คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [SF] Little Thing : EP 1 | JackJae
A Lot Like Love : Baek A Yeon
*******************************************************
Little Thing
Little Thing
เชื่อไหม?
เรามักจะตกหลุมรักใครจากความประทับใจเล็กๆน้อยๆ
และมองว่าเขาน่ารักตลอดเวลาที่ได้เจอกัน
Reply Retweet Like
**เครดิตข้อความ @jomeynoyy
**
ประโยคสั้นๆจากแอพลิเคชั่นยอดฮิตอย่างทวิตเตอร์
ทำเจ้าของโทรศัพท์มือถือที่ทีแรกตั้งใจแค่จะไถทามไลน์เล่นๆแก้เบื่อถึงกับต้องชะงักไปเลยครู่หนึ่ง
มือข้างที่ถือโทรศัพท์เผลอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ก่อนคนตัวเล็กจะตัดสินใจเลื่อนผ่านไป
ปล่อยให้ข้อความเมื่อครู่ไหลผ่านทามไลน์ไปเช่นเดียวกับข้อความอื่นๆ
...และต้องไถหน้าจอกลับมาหาข้อความเดิมอีกครั้ง...
ความรู้สึกย้อนแย้งที่เจ้าตัวคุ้นเคยดีตีตื้นขึ้นมาในอก
คราวนี้มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนแทบจะปาโทรศัพท์ในมือทิ้งถ้าไม่ติดว่ามันแพงและเขายังหาเงินเองไม่ได้
อึดอัดจนจะร้องไห้...แต่กลับไม่มีน้ำตาออกมาสักหยด
มีความสุขจนตัวลอย...แต่กลับไม่มีรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“เฮ้อ
เอาอีกแล้วนะยองแจเอ้ย ตั้งสติๆๆๆๆ”
เสียงใสพร่ำบ่นกับตัวเองเบาๆราวกับกลัวใครจะมาได้ยินเข้าทั้งที่กำลังนั่งอยู่ในห้องคนเดียว
มือข้างที่ว่างยกขึ้นตบแก้มตัวเองรัวๆเพื่อเรียกสติ
พอได้แล้วน่า
บ้าบอจริงๆ
ไร้สาระเปล่าๆ
อย่างเรา...ไม่มีหวังหรอก
เนอะ
J
=
“แก้มไปโดนอะไรมาน่ะ
ยองแจ?”
เจ้าของชื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านชีทเพลงเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก
ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นแนบแก้มใสที่ขึ้นสีแดงเป็นริ้วๆ
“อ...อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกยูคยอม
แหะๆ”
แน่นอนว่ายองแจเลือกที่จะตอบปัดๆไปมากกว่าจะอธิบายให้เพื่อนร่วมชมรมฟังว่ารอยริ้วแดงที่แก้มขวาเกิดจากอะไร
แหงล่ะ
ใครจะกล้าบอกกันล่ะว่าเป็นเขาเองแหละที่นั่งตบแก้มเรียกสติตัวเองอยู่ตั้งนานสองนาน
แก้มมันถึงได้เป็นรอยแดงแบบนี้
“จริงอ่ะ”
แต่เหมือนคำตอบปัดๆและรอยยิ้มแหยๆจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไหร่แฮะ
เพราะตอนนี้เจ้าของชื่อ คิม ยูคยอมกำลังทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆกัน
และหันหน้ามามองราวกับกำลังจับโกหกเขาอยู่อย่างนั้นแหละ
“น่า จริงดิ
ก็แค่ยุงกัดแล้วฉันก็เผลอไปเกาเท่านั้นแหละน่ะ”
แน่นอนว่ายูคยอมยังคงไม่เชื่อคำโกหกข้างๆคูๆของยองแจ
“นายนี่น้า...โกหกกากยังไงก็กากอย่างนั้นเลยให้ตายสิ”
คนข้างกายว่าพลางถอนหายใจเบาๆ “แต่เอาเถอะ
ถ้านายไม่สะดวกใจจะบอกฉันก็จะไม่คาดคั้นละ แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็ มาหาฉันได้เสมอ
เข้าใจป่าว”
รอยยิ้มจริงใจตามแบบฉบับคนเฟรนด์ลี่
เพื่อนเยอะของยูคยอมทำเอาคนขี้เกรงใจอย่างยองแจทำอะไรไม่ได้นอกจากเอ่ยขอบคุณเบาๆก่อนกลับไปก้มหน้าก้มตาดูชีทเพลงที่เขาดูค้างไว้ตั้งแต่เมื่อกี๊
ตาน่ะดู
แต่สมองน่ะ...บอกเลยว่าไม่อยู่ตรงนี้แล้ว
“เฮ้อ”
ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆยามสมองหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของเพื่อนร่วมชมรม
ถามว่าเป็นเรื่องไม่สบายใจมั๊ย...ก็คงใช่แหละนะ
แต่ถ้าถามว่า
จะไประบายให้ใครฟังได้มั๊ย...
เรื่องบางเรื่อง
จะไประบายให้ใครฟังสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็ไม่ได้มั๊ยเล่า!
ยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว...
“เอ้า! ถอนหายใจอยู่นั่นแหละเรา
แก่ไปอีกกี่ปีแล้วล่ะ ฮึ”
เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองถึงกับสะดุ้งเฮือก
เผลอปล่อยกองชีทที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“อ้าว! ตกใจเหรอ ขอโทษๆ
มาๆ เดี๋ยวช่วยเก็บ”
เจ้าของเสียงขี้เล่นว่าพลางค่อยๆย่อตัวลงเก็บชีทเพลงที่กระจัดกระจายเต็มพื้น
ก่อนจะค่อยๆยืดตัวขึ้นมาคืนชีททั้งหมดให้กับคนตัวเล็กที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่อ
“อ่ะ
ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ”
ชีทเพลงทั้งหมดถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า
แต่ยองแจกลับยังคงไม่ยื่นมือไปรับ
ทั้งแขนขา สมอง
และหัวใจ เหมือนจะรวมหัวกันหยุดทำงานไปชั่วขณะ
จะอ้างว่าเป็นเพราะอารามตกใจ...นั่นก็คงเป็นแค่ส่วนหนึ่ง
แค่ส่วนเล็กๆเท่านั้นแหละ
อันที่จริงแล้วน่ะนะ
แต่เป็นเพราะ...
