบถาม หรืออะไรเทือกๆนั้น

     

    ใช่

     

    มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ

     

     

    ...

     

     

    Sigh

     

     

    ให้มันได้อย่างนี้สินะ

     

     

     

    เป็นอีกครั้งที่ยองแจยกมือขึ้นตบกะโหลกตนเองเรียกสติ คาดว่าถ้าไม่สมองเสื่อมเพราะตบหัวตัวเองมากเกินไปเสียก่อน สมองเขาคงเคลื่อนหมดแล้ว นี่ยังมึนหัววิ้งๆเลย สงสัยตบแรงไปหน่อยแฮะ

     

    เอาเป็นว่าช่างเรื่องสมองเขาไปก่อน

     

     

    ทำไมกูต้องตื่นเต้น

     

    ก็แค่กดเปิดหน้าจอให้มันจบๆไป จะได้รู้ว่าที่มือถือมันสั่นเมื่อกี๊เพราะแจ้งเตือนจากอะไร

     

    ลุ้นเพื่อ

     

    โอย กดๆไปสักทีเถอะน่า!

     

    ไวเท่าความคิด ปลายนิ้วเรียวกดปุ่มปลดล็อกหน้าจอ พร้อมๆกับแสงไฟจากหน้าจอขนาดห้านิ้วที่ค่อยๆสว่างโร่ขึ้นมา

     

     

     

     

    ‘JB also commented on the post you’re tagged in’

    -น้องๆอย่าลืมมางาน First Meet ชมรมบีบอยนะครับ รับรอง สนุกแน่นอน-

     

     

     

     

    ...

     

    สาบานได้ว่ายองแจจะไม่มีทางเหยียบชมรมบีบอยเด็ดขาด

     

     

    กูควรรู้สึกยังไงอ่ะ

     

    คิดไปเองอีกแล้ว

     

    ทำไมไม่คิดเลขเก่งเหมือนคิดไปเองบ้างวะ

     

    งอแงได้มั๊ยนะ

     

     

    เปลือกตาค่อยๆปิดลงพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ถูกทิ้งให้นอนแอ้งแม้อยู่บนเตียง ใบหน้าน่ารักที่ตอนนี้นิ่งสนิทไร้อารมณ์เงยขึ้นมองฝ้าเพดานสีขาวสะอาด ก่อนเจ้าตัวจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหลายแหล่ที่ดูเหมือนจะพร้อมใจกันระเบิดออกมาในตอนนี้

     

    “โง่จังเรา”

     

    พึมพำออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เป็นอีกครั้งที่ยองแจหลอกตัวเองว่า สงสัยจะเป็นหวัดอีกแล้ว ถึงได้มีน้ำมูกเต็มจมูกอีกแล้ว

     

    แต่ก็นั่นแหละ

     

    คนเป็นหวัดที่ไหนเขาน้ำตาซึมกันนะ

     

     

    “เฮ้อ นอนเถอะยองแจ พรุ่งนี้มีเรื่องเรียนให้เครียดอีกทั้งวัน”

     

    ปล่อยๆเรื่องไร้สาระพวกนี้ทิ้งไปเถอะ

     

    เป็นรอบที่ล้านของวันที่ยองแจพยายามปลอบตัวเองด้วยคำพูดนี้

     

     

     

     

    ครืดๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    JS sent you a message

    -ไม่อ่ะ พนพี่หยุด จารย์ยกคลาส-

    -อยู่บ้านสบายจังเลยยย-

    -55555-

     

    JS sent you a sticker

     

     

     

     

     

    และคงเป็นรอบที่ล้านอีกเช่นกันที่คำพูดพวกนั้นลอยเข้าหูซ้าย และทะลุออกหูขวาของยองแจไป

     

     

    ทุกคำถามที่ยองแจเอ่ยถามเพื่อนสนิทไป

     

    คำตอบของคำถามพวกนั้น เชื่อเถอะ ว่ายองแจรู้ดีอยู่แก่ใจ

     

    เขารู้ดีว่าควรจะทำอะไร

     

    ควรจะรู้สึกอย่างไร

     

    ควรจะหยุดหรือ ไปต่อ

     

     

    แต่คุณรู้มั๊ย...สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร

     

    ...

     

    เขาก็แค่...ไม่ใจแข็งพอที่จะทำตามคำตอบพวกนั้นก็เท่านั้นเอง

     

     

     

     

     

     

    YJ : หูยยย ชีวิตดี๊ดี

    YJ : ผมนอนแล้วดีกว่า พอดีไม่ได้ชีวิตดีเหมือนบางคน

    YJ : ฝันดีนะพี่แจ็คสัน ^^

     

     

     

     

     

    ไฟหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปแล้ว ยองแจเองก็พาตนเองขึ้นมานอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบ่นเตียงได้แล้วเช่นกัน

     

    ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงจริงๆด้วยล่ะ กว่ายองแจจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้

     

    รอยยิ้มบางยังคงติดอยู่ที่มุมปากแม้เจ้าตัวจะหลับสนิทไปแล้ว

     

    สงสัยจังว่าคืนนี้เขาจะฝันว่าอะไร

     

    อาจจะเกี่ยวกับข้อความที่ใครอีกคนส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า

     

    ข้อความที่เขาส่งตอบกลับไป

     

     

     

    หรืออาจจะเป็น...สาเหตุของคราบน้ำใสๆที่ซึมออกมาจากหางตาระหว่างที่คุยกับยูคยอม

     

     

    ทางเลือกในชีวิตน่ะ มันมีมาเสมอนั่นล่ะ

     

    มันก็อยู่ที่ว่า เราจะเลือกมันหรือเปล่า

     

    เราจะเลือกอะไร

     

    แต่ที่แน่นอนที่สุด

     

    ไม่มีทางไหนไม่ต้องใช้ความอดทน

     

    อยากเจ็บ...ก็ต้องทน

     

    อยากหายเจ็บ...ก็ต้องทน

     

    มันก็แค่ว่าคุณใจแข็งจะเลือกทางไหนมากกว่าก็เท่านั้นเอง

     

     

    แด่ใครสักคนที่กำลังแขวนความรู้สึกของตัวเองไว้กับการกระทำของคนอื่น

     

    แด่คนที่กำลังจะนก

     

    Fin

    #การเดินทางของแจ็คแจ

    26/8/2017

    1.14 am

     

     

    เป็น OS ตามใจฉันที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา คิดอะไรได้ในหัวก็เขียนลงไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรียกงานนี้เป็นนิยายได้มั๊ยเพราะตามใจฉันเหลือเกิน หรือมันอาจจะดูเหมือนสเตตัสบนเฟซบุ๊คก็ได้นะ 5555

     

    หมายเหตุ 1 : ข้อความบางส่วนในเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความในเว็บไซต์พันทิป

    หมายเหตุ 2 : สำหรับเรื่องอื่นๆที่ดองเอาไว้ (และน่าจะยังดองต่อไป) จะพยายามกลับมาต่อนะคะ #คุกเข่าขอโทษ

    หมายเหตุ  3 (สำคัญสุด!!!) : รักคนอ่านทุกคนเลยยยยย ไม่ว่าจะหน้าใหม่หน้าเก่า เคยเม้นท์ไม่เคยเม้นท์ ไม่เป็นไร พวกคุณทุกคนคือกำลังใจของเรา ทุกวิว ทุกความเห็นของพวกคุณมีความหมายกับเรามากจริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ รักส์ อิอิ

    ? themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×