คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : [OS] Feeling-Waiting-Depending | JackJae
Feeling-Waiting-Depending
โทรศัพท์มือถือเครื่องบางถูกโยนจนลอยละลิ่วไปในอากาศ
ก่อนจะตกลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนที่นอนนุ่ม เป็นการกระทำที่หากคุณนายชเวมาเห็นเข้าคงจะได้กรีดร้องเพราะความไม่รักษาข้าวของของคุณลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแน่นอน
แต่แหงล่ะ
คนโยนเขาสนใจซะที่ไหนกัน
อย่างน้อยมันก็ตกลงบนเตียงอย่างที่คิดเอาไว้นั่นแหละน่า
"เฮ้อ"
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้นมาพร้อมๆกับร่างนุ่มนิ่มที่ทิ้งตัวลงบนที่นอน
เฉียดจะทับเจ้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมอยู่รอมร่อ
กระเป๋าสะพายที่เจ้าตัวยังคงสะพายคาทิ้งไว้บนไหล่ช่วยบอกได้อย่างดีว่าเจ้าตัวคงจะพุ่งขึ้นมายังห้องนอนทันทีที่กลับจากมหาวิทยาลัย
ยองแจไม่แน่ใจว่าเขานอนอยู่อย่างนั้นไปอีกนานเท่าไหร่
อาจจะสักสิบนาที หรืออาจจะชั่วโมงหนึ่ง...ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าตอนนี้คงจะเลยเวลาทานอาหารเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวมาได้สักพักแล้ว
เรื่องดีอย่างหนึ่งคือการที่แม่ของเขาไม่เดินดุ่มๆขึ้นมาและลากเขาลงไปทานข้าวในสภาพแบบนี้เหมือนกับเมื่อก่อน
คงต้องขอบคุณชีวิตมหาวิทยาลัยที่ทำให้คุณนายชเวเริ่มจะมีภาพติดตาขึ้นมาบ้างว่า
บางทียองแจก็ต้องการเวลาพักผ่อนหลังจากผ่านวันอันหนักหน่วงในมหาวิทยาลัยมาบ้าง
และแน่นอนว่าการพักผ่อนที่ว่า
คงไม่ได้หมายถึงการลงไปนั่งฝืนยิ้ม
กดความเหนื่อยล้าและทำเป็นมีความสุขกับมื้ออาหารทั้งที่ในใจอยากจะขึ้นไปนอนเต็มแก่
โอเค
ทำความเข้าใจใหม่ ไม่ใช่ว่าแม่เขาทำกับข้าวไม่อร่อย
หรือการไปนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวมันเป็นเรื่องน่าอึดอัดขนาดนั้น
มันก็แค่ว่า เขาอยากจะนั่งพักสมองเงียบๆอยู่ในห้อง หรือไม่ก็หลับยาวตั้งแต่ห้าโมงจนถึงสองสามทุ่มแล้วค่อยลงไปหาอะไรกิน
ก็แค่นั้น
แต่เอาเถอะ
ที่พูดๆมานี่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสาเหตุที่ทำให้ชเวยองแจต้องมาทิ้งตัวลงบนเตียง
ข้างๆโทรศัพท์มือถือคู่กายแบบนี้หรอก
วันนี้เขาไม่ได้เหนื่อยจากการเรียนในมหาวิทยาลัยจนต้องมาทิ้งตัวลงบนที่นอนทันทีที่ถึงบ้าน
เอาจริงๆมันก็แค่ข้ออ้างที่จะทำให้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวเงียบๆก็เท่านั้น
ทั้งหมดมันก็แค่...
ก็แค่...
...
Sigh
...
ช่างมันเถอะ
=
การมาถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่แม้เวลาเรียนจริงๆจะเป็นเก้าโมงครึ่งหรือสิบเอ็ดโมงแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับชเวยองแจไปเสียแล้ว
เดี๋ยวค่อยไปนั่งหลับเอาใต้ตึกหรือในห้องสมุดก็แล้วกัน
ดังนั้น
ภาพนักศึกษาตาปรือ เส้นผมชี้โด่เด่เล็กน้อย
นั่งกอดกระเป๋าด้วยท่าทางยังตื่นไม่เต็มที่อยู่ตรงโต๊ะใต้ตึกเรียนจึงกลายเป็นภาพคุ้นตาของนักศึกษาในละแวกนั้นเช่นเดียวกัน
ฮะๆ
ใครแคร์กันล่ะ
ก็ดีกว่าไปนั่งหลับในห้องมั๊ย
ถามใจดูแล้วกัน
เพียงแต่ว่า
เหมือนวันนี้จะมีอะไรแปลกไปกว่าปกติอยู่นิดหน่อย
...