เพราะ...
“แจ็คสัน!!!
มาช่วยกูยกแท่นดิ๊ หนักโว้ย”
เฮือก!
เสียงโวยวายของใครสักคนในชมรมเหมือนเครื่องดึงสติและร่างกายของคนตัวเล็กให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง
ยองแจเบิกตากว้าง ก่อนเอื้อมมือไปดึงกองชีทจากคนตรงหน้ามารวดเดียว
“ข...ขอบคุณครับ...รุ่นพี่”
ก่อนรีบก้าวฉับๆออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ทางเดินบนอาคารกิจกรรมในเวลาเกือบสิบโมงเช้าในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแบบนี้แทบร้างผู้คน
ก็คงจะมีแต่ชมรมประสานเสียงที่เขาเป็นสมาชิกอยู่นี่แหละมั้งที่เข้ามาทำกิจกรรมอยู่แบบนี้
“Jingle bell, Jingle bell, Jingle
all the way…”
ริมฝีปากบางฮัมเพลงที่ซ้อมมาตั้งแต่ช่วงกลางเทอมมาจนถึงตอนนี้จนเริ่มจะหลอน
มือข้างหนึ่งวางชีทเพลงไว้ที่เก้าอี้ริมทางเดิน ก่อนเดินเลยไปยังตู้กดน้ำข้างๆ
เพราะเป็นมหาวิทยาลัยคริสต์
การร้องเพลงคริสต์มาสที่โบสถ์ในละแวกมหาวิทยาลัยในช่วงเทศกาลนี้...แทบจะเรียกได้ว่าเป็นประเพณีของชมรมประสานเสียงของที่นี่เลยล่ะมั้ง
เพราะแบบนี้แหละ
ถึงต้องมาซ้อมร้องเพลงช่วงปิดเทอมแทบทุกวันแบบนี้
ถามว่าเหนื่อยมั๊ยแหรอ
แหงดิว่าเหนื่อยโคตร ต้องมาถึงมหาลัยตั้งแต่ 9 โมงเช้าทุกวัน ซ้อมเพลง ซ้อมๆ
จนถึงสี่โมงถึงจะได้ปล่อยกลับบ้าน วันเสาร์อาทิตย์เหรอก็อย่าหวังว่าจะได้พัก
เพราะนั่นเป็นวันที่เราต้องเริ่มไปร้องเพลง
ส่งความสุขให้กับศาสนิกชนตามโบสถ์ในละแวกมหาวิทยาลัย
เหนื่อยมาก
เหมือนไม่ได้ปิดเทอมเลยให้ตาย
เหนื่อย
แต่ก็
...
...ก็...
...มีความสุขดีนะ...
J
=
“เอ้า! แยกเสียงๆ
โซปราโน่ยืนทางขวา อัลโต้ทางซ้าย เบสไปยืนหลังอัลโต้นะ เทเนอร์ไปหลังโซปราโน่เลย”
/* การร้องประสานเสียง
ในที่นี้เป็นวงประสานเสียงแบบ SATB โดยนักร้องจะถูกแบ่งออกเป็น
4 แนวเสียงตามลำดับ
โซปราโน่ = เสียงสูงของผู้หญิง
อัลโต้ = เสียงต่ำของผู้หญิง
เบส = เสียงต่ำของผู้ชาย
เทเนอร์ = เสียงสูงของผู้ชาย
*/
สมาชิกกชมรมต่างกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังตำแหน่งตามแนวเสียงของตัวเองหลังได้ยินเสียงเรียกรวมของรุ่นพี่ที่เป็นวาทยกรของวง
(Conductor) อันเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการซ้อมในแต่ละวัน
การซ้อมเริ่มต้นตามแพทเทิร์นเดิมๆของมัน
วอร์มเสียงตามรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน
ก่อนค่อยเริ่มซ้อมร้องเพลงคริสต์มาสอย่างเป็นจริงเป็นจัง
กว่าจะรู้ตัวอีกที
เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงช่วงที่ทุกคนรอคอย
แหงอยู่แล้ว
พักเที่ยงยังไงล่ะ
ร้านข้าวข้างมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ร้านดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
เพราะบรรดาโรงอาหารในมหาวิทยาลัยก็พากันปิดหมด
ไอ้จะให้ยกโขยงไปกินกันในห้างก็กลัวว่ากระเป๋าสตางค์จะฉีกกันไปซะก่อน
“กินอะไรดีน้า”
ร่างเล็กเอ่ยกับตัวเองเบาๆอย่างใช้ความคิด
ไม่ใช่ว่าไม่หิวหรือว่าอะไรหรอกนะ แต่เพราะไอ้นิสัยขี้เบื่อ
นิสัยเสียข้อหลักๆของเขานี่แหละที่ทำให้ยองแจยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะกินอะไรดี
ไอ้นั่นก็เพิ่งกินไปเมื่อวาน
ไอ้นู่นก็กินซ้ำมาสามวันแล้ว ไอ้นี่ก็ชักจะเบื่อ
หงึ
“เอาข้าวผัดกิมจิครับ”
อย่าเข้าใจผิดล่ะ
นั่นไม่ใช่เสียงของยองแจหรอกนะ
“โอเคจ้า
มีใครเอาอะไรอีกมั๊ยลูก”
เสียงของคุณป้าเจ้าของร้านข้าวลอยเข้ามาในหู
ในฐานะคนที่ยังไม่ได้สั่งอะไรสักอย่าง
ยองแจควรจะรีบหันไปให้ความสนใจกับป้ายเมนูที่ผนังร้าน เพื่อจะได้รีบๆตัดสินใจ
สั่งข้าวไปสักที
แต่สายตาเจ้ากรรมกลับไม่ทำตามนี่สิ
เพราะตอนนี้
สายตาของยองแจกลับจับจ้องไปที่ใครอีกคน
ใครอีกคน
ที่นั่งอยู่ริมสุดอีกด้านของโต๊ะ
ใครอีกคน ที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นกล้อง DSLR ของตัวเอง
ใครอีกคน...ที่เพิ่งสั่งข้าวผัดกิมจิไปเมื่อครู่
“เอาข้าวผัดกิมจิอีกที่นึงด้วยครับ”
=
“เอากล้องไปด้วยทุกที่เลยนะเฮียแจ็ค”
รุ่นน้องตัวสูงโย่งเอ่ยทักแจ็คสันที่กำลังนั่งเช็ครูปในกล้องระหว่างรออาหาร
ยอมรับในฐานะรุ่นพี่ที่เตี้ยกว่ามันเกือบสิบเซนติเมตรลยว่า โคตรเสียเซลฟ์
เด็กปีหนึ่งห่าอะไร
สูงตั้งร้อยแปดสิบ กูอีกเทอมเดียวก็จะจบอยู่แล้ว ร้อยเจ็ดสิบห้ายังไม่ถึงเลย โธ่!
