ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #9 : [SF] My Old Story : EP 3 | JackJae

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 59




    My Old Story By IU


    Edit : แก้ไข แชทครั้งสุดท้ายที่พี่จั๋นน้องแจคุยกัน แก้จากกปี 2011 เป็น 2010 นะคะ เราลำดับเวลาผิดเองค่ะ TT



    *****************************************************************************************************


    Episode 3


    In the time when we were apart




     





     

              ผมตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกเหงานิดหน่อย

     

    เสียงปลุกของแม่ถูกแทนที่ด้วยเสียงนาฬิกาปลุกแบบพื้นๆจากโทรศัพท์มือถือ ถึงจะดังแสบแก้วหูและมีประสิทธิภาพในการปลุกคนขี้เซาอย่างผมมากกว่าเสียงนุ่มๆของแม่ แต่เชื่อเถอะ ผมชอบอย่างหลังมากกว่าเป็นไหนๆ

     

    เป็นเช้าวันที่ห้าแล้วหลังจากที่ผมตัดสินใจออกมาอยู่คอนโดคนเดียว สำหรับคนที่อยู่กับพ่อกับแม่มาเกินครึ่งชีวิตแบบนี้...มันก็ปรับตัวยากอยู่เหมือนกันนะ

     

    ผมสะบัดหัวไล่ความง่วงอยู่สองสามครั้งก่อนเดินเซๆไปเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาอยู่ในนั้นไม่เกิน 15 นาทีก่อนออกมาในสภาพชุดอยู่บ้านธรรมดาๆอย่างเสื้อยืดและกางเกงสามส่วน

     

    คุ้ยหาของกินจากตู้เย็นอยู่สักพักก็ตัดสินใจคว้าแฮมกับไข่ออกมา 2 สองฟอง จัดการทำ Breakfast แบบง่ายๆก่อนย้ายตัวเองมานั่งทานที่โซฟาหน้าโทรทัศน์

     

    รายการโทรทัศน์ช่วงสิบโมงกว่าๆในวันธรรมดาแบบนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าข่าวซุบซิบดาราหรือรายการตลกๆที่ผมไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ผมจึงเปิดมันไว้อย่างนั้นเพื่อไม่ให้ห้องเงียบจนเกินไปและเลือกพักสายตาไว้ที่จุดอื่นของห้องแทน

     

    ตู้กระจกข้างๆโทรทัศน์บรรจุถ้วยรางวัลหลากหลายรูปแบบจากรายการแข่งร้องเพลงที่ผมเคยไปเข้าร่วมตลอดหลายปีมานี้ บางรายการก็เป็นโล่รางวัล บางรายการก็เป็นแค่ประกาศนียบัตร ข้างๆกันเป็นรูปตัวผมเองกำลังรับรางวัลกับทางผู้จัด มันถูกใส่กรอบสวยงาม วางเรียงติดๆกันอยู่สามสี่รูป

     

     

     

    ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา อะไรๆในชีวิตผม...ดูจะเปลี่ยนไปมากเลยทีเดียว

     

     

              ผมได้มีโอกาสทำในสิ่งที่รัก ทำในสิ่งที่ผมใฝ่ฝันอยากจะทำ...แต่ก็ไม่เคยได้ทำ

     

     

     

    และ Superstar K คนต่อไป ได้แก่...!!! ...ชเว ยองแจ!!!!’

     

     

     

    คุณเคยรู้สึกดีใจจนจุกมั๊ยครับ

     

     

    มัน...ให้ตาย...ผมอธิบายความรู้สึกไม่ถูกจริงๆ

     

     

              ถ้าเป็นลมตรงนั้นได้ ผมคงเป็นไปแล้ว

     

     

     

              มันเหมือนฝันไปเลยล่ะครับ

     

     

     

     

     

    แรงบันดาลใจในการร้องเพลงของคุณยองแจมาจากไหนเหรอคะ’

     

     

     

     

    เป็นคำถามที่พิธีกรรายการหนึ่งสัมภาษณ์ผม

     

     

     

     

     

     

    โดยไม่ได้ตั้งใจ คำถามของเขาทำให้ผมเผลอคิดถึงใครคนหนึ่ง

     

     

     

     

     

    เป็น…รุ่นพี่ที่รู้จักน่ะครับ พี่เขาเคยทาบทามให้ผมไปร้องเพลงในละครเวทีของมหาวิทยาลัย...งานใหญ่ๆครั้งแรกในชีวิตของผมเลยล่ะครับ ตอนนั้นผมตื่นเต้นมากๆ แต่เพราะมีพี่เขาคอยให้กำลังใจ ผมถึงได้มีความกล้าที่จะร้องเพลงและมาถึงจุดจุดนี้ได้ครับ’

     

     

     

     

     

     

    ตั้งแต่วันที่ผมยังเป็นแค่นักศึกษาเอกวอยซ์ธรรมดาๆ

     

    จนถึงวันที่ผมได้ก้าวตามความฝันของตัวเอง

     

    ได้จับไมค์...ได้ร้องเพลง...ได้มีเพลงเป็นของตัวเองจริงๆ

     

     

     

     

              จนถึงวันนี้...วันที่ผมตัดสินใจวางไมค์และใช้ชีวิตต่อในฐานะครูสอนร้องเพลงธรรมดาๆคนหนึ่ง...

     

     

     

     

    ผม...ก็ยังนึกขอบคุณพี่แจ็คสันเสมอมา...

     

     

     

     

    ขอบคุณ...แม้อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ยินมันก็ตาม...

     

     

     

             

     

     

     

     

              ถ้าเป็นเมื่อสองสามปีก่อน...ตอนนี้ผมคงน้ำตาซึมไปแล้ว

     

     

              อยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้...หัวสมองมันพาลจะคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆทุกที

     

     

     

     

     

             ลูกหมูอย่าลืมทำการบ้านของพี่นะ เข้าใจมั๊ย

     

     

     

             พักผ่อนเยอะๆนะ ใกล้สอบแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย...เข้าใจป่าว?

     

     

     

    ถ้าเรารู้สึกไม่มั่นใจหรือว่าประหม่า...ให้มองหาพี่ โอเคมั๊ย

            

     

     

     

     

     

     

             ไว้เจอกันใหม่นะลูกหมู

             

             

     

     

     

     

     

     

    7 ปีแล้วสินะ

     

     

     

     

     

     

     

    เกือบ 84 เดือน

     

    เวลา 2500 กว่าวัน

     

     

     

              กับการหายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาของใครอีกคน

     

     

     

     

     

              พูดละเจ็บจึ้กดีจัง ฮะๆ

     

     

     

     

    แรกๆผมก็พยายามเข้าใจแหละว่าเวลาของเกาหลีกับแคนาดามันก็ห่างกันตั้ง 12 ชั่วโมง ที่นี่บ่ายสอง ที่นู่นตีสองอะไรแบบนี้ คงจะหาเวลาคุยกันยาก

     

    แถมช่วงประมาณสองสามเดือนแรกที่พี่แจ็คสันไปอยู่ที่นู่น...สองสามเดือนแรกที่เรายังติดต่อกันอยู่บ้างผ่านโปรแกรมแชท...พี่เค้าก็บ่นให้ผมฟังอยู่บ่อยๆว่าเหนื่อยบ้าง งานเยอะบ้าง

     

     

    จากแชทกันมาบ่อยๆก็เริ่มห่างๆกันไปเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งกันทั้งคู่ (อย่าลืมสิว่าผมก็ขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วเหมือนกัน) พอห่างเข้าๆ...ก็กลายเป็นว่า...หายไปเลย

     

     

    หายไปเลย...จริงๆ

     

     

    ผมจำได้ว่าแชทล่าสุดยังอยู่ที่ช่วงเดือนมีนาคมปี 2010 ...แถมข้อความล่าสุดยังเป็นข้อความที่ผมเองเป็นคนส่งไปอีกต่างหาก

     

    ไม่รู้สิครับ พอเห็นว่าข้อความล่าสุดของเราเค้ายังอ่านไม่ตอบกลับมาเลย มันก็พาลไม่กล้าส่งข้อความทักไปใหม่...กว่าจะรู้ตัว ห้องแชทนั้นก็กลายเป็นห้องว่างไปซะแล้ว

     

     

    ถ้าถามว่าโกรธมั๊ย...ผมอยากถามกลับจังเลยว่าผมมีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอ?

     

     

    อย่างมากก็คงทำได้แค่...น้อยใจล่ะมั้งครับ

     

    ผมก็แค่ไม่เข้าใจ

     

    บางทีผมก็อยากรู้เหตุผลมั๊ยล่ะว่าทำไมอยู่ดีๆพี่แจ็คสันก็หายไปเฉยๆแบบนี้...แถมยังเล่นเปลี่ยนแอคเค้าท์ใหม่เฉยเลย

     

    มันน่าน้อยใจจะตายไปนะ ในขณะที่ผมยังคงใช้เบอร์เดิม แอคเค้าท์เดิมกับเมื่อ 7 ปีก่อนเพราะกลัวว่าอีกคนจะติดต่อกลับมาไม่ได้...แต่พี่เขากลับเปลี่ยนแอคเค้าท์ใหม่แล้วหายไปเฉ๊ย...

     

     

     

     

              ...หรือบางที...ผมอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่เขาขนาดนั้นก็ได้...ใครจะไปรู้...

     

     

     

     

     

             แกยังไม่เลิกคิดถึงรุ่นพี่คนนั้นอีกเหรอ

     

     

              หลายปีแล้วนะยองแจ ไม่ใช่ห้าวันสิบวัน พี่เขาไม่ติดต่อแกมาเลยตั้งแต่แกยังเป็นแค่เด็กม.ปลาย...แล้วแกก็ยังรอเค้าเนี่ยนะ

     

     

             ทำไมไม่ลองเปิดใจบ้าง...คนดีๆตั้งมากมายที่เคยเข้ามา ทั้งพี่จินยอง พี่นิชคุณ...

     

     

             อย่าปิดโอกาสตัวเอง เพราะแค่คนคนเดียวสิวะ ชีวิตเรายังต้องเจออะไรอีกตั้งเยอะแยะนะเว้ย แกจะมาหยุดอยู่ที่แค่รุ่นพี่คนนั้นคนเดียวไม่ได้นะยองแจ

     

     

     

     

              คำพูดของเพื่อนสนิทของผมในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว

     

     

              ผมยอมรับว่านะแอบโกรธที่อยู่ดีๆก็ถูกพูดตรงๆใส่ขนาดนั้น

     

     

     

              แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าที่เพื่อนมันพูดมา...ก็เป็นเรื่องจริง

     

     

     

     

              ตลอดหลายปี ไม่ใช่ว่าผมไม่มีใครผ่านเข้ามา

     

              ผมเคยพยายาม...พยายามรับใครสักคนเข้ามา พยายามเปิดใจ...

     

     

     

              แต่ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม

     

     

     

              จบ...เหมือนเดิม

     

     

     

     

     

     

             พี่คิดว่า...คนที่อยู่ในใจของเราคงไม่ใช่พี่หรอก...

     

     

     

             พี่จินยอง...หนึ่งในคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตผม...หนึ่งในคนที่ผมคิดว่าผมสามารถเปิดใจให้ได้แล้วจริงๆ เอ่ยขึ้นมาในครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน

     

     

     

     

     

             เป็นตัวของตัวเองเถอะนะ....ยองแจ

     

     

     

             

     

              เป็นตอนนั้นเองที่ผมรู้ตัว...ว่าผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม

     

     

     

             

     

              ผมอาจจะเป็นนักศึกษาดุริยางคศิลป์ เป็นศิลปิน หรือเป็นครูสอนร้องเพลง

     

     

     

     

     

              แต่ในใจลึกๆของผมรู้ดี

     

     

     

              ว่าผมยังคงเป็นเด็กมัธยมปลายอายุ 18 ที่ยังคงเฝ้ารอทุกวันที่จะได้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับติวเตอร์ชาวฮ่องกงคนนั้น

     

     

     

     

     

              ว่าผมในตอนนั้น...ยังคงคิดถึงแต่พี่แจ็คสันอยู่เสมอมา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              แต่ก็อย่างผมบอกไป...มันก็เป็นแค่เรื่องของเมื่อสองหรือสามปีก่อน

     

     

     

              ผมในตอนนี้...เลิกร้องไห้เรื่องพี่แจ็คสันไปนานแล้ว

     

     

     

              คงเป็นเพราะเวลา ที่ช่วยให้ผมเติบโตขึ้น ช่วยสร้างเกราะป้องกัน...รวมถึงช่วยสร้างกำแพงรอบตัวผมให้สูงขึ้น

     

              สำหรับคนที่กำลังจะอายุ 26 ในปีนี้แบบผม...เรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้ เกือบจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆไปแล้วล่ะ

     

              บางที...ชีวิตคนเราก็มีอะไรให้คิดมากกว่านั้นมั๊ย

     

              เรื่องงานเอย เรื่องเงิน ค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ ไหนจะเรื่องบ้านที่กำลังซ่อม ไหนจะ...โอย เยอะแยะไปหมดเลยล่ะครับ ไอ้จะให้มาอาลัยอาวรณ์คิดถึงอยู่ทุกวันน่ะนะ เลิกคิดไปได้เลย อย่างมากก็โผล่เข้ามาวิ่งเล่นให้หน่วงๆในใจเล่นพอเป็นพิธีบ้างก็เท่านั้นแหละ

     

     

     

              ความรักครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน...สำหรับผมในตอนนี้...มันกลายเป็นความทรงจำดีๆไปแล้ว

     

              มันอาจไม่ใช่ความทรงจำที่นึกถึงแล้วมีความสุขที่สุด

     

              เป็นความทรงจำสีฟ้าเทา ที่เต็มไปด้วยความสุขและความเศร้า...ของเด็กขี้กลัวคนหนึ่ง ที่สุดท้าย ก็มีแค่รอยยิ้มโง่ๆให้กับคนที่เขารักสุดหัวใจในตอนนั้น

     

              เป็นความทรงจำที่ไม่ว่าจะทำยังไง...ก็ทำใจให้ลืมไม่ได้...และต้องเผลอยิ้มบางๆออกมาทุกครั้งที่นึกถึงเลยล่ะครับ

     

     

              มันน่าประหลาดเหมือนกันนะ กับเรื่องที่เราร้องไห้จนเกือบขาดใจให้ในวันนั้น...กลับเป็นเรื่องที่พอย้อนนึกถึงแล้วต้องยิ้มอออกมา...ถึงมันจะเป็นยิ้มเศร้าๆไปหน่อยก็เถอะ

     

     

              ผมเคยคิดเล่นๆเหมือนกันนะ ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้...ผมจะพูดอะไรที่มันดีกว่าบอกว่าชอบขนมของแคนาดามั๊ย นึกแล้วขำจะแย่ ประโยคอะไรก็ไม่รู้ ทั้งตลกแล้วก็ดูโง่ๆในเวลาเดียวกัน ฮะๆ

     

     

     

     

     

     

              คุณเชื่อมั๊ย...ว่าผมตอบไม่ได้...

     

     

     

     

              ถึงจะโตขึ้นมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังเป็นเด็กขี้กลัวเหมือนเดิม

     

     

              ถ้าผมพูดมันออกไป...แล้วเหตุการณ์มันแย่กว่าที่เป็นอยู่ล่ะ

     

     

     

     

              แค่ที่เป็นอยู่นี่...ถ้าไม่ได้เวลาช่วยเยียวยา...ผมว่ามันก็ย่ำแย่พอตัวเลยนะ ฮะๆ

     

     

     

              อ่านถึงตรงนี้ บางคนอาจจะกำลังสงสัยในความรู้สึกของผมแล้วใช่มั๊ยล่ะ

     

     

     

              เอาจริงๆนะ...ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

     

     

     

              อาจจะเพราะมันนาน...นานจนผมเกือบลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกยังไง...

     

              แต่ถ้าจะให้ลบไปจากใจ...ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

     

     

              ที่เหลืออยู่ชัดๆก็เห็นจะเป็นความผูกพัน และความรู้สึกดีๆที่ผมยังมีให้พี่เขาอยู่ตลอดมานั่นแหละ

     

     

              ผมไม่อยากคิดมากอีกแล้วว่าพี่เขาหายไปไหน? จะลืมผมมั๊ย? จะกลับมาหาผมตามที่เคยบอกไว้หรือเปล่า?

     

     

     

              เรื่องของความรัก...ถ้าบทมันจะใช่...เดี๋ยวมันก็ใช่เองแหละ...ไม่ต้องไปคิดแทนมันหรอก...ปวดหัวเปล่าๆ เนอะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อ้าวคุณยองแจ วันนี้กลับดึกจังนะคะ”

     

    พี่เยอึน แม่บ้านประจำคอนโดทักขึ้นเมื่อผมเดินออกจากลิฟต์ในเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง

     

    ที่เธอทักแบบนี้เพราะปกติผมจะกลับถึงห้องประมาณสามทุ่ม ไม่เกินไปกว่านี้ แต่เพราะวันนี้มีเหตุขัดข้องนิดหน่อยทำให้กลับถึงคอนโดช้ากว่าปกติไปเกือบสองชั่วโมง

     

    งานเยอะนิดหน่อยน่ะครับ...พี่เยอึนกำลังจะกลับบ้านเหรอ เดินทางปลอดภัยนะครับ”

     

    ค่า ไว้เจอกันค่ะ”

     

    เธอพูดก่อนเดินสวนกับผมและหายเข้าไปในลิฟต์

     

     

     

    บริเวณชั้นที่ผมพักอยู่ค่อนข้างเงียบแล้วเพราะนี่ก็เริ่มดึก แถมยังเป็นคืนวันธรรมดาอีกต่างหาก คนส่วนใหญ่คงจะเริ่มเข้านอนกันแล้ว ถ้าเป็นปกตินะ ผมจะต้องได้ยินเสียงเฮฮา ดังลอดออกมาจากแทบทุกห้องเลยล่ะ

     

    รำคาญมั๊ยเหรอ...ก็...ถ้าผมนอนเวลานั้นก็คงมีรำคาญบ้างแหละครับ แต่โชคดีที่ผมเป็นคนนอนดึก เสียงเฮฮาในช่วงสองสามทุ่มเลยไม่ค่อยเป็นปัญหากับผมสักเท่าไหร่

     

    อีกอย่าง เพื่อนบ้านผมแต่ละคนก็น่ารักดีครับ ในช่วงห้าวันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสรู้จักบางคนไปแล้ว อย่างพี่มิน พี่เจียห้องข้างๆทางฝั่งซ้ายก็ Friendly กับผมดี หรือจะเป็นพี่อูยองที่พักอยู่ห้องตรงข้าม ถึงพี่แกจะออกแนวติสๆอยู่บ้าง แต่ก็มีน้ำใจกับผมมากๆเลยล่ะครับ

     

     

     

    จะเหลือก็แค่...เพื่อนข้างห้องทางฝั่งขวานี่แหละ...

     

     

     

    ไม่รู้เพราะเราเวลาไม่ตรงกันหรือยังไง แต่เชื่อมั๊ย อยู่มาห้าวันนี่ผมยังไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้งเลยนะ

     

    ผมถูกแม่ดุเพราะเรื่องนี้ด้วยแหละ เพราะแม่ผมเตรียมขนมสองสามอย่างไว้ให้ผมเอาไปให้เพื่อนบ้านแทนการทักทาย ของห้องพี่มิน พี่เจีย กับห้องพี่อูยองผมให้ไปแล้ว เหลือห้องนี้นี่แหละที่ยังไม่มีโอกาสเจอกันสักที ไปเคาะประตูห้องก็ไม่มีใครมาเปิด สุดท้าย ขนมกล่องนั้นก็เลยกลายเป็นอาหารว่างมื้อดึกของผมแทน

     

    ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเพราะเรื่องของเวลาจริงๆก็ได้นะ เพราะตารางการเป็นครูสอนร้องเพลงของผมมันไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาไง บางวันเริ่มงานบ่ายสาม เลิกสองทุ่ม บางวันเริ่มสิบโมง เลิกห้าโมงเย็นก็มี

     

    ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะผมให้อิสระนักเรียนในการเลือกเวลาเรียนเอง มีเงื่อนไขอยู่แค่ข้อเดียวคือนั่นต้องเป็นเวลาที่ผมสะดวกเหมือนกัน และนั่นทำให้เวลาทำงานของผมมันไม่ค่อยแน่นอนสักเท่าไหร่

     

    บางวันที่มีสอนแค่ช่วงบ่าย กว่าผมจะตื่นก็ปาไปสิบโมงละ ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาที่คนทั่วไปเขาออกไปทำงานกันแล้วไง ส่วนตอนเย็น ผมแอบมาส่องๆบ้าง เคาะประตูบ้าง ก็ไม่เห็นมีใครมาเปิด เลยขอคิดเอาเองแล้วกันว่าถ้าคนคนนี้ไม่ใช่คนกลับบ้านดึกเอามากๆ ก็ต้องเป็นคนนอนเร็วมากๆแน่ๆ

     

    เพราะงั้น จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 5…ผมก็ยังไม่เคยเจอเพื่อนบ้านแสนลึกลับคนนี้สักที

     

     

     

    ห้องนี้เหรอ…เหมือนจะเพิ่งย้ายเข้ามาเหมือนกันนะ มาก่อนยองแจไม่กี่อาทิตย์เอง เป็นผู้ชายนะ แต่พี่ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเค้าหรอก ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกัน’

     

     

     

     

    พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเขาทำงานอะไร เห็นบางวันก็ออกไปทำงานแต่เช้า กลับซะดึก แต่บางวันก็เห็นอยู่แต่ในห้องทั้งวันเลย...นี่ก็ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกันแหละ เหมือนเค้าจะดูเป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะ พี่คิดว่า’

     

     

     

    ไม่ว่าจะเป็นพี่มินหรือพี่อูยองต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ค่อยได้เจอเพื่อนบ้านคนนี้สักเท่าไหร่

     

     

    ลึกลับซะจริ๊ง ผมชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วนะว่าเขาเป็นใคร เป็นคนยังไงกันแน่ ฮะๆ

     

     

    แกร๊ก

     

    ผมเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู แต่ เฮ้! ผมยังไม่ได้ไขกุญแจเลยนะ แล้วเสียงเปิดประตูมันมาจากไหน

     

     

    ยืนงงอยู่ได้ไม่กี่วิก็ต้องถึงบางอ้อเมื่อได้ยินเสียงคนพูดอะไรสักอย่างดังมาจากห้องข้างๆ

     

     

              หืม??? ห้องข้างๆ?!!

     

     

              บทจะเจอกันทีก็ง่ายๆแบบนี้เลยเว้ย

     

     

     

     

              ก็กูบอกแล้วไงว่าไปไม่ได้ เอ๊ะมึงนี่ยังไง งานเยอะขนาดนี้ยังจะมาตื้อให้กูไปตั้งวงด้วยอีก เดี๋ยวปั๊ดโบกทิ่มเลย”

     

     

     

              “ไม่ไปโว้ย ชวนพวกไอ้เจย์อะไรไปดิ๊...เออ แค่นี้นะ บายมิสเตอร์อิม”

     

     

     

     

              เสียงสนทนาที่น่าจะดังไปสามห้องแปดห้องจบลงไปแล้ว และคงเพราะระหว่างทางเข้าห้องของผมกับเขามีกำแพงบางๆกั้นไว้อยู่ เขาถึงได้ไม่สังเกตเห็นผมและยังคงบ่นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนที่เขาเรียกว่ามิสเตอร์อิม

     

     

              “แม่ ง บ้าป่ะวะ เฮ้อ”

     

     

              “งานเยอะขนาดนี้ใครจะมีอารมณ์ไปเมา”

     

     

     

              บุคคลปริศนาข้างห้องผมยังคงบ่นอะไรไม่