ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #15 : [SF] Little Thing : EP 1 | JackJae

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.72K
      24
      21 ม.ค. 60

     


    A Lot Like Love : Baek A Yeon 

    *******************************************************


    Little Thing




     

             

    Little Thing

     

             เชื่อไหม? เรามักจะตกหลุมรักใครจากความประทับใจเล็กๆน้อยๆ และมองว่าเขาน่ารักตลอดเวลาที่ได้เจอกัน

              Reply            Retweet        Like

     

              **เครดิตข้อความ @jomeynoyy **

     

              ประโยคสั้นๆจากแอพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างทวิตเตอร์ ทำเจ้าของโทรศัพท์มือถือที่ทีแรกตั้งใจแค่จะไถทามไลน์เล่นๆแก้เบื่อถึงกับต้องชะงักไปเลยครู่หนึ่ง

     

              มือข้างที่ถือโทรศัพท์เผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนคนตัวเล็กจะตัดสินใจเลื่อนผ่านไป ปล่อยให้ข้อความเมื่อครู่ไหลผ่านทามไลน์ไปเช่นเดียวกับข้อความอื่นๆ

     

              ...และต้องไถหน้าจอกลับมาหาข้อความเดิมอีกครั้ง...

     

              ความรู้สึกย้อนแย้งที่เจ้าตัวคุ้นเคยดีตีตื้นขึ้นมาในอก คราวนี้มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนแทบจะปาโทรศัพท์ในมือทิ้งถ้าไม่ติดว่ามันแพงและเขายังหาเงินเองไม่ได้

     

              อึดอัดจนจะร้องไห้...แต่กลับไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด

     

              มีความสุขจนตัวลอย...แต่กลับไม่มีรอยยิ้มออกมาให้เห็น

     

              “เฮ้อ เอาอีกแล้วนะยองแจเอ้ย ตั้งสติๆๆๆๆ”

     

              เสียงใสพร่ำบ่นกับตัวเองเบาๆราวกับกลัวใครจะมาได้ยินเข้าทั้งที่กำลังนั่งอยู่ในห้องคนเดียว มือข้างที่ว่างยกขึ้นตบแก้มตัวเองรัวๆเพื่อเรียกสติ

     

              พอได้แล้วน่า

     

              บ้าบอจริงๆ

     

              ไร้สาระเปล่าๆ

     

     

     

     

              อย่างเรา...ไม่มีหวังหรอก

     

              เนอะ

     

              J

     

     

     

     

    =

     

              “แก้มไปโดนอะไรมาน่ะ ยองแจ?”

     

              เจ้าของชื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเพลงเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นแนบแก้มใสที่ขึ้นสีแดงเป็นริ้วๆ

     

              “อ...อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกยูคยอม แหะๆ”

     

              แน่นอนว่ายองแจเลือกที่จะตอบปัดๆไปมากกว่าจะอธิบายให้เพื่อนร่วมชมรมฟังว่ารอยริ้วแดงที่แก้มขวาเกิดจากอะไร

     

              แหงล่ะ ใครจะกล้าบอกกันล่ะว่าเป็นเขาเองแหละที่นั่งตบแก้มเรียกสติตัวเองอยู่ตั้งนานสองนาน แก้มมันถึงได้เป็นรอยแดงแบบนี้

     

              “จริงอ่ะ”

     

              แต่เหมือนคำตอบปัดๆและรอยยิ้มแหยๆจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไหร่แฮะ เพราะตอนนี้เจ้าของชื่อ คิม ยูคยอมกำลังทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆกัน และหันหน้ามามองราวกับกำลังจับโกหกเขาอยู่อย่างนั้นแหละ

     

              “น่า จริงดิ ก็แค่ยุงกัดแล้วฉันก็เผลอไปเกาเท่านั้นแหละน่ะ”

     

              แน่นอนว่ายูคยอมยังคงไม่เชื่อคำโกหกข้างๆคูๆของยองแจ

     

              “นายนี่น้า...โกหกกากยังไงก็กากอย่างนั้นเลยให้ตายสิ” คนข้างกายว่าพลางถอนหายใจเบาๆ “แต่เอาเถอะ ถ้านายไม่สะดวกใจจะบอกฉันก็จะไม่คาดคั้นละ แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็ มาหาฉันได้เสมอ เข้าใจป่าว”

     

              รอยยิ้มจริงใจตามแบบฉบับคนเฟรนด์ลี่ เพื่อนเยอะของยูคยอมทำเอาคนขี้เกรงใจอย่างยองแจทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนกลับไปก้มหน้าก้มตาดูชีทเพลงที่เขาดูค้างไว้ตั้งแต่เมื่อกี๊

     

              ตาน่ะดู แต่สมองน่ะ...บอกเลยว่าไม่อยู่ตรงนี้แล้ว

     

              “เฮ้อ”

     

              ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆยามสมองหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเพื่อนร่วมชมรม

     

              ถามว่าเป็นเรื่องไม่สบายใจมั๊ย...ก็คงใช่แหละนะ

     

              แต่ถ้าถามว่า จะไประบายให้ใครฟังได้มั๊ย...

     

              เรื่องบางเรื่อง จะไประบายให้ใครฟังสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็ไม่ได้มั๊ยเล่า!

     

              ยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว...

     

              “เอ้า! ถอนหายใจอยู่นั่นแหละเรา แก่ไปอีกกี่ปีแล้วล่ะ ฮึ”

     

              เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองถึงกับสะดุ้งเฮือก เผลอปล่อยกองชีทที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

              “อ้าว! ตกใจเหรอ ขอโทษๆ มาๆ เดี๋ยวช่วยเก็บ”

     

              เจ้าของเสียงขี้เล่นว่าพลางค่อยๆย่อตัวลงเก็บชีทเพลงที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ก่อนจะค่อยๆยืดตัวขึ้นมาคืนชีททั้งหมดให้กับคนตัวเล็กที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่อ

     

              “อ่ะ ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ”

     

              ชีทเพลงทั้งหมดถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า แต่ยองแจกลับยังคงไม่ยื่นมือไปรับ

     

              ทั้งแขนขา สมอง และหัวใจ เหมือนจะรวมหัวกันหยุดทำงานไปชั่วขณะ

     

              จะอ้างว่าเป็นเพราะอารามตกใจ...นั่นก็คงเป็นแค่ส่วนหนึ่ง

     

              แค่ส่วนเล็กๆเท่านั้นแหละ อันที่จริงแล้วน่ะนะ

     

              แต่เป็นเพราะ...