โทรศัพท์มือถือคู่กายและกระเป๋าสะพายที่เจ้าตัวมักใช้ต่างหมอนวางคู่กันอยู่บนโต๊ะใต้อาคารเรียน
ดวงตาเรียวที่ดูจะปิดอยู่รอมร่อมองของสองสิ่งบนโต๊ะสลับกันไปมา
แม้ตาจะหรี่เต็มทีเพราะความง่วงตามแบบฉบับคนนอนดึกตื่นเช้า
แต่หัวคิ้วทั้งสองข้างกลับขมวดเข้าหากันแน่นราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
อาจจะหน้าเครียดกว่าตอนทำข้อสอบวิชาอารยธรรมหรือเขียนเปเปอร์วิชาปรัชญาเสียด้วยซ้ำ
“อืมมมม”
เผลอเปล่งเสียงในลำคอออกมาอย่างทุกครั้งที่ต้องใช้ความคิดหนัก
ยิ่งเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเจ็ดโมงสิบห้า ยองแจก็ยิ่งคิดหนัก
เขาเสียเวลานอนอันมีค่ามานั่งจ้องของสองสิ่งบนโต๊ะนี่กว่าสิบห้านาทีแล้ว และเขาไม่อยากจะเสียเวลาไปมากกว่านี้อีก
อันที่จริงเขาควรจะเลือกกระเป๋าสะพายและก้มหน้าฟุบลงไปให้มันจบๆไปซะ
จะได้นอนมันสมใจสักที
แต่เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์รูปทรงสี่เหลี่ยมตรงหน้ายังคงทำให้เขาลังเลใจ
มันมีความเป็นไปได้สูงมากๆว่า
ถ้ายองแจเกิดใจอ่อนหยิบเจ้าโทรศัพท์นี่ขึ้นมา...ความง่วงที่เกาะกินเขาอยู่ในตอนนี้จะหายไป
และแน่นอน
มันจะกลับมาอีกครั้งตอนที่เขานั่งหง่าวอยู่ในห้องเลคเชอร์
เขาไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
แต่ว่า...
...
“โอย
ช่างหัวมันแล้ว”
หลุดสบถคำหยาบออกมาอย่างคนเริ่มจะอารมณ์เสีย
มือทั้งสองข้างยกขึ้นยีเส้นผมสลับกับตบกะโหลกตัวเองสองสามทีโทษฐานมานั่งเสียเวลาอยู่กับอะไรไร้สาระตั้งนานสองนาน
เขาควรจะเอาเวลาไปนอน
ใช่
ยองแจควรทำแบบนั้น
แต่สิ่งที่ถูกผลักให้ห่างตัวออกไป
กลับเป็นกระเป๋าสะพายใบโปรดที่ยองแจมักใช้ต่างหมอนในทุกๆเช้า
นิ้วเรียวกดเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างชำนาญ
ใช้เวลาไม่กี่วินาที รูปภาพหน้าจอน้องหมาขนฟูก็ปรากฏสู่สายตา แน่นอนว่าปุ่มเปิดรับสัญญาณไวไฟอันเฉื่อยชาของมหาวิทยาลัยคือสิ่งต่อไปที่จะต้องถูกเปิดใช้งาน
เช่นเดียวกับโทรศัพท์ทุกเครื่อง
ตอนนี้เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สีขาวของยองแจกำลังสั่นครืดเหมือนเจ้าเข้า
ทั้งการแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม และอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนฮอตหรืออะไรทำนองนั้นหรอก
อย่างเฟซบุ๊ค ยองแจรู้ดีว่า เข้าไปก็เจอแต่การแจ้งเตือนว่ามีคนเข้ามาโพสต์ขายของ
ขายชมรม ขายงานอีเว้นท์ในกลุ่มเฟซรุ่น ไอ้รำคาญมันก็ใช่
แต่เขาคงจะโง่เทคโนโลยีไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะปิดการแจ้งเตือนพวกนี้ยังไง
ก็ทำได้แค่ทนๆไป
รอจนมั่นใจว่าการแจ้งเตือนทุกอย่างขึ้นครบหมดแล้ว
แอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตสีเหลืองอ๋อยถึงได้ค่อยถูกเปิดใช้งานขึ้นมา
ถามว่าทำไมต้องรอให้การแจ้งเตือนขึ้นจนหมดก่อน เหตุผลก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าเหตุผลที่ว่า