“เป็นตากล้อง
ก็ต้องเก็บภาพแบบทุกโมเม้นต์ดิวะ
มึงนี่ไม่เข้าถึงความเป็นอาร์ตทิสเลยจริงๆว่ะไอ้ยูค”
หันไปตอบรุ่นน้องที่นั่งข้างๆด้วยท่าทางกวนติงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวก่อนกดปิดกล้องที่ตนเช็ครูปค้างเอาไว้เมื่อครู่
“ตอนกินก็อาร์ตทิสด้วยเหรอวะเฮีย”
“ช่ายยยย
ตอนกินนี่แหละเด็ดสุด”
“ทำไมวะเฮีย”
“ก็ภาพเวลากินแม่
งจะเหี้ ยสุดไง ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังหลังเห็นว่ากระแสตอบรับที่ได้คือนิ้วกลางแบบเน้นๆของรุ่นน้อง
เช่นเดียวกับเสียงด่าแบบขำๆจากเพื่อนร่วมโต๊ะที่นั่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่
ถึงจะพูดไปขำๆแบบบนั้น
แต่ก็ถ่ายจริงนะเออ
รูปเหี้ ยจริงด้วย
อันนี้ยืนยัน ฮะๆ
“เฮียแม่ ง โคตรเหี้
ยอ่ะ แค่รูปเหี้ ยๆของผมที่เฮียจงใจถ่ายตอนซ้อมยังไม่พออีกอ่อ”
“ก็กูเป็นคนถ่ายนี่หว่า
ช่วยไม่ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
หันไปหัวเราะใส่หนึ่งในรุ่นน้องที่โดนเขาทำร้ายผ่านรูปภาพไปเยอะที่สุดคนหนึ่ง
ก่อนบทสนทนาจะถูกตัดจบไปหลังอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
และแน่นอน
งานของแจ็คสันก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นภาพตอนข้าวกำลังจะเข้าปาก
ภาพตอนกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ว่าสภาพคุณจะแย่แค่ไหน
รับรองว่าตากล้องแจ็คสันเก็บหมดทุกเม็ดแน่นนอน
แหม่! อย่าเพิ่งมองเขาในแง่ร้ายแบบนั้นดิ
การถ่ายรูป
ก็ถือเป็นการเก็บความทรงจำในอีกรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือไง
ไม่ว่าคนในรูปจะสวยหรือน่าเกลียด
ตราบเท่าที่เวลาผ่านไป อย่างน้อยมันก็เหมือนเป็นหลักฐานว่าในวันนี้
เราได้ใช้ชีวิตอยู่ และมีความสุข...แบบนี้
ส่วนไอ้เรื่องเอาไปซูม
แกล้งกัน...ก็ถือเป็นผลพลอยได้ก็แล้วกันเนอะ
“ข้าวผัดกิมจิจ้า”
“ของผ...”\ “ของ...”
เพราะเสียงที่ดังขึ้นตอบคุณป้าเจ้าของร้านไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว
พอมองดูถึงได้เห็นว่ายังมีใครอีกคนที่นั่งอยู่ริมสุดอีกฟากหนึ่งของโต๊ะสั่งเมนูเดียวกันกับเขา
อา...เด็กขี้ตกใจคนนั้นนั่นเอง
“เอาให้น้องก่อนเลยครับ”
เหมือนเป็นอัตโนมัติในฐานะคนเป็นรุ่นพี่
มือที่เคยยกขึ้นเพื่อเรียกคุณป้าเมื่อครู่ กลับกลายเป็นผายออกไปทางร่างเล็กที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะพร้อมรอยยิ้ม
“กินก่อนเลย
พี่ยังไม่ค่อยหิว...รอแป๊บเดียวเอง”
เอ่ยย้ำกึ่งบังคับให้เด็กขี้ตกใจคนนั้นยอมกินข้าวผัดกิมจิจานนั้นสักทีหลังเห็นนั่งยึกยือ
ลังเลอยู่อย่างนั้นมาครู่หนึ่ง
“อ...แต่...”
แชะ!
เสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาถูกขัดด้วยเสียงชัตเตอร์จากกล้อง
DSLR ของรุ่นพี่แก่สุดคนหนึ่งในชมรม
แจ็คสันโผล่หน้าออกมาจากหลังกล้องก่อนส่งรอยยิ้มทะเล้นไปทางเด็กขี้ตกใจคนนั้น
“ถ้าไม่รีบกิน
ได้โดนรูปน่าเกลียดเยอะแน่ นับสาม สอง...”
แจ็คสันหยุดนับ หลังเห็นว่าเด็กรุ่นน้องคนนั้นรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดกิมจิแล้ว
ก้มหน้าก้มตาจริงๆนะ
เพราะหลังจากนั้นตลอดมื้ออาหาร เขาก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นอีกเลยล่ะ
สงสัยจะกลัวโดนถ่ายรูปจริงๆแฮะ ฮะๆ
นอกจากขี้ตกใจแล้ว
ยังขี้เกรงใจขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เด็กคนนี้
“ไปห้องน้ำป่าวยองแจ”
“หืม...เอ่อ...ไปสิ
ไปๆๆๆ แบมแบมรอเราด้วย”
กว่าจะรู้ตัว
สายตาของแจ็คสันก็หันมองตามเด็กปีหนึ่งคนนั้นไปจนลับตา
นิ้วมือกดเลื่อนรูปในกล้อง
DSLR ของตัวเอง
ก่อนจะหยุดอยู่ที่ภาพภาพหนึ่ง
เป็นภาพที่...ถ้าเจ้าของภาพมาเห็นนี่
คงได้มีการตบตีเขาแน่ๆ เพราะในภาพ เจ้าตัวเขากำลังอ้าปากหวอเลยล่ะ
คงเพราะกำลังจะพูดอะไรสักอย่างอยู่พอดีล่ะมั้ง
“ยอง...แจ...”
ชายหนุ่มกดปิดสวิตซ์กล้อง
แต่เขากลับไม่สามารถกดปิดสวิตซ์รอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองได้เลย
แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
=
ล่วงเลยมาเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงปิดเทอมฤดูหนาวแล้ว
แต่การซ้อมเพลงก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ยองแจยังคงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปถึงห้องชมรมให้ทันเก้าโมง
และกลับไปนอนสลบที่บ้านตอนเย็นเหมือนทุกวัน
ที่ต่างออกไปก็คงจะเป็น...พรุ่งนี้เป็นวันแรกที่จะต้องร้องจริงล่ะมั้ง
“คอแห้งกันจะแย่แล้วสิ
พักสิบห้านาทีแล้วกันนะครับ”
ไม่ได้โกหกนะ
แต่ยองแจเหมือนเห็นแทบทุกคนตัวแฟบเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมเลยล่ะ
อาจเพราะทั้งความเหนื่อยจากการยืนร้องเพลงติดต่อกันมาชั่วโมงกว่า
แถมพี่จินยองที่เป็นวาทยกรก็แสนจะโหดซะขนาดนั้น
ถึงจะไม่เคยดุสมาชิกในชมรมเลยสักครั้ง
แถมยังชอบยิ้มใจดีแบบนี้ก็เถอะนะ แต่เชื่อเถอะ สายตาเวลาจริงจังของพี่จินยองน่ะ
น่ากลัวกว่าเวลาพวกคุณครูฝ่ายปกครองคลั่งอีก อันนี้ยองแจคอนเฟิร์ม
“อ่า...ร้องว่ายังไงนะท่อนนี้”
หลังนั่งพักจนหายเหนื่อย
ชีทเพลงที่ตอนนี้ถูกเก็บใส่แฟ้ม
แก้ปัญหาชีทกระจายแล้วก็ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งโดยคนตัวเล็ก
สายตาจับจ้องไปยังโน้ตท่อนที่ตนยังไม่มั่นใจพลางลองฮัมออกมาตามคีย์
ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเพราะเสียงที่ได้กลับออกมาประหลาดเกินกว่าจะเป็นไลน์เสียงประสาน
“อย่าลืมตัวชาร์ปตรงนี้สิ”
/* ชาร์ป (#) คือ ระดับเสียงที่สูงกว่าปกติครึ่งเสียง*/
นิ้วเรียวของใครบางคนจิ้มเข้ามาที่ชีทเพลงพร้อมกับเอ่ยเบาๆมาจากด้านหลัง
ทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก รีบหันหน้ากลับไปหาเจ้าของเสียงจนไม่ทันระวัง
โป๊ก!
และหัวโขกกับเจ้าของเสียงเมื่อครู่อย่างจังๆ
“...ขอโทษครับ...พ...พี่แจ็คสัน...”
ปลายเสียงแผ่วลงไปทันทีที่เห็นเต็มสองตาว่าคนข้างกายคือใคร
หัวใจที่เต้นแรงเพราะอารามตกใจเมื่อครู่เหมือนจะหยุดเต้นไปเฉยๆซะอย่างนั้น
เหมือนกับ...ตอนที่เขาตกใจจนทำชีหล่นเมื่อวันนั้น
เหมือนกับ...ตอนที่พี่แจ็คสันยกข้าวผัดกิมจิให้เขากินก่อน
เหมือนกับ...ตอนนั้น
ครั้งแรก...ที่ได้เจอกัน
วันที่ยองแจเดินเอ๋อๆเข้ามาในชมรม
ก่อนจะยิ่งเอ๋อกว่าเดิมหลังเจอแอทแท็กจากรอยยิ้มและสายตาคู่นั้น
จะหาชอบคนง่ายก็ไม่โกรธหรอกนะ
เพราะหลังจากวันนั้น...ยองแจก็ไม่สามารถละสายตาจากคนที่มักสะพายกล้องไปไหนมาไหนตลอดเวลาไปได้เลย
“เฮ่ย! ฮัลโหล
ได้ยินที่พูดหรือเปล่าเนี่ย...ชเว ยองแจ?”
“คร...ครับ!...เอ่อ
รุ่นพี่แจ็คสัน”
หัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปเมื่อครู่กลับมาทำงานอีกครั้งหลังได้ยินเสียงเรียกจากอีกฝ่าย
ยังคงจับจ้องคนอายุมากกว่าที่กำลังย้ายตัวเองมานั่งข้างๆกันอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตา
“ตรงนี้ร้องอย่างนี้ไง
Noel, noel...”
การมีคนมาสอนท่อนที่ยังร้องไม่ได้แบบตัวต่อตัวแบบนี้
บอกเลยว่าไม่ได้ช่วยอะไรกันเลยสักนิด
คงต้องขอโทษพี่จินยองล่วงหน้าแล้วล่ะ
ดูท่า...คงอีกนานกว่ายองแจจะร้องท่อนนี้ได้
ไม่สิ
คงอีกนานเลยล่ะ...กว่ายองแจจะเรียกเอาสติที่ลอยไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมา
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
อา
ไอ้หัวใจบ้านี่ก็ทำงานดีเหลือเกิน...ออกจะดีเกินไปแล้วด้วยซ้ำ
ให้ตายเถอะ
“...ร้องแบบนี้แหละ
เก็ทขึ้นมั๊ย”
“...”
“...ฮัลโหล
ได้ฟังมั๊ยเนี่ย เฮ้!”
“ค...ครับ...ครับรุ่นพี่...
อ่า...ขอบคุณมากนะครับ...”
ผงกหัวให้กับคนข้างกายสองสามทีแทนคำขอบคุณ
ทั้งที่จริงๆแล้วเขาไม่ได้ฟังเลยสักนิดว่าท่อนนี้จริงๆแล้วมันร้องยังไง
เอาเป็นว่า ขอบคุณที่ในที่สุด
รุ่นพี่ก็เขยิบตัวออกไปห่างๆกันสักที
ไม่อย่างนั้น
อาจมีเด็กชมรมถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะหัวใจทำงานหนักเกินไปก็ได้
ยองแจลอบถอนหายใจออกมาเบาๆหลังคนอายุมากกว่าลุกขึ้นเดินจากไป
ยอมรับเลยว่าโล่งใจเป็นบ้า
แต่อีกใจ...ก็อยากให้ช่วงเวลาแบบเมื่อครู่ยืดออกไปอีกนานแสนนาน
“ไอ้เหี้ ยแจ็ค! หน้ากรู๊วววว
ลบเดี๋ยวนี้นะเว้ยยยยยยยยยยย”
เสียงหัวเราะเบาๆหลุดออกมาจากลำคอหลังเห็นตากล้องประจำชมรม
คนใจดีที่เข้ามาสอนเขาร้องเพลงเมื่อครู่นี้ กำลังโดนเพื่อนรุ่นเดียวกันวิ่งไล่เตะ
ข้อหาก็คงไม่พ้นไปถ่ายรูปน่าเกลียดๆของเขาไว้แน่ๆ
ไม่ใช่แค่ยองแจหรอกนะที่กำลังหัวเราะ...คนอื่นๆในชมรมก็เช่นกัน
ใช่แล้วล่ะ
พี่แจ็คสันน่ะ...เป็นเหมือนพระอาทิตย์เลยล่ะ
ทั้งสว่าง สดใส
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบตัวได้ตลอดเวลา
แล้วก็...ยังใจดีอีกด้วย
ใจดี...มากๆเลยล่ะ
J
=
“เอ้า
ใครอยากแว๊นท้ายกระบะ ทางนี้เลย”
น่าแปลก
ทั้งที่เป็นช่วงเวลาสามทุ่มกว่ากลางฤดูหนาวแบบนี้
แต่หลายๆคนในชมรมกลับรีบสิ่งกรูกันไปยังรถกระบะของรุ่นพี่แจบอม
อย่างกับลืมไปว่าอากาศตอนนี้มันหนาวเข้ากระดูกขนาดไหนอย่างนั้นล่ะ
ทั้งหมดนี่เป็นความคิดของคนตัวเล็กที่กำลังถูมือทั้งสองข้างใต้ถุงมือเข้าด้วยกันเพราะความหนาว
ถ้าไม่ติดว่าโบสถ์ที่ต้องมาร้องเพลงในวันนี้เลิกดึกล่ะก็นะ
ยองแจไม่มีทางออกมาข้างนอกในคืนที่อากาศหนาวจนจะแข็งแบบนี้หรอก
ป่านนี้
เขาคงนอนอุดอู้อยู่ใต้ผ้าห่ม
ถ้าไม่กดโทรศัพท์ก็คงนอนดูหนังสักเรื่องจนง่วงไปแล้วล่ะ
“ยองแจกลับไงอ่ะ”
ยูคยอมที่เดินอยู่ข้างๆกันถามขึ้น
“อา...รถไฟใต้ดินล่ะมั้ง”
คนตัวเล็กว่าพลางใช้ความคิด
ปกติ
จากโบสถ์แห่งนี้เดินไปสถานีรถไฟใต้ดินก็ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินสักสิบห้านาทีก็ถึง
แต่พอเป็นตอนกลางคืน แถมยังหนาวจับใจขนาดนี้ สงสัยคงต้องยอมเปลืองเงิน
เรียกแท็กซี่ซะแล้วล่ะมั้ง
“เฮ้ย ทางเดียวกันๆ
ไปด้วยกันป่าว” ยูคยอมว่าก่อนชี้ไปยังรถกระบะคันใหญ่ของรุ่นพี่แจบอม
“เห็นพี่แจบอมแกบอกว่าจะขับไปหย่อนให้แถวรถไฟใต้ดินด้วยนะ ไปด้วยกันดิ นั่งหลายๆคน
ได้บรรยากาศดีออก”
“อ่า...คือว่า...”
คนตัวเล็กพึมพำเสียงเบาในลำคอ
สมองแล่นหวือคิดหาข้ออ้างปฏิเสธเพื่อนตัวสูงร่วมชมรม
นั่งท้ายกระบะกันหลายๆคนตอนกลางคืนแบบนี้
ได้บรรยากาศดีจริง อันนี้ยองแจไม่เถียงหรอกนะ แต่ประเด็นคือมันหนาวนี่สิ...
“เฮ้ย!!! ไอ้ยูค!! ตกลงจะมามั๊ย!”
เสียงตะโกนของใครบางคนดึงให้คนตัวเล็กหลุดจากห้วงความคิด
เผลอสะดุ้งเฮือกหันไปตามเสียงโดยอัตโนมัติถึงเจ้าของเสียงนั้นจะไม่ได้เรียกตัวเองก็เถอะ
“ไอ้ยูคโว้ยยย”
“แป๊บนึงโว้ยเฮียแจ็ค!!”
ยูคยอมตะโกนตอบกลับไปเสียงดังล่น
ก่อนหันกลับมามองเพื่อนตัวเล็กที่ทำท่าไม่ค่อยอยากตอบตกลงสักเท่าไหร่
“น้า ไปเหอะยองแจ
น้าๆๆ”
“อื้ม ไปดิ”
สิ้นเสียงตอบตกลง
ยองแจก็แทบจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางรถกระบะของรุ่นพี่แจบอมที่จอดรออยู่
เดินไปถึงเร็วกว่ายูคยอมที่เป็นคนชวนเสียอีก
“ไหงตกลงง่ายๆแบบนี้เฉยเลยอ่ะ
ทีเมื่อกี๊ยังทำท่าเหมือนไม่อยากไปอยู่เลย”
เป็นประโยคที่ยูคยอมได้แต่บ่นกับตัวเองเบาๆขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเพื่อนรุ่นเดียวกันไปยังรถกระบะที่สตาร์ทเครื่องรออยู่ได้สักพักแล้ว
แน่นอน
ยูคยอมไม่รู้หรอก
ไม่รู้...ว่ายองแจตัดสินใจว่าจะไปตั้งแต่ได้ยินเสียงใครอีกคนตะโกนเร่งมาจากรถกระบะคันนั้นแล้วล่ะ
สำหรับคนขี้หนาวอย่างยองแจ
บอกเลยว่าการนั่งท้ายกระบะ รับลมเย็นค่อนไปทางแข็งตอนเหยียบสี่ทุ่มแบบนี้
เป็นอะไรที่ทรมานโคตร
“หนาวจัง”
เสียงใสพึมพำกับตัวเองเสียงเบาพลางสอดมือเข้าในแขนเสื้อโค้ท
โชคดีที่ท้ายรถกระบะนี้มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น
ทำให้แต่ละคนต้องนั่งเบียดกันจนแทบเกยตัก ช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้นิดหน่อย
“เอ้า
อย่ามัวแต่นั่งแข็ง ยิ้มหน่อยๆ”
แชะ
ยองแจมั่นใจว่านี่ต้องเป็นอีกรูปที่หน้าเขาทุเรศแน่ๆ
อย่าว่าแต่ยิ้มเลย
ทำให้ปากหยุดสั่นยังยากเลยเถอะพี่แจ็คสัน ฮือ
“ถ่ายไรตอนนี้อ่ะพี่แจ็คสัน
หนาวจนจะแข็งแบบนี้ จะให้เก๊กสวยได้ไงเล่า”
ฮเยจิน
เพื่อนร่วมชะตากรรมแข็งเป็นหมู่คณะบนท้ายกระบะบ่นออกมาเสียงดังจนคนรอบข้างหัวเราะครืน
แน่นอนว่าคนหัวเราะดังที่สุดคงจะเป็นตากล้อง เพราะหน้าตัวเองไม่ได้อยู่ในรูปนี่นา
“ไม่เก๊กก็สวยน่าเจ๊
หน้าแน่นขนาดนี้”
“ย่าห์! คิม ยูคยอม! หน้าแน่นอะไรกันยะ ออกจะใสๆ”
หญิงสาวว่าพลางย่นจมูกใส่หนุ่มรุ่นน้อง
ก่อนจะกลับไปนั่งกอดเข่าแทบไม่ทันเมื่ออยู่ดีๆลมหนาวๆก็พัดเข้ามาอีกเฮือกใหญ่
“โอยยยย
หนาวววววววว”
“แจบอมโว้ย
ขับเร็วๆหน่อยดิ๊ กรูหนาวววว”
“ตาโง่! ยิ่งขับเร็วก็ยิ่งหนาวสิยะ! หน้าฉันจะมีน้ำแข็งเกาะอยู่แล้วเนี่ย!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งหลังการปะทะฝีปากของคนบนท้ายกระบะ น่าแปลกว่าทั้งๆที่หนาวออกขนาดนี้
แต่ทุกคนกลับมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
ยองแจก็ด้วย
ดีใจจังที่ตัดสินใจขึ้นรถมา
ถ้าไม่ขึ้น
ป่านนี้เขาก็คงกำลังเดินกลับบ้านคนเดียว ใส่หูฟัง
อยู่ในโลกของเสียงเพลงอยู่คนเดียว
คนเดียว...ในโลกที่มีแต่เขาเพียงคนเดียว
คงไม่ได้มานั่งยิ้ม
มาหัวเราะอยู่แบบนี้
ดีจัง
“ยองแจๆ”
“อะไรเหรอยูคยอม”
แชะ
ทั้งๆที่แค่ตั้งใจหันกลับไปหาเพื่อนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
แต่ทันทีที่หันไป สายตาก็ป๊ะเข้ากับกล้อง DSLR เป๊ะจนอย่างกับว่าคนถ่ายกำลังรอเวลานี้อยู่อย่างนั้นล่ะ
“รุ่นพี่!!”
ร้องประท้วงเสียงดังทันทีที่รู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย
ลืมตัวไปชั่วขณะว่าคนที่อยู่หลังกล้องเป็นใคร จนเจ้าของกล้องลดกล้องในมือลงนั่นล่ะ
เผลอเม้มปากแน่น
แทบกลั้นหายใจกันเลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะรู้สึกไม่ดีที่โดนถ่ายหน้าเหวอ
หรือเพราะคนหลังกล้องกันแน่
ไม่หรอก อันที่จริง...ยองแจรู้คำตอบอยู่แก่ใจอยู่แล้วนั่นล่ะ
“เอ้า
ถึงแล้วครับเพื่อนๆน้องๆ เชิญเสด็จ ย้ายก้นลงมาได้แล้วครับ”
ใช้เวลาไม่นานก็ถึงสถานีรถไฟใต้ดิน
โค้งขอบคุณพี่แจบอมที่ใจดีขนน้องๆมาส่งถึงที่อยู่ครู่หนึ่งก่อนรถกระบะคันใหญ่จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป
“ฉันต้องไปขึ้นรถไฟสาย
1 มีใครไปทางนี้มั๊ย”
“ผมไปปปนูน่า”
“ย่าห์
นี่นายอีกแล้วเหรอคิม ยูคยอม ให้ตายเหอะ นี่นายจะตามฉันไปทุกที่เลยเหรอ
ตามจีบฉันหรือไงยะ”
“เปล่าสักหน่อย
นูน่าอย่ามโนดิ ก็บ้านผมอยู่ทางนั้นอ่ะ”
“ย่าห์”
“เอาน่าๆ
อย่าเพิ่งทะเลาะกันดิ๊” รุ่นพี่คนหนึ่งที่ยองแจจำชื่อไม่ได้เอ่ยขึ้น
ห้ามทัพพี่ฮเยจินกับยูคยอมที่ดูจะแง่งๆกันมาตั้งแต่อยู่บนรถ
“มีใครไปทางไหนอีกมั๊ย”
สองสามเสียงที่แสดงตัวว่าต้องกลับทางไหนทำให้ยองแจรู้ตัวว่าเหลือแค่เขาคนเดียวที่ต้องนั่งรถไฟสาย
4 กลับบ้าน
“กลับคนเดียวก็กลับดีๆนะ
ดูแลตัวเองด้วย”
“ครับรุ่นพี่
ผมก็ผู้ชายนะ ฮะๆ”
เอ่ยกลั้วหัวเราะกับรุ่นพี่คนหนึ่งในชมรม
ก่อนโบกมือลาคนอื่นๆและเดินแยกออกมาเพื่อไปขึ้นรถไฟสายที่ต้องไป
ก็...เหงานิดหน่อยเหมือนกัน
สงสัยว่า
จะชินกับการที่รอบตัวมีแต่เสียงหัวเราะของคนในชมรมไปแล้วล่ะมั้ง ฮะๆ
...
“เฮ้อ”
ถอนหายใจออกมาเบาๆพลางหยิบหูฟังออกมาจากกระเป๋า
จุดจบของการเดินทางคนเดียว
ก็คงจะเป็นหูฟังเนี่ยแหละนะ
ทว่า
ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะได้ใส่หูฟัง
สัมผัสเบาๆที่ไหล่ข้างซ้ายก็ดึงให้เจ้าตัวหยุดเดินและหันไปมองด้วยความตกใจเข้าเสียก่อน
!!!
“ไปด้วย”
และตกใจยิ่งกว่า
เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาสะกิดไหล่เมื่อครู่เป็นใคร
ชานชาลาไร้ผู้คนว่าเงียบสนิทแล้ว
ยองแจกลับรู้สึกว่าตอนนี้มันทั้งเงียบ และชวนอึดอัดมากกว่าปกติอยู่หลายเท่าตัว
ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่คนเดียวแท้ๆ
“บ้านอยู่โซนนั้นเหรอ”
เฮือก!
เผลอสะดุ้งเฮือกจนโทรศัพท์ในมือเกือบหล่น
ใบหน้าน่ารักหันไปมองคนข้างกายด้วยท่าทางที่ไม่บอกก็รู้ว่าประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“ค...ครับ...”
แน่นอนว่านั่นทำให้หวัง
แจ็คสันหลุดขำออกมาเบาๆ
“เฮ้ย
ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ พี่ไม่กัดหรอกน่า ฮะๆ”
ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกนะครับรุ่นพี่
เป็นประโยคที่ยองแจได้แต่คิดอยู่ในใจ
ร่างเล็กได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด พร่ำบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าใจเย็นๆ
ไม่เป็นไร หายใจเข้าลึกๆ
ฮือออออ
จะบ้าตายอยู่แล้วนะ ให้ตายเถอะ
“รถไฟมาแล้วนะ”
เป็นอีกครั้งที่ยองแจเผลอสะดุ้ง
ถึงจะไม่แรงเท่าครั้งก่อน
แต่ก็แรงพอที่จำให้คนข้างกายรู้ตัวและหลุดขำออกมาเบาๆอีกครั้ง
ฮือ
เป็นบ้าอะไรนะชเว ยองแจ ตั้งสติสิตั้งสติ
เพราะเป็นเวลาสี่ทุ่มนิดๆแล้ว
ขบวนรถไฟถึงได้โล่ง แทบไม่มีคน อันที่จริง
เหมือนในตู้นี้จะมีผู้โดยสารแค่รุ่นพี่แจ็คสันกับยองแจแค่สองคนเองล่ะมั้ง
จำเป็นต้องเป็นใจขนาดนี้มั๊ยอ่ะ
ได้อยู่กับคนที่ชอบมันก็ดีอยู่หรอก
แต่ช่วยส่งคนอื่นมาอยู่ด้วยเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไงนะ เขินจะแย่อยู่แล้ว
“เงียบจังเลยนะ
ฮะๆ” เป็นคนข้างกายที่อยู่ดีๆก็พูดขึ้นมา “เป็นคนเงียบๆเหรอเรา”
“ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
ยองแจว่า ยังคงติดความเกร็งอยู่ในน้ำเสียงอย่างห้ามไม่ได้ “พออยู่กับคนที่ไม่ค่อนสนิท
ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนะครับ ก็เลย...เงียบๆไว้ดีกว่า”
“อา...งั้นแปลว่าเรากับพี่ก็ยังไม่สนิทกันมากพออ่ะดิ”
ประโยคที่พูดสวนกลับมาแทบจะในทันทีทำให้ยองแจแทบจะเป็นไบ้
ไม่รู้จะตอบคนข้างกายว่ายังไงดี
ถ้าตอบว่าใช่...มันจะเสียมารยาทหรือเปล่านะ
แต่ถ้าตอบว่าสนิท
มันก็ไม่ใช่อีกอ่ะ
ทำยังไงดีอ่ะ
ฮือ
“งั้น...”
แจ็คสันลากเสียงยาวพลางหันไปสบตากับคนอายุน้อยกว่าข้างกาย
“เรามาสนิทกันให้มากขึ้นกว่านี้ดีมั๊ย”
ฮะ
“พี่อยากเห็นเราเวอร์ชั่นพูดมากอ่ะ
เพราะงั้นเรามาสนิทกันเถอะ”
นี่ยองแจหูฝาดไปหรือเปล่า
ยิ่งกว่าเป็นไบ้
คือการอ้าปากค้างกลางอากาศ แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำนี่แหละ
“อ่า...หรือว่าไม่อยากสนิทกับพี่...”
“ม...ไม่ใช่นะครับรุ่นพี่...ไม่ใช่ๆ...”
คนตัวเล็กรีบปฏิเสธคนข้างกายเป็นพัลวัน
ดวงตากลมดูตื่นซะจนคนขี้แกล้งหลุดยิ้มขำเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้
“งั้นมาสนิทกัน
โอเคนะ ต่อไปนี้เวลาไปชมรม ถ้าเจอพี่ต้องทักด้วย พี่ก็จะทักเราเหมือนกัน
จะได้คุยกันไง ตกลงนะ”
เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
แถมยังมีรอยยิ้มจนตาปิด แอทแทกแบบเดียวกับที่ยองแจเคยได้รับในวันที่เขามาห้องชมรมเป็นครั้งแรกแบบนี้
“ตกลง...ครับ...”
ถึงได้หลุดปากรับคำคนข้างกายอย่างว่าง่ายไปซะอย่างนั้นยังไงล่ะ
“งั้น...เริ่มต้นการสนิทกันของเราด้วยการให้พี่ไปส่งที่สถานีนะ
พี่ต้องไป...อืม...ไปซื้อของแถวนั้นนิดหน่อยน่ะ”
ถ้ายองแจมีสติมากกว่านี้อีกสักหน่อย
คงฉุกคิดไปแล้วว่าพี่แจ็คสันจะมาซื้อของบ้าอะไรตอนเกือบสี่ทุ่มครึ่งแบบนี้
แต่ไม่มีสติไง
“ค...ครับ...รุ่นพี่”
“เฮ้อ
สงสัยว่าแผนสร้างความสนิทของเรานี่คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยล่ะมั้งเนี่ย” แจ็คสันว่า
ก่อนใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากมนทีหนึ่ง
“พูดคำอื่นนอกจากครับรุ่นพี่เป็นบ้างมั๊ยเนี่ย ฮึ ฮะๆ”
ศีรษะทุยเงยไปด้านหลังเล็กน้อยตามแรงดัน
ก่อนเจ้าตัวจะได้แต่ยิ้มแหะให้กับคนข้างกาย
มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
เหมือน...ฝันไปเลย
ถ้าเผลอกระพริบตา
จะตื่นจากความฝันนี้หรือเปล่านะ
“หืม...ทำไมมองงั้นอ่ะ
หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ”
เพราะเสียงทักของคนตรงหน้า
ทำให้ยองแจหลุดจากภวังค์และเผลอกระพริบตา
อยู่ดีๆหัวใจดวงน้อยก็กระตุกวูบ
ด้วยกลัวว่าภาพตรงหน้าจะสลายไปเป็นเพียงความฝันอย่างความคิดที่แว้บเข้ามาในหัวเมื่อครู่
มัน...ดีเกินไป
มีความสุขเกินไป
จนเหมือน...ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง
แต่ภาพใครอีกคนที่กำลังจ้องกลับมาด้วยแววตาสงสัย
เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าชเว ยองแจไม่ได้แค่ละเมอ ฝันไป
“ป...เปล่าครับ...รุ่นพี่...แหะๆ”
“...”
“...ผมแค่...”
คนตัวเล็กลากเสียง หันไปยิ้มให้กับคนข้างกายแบบไร้ความประหม่าเป็นครั้งแรกของวัน
ก่อนเผลอหลุดปากสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
“...”
“...ผมแค่...มีความสุขน่ะครับ...”
“...”
“...มีความสุข...มากๆเลยล่ะ”
เป็นคำตอบที่ทำให้แจ็คสันหลุดยิ้มออกมา
ทว่า
ไม่ใช่รอยยิ้มขำเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ
ไม่ใช่รอยยิ้มใจดี
แบบที่ยองแจโดนแอทแทกอยู่บ่อยๆ
แต่เป็น...
“...พี่ก็เหมือนกัน...”
รอยยิ้ม...ที่สวยที่สุด...เท่าที่ยองแจเคยเห็นมาเลยล่ะ
=
TBC.
จริงๆตั้งใจจะให้เป็น SF ต้อนรับคริสต์มาสสักหน่อย แต่ไม่ทันง่ะ TT
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังสี่วันนะคะ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง เฮงเฮง เป็นปีที่ดีกันทุดๆคนเลย เย่
นี่ก็ครึ่งปีได้แล้วมั้งที่เปิดคลัง SF นี้มา ขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ด้วยกัน วนเวียนเข้ามาอ่านเป็นครั้งเป็นคราว เเม้เราจะอัพช้าเหมือนเต่าก็ตามที (ฟิคเรื่องยาวก็เช่นกัน ฮือ) ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน เป็นกำลังใจด้วยกันมาตลอดนะคะ กำลังใจของคุณ มีค่ากับเราเสมอค่ะ รักๆ <3
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า ^^
ความคิดเห็น