     

     

              เพราะ...

     

     

     

     

              “แจ็คสัน!!! มาช่วยกูยกแท่นดิ๊ หนักโว้ย”

     

              เฮือก!

     

              เสียงโวยวายของใครสักคนในชมรมเหมือนเครื่องดึงสติและร่างกายของคนตัวเล็กให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ยองแจเบิกตากว้าง ก่อนเอื้อมมือไปดึงกองชีทจากคนตรงหน้ามารวดเดียว

     

              “ข...ขอบคุณครับ...รุ่นพี่”

     

              ก่อนรีบก้าวฉับๆออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

     

     

     

     

     

     

              ทางเดินบนอาคารกิจกรรมในเวลาเกือบสิบโมงเช้าในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแบบนี้แทบร้างผู้คน ก็คงจะมีแต่ชมรมประสานเสียงที่เขาเป็นสมาชิกอยู่นี่แหละมั้งที่เข้ามาทำกิจกรรมอยู่แบบนี้

     

              “Jingle bell, Jingle bell, Jingle all the way…

     

              ริมฝีปากบางฮัมเพลงที่ซ้อมมาตั้งแต่ช่วงกลางเทอมมาจนถึงตอนนี้จนเริ่มจะหลอน มือข้างหนึ่งวางชีทเพลงไว้ที่เก้าอี้ริมทางเดิน ก่อนเดินเลยไปยังตู้กดน้ำข้างๆ

     

              เพราะเป็นมหาวิทยาลัยคริสต์ การร้องเพลงคริสต์มาสที่โบสถ์ในละแวกมหาวิทยาลัยในช่วงเทศกาลนี้...แทบจะเรียกได้ว่าเป็นประเพณีของชมรมประสานเสียงของที่นี่เลยล่ะมั้ง

     

              เพราะแบบนี้แหละ ถึงต้องมาซ้อมร้องเพลงช่วงปิดเทอมแทบทุกวันแบบนี้

     

              ถามว่าเหนื่อยมั๊ยแหรอ แหงดิว่าเหนื่อยโคตร ต้องมาถึงมหาลัยตั้งแต่ 9 โมงเช้าทุกวัน ซ้อมเพลง ซ้อมๆ จนถึงสี่โมงถึงจะได้ปล่อยกลับบ้าน วันเสาร์อาทิตย์เหรอก็อย่าหวังว่าจะได้พัก เพราะนั่นเป็นวันที่เราต้องเริ่มไปร้องเพลง ส่งความสุขให้กับศาสนิกชนตามโบสถ์ในละแวกมหาวิทยาลัย

     

              เหนื่อยมาก เหมือนไม่ได้ปิดเทอมเลยให้ตาย

     

              เหนื่อย

     

              แต่ก็

     

              ...

     

              ...ก็...

     

     

              ...มีความสุขดีนะ...

     

              J

     

    =

     

              “เอ้า! แยกเสียงๆ โซปราโน่ยืนทางขวา อัลโต้ทางซ้าย เบสไปยืนหลังอัลโต้นะ เทเนอร์ไปหลังโซปราโน่เลย”

     

              /* การร้องประสานเสียง ในที่นี้เป็นวงประสานเสียงแบบ SATB โดยนักร้องจะถูกแบ่งออกเป็น 4 แนวเสียงตามลำดับ

                 โซปราโน่ = เสียงสูงของผู้หญิง

                 อัลโต้ = เสียงต่ำของผู้หญิง

                 เบส = เสียงต่ำของผู้ชาย

                 เทเนอร์ = เสียงสูงของผู้ชาย */

     

     

              สมาชิกกชมรมต่างกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังตำแหน่งตามแนวเสียงของตัวเองหลังได้ยินเสียงเรียกรวมของรุ่นพี่ที่เป็นวาทยกรของวง (Conductor) อันเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการซ้อมในแต่ละวัน

     

              การซ้อมเริ่มต้นตามแพทเทิร์นเดิมๆของมัน วอร์มเสียงตามรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน ก่อนค่อยเริ่มซ้อมร้องเพลงคริสต์มาสอย่างเป็นจริงเป็นจัง

     

              กว่าจะรู้ตัวอีกที เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงที่ทุกคนรอคอย

     

              แหงอยู่แล้ว พักเที่ยงยังไงล่ะ

     

              ร้านข้าวข้างมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ร้านดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เพราะบรรดาโรงอาหารในมหาวิทยาลัยก็พากันปิดหมด ไอ้จะให้ยกโขยงไปกินกันในห้างก็กลัวว่ากระเป๋าสตางค์จะฉีกกันไปซะก่อน

     

              “กินอะไรดีน้า”

     

              ร่างเล็กเอ่ยกับตัวเองเบาๆอย่างใช้ความคิด ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่เพราะไอ้นิสัยขี้เบื่อ นิสัยเสียข้อหลักๆของเขานี่แหละที่ทำให้ยองแจยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะกินอะไรดี

     

              ไอ้นั่นก็เพิ่งกินไปเมื่อวาน ไอ้นู่นก็กินซ้ำมาสามวันแล้ว ไอ้นี่ก็ชักจะเบื่อ

     

              หงึ

     

              “เอาข้าวผัดกิมจิครับ”

     

              อย่าเข้าใจผิดล่ะ นั่นไม่ใช่เสียงของยองแจหรอกนะ

     

              “โอเคจ้า มีใครเอาอะไรอีกมั๊ยลูก”

     