โทรศัพท์มันก็เก่าแล้ว ขืนไปเปิดอะไรมากๆเข้ามันก็จะค้างและอ๊องขึ้นมาน่ะสิ
ต้องใจเย็นๆ
ยองแจบอกตัวเองอย่างนั้น
อ้อใช่
นอกจากโทรศัพท์จะเก่า ช้า เปิดหลายๆแอพพร้อมกันก็ไม่ได้
แถมยังค้างบ่อยจนน่าหงุดหงิดแล้ว เจ้าเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สี่เหลี่ยมกะโหกกะลานี่ยังชอบกวนส้นติงเจ้าของอีกต่างหาก
คิดได้ไง
การแจ้งเตือนทุกอย่างขึ้นนครบหมดแล้ว ยกเว้นแจ้งเตือนข้อความข้าวของ Kakaotalk
แบบนี้
จะบอกว่าไม่มีข้อความใหม่เข้ามาเลยตั้งแต่สี่ทุ่มของเมื่อคืน
ยองแจว่ามันก็ฟังดูเกินไปนิดนึง
เออ
ก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คนเพื่อนเยอะหรือคนฮอตขนาดที่ว่าต้องมีข้อความเข้ามารัวๆ
แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะมีข้อความจากพวกแชทรุ่น หรือไม่ก็ข้อความโฆษณาจากบรรดาออฟฟิเชียลแอคเค้าท์บ้างมั๊ยล่ะ
อันหลังนี่...ฟังดูเศร้าๆเหมือนกันเนอะ ฮะๆ
โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กสั่นครืดขึ้นมาอีกรอบหลังเปิดแอพพลิเคชั่นสีเหลืองยอดฮิตขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง
ข้อความใหม่ๆที่ถูกส่งเข้ามาตั้งแต่หลังสี่ทุ่มของเมื่อคืนทยอยปรากฏขึ้นสู่สายตา
จะบอกว่าจับมือถือไว้แน่นหน่อยเพราะกลัวทำตกตามประสาคนซุ่มซ่ามก็พอจะเข้าใจได้
แต่ไอ้อาการเหงื่อเริ่มชื้นตามฝ่ามือนี่...ยองแจว่าข้ออ้างข้างบนคงจะช่วยแก้ต่างให้อาการนี้ไม่ได้ล่ะมั้ง
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกำโทรศัพท์แน่นขนาดนี้
ไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่ามือต้องเริ่มชื้นเหงื่อ
แน่นอน
ฟันหน้าที่เริ่มขบริมฝีปากนั่นก็ด้วย
...
โกหกน่ะ
เขาเข้าใจหมดนั่นแหละว่าอาการบ้าๆพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
อาการหดหู่แบบทันทีทันใดตอนที่เห็นว่าข้อความล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามา
เป็นข้อความของยัยยองจี พี่สาวบังเกิดเกล้าก็เช่นกัน
บ้านรึก็อยู่หลังเดียวกัน
ห้องนอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อยู่ติดแนบชิดซะไม่มี
กำแพงนี่บางขนาดที่ว่ายัยนั่นบ่นพึมพำอะไรเขาก็ได้ยินทุกอย่าง เพราะงั้น แค่เดินมาเคาะประตูเพื่อบอกว่า
‘พรุ่งนี้เย็นกลับด้วยนะ’ มันยากลำบากจนยัยนั่นต้องส่งข้อความมาเลยหรือไงนะ
แต่ถึงจะบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ
ยองแจก็พิมพ์ข้อความตอบกลับพี่สาวไปอยู่ดี
เขาไม่ควรหงุดหงิดแล้วพาลมาลงกับพี่สาวสินะ...ถึงแม้ว่ายัยนั่นจะทำตัวน่าหงุดหงิด
และสมควรถูกพาลใส่ก็เถอะ
ใช่
ยองแจรู้ตัวว่าเขากำลังหงุดหงิด
ไม่สิ
เขากำลัง
‘เริ่ม’ หงุดหงิด
และทั้งหมดนั่นเป็นเพราะสาเหตุโง่ๆในโทรศัพท์มือถือกากนั่น
จากแอพพลิเคชั่นแชทสีเหลืองอ๋อยที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง
...Ignorance...
นั่นคือคำสั้นๆที่ยองแจเพิ่งตั้งเป็นสเตตัสบนแอคเค้าท์
Kakaotalk
ของตนเองเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา
มันไม่ใช่ว่ากำลังยุ่งอยู่
หรือว่ากำลังเดินทาง
มันก็แค่ว่า
‘อยาก’ หรือ ‘ไม่อยาก’
‘สนใจ’ บ้างมั๊ย
‘สำคัญ’ บ้างหรือเปล่า
แน่นอนว่าคำตอบคงเป็น
‘ไม่’
นี่คงเป็นอีกครั้งที่ชเวยองแจกำลังหงุดหงิดแล้วพาล
แน่นอนว่าผู้โชคร้ายในคราวนี้นี้ไม่ใช่พี่สาวสุดที่รักอย่างชเวยองจีอีกต่อไป
Good
for her though
=
[หน้าซังกะตายอย่างนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจออะไรมา]
“ตลกมากเลยสิ”
[เห็นกูขำเหรอ]
“น่าสมเพชมากใช่มั๊ย”
[มึงพูดเองนะ]
“ไปตาย”
นี่คงเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถ้าหากคุณนายชเวมาเห็นหรือได้ยินเข้า
คงได้กรีดร้องเพราะรับไม่ได้ในวาจาผรุสวาทของลูกชายแน่นอน
แต่
ณ ตอนนี้ ใครสนกันล่ะ แม่เขาไม่ได้มายืนฟังอยู่ข้างหลังนี่เสียหน่อย
...
อย่าพูดถึงคุณนายเธอบ่อยก็แล้วกัน
พูดๆไปนี่ก็เสียวสันหลังอยู่
“อยากตายเหรอ
ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร”
แต่ถึงจะเสียวสันหลังอย่างไรก็ตาม
วาจาผรุสวาทยังคงถูกส่งให้กับคนที่กำลังลอยหน้าลอยตาอยู่ในจอคอมพิวเตอร์
คงเป็นโชคดีของคิมยูคยอมแล้วล่ะที่ไม่ได้กำลังคุยกับยองแจอยู่แบบตัวเป็นๆ
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คงได้หลังลายกันไปข้างแล้วล่ะ
[เป็นนากหงอยเลยเพื่อนกู]
“หงอยที่หน้า”
[เดี๋ยวนี้หยาบคายนะเรา]
“ก็เพราะมีเพื่อนแบบมึงอ่ะ”
[ร้องไห้แป๊บ]
เข้าใจหรือยังว่าทำไมคุยกับคิมยูคยอมทีไร
ยองแจต้องกลายเป็นคนหยาบคายทุกที
ทำตัวเองล้วนๆ
บอกเลย
สมน้ำหน้ามัน
[แล้วมึงจะทำไงต่อ]
แต่บทจะจริงจังขึ้นมา
คนปลายสายก็วกเข้าประเด็นเสียหักมุมจนยองแจตั้งตัวแทบไม่ทันอยู่เหมือนกัน
“หมายถึงเรื่องนี้อ่ะนะ”
[ตอนนี้ชีวิตมึงมีเรื่องให้คิดมากอยู่กี่เรื่องล่ะ] ยังไม่ทันไร
กลับมากวนติงอีกละ ดูมัน [คิดสิครับน้อง ใช้หัวหน่อย]
“วางสายละ
บาย”
[เอาเลย]
สัด
นอกจากจะกวนประสาทแล้ว
ยองแจยังรู้อีกด้วยว่าตนพลาดไปแล้วที่สนิทกับคิมยูคยอมมากเกินไป
สนิทจนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเพียงคนเดียวที่รับรู้เรื่องราวในชีวิตทุกเรื่องของเขาแบบนี้
ใช่
‘เรื่องนั้น’ ก็ด้วย
และเพราะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้
‘เรื่องนั้น’ ยูคยอมถึงได้มั่นอกมั่นใจนักหนาว่ายองแจจะไม่มีวันกดตัดสายไปตอนนี้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะกวนประสาทอีกฝ่ายแค่ไหนก็ตาม
แหงล่ะ
ขืนไม่ได้ระบาย มีหวังได้อกแตกตายก่อน
[อ่ะ อยากจะระบายอะไรก็ว่ามา พี่พร้อมจะรับฟังเสมอ]
“มึงอ่อนกว่ากูหลายเดือนอยู่มั๊ย
ประเด็น”
[ประเด็นคือ
ตอนนี้กูเป็นคนเดียวที่มึงจะสามารถระบายทุกอย่างที่อยู่ในหัวให้ฟังได้ต่างหากล่ะ]
แม่
ง
บอกแล้ว
ว่าพลาดที่สนิทกับมันมากเกินไปแบบนี้
มีจังหวะหนึ่งที่ยองแจเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนัง
เข็มสั้นและเข็มยาวชี้บอกเวลาห้าทุ่มยี่สิบนาที อีกสี่สิบนาทีจะเที่ยงคืน
และนั่นเป็นเวลาที่ยองแจควรจะนอนให้หลับหากไม่อยากไปเรียนสายในวันรุ่งขึ้น
เขาเป็นคนหลับยาก
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆก็ครึ่งชั่วโมงในการเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงเพื่อข่มตาให้หลับหากไม่เหนื่อยจริงๆจนน็อคไปทันทีที่หัวถึงหมอน
โชคร้ายที่เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยเท่าไรนัก
ยิ่งเมื่อมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่ในหัวแบบนี้
คงจะสี่สิบหรือห้าสิบนาทีเป็นอย่างต่ำเลยล่ะกว่ายองแจจะสามารถกล่อมตนเองให้หลับได้
ยองแจควรจะนอนได้แล้ว
แต่การได้ระบายหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในหัวตอนนี้ให้กับคนปลายสายฟัง
ก็เป็นสิ่งที่ยองแจไม่อยากจะพลาดโอกาสเช่นกัน
ระหว่างนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมีเรื่องให้อึดอัดอยู่เต็มอก
กับแอบไปสัปหงกในห้องเรียนวันพรุ่งนี้ คิดว่ายองแจจะเลือกข้อไหนดีนะ
“วันนี้กูไม่ได้คุยกับเขาเลย”
สรรพนามสื่อถึงบุคคลที่สามปรากฏขึ้นมาในบทสนทนาของคนทั้งคู่เป็นครั้งแรกของคืน
ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาการสนทนาสองชั่วโมงที่ผ่านมานี้ ทั้งคู่จะคุย ‘เรื่องนั้น’ เป็นประเด็นหลักก็เถอะ
[เค้าไม่ตอบเลยเหรอ]
“อือ”
[แล้วเค้าอ่านป่ะ]
“กูจะไปรู้ได้ไง”
คิมยูคยอมคงเป็นรายต่อไปที่ถูกยองแจพาลใส่เพราะความหงุดหงิด “เออ กูป๊อดเองอ่ะ
กูไม่กล้าเข้าไปส่องหรอก กูไม่อยากรู้สึกแย่ถ้ารู้ว่าเค้าอ่านแล้วแต่ไม่ยอมตอบ
โอเคป่ะ สัด”
[โอ๋ ไม่หัวร้อนนะลูก]
สิ่งที่ยูคยอมพูดเมื่อครู่
คือสิ่งที่ยองแจกำลังพร่ำบอกตนเองอยู่ในใจเหมือนกัน
ไม่หัวร้อน
ไม่หงุดหงิด
เอางี้ดีกว่า
มีสิทธิหัวร้อนด้วยเหรอ
มีสิทธิหงุดหงิดด้วยหรือเปล่า
...
อ้าว
เศร้าเลยกู
[มึงโอเคนะ]
คงเพราะเห็นว่ายองแจนั่งนิ่งไป
คนปลายสายถึงได้ถามขึ้นมาแบบนี้
“อือ”
โชคดีที่ยูคยอมสนิทกับยองแจมากพอที่จะรู้ว่า
คำว่า ‘อือ’ ของยองแจในที่นี้มีความหมายไม่เท่ากับคำว่า ‘โอเค’ อย่างสิ้นเชิง
โอเคก็แย่ละ
ทำหน้าอย่างกับตัวนากขาดอาหารขนาดนั้น
[มึงเพิ่งรู้จักเขาเองไม่ใช่เหรอ ของแบบนี้บางทีมันต้องใช้เวลาหรือเปล่า]
ยองแจแค่นยิ้มให้กับคำพูดของยูคยอม
เออ
นานๆทีมันก็พูดอะไรดีๆเป็นเหมือนกัน
ถึงจะเป็นเหมือนเรื่องโกหกให้รู้สึกดีไปวันๆก็เถอะ
ใช่
ยองแจเพิ่งรู้จักกับ ‘เขา’ ได้ไม่นานนัก มันก็แค่ความรู้สึกโง่ๆตอนที่ยองแจได้มีโอกาสรู้จักผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรก
ความรู้สึกดีโง่ๆที่ผลักดันให้เขาพาตัวเองมาจนถึงจุดนี้
จุดที่เขาในตอนนั้นใฝ่ฝันว่าตนเองจะก้าวมาถึง
จุดที่คิดว่าตัวเองจะมีความสุข
จุดที่...สุดท้ายแล้ว...แม่
งก็แค่เรื่องโง่ๆที่เขามโนขึ้นมาเองคนเดียว
เชื่อมั๊ย
จนถึงตอนนี้ยองแจยังคงมโนว่า
สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องโกหกจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาสักวัน
“คนเราจะคุยกันไปเพื่อะไรวะ
ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องพัง”
คำถามเดิมๆถูกส่งไปหาคนปลายสายนับครั้งไม่ถ้วนทั้งๆที่มันเป็นคำถามที่ยองแจเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ก็แค่ยังไม่ใจกล้าพอที่จะหยุด
ก็แค่ความหวัง
...ลมๆแล้งๆ...
เขาไม่ใช่หมอดู
หรือนักพยากรณ์ชื่อดังที่จะหยั่งรู้อนาคต แต่เชื่อเถอะ!
ต่อให้เอาคนโง่ที่สุดมาฟังเรื่องราวของเขาในตอนนี้
คนคนนั้นก็ยังรู้ว่าสุดท้ายมันก็ไปไม่รอด
สุดท้ายแล้วมันก็ต้องพัง
ใจกูนี่แหละที่พัง
อห.
แปลตัวย่อนี้ตามใจชอบเลย
จะโอ้โห ไอ้เหี้ย อีห่า หรือจะไรก็ตามใจ
หยาบคายแบบนี้
จะถูกเด็กดีแบนมั๊ยนะ
ช่างเถอะ
อย่างกับว่าเขาแคร์นักแหละ
“กูเหนื่อยว่ะ”
ริมฝีปากพร่ำพูดอะไรต่างๆออกมาอีกมากมายราวกับถูกปลดล็อก
ความรู้สึก
ความอัดอั้น
หงุดหงิด
เศร้า
ผิดหวัง
เหนื่อย
อยาก...ยอมแพ้
[เหนื่อยก็พอ]
คนปลายสายเอ่ยขึ้นมา
น่าเสียดายที่ตอนนี้ยองแจติดต่อกับยูคยอมได้เพียงทางเสียงและภาพ
เพราะหากเจ้านั่นนั่งคุยอยู่ด้วยกันข้างๆนี่ ศีรษะทุยๆของยองแจคงได้ไปซุกอยู่ที่พุงของเพื่อนสนิทแล้วแน่ๆ
เหตุผลก็คงเป็น
ทั้งเพื่อออดอ้อน หาที่พึ่งพิง และอาจรวมถึงเพื่อซ่อนอะไรบางอย่างที่อาจจะซึมออกมาจากหางตาเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยเช่นกัน
[ก็อย่างที่มึงถามกูบ่อยๆนั่นแหละ]
[ถ้าหาเหตุผลในการคุยต่อไปไม่ได้ มึงจะคุยต่อทำไมวะ]
พูดแบบนี้
เอามีดมาปักอกกูเลยเถอะ
ยองแจล่ะอยากจะตอบกลับไปแบบนี้
ติดที่ว่า
ขืนพูดอะไรออกไปตอนนี้ สิ่งที่หลุดออกไปคงไม่ได้มีแค่เสียงพูด แต่ยังรวมถึงก้อนขมๆที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาอีกด้วย
[นอกจากว่ามึงจะอยากได้พี่เพิ่มอีกสักคนน่ะนะ ฮะๆ]
“ตลกตายห่า
แค่ยองจีกูก็จะประสาท”
เสียงฮัดชิ่วดังลอดผ่านผนังบางๆกั้นระหว่างสองห้อง
นอกจากความสงสัยว่าทำไมพี่สาวบังเกิดเกล้าถึงได้นอนดึกแบบนี้ ความคิดที่ว่า ‘ตายยากชิบหาย’ ก็แว่บเข้ามาในความคิดยองแจเช่นกัน
อา
หงุดหงิดทีไร หยาบคายไปทั่วทุกทีเลย
แย่จัง
“กูควรพอป่ะวะ”
“ไม่รู้สิ
บางทีกูก็สมเพชตัวเองนะ”
“กูใช้เวลาหลายนาที
บางทีเป็นชั่วโมงเพื่อแค่คิดแทบตายว่าพิมพ์ไปยังไงดีให้เขาไม่เลิกคิ้วใส่
หรืออย่างดีที่สุดคือตอบกลับมา”
“แล้วกูได้อะไรวะ
สติกเกอร์โง่ๆตัวนึงกับเสียงหัวเราะงี้อ่อ หน้ากูเหมือนคณะตลกมากดิ”
“ทำไมความรู้สึกคนเราต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของใครก็ไม่รู้แบบนั้นด้วยวะ
แม่ ง”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาตามหลังประโยคคำถามที่เจ้าตัวไม่ได้อยากได้คำตอบ
ยองแจยังคงคุยกับยูคยอมต่อไปอีกสักพัก
อาจจะสักสิบหรือสิบห้านาทีเพื่อให้ตนเองสบายใจขึ้นและสามารถข่มตาให้หลับได้ในคืนนี้
[มึงยังมีกูอยู่ตรงนี้นะ]
นั่นคงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ยูคยอมพูดอะไรชวนลื่นหูในรอบปี
ด่ามันไปงั้นแหละ
อันที่จริง ถ้าไม่มีเจ้าเพื่อตัวโตนี่ ยองแจคงอกแตกตายไปนานแล้ว
อย่างว่านั่นล่ะ
ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังแล้วจะไปเล่าให้ใครฟัง
พ่อแม่เหรอ?
เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นเด็กมีความลับอะไรขนาดนั้น
แต่ก็แค่คิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่หากจะไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง
เขานึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง
ถ้าหากวันหนึ่งเขาเดินหน้าเครียดไปปรึกษาแม่ว่า ‘แม่
ผู้ชายที่ผมชอบมันไม่ตอบข้อความผม’ ฮะๆ
พี่สาวงั้นเหรอ?
ยัยยองจีอ่ะนะ?
ลืมไปได้เลย
ถถ
ก็เหลือแต่ไอ้เด็กยักษ์นี่แหละ
ขอบคุณนะ
“เฮ้อ
นอนๆ”
มือทั้งสองข้างยกขึ้นตบแก้มตุ่ยๆของตนเองงจนขึ้นรอยแดง
ทั้งหมดนี่ก็เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายแหล่ออกจากหัวและเตรียมตัวนอนสักที
เที่ยงคืนครึ่งแล้ว แทนที่จะมาเครียดเรื่องใครก็ไม่รู้ที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเราด้วยเลยแบบนี้
ยองแจควรจะเครียดว่าพรุ่งนี้เขาจะตื่นไปเรียนทันหรือเปล่าเสียมากกว่าอีก
เลิก!
คิด! มาก! ได้! แล้ว!
เขาไม่ตอบก็ดี
เราจะได้รู้ตำแหน่งของเรา
รู้จุดที่เราควรจะอยู่
รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ
ควรจะ...
หยุด
...
ครืดๆ
คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำหลังแปรงฟันก่อนนอนเสร็จเรียบร้อยชะงักไปเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์มือถือคู่ใจสั่นครืด
คงหนีไม่พ้นการแจ้งเตือนจากกลุ่มเฟซรุ่น
ข้อความจำพวกแนะนำชมรม
ขายของ ฝากทำแบบสอบถาม หรืออะไรเทือกๆนั้น
ใช่
มันต้องเป็นแบบนั้นแหละ
...
Sigh
ให้มันได้อย่างนี้สินะ
เป็นอีกครั้งที่ยองแจยกมือขึ้นตบกะโหลกตนเองเรียกสติ
คาดว่าถ้าไม่สมองเสื่อมเพราะตบหัวตัวเองมากเกินไปเสียก่อน สมองเขาคงเคลื่อนหมดแล้ว
นี่ยังมึนหัววิ้งๆเลย สงสัยตบแรงไปหน่อยแฮะ
เอาเป็นว่าช่างเรื่องสมองเขาไปก่อน
ทำไมกูต้องตื่นเต้น
ก็แค่กดเปิดหน้าจอให้มันจบๆไป
จะได้รู้ว่าที่มือถือมันสั่นเมื่อกี๊เพราะแจ้งเตือนจากอะไร
ลุ้นเพื่อ
โอย
กดๆไปสักทีเถอะน่า!
ไวเท่าความคิด
ปลายนิ้วเรียวกดปุ่มปลดล็อกหน้าจอ
พร้อมๆกับแสงไฟจากหน้าจอขนาดห้านิ้วที่ค่อยๆสว่างโร่ขึ้นมา
‘JB
also commented on the post you’re tagged in’
-น้องๆอย่าลืมมางาน First Meet ชมรมบีบอยนะครับ
รับรอง สนุกแน่นอน-
...
สาบานได้ว่ายองแจจะไม่มีทางเหยียบชมรมบีบอยเด็ดขาด
กูควรรู้สึกยังไงอ่ะ
คิดไปเองอีกแล้ว
ทำไมไม่คิดเลขเก่งเหมือนคิดไปเองบ้างวะ
งอแงได้มั๊ยนะ
เปลือกตาค่อยๆปิดลงพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ถูกทิ้งให้นอนแอ้งแม้อยู่บนเตียง
ใบหน้าน่ารักที่ตอนนี้นิ่งสนิทไร้อารมณ์เงยขึ้นมองฝ้าเพดานสีขาวสะอาด
ก่อนเจ้าตัวจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหลายแหล่ที่ดูเหมือนจะพร้อมใจกันระเบิดออกมาในตอนนี้
“โง่จังเรา”
พึมพำออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงอู้อี้
เป็นอีกครั้งที่ยองแจหลอกตัวเองว่า ‘สงสัยจะเป็นหวัดอีกแล้ว
ถึงได้มีน้ำมูกเต็มจมูกอีกแล้ว’
แต่ก็นั่นแหละ
คนเป็นหวัดที่ไหนเขาน้ำตาซึมกันนะ
“เฮ้อ
นอนเถอะยองแจ พรุ่งนี้มีเรื่องเรียนให้เครียดอีกทั้งวัน”
ปล่อยๆเรื่องไร้สาระพวกนี้ทิ้งไปเถอะ
เป็นรอบที่ล้านของวันที่ยองแจพยายามปลอบตัวเองด้วยคำพูดนี้
ครืดๆ
JS
sent you a message
-ไม่อ่ะ พนพี่หยุด จารย์ยกคลาส-
-อยู่บ้านสบายจังเลยยย-
-55555-
JS
sent you a sticker
และคงเป็นรอบที่ล้านอีกเช่นกันที่คำพูดพวกนั้นลอยเข้าหูซ้าย
และทะลุออกหูขวาของยองแจไป
ทุกคำถามที่ยองแจเอ่ยถามเพื่อนสนิทไป
คำตอบของคำถามพวกนั้น
เชื่อเถอะ ว่ายองแจรู้ดีอยู่แก่ใจ
เขารู้ดีว่าควรจะทำอะไร
ควรจะรู้สึกอย่างไร
ควรจะ
‘หยุด’ หรือ ‘ไปต่อ’
แต่คุณรู้มั๊ย...สิ่งที่ยากที่สุดคืออะไร
...
เขาก็แค่...ไม่ใจแข็งพอที่จะทำตามคำตอบพวกนั้นก็เท่านั้นเอง
YJ
: หูยยย ชีวิตดี๊ดี
YJ
: ผมนอนแล้วดีกว่า พอดีไม่ได้ชีวิตดีเหมือนบางคน
YJ
: ฝันดีนะพี่แจ็คสัน ^^
ไฟหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปแล้ว
ยองแจเองก็พาตนเองขึ้นมานอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มบ่นเตียงได้แล้วเช่นกัน
ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงจริงๆด้วยล่ะ
กว่ายองแจจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้
รอยยิ้มบางยังคงติดอยู่ที่มุมปากแม้เจ้าตัวจะหลับสนิทไปแล้ว
สงสัยจังว่าคืนนี้เขาจะฝันว่าอะไร
อาจจะเกี่ยวกับข้อความที่ใครอีกคนส่งมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
ข้อความที่เขาส่งตอบกลับไป
หรืออาจจะเป็น...สาเหตุของคราบน้ำใสๆที่ซึมออกมาจากหางตาระหว่างที่คุยกับยูคยอม
ทางเลือกในชีวิตน่ะ
มันมีมาเสมอนั่นล่ะ
มันก็อยู่ที่ว่า
เราจะเลือกมันหรือเปล่า
เราจะเลือกอะไร
แต่ที่แน่นอนที่สุด
ไม่มีทางไหนไม่ต้องใช้ความอดทน
อยากเจ็บ...ก็ต้องทน
อยากหายเจ็บ...ก็ต้องทน
มันก็แค่ว่าคุณใจแข็งจะเลือกทางไหนมากกว่าก็เท่านั้นเอง
แด่ใครสักคนที่กำลังแขวนความรู้สึกของตัวเองไว้กับการกระทำของคนอื่น
แด่คนที่กำลังจะนก
Fin
#การเดินทางของแจ็คแจ
26/8/2017
1.14 am
เป็น
OS ตามใจฉันที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา คิดอะไรได้ในหัวก็เขียนลงไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรียกงานนี้เป็นนิยายได้มั๊ยเพราะตามใจฉันเหลือเกิน
หรือมันอาจจะดูเหมือนสเตตัสบนเฟซบุ๊คก็ได้นะ 5555
หมายเหตุ
1 : ข้อความบางส่วนในเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากข้อความในเว็บไซต์พันทิป
หมายเหตุ
2
: สำหรับเรื่องอื่นๆที่ดองเอาไว้ (และน่าจะยังดองต่อไป)
จะพยายามกลับมาต่อนะคะ #คุกเข่าขอโทษ
หมายเหตุ 3 (สำคัญสุด!!!) : รักคนอ่านทุกคนเลยยยยย ไม่ว่าจะหน้าใหม่หน้าเก่า เคยเม้นท์ไม่เคยเม้นท์ ไม่เป็นไร พวกคุณทุกคนคือกำลังใจของเรา ทุกวิว ทุกความเห็นของพวกคุณมีความหมายกับเรามากจริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ รักส์ อิอิ
ความคิดเห็น