              เสียงของคุณป้าเจ้าของร้านข้าวลอยเข้ามาในหู ในฐานะคนที่ยังไม่ได้สั่งอะไรสักอย่าง ยองแจควรจะรีบหันไปให้ความสนใจกับป้ายเมนูที่ผนังร้าน เพื่อจะได้รีบๆตัดสินใจ สั่งข้าวไปสักที

     

              แต่สายตาเจ้ากรรมกลับไม่ทำตามนี่สิ

     

              เพราะตอนนี้ สายตาของยองแจกลับจับจ้องไปที่ใครอีกคน

     

              ใครอีกคน ที่นั่งอยู่ริมสุดอีกด้านของโต๊ะ

     

              ใครอีกคน  ที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นกล้อง DSLR ของตัวเอง

     

              ใครอีกคน...ที่เพิ่งสั่งข้าวผัดกิมจิไปเมื่อครู่

     

     

     

              “เอาข้าวผัดกิมจิอีกที่นึงด้วยครับ”

     

    =

     

              “เอากล้องไปด้วยทุกที่เลยนะเฮียแจ็ค”

     

              รุ่นน้องตัวสูงโย่งเอ่ยทักแจ็คสันที่กำลังนั่งเช็ครูปในกล้องระหว่างรออาหาร ยอมรับในฐานะรุ่นพี่ที่เตี้ยกว่ามันเกือบสิบเซนติเมตรลยว่า โคตรเสียเซลฟ์

     

              เด็กปีหนึ่งห่าอะไร สูงตั้งร้อยแปดสิบ กูอีกเทอมเดียวก็จะจบอยู่แล้ว ร้อยเจ็ดสิบห้ายังไม่ถึงเลย โธ่!

     

              “เป็นตากล้อง ก็ต้องเก็บภาพแบบทุกโมเม้นต์ดิวะ มึงนี่ไม่เข้าถึงความเป็นอาร์ตทิสเลยจริงๆว่ะไอ้ยูค”

     

              หันไปตอบรุ่นน้องที่นั่งข้างๆด้วยท่าทางกวนติงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวก่อนกดปิดกล้องที่ตนเช็ครูปค้างเอาไว้เมื่อครู่

     

               “ตอนกินก็อาร์ตทิสด้วยเหรอวะเฮีย”

     

              “ช่ายยยย ตอนกินนี่แหละเด็ดสุด”

     

              “ทำไมวะเฮีย”

     

              “ก็ภาพเวลากินแม่ งจะเหี้ ยสุดไง ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

              หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังหลังเห็นว่ากระแสตอบรับที่ได้คือนิ้วกลางแบบเน้นๆของรุ่นน้อง เช่นเดียวกับเสียงด่าแบบขำๆจากเพื่อนร่วมโต๊ะที่นั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่

     

              ถึงจะพูดไปขำๆแบบบนั้น แต่ก็ถ่ายจริงนะเออ

     

              รูปเหี้ ยจริงด้วย อันนี้ยืนยัน ฮะๆ

     

              “เฮียแม่ ง โคตรเหี้ ยอ่ะ แค่รูปเหี้ ยๆของผมที่เฮียจงใจถ่ายตอนซ้อมยังไม่พออีกอ่อ”

     

              “ก็กูเป็นคนถ่ายนี่หว่า ช่วยไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

              หันไปหัวเราะใส่หนึ่งในรุ่นน้องที่โดนเขาทำร้ายผ่านรูปภาพไปเยอะที่สุดคนหนึ่ง ก่อนบทสนทนาจะถูกตัดจบไปหลังอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ

     

              และแน่นอน งานของแจ็คสันก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน

     

              ไม่ว่าจะเป็นภาพตอนข้าวกำลังจะเข้าปาก ภาพตอนกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ว่าสภาพคุณจะแย่แค่ไหน รับรองว่าตากล้องแจ็คสันเก็บหมดทุกเม็ดแน่นนอน

     

              แหม่! อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายแบบนั้นดิ

     

              การถ่ายรูป ก็ถือเป็นการเก็บความทรงจำในอีกรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือไง

     

              ไม่ว่าคนในรูปจะสวยหรือน่าเกลียด ตราบเท่าที่เวลาผ่านไป อย่างน้อยมันก็เหมือนเป็นหลักฐานว่าในวันนี้ เราได้ใช้ชีวิตอยู่ และมีความสุข...แบบนี้

     

              ส่วนไอ้เรื่องเอาไปซูม แกล้งกัน...ก็ถือเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกันเนอะ

     

              “ข้าวผัดกิมจิจ้า”

     

              “ของผ...”\ “ของ...”

     

              เพราะเสียงที่ดังขึ้นตอบคุณป้าเจ้าของร้านไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว พอมองดูถึงได้เห็นว่ายังมีใครอีกคนที่นั่งอยู่ริมสุดอีกฟากหนึ่งของโต๊ะสั่งเมนูเดียวกันกับเขา

     

              อา...เด็กขี้ตกใจคนนั้นนั่นเอง

     

              “เอาให้น้องก่อนเลยครับ”

     

              เหมือนเป็นอัตโนมัติในฐานะคนเป็นรุ่นพี่ มือที่เคยยกขึ้นเพื่อเรียกคุณป้าเมื่อครู่ กลับกลายเป็นผายออกไปทางร่างเล็กที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะพร้อมรอยยิ้ม

     

              “กินก่อนเลย พี่ยังไม่ค่อยหิว...รอแป๊บเดียวเอง”

     

              เอ่ยย้ำกึ่งบังคับให้เด็กขี้ตกใจคนนั้นยอมกินข้าวผัดกิมจิจานนั้นสักทีหลังเห็นนั่งยึกยือ ลังเลอยู่อย่างนั้นมาครู่หนึ่ง

     

              “อ...แต่...”

     

              แชะ!

     

              เสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาถูกขัดด้วยเสียงชัตเตอร์จากกล้อง DSLR ของรุ่นพี่แก่สุดคนหนึ่งในชมรม แจ็คสันโผล่หน้าออกมาจากหลังกล้องก่อนส่งรอยยิ้มทะเล้นไปทางเด็กขี้ตกใจคนนั้น

     

              “ถ้าไม่รีบกิน ได้โดนรูปน่าเกลียดเยอะแน่ นับสาม  สอง...”

     

              แจ็คสันหยุดนับ หลังเห็นว่าเด็กรุ่นน้องคนนั้นรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดกิมจิแล้ว

     

              ก้มหน้าก้มตาจริงๆนะ เพราะหลังจากนั้นตลอดมื้ออาหาร เขาก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นอีกเลยล่ะ สงสัยจะกลัวโดนถ่ายรูปจริงๆแฮะ ฮะๆ

     

              นอกจากขี้ตกใจแล้ว ยังขี้เกรงใจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เด็กคนนี้

     

              “ไปห้องน้ำป่าวยองแจ”

     

              “หืม...เอ่อ...ไปสิ ไปๆๆๆ แบมแบมรอเราด้วย”

     

              กว่าจะรู้ตัว สายตาของแจ็คสันก็หันมองตามเด็กปีหนึ่งคนนั้นไปจนลับตา

     

              นิ้วมือกดเลื่อนรูปในกล้อง DSLR ของตัวเอง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ภาพภาพหนึ่ง

     

              เป็นภาพที่...ถ้าเจ้าของภาพมาเห็นนี่ คงได้มีการตบตีเขาแน่ๆ เพราะในภาพ เจ้าตัวเขากำลังอ้าปากหวอเลยล่ะ คงเพราะกำลังจะพูดอะไรสักอย่างอยู่พอดีล่ะมั้ง

             

              “ยอง...แจ...”

     

              ชายหนุ่มกดปิดสวิตซ์กล้อง

     

              แต่เขากลับไม่สามารถกดปิดสวิตซ์รอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองได้เลย แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม

     

    =

     

              ล่วงเลยมาเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแล้ว แต่การซ้อมเพลงก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ยองแจยังคงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปถึงห้องชมรมให้ทันเก้าโมง และกลับไปนอนสลบที่บ้านตอนเย็นเหมือนทุกวัน

     

              ที่ต่างออกไปก็คงจะเป็น...พรุ่งนี้เป็นวันแรกที่จะต้องร้องจริงล่ะมั้ง

     

              “คอแห้งกันจะแย่แล้วสิ พักสิบห้านาทีแล้วกันนะครับ”

     

              ไม่ได้โกหกนะ แต่ยองแจเหมือนเห็นแทบทุกคนตัวแฟบเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมเลยล่ะ

     

              อาจเพราะทั้งความเหนื่อยจากการยืนร้องเพลงติดต่อกันมาชั่วโมงกว่า แถมพี่จินยองที่เป็นวาทยกรก็แสนจะโหดซะขนาดนั้น

     

              ถึงจะไม่เคยดุสมาชิกในชมรมเลยสักครั้ง แถมยังชอบยิ้มใจดีแบบนี้ก็เถอะนะ แต่เชื่อเถอะ สายตาเวลาจริงจังของพี่จินยองน่ะ น่ากลัวกว่าเวลาพวกคุณครูฝ่ายปกครองคลั่งอีก อันนี้ยองแจคอนเฟิร์ม

     

              “อ่า...ร้องว่ายังไงนะท่อนนี้”

     

              หลังนั่งพักจนหายเหนื่อย ชีทเพลงที่ตอนนี้ถูกเก็บใส่แฟ้ม แก้ปัญหาชีทกระจายแล้วก็ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งโดยคนตัวเล็ก สายตาจับจ้องไปยังโน้ตท่อนที่ตนยังไม่มั่นใจพลางลองฮัมออกมาตามคีย์ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเพราะเสียงที่ได้กลับออกมาประหลาดเกินกว่าจะเป็นไลน์เสียงประสาน

     

              “อย่าลืมตัวชาร์ปตรงนี้สิ”

     

              /* ชาร์ป (#) คือ ระดับเสียงที่สูงกว่าปกติครึ่งเสียง*/

     

              นิ้วเรียวของใครบางคนจิ้มเข้ามาที่ชีทเพลงพร้อมกับเอ่ยเบาๆมาจากด้านหลัง ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก รีบหันหน้ากลับไปหาเจ้าของเสียงจนไม่ทันระวัง

     

              โป๊ก!

     

              และหัวโขกกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่อย่างจังๆ

     

              “...ขอโทษครับ...พ...พี่แจ็คสัน...”

     

              ปลายเสียงแผ่วลงไปทันทีที่เห็นเต็มสองตาว่าคนข้างกายคือใคร หัวใจที่เต้นแรงเพราะอารามตกใจเมื่อครู่เหมือนจะหยุดเต้นไปเฉยๆซะอย่างนั้น

     

              เหมือนกับ...ตอนที่เขาตกใจจนทำชีหล่นเมื่อวันนั้น

     

              เหมือนกับ...ตอนที่พี่แจ็คสันยกข้าวผัดกิมจิให้เขากินก่อน

     

              เหมือนกับ...ตอนนั้น

     

              ครั้งแรก...ที่ได้เจอกัน

     

              วันที่ยองแจเดินเอ๋อๆเข้ามาในชมรม ก่อนจะยิ่งเอ๋อกว่าเดิมหลังเจอแอทแท็กจากรอยยิ้มและสายตาคู่นั้น

     

              จะหาชอบคนง่ายก็ไม่โกรธหรอกนะ เพราะหลังจากวันนั้น...ยองแจก็ไม่สามารถละสายตาจากคนที่มักสะพายกล้องไปไหนมาไหนตลอดเวลาไปได้เลย

     

              “เฮ่ย! ฮัลโหล ได้ยินที่พูดหรือเปล่าเนี่ย...ชเว ยองแจ?”

     

              “คร...ครับ!...เอ่อ รุ่นพี่แจ็คสัน”

     

              หัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปเมื่อครู่กลับมาทำงานอีกครั้งหลังได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย ยังคงจับจ้องคนอายุมากกว่าที่กำลังย้ายตัวเองมานั่งข้างๆกันอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา

     

              “ตรงนี้ร้องอย่างนี้ไง Noel, noel...”

     

              การมีคนมาสอนท่อนที่ยังร้องไม่ได้แบบตัวต่อตัวแบบนี้ บอกเลยว่าไม่ได้ช่วยอะไรกันเลยสักนิด

     

              คงต้องขอโทษพี่จินยองล่วงหน้าแล้วล่ะ ดูท่า...คงอีกนานกว่ายองแจจะร้องท่อนนี้ได้

     

              ไม่สิ

     

              คงอีกนานเลยล่ะ...กว่ายองแจจะเรียกเอาสติที่ลอยไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมา

     

              ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

     

              อา

     

              ไอ้หัวใจบ้านี่ก็ทำงานดีเหลือเกิน...ออกจะดีเกินไปแล้วด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ

     

              “...ร้องแบบนี้แหละ เก็ทขึ้นมั๊ย”

     

              “...”

     

              “...ฮัลโหล ได้ฟังมั๊ยเนี่ย เฮ้!

     

              “ค...ครับ...ครับรุ่นพี่... อ่า...ขอบคุณมากนะครับ...”

     

              ผงกหัวให้กับคนข้างกายสองสามทีแทนคำขอบคุณ ทั้งที่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ฟังเลยสักนิดว่าท่อนนี้จริงๆแล้วมันร้องยังไง

     

              เอาเป็นว่า ขอบคุณที่ในที่สุด รุ่นพี่ก็เขยิบตัวออกไปห่างๆกันสักที

     

              ไม่อย่างนั้น อาจมีเด็กชมรมถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะหัวใจทำงานหนักเกินไปก็ได้

     

              ยองแจลอบถอนหายใจออกมาเบาๆหลังคนอายุมากกว่าลุกขึ้นเดินจากไป ยอมรับเลยว่าโล่งใจเป็นบ้า

     

              แต่อีกใจ...ก็อยากให้ช่วงเวลาแบบเมื่อครู่ยืดออกไปอีกนานแสนนาน

     

              “ไอ้เหี้ ยแจ็ค! หน้ากรู๊วววว ลบเดี๋ยวนี้นะเว้ยยยยยยยยยยย”

     

              เสียงหัวเราะเบาๆหลุดออกมาจากลำคอหลังเห็นตากล้องประจำชมรม คนใจดีที่เข้ามาสอนเขาร้องเพลงเมื่อครู่นี้ กำลังโดนเพื่อนรุ่นเดียวกันวิ่งไล่เตะ ข้อหาก็คงไม่พ้นไปถ่ายรูปน่าเกลียดๆของเขาไว้แน่ๆ

     

              ไม่ใช่แค่ยองแจหรอกนะที่กำลังหัวเราะ...คนอื่นๆในชมรมก็เช่นกัน

     

              ใช่แล้วล่ะ

     

              พี่แจ็คสันน่ะ...เป็นเหมือนพระอาทิตย์เลยล่ะ

     

              ทั้งสว่าง สดใส เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบตัวได้ตลอดเวลา

     

              แล้วก็...ยังใจดีอีกด้วย

     

              ใจดี...มากๆเลยล่ะ

     

              J

     

     

     

     

    =

     

              “เอ้า ใครอยากแว๊นท้ายกระบะ ทางนี้เลย”

     

              น่าแปลก ทั้งที่เป็นช่วงเวลาสามทุ่มกว่ากลางฤดูหนาวแบบนี้ แต่หลายๆคนในชมรมกลับรีบสิ่งกรูกันไปยังรถกระบะของรุ่นพี่แจบอม อย่างกับลืมไปว่าอากาศตอนนี้มันหนาวเข้ากระดูกขนาดไหนอย่างนั้นล่ะ

     

              ทั้งหมดนี่เป็นความคิดของคนตัวเล็กที่กำลังถูมือทั้งสองข้างใต้ถุงมือเข้าด้วยกันเพราะความหนาว ถ้าไม่ติดว่าโบสถ์ที่ต้องมาร้องเพลงในวันนี้เลิกดึกล่ะก็นะ ยองแจไม่มีทางออกมาข้างนอกในคืนที่อากาศหนาวจนจะแข็งแบบนี้หรอก

     

              ป่านนี้ เขาคงนอนอุดอู้อยู่ใต้ผ้าห่ม ถ้าไม่กดโทรศัพท์ก็คงนอนดูหนังสักเรื่องจนง่วงไปแล้วล่ะ

     

              “ยองแจกลับไงอ่ะ”

     

              ยูคยอมที่เดินอยู่ข้างๆกันถามขึ้น

     

              “อา...รถไฟใต้ดินล่ะมั้ง”

     

              คนตัวเล็กว่าพลางใช้ความคิด

     

              ปกติ จากโบสถ์แห่งนี้เดินไปสถานีรถไฟใต้ดินก็ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินสักสิบห้านาทีก็ถึง แต่พอเป็นตอนกลางคืน แถมยังหนาวจับใจขนาดนี้ สงสัยคงต้องยอมเปลืองเงิน เรียกแท็กซี่ซะแล้วล่ะมั้ง

     

              “เฮ้ย ทางเดียวกันๆ ไปด้วยกันป่าว” ยูคยอมว่าก่อนชี้ไปยังรถกระบะคันใหญ่ของรุ่นพี่แจบอม “เห็นพี่แจบอมแกบอกว่าจะขับไปหย่อนให้แถวรถไฟใต้ดินด้วยนะ ไปด้วยกันดิ นั่งหลายๆคน ได้บรรยากาศดีออก”

     

              “อ่า...คือว่า...”

     

              คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบาในลำคอ สมองแล่นหวือคิดหาข้ออ้างปฏิเสธเพื่อนตัวสูงร่วมชมรม

     

              นั่งท้ายกระบะกันหลายๆคนตอนกลางคืนแบบนี้ ได้บรรยากาศดีจริง อันนี้ยองแจไม่เถียงหรอกนะ แต่ประเด็นคือมันหนาวนี่สิ...

     

              “เฮ้ย!!! ไอ้ยูค!! ตกลงจะมามั๊ย!

     

              เสียงตะโกนของใครบางคนดึงให้คนตัวเล็กหลุดจากห้วงความคิด เผลอสะดุ้งเฮือกหันไปตามเสียงโดยอัตโนมัติถึงเจ้าของเสียงนั้นจะไม่ได้เรียกตัวเองก็เถอะ

     

              “ไอ้ยูคโว้ยยย”

     

              “แป๊บนึงโว้ยเฮียแจ็ค!!

     

              ยูคยอมตะโกนตอบกลับไปเสียงดังล่น ก่อนหันกลับมามองเพื่อนตัวเล็กที่ทำท่าไม่ค่อยอยากตอบตกลงสักเท่าไหร่

     

              “น้า ไปเหอะยองแจ น้าๆๆ”

     

              “อื้ม ไปดิ”

     

              สิ้นเสียงตอบตกลง ยองแจก็แทบจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางรถกระบะของรุ่นพี่แจบอมที่จอดรออยู่ เดินไปถึงเร็วกว่ายูคยอมที่เป็นคนชวนเสียอีก

     

              “ไหงตกลงง่ายๆแบบนี้เฉยเลยอ่ะ ทีเมื่อกี๊ยังทำท่าเหมือนไม่อยากไปอยู่เลย”

     

              เป็นประโยคที่ยูคยอมได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อนรุ่นเดียวกันไปยังรถกระบะที่สตาร์ทเครื่องรออยู่ได้สักพักแล้ว

     

              แน่นอน ยูคยอมไม่รู้หรอก

     

              ไม่รู้...ว่ายองแจตัดสินใจว่าจะไปตั้งแต่ได้ยินเสียงใครอีกคนตะโกนเร่งมาจากรถกระบะคันนั้นแล้วล่ะ

     

     

     

              สำหรับคนขี้หนาวอย่างยองแจ บอกเลยว่าการนั่งท้ายกระบะ รับลมเย็นค่อนไปทางแข็งตอนเหยียบสี่ทุ่มแบบนี้ เป็นอะไรที่ทรมานโคตร

     

              “หนาวจัง”

     

              เสียงใสพึมพำกับตัวเองเสียงเบาพลางสอดมือเข้าในแขนเสื้อโค้ท โชคดีที่ท้ายรถกระบะนี้มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น ทำให้แต่ละคนต้องนั่งเบียดกันจนแทบเกยตัก ช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้นิดหน่อย

     

              “เอ้า อย่ามัวแต่นั่งแข็ง ยิ้มหน่อยๆ”

     

              แชะ

     

              ยองแจมั่นใจว่านี่ต้องเป็นอีกรูปที่หน้าเขาทุเรศแน่ๆ

     

              อย่าว่าแต่ยิ้มเลย ทำให้ปากหยุดสั่นยังยากเลยเถอะพี่แจ็คสัน ฮือ

     

              “ถ่ายไรตอนนี้อ่ะพี่แจ็คสัน หนาวจนจะแข็งแบบนี้ จะให้เก๊กสวยได้ไงเล่า”

     

              ฮเยจิน เพื่อนร่วมชะตากรรมแข็งเป็นหมู่คณะบนท้ายกระบะบ่นออกมาเสียงดังจนคนรอบข้างหัวเราะครืน แน่นอนว่าคนหัวเราะดังที่สุดคงจะเป็นตากล้อง เพราะหน้าตัวเองไม่ได้อยู่ในรูปนี่นา

     

              “ไม่เก๊กก็สวยน่าเจ๊ หน้าแน่นขนาดนี้”

     

              “ย่าห์! คิม ยูคยอม! หน้าแน่นอะไรกันยะ ออกจะใสๆ”

     

              หญิงสาวว่าพลางย่นจมูกใส่หนุ่มรุ่นน้อง ก่อนจะกลับไปนั่งกอดเข่าแทบไม่ทันเมื่ออยู่ดีๆลมหนาวๆก็พัดเข้ามาอีกเฮือกใหญ่

     

              “โอยยยย หนาวววววววว”

     

              “แจบอมโว้ย ขับเร็วๆหน่อยดิ๊ กรูหนาวววว”

     

              “ตาโง่! ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งหนาวสิยะ! หน้าฉันจะมีน้ำแข็งเกาะอยู่แล้วเนี่ย!

     

              เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งหลังการปะทะฝีปากของคนบนท้ายกระบะ น่าแปลกว่าทั้งๆที่หนาวออกขนาดนี้ แต่ทุกคนกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

     

              ยองแจก็ด้วย

     

              ดีใจจังที่ตัดสินใจขึ้นรถมา

     

              ถ้าไม่ขึ้น ป่านนี้เขาก็คงกำลังเดินกลับบ้านคนเดียว ใส่หูฟัง อยู่ในโลกของเสียงเพลงอยู่คนเดียว

     

              คนเดียว...ในโลกที่มีแต่เขาเพียงคนเดียว

     

              คงไม่ได้มานั่งยิ้ม มาหัวเราะอยู่แบบนี้

     

              ดีจัง

     

              “ยองแจๆ”

     

              “อะไรเหรอยูคยอม”

     

              แชะ

     

              ทั้งๆที่แค่ตั้งใจหันกลับไปหาเพื่อนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆกัน แต่ทันทีที่หันไป สายตาก็ป๊ะเข้ากับกล้อง DSLR เป๊ะจนอย่างกับว่าคนถ่ายกำลังรอเวลานี้อยู่อย่างนั้นล่ะ

     

              “รุ่นพี่!!

     

              ร้องประท้วงเสียงดังทันทีที่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย ลืมตัวไปชั่วขณะว่าคนที่อยู่หลังกล้องเป็นใคร จนเจ้าของกล้องลดกล้องในมือลงนั่นล่ะ

     

              เผลอเม้มปากแน่น แทบกลั้นหายใจกันเลยทีเดียว

     

              ไม่รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะรู้สึกไม่ดีที่โดนถ่ายหน้าเหวอ หรือเพราะคนหลังกล้องกันแน่

     

              ไม่หรอก อันที่จริง...ยองแจรู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้วนั่นล่ะ

     

             

             

     

              “เอ้า ถึงแล้วครับเพื่อนๆน้องๆ เชิญเสด็จ ย้ายก้นลงมาได้แล้วครับ”

     

              ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดิน โค้งขอบคุณพี่แจบอมที่ใจดีขนน้องๆมาส่งถึงที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนรถกระบะคันใหญ่จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป

     

              “ฉันต้องไปขึ้นรถไฟสาย 1 มีใครไปทางนี้มั๊ย”

     

              “ผมไปปปนูน่า”

     

              “ย่าห์ นี่นายอีกแล้วเหรอคิม ยูคยอม ให้ตายเหอะ นี่นายจะตามฉันไปทุกที่เลยเหรอ ตามจีบฉันหรือไงยะ”

     

              “เปล่าสักหน่อย นูน่าอย่ามโนดิ ก็บ้านผมอยู่ทางนั้นอ่ะ”

     

              “ย่าห์”

     

              “เอาน่าๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันดิ๊” รุ่นพี่คนหนึ่งที่ยองแจจำชื่อไม่ได้เอ่ยขึ้น ห้ามทัพพี่ฮเยจินกับยูคยอมที่ดูจะแง่งๆกันมาตั้งแต่อยู่บนรถ “มีใครไปทางไหนอีกมั๊ย”

     

              สองสามเสียงที่แสดงตัวว่าต้องกลับทางไหนทำให้ยองแจรู้ตัวว่าเหลือแค่เขาคนเดียวที่ต้องนั่งรถไฟสาย 4 กลับบ้าน

     

              “กลับคนเดียวก็กลับดีๆนะ ดูแลตัวเองด้วย”

     

              “ครับรุ่นพี่ ผมก็ผู้ชายนะ ฮะๆ”

     

              เอ่ยกลั้วหัวเราะกับรุ่นพี่คนหนึ่งในชมรม ก่อนโบกมือลาคนอื่นๆและเดินแยกออกมาเพื่อไปขึ้นรถไฟสายที่ต้องไป

     

              ก็...เหงานิดหน่อยเหมือนกัน

     

              สงสัยว่า จะชินกับการที่รอบตัวมีแต่เสียงหัวเราะของคนในชมรมไปแล้วล่ะมั้ง ฮะๆ

     

              ...

     

              “เฮ้อ”

     

              ถอนหายใจออกมาเบาๆพลางหยิบหูฟังออกมาจากกระเป๋า

     

              จุดจบของการเดินทางคนเดียว ก็คงจะเป็นหูฟังเนี่ยแหละนะ

     

              ทว่า ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะได้ใส่หูฟัง สัมผัสเบาๆที่ไหล่ข้างซ้ายก็ดึงให้เจ้าตัวหยุดเดินและหันไปมองด้วยความตกใจเข้าเสียก่อน

     

              !!!

     

              “ไปด้วย”

     

              และตกใจยิ่งกว่า เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาสะกิดไหล่เมื่อครู่เป็นใคร

     

     

     

     

     

              ชานชาลาไร้ผู้คนว่าเงียบสนิทแล้ว ยองแจกลับรู้สึกว่าตอนนี้มันทั้งเงียบ และชวนอึดอัดมากกว่าปกติอยู่หลายเท่าตัว

     

              ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่คนเดียวแท้ๆ

     

              “บ้านอยู่โซนนั้นเหรอ”

     

              เฮือก!

     

              เผลอสะดุ้งเฮือกจนโทรศัพท์ในมือเกือบหล่น ใบหน้าน่ารักหันไปมองคนข้างกายด้วยท่าทางที่ไม่บอกก็รู้ว่าประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

     

              “ค...ครับ...”

     

              แน่นอนว่านั่นทำให้หวัง แจ็คสันหลุดขำออกมาเบาๆ

     

              “เฮ้ย ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ พี่ไม่กัดหรอกน่า ฮะๆ”

     

              ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกนะครับรุ่นพี่

     

              เป็นประโยคที่ยองแจได้แต่คิดอยู่ในใจ ร่างเล็กได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด พร่ำบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าใจเย็นๆ ไม่เป็นไร หายใจเข้าลึกๆ

     

              ฮือออออ จะบ้าตายอยู่แล้วนะ ให้ตายเถอะ

     

              “รถไฟมาแล้วนะ”

     

              เป็นอีกครั้งที่ยองแจเผลอสะดุ้ง ถึงจะไม่แรงเท่าครั้งก่อน แต่ก็แรงพอที่จำให้คนข้างกายรู้ตัวและหลุดขำออกมาเบาๆอีกครั้ง

     

              ฮือ เป็นบ้าอะไรนะชเว ยองแจ ตั้งสติสิตั้งสติ

     

              เพราะเป็นเวลาสี่ทุ่มนิดๆแล้ว ขบวนรถไฟถึงได้โล่ง แทบไม่มีคน อันที่จริง เหมือนในตู้นี้จะมีผู้โดยสารแค่รุ่นพี่แจ็คสันกับยองแจแค่สองคนเองล่ะมั้ง

     

              จำเป็นต้องเป็นใจขนาดนี้มั๊ยอ่ะ

     

              ได้อยู่กับคนที่ชอบมันก็ดีอยู่หรอก แต่ช่วยส่งคนอื่นมาอยู่ด้วยเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไงนะ เขินจะแย่อยู่แล้ว

     

              “เงียบจังเลยนะ ฮะๆ” เป็นคนข้างกายที่อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมา “เป็นคนเงียบๆเหรอเรา”

     

              “ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ยองแจว่า ยังคงติดความเกร็งอยู่ในน้ำเสียงอย่างห้ามไม่ได้ “พออยู่กับคนที่ไม่ค่อนสนิท ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนะครับ ก็เลย...เงียบๆไว้ดีกว่า”

     

              “อา...งั้นแปลว่าเรากับพี่ก็ยังไม่สนิทกันมากพออ่ะดิ”

     

              ประโยคที่พูดสวนกลับมาแทบจะในทันทีทำให้ยองแจแทบจะเป็นไบ้ ไม่รู้จะตอบคนข้างกายว่ายังไงดี

     

              ถ้าตอบว่าใช่...มันจะเสียมารยาทหรือเปล่านะ

     

              แต่ถ้าตอบว่าสนิท มันก็ไม่ใช่อีกอ่ะ

     

              ทำยังไงดีอ่ะ ฮือ

     

              “งั้น...” แจ็คสันลากเสียงยาวพลางหันไปสบตากับคนอายุน้อยกว่าข้างกาย “เรามาสนิทกันให้มากขึ้นกว่านี้ดีมั๊ย”

     

              ฮะ

     

              “พี่อยากเห็นเราเวอร์ชั่นพูดมากอ่ะ เพราะงั้นเรามาสนิทกันเถอะ”

     

              นี่ยองแจหูฝาดไปหรือเปล่า

     

              ยิ่งกว่าเป็นไบ้ คือการอ้าปากค้างกลางอากาศ แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำนี่แหละ

     

              “อ่า...หรือว่าไม่อยากสนิทกับพี่...”

     

              “ม...ไม่ใช่นะครับรุ่นพี่...ไม่ใช่ๆ...”

     

              คนตัวเล็กรีบปฏิเสธคนข้างกายเป็นพัลวัน ดวงตากลมดูตื่นซะจนคนขี้แกล้งหลุดยิ้มขำเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้

     

              “งั้นมาสนิทกัน โอเคนะ ต่อไปนี้เวลาไปชมรม ถ้าเจอพี่ต้องทักด้วย พี่ก็จะทักเราเหมือนกัน จะได้คุยกันไง ตกลงนะ”

     

              เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง แถมยังมีรอยยิ้มจนตาปิด แอทแทกแบบเดียวกับที่ยองแจเคยได้รับในวันที่เขามาห้องชมรมเป็นครั้งแรกแบบนี้

     

              “ตกลง...ครับ...”

     

              ถึงได้หลุดปากรับคำคนข้างกายอย่างว่าง่ายไปซะอย่างนั้นยังไงล่ะ

     

              “งั้น...เริ่มต้นการสนิทกันของเราด้วยการให้พี่ไปส่งที่สถานีนะ พี่ต้องไป...อืม...ไปซื้อของแถวนั้นนิดหน่อยน่ะ”

     

              ถ้ายองแจมีสติมากกว่านี้อีกสักหน่อย คงฉุกคิดไปแล้วว่าพี่แจ็คสันจะมาซื้อของบ้าอะไรตอนเกือบสี่ทุ่มครึ่งแบบนี้

     

              แต่ไม่มีสติไง

     

              “ค...ครับ...รุ่นพี่”

     

              “เฮ้อ สงสัยว่าแผนสร้างความสนิทของเรานี่คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยล่ะมั้งเนี่ย” แจ็คสันว่า ก่อนใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากมนทีหนึ่ง “พูดคำอื่นนอกจากครับรุ่นพี่เป็นบ้างมั๊ยเนี่ย ฮึ ฮะๆ”

     

              ศีรษะทุยเงยไปด้านหลังเล็กน้อยตามแรงดัน ก่อนเจ้าตัวจะได้แต่ยิ้มแหะให้กับคนข้างกาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ

     

              เหมือน...ฝันไปเลย

     

              ถ้าเผลอกระพริบตา จะตื่นจากความฝันนี้หรือเปล่านะ

     

              “หืม...ทำไมมองงั้นอ่ะ หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ”

     

              เพราะเสียงทักของคนตรงหน้า ทำให้ยองแจหลุดจากภวังค์และเผลอกระพริบตา

     

              อยู่ดีๆหัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบ ด้วยกลัวว่าภาพตรงหน้าจะสลายไปเป็นเพียงความฝันอย่างความคิดที่แว้บเข้ามาในหัวเมื่อครู่

     

              มัน...ดีเกินไป

     

              มีความสุขเกินไป

     

              จนเหมือน...ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง

     

              แต่ภาพใครอีกคนที่กำลังจ้องกลับมาด้วยแววตาสงสัย เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าชเว ยองแจไม่ได้แค่ละเมอ ฝันไป

     

              “ป...เปล่าครับ...รุ่นพี่...แหะๆ”

     

              “...”

     

              “...ผมแค่...” คนตัวเล็กลากเสียง หันไปยิ้มให้กับคนข้างกายแบบไร้ความประหม่าเป็นครั้งแรกของวัน ก่อนเผลอหลุดปากสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

     

              “...”

     

              “...ผมแค่...มีความสุขน่ะครับ...”

     

              “...”

     

              “...มีความสุข...มากๆเลยล่ะ”

     

              เป็นคำตอบที่ทำให้แจ็คสันหลุดยิ้มออกมา

     

              ทว่า ไม่ใช่รอยยิ้มขำเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ

     

              ไม่ใช่รอยยิ้มใจดี แบบที่ยองแจโดนแอทแทกอยู่บ่อยๆ

     

              แต่เป็น...

     

              “...พี่ก็เหมือนกัน...”

     

              รอยยิ้ม...ที่สวยที่สุด...เท่าที่ยองแจเคยเห็นมาเลยล่ะ

     

    =

     


    TBC.


    จริงๆตั้งใจจะให้เป็น SF ต้อนรับคริสต์มาสสักหน่อย แต่ไม่ทันง่ะ TT

    สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังสี่วันนะคะ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เฮงเฮง เป็นปีที่ดีกันทุดๆคนเลย เย่

    นี่ก็ครึ่งปีได้แล้วมั้งที่เปิดคลัง SF นี้มา ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน วนเวียนเข้ามาอ่านเป็นครั้งเป็นคราว เเม้เราจะอัพช้าเหมือนเต่าก็ตามที (ฟิคเรื่องยาวก็เช่นกัน ฮือ) ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน เป็นกำลังใจด้วยกันมาตลอดนะคะ กำลังใจของคุณ มีค่ากับเราเสมอค่ะ รักๆ <3


    เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า ^^

    ? themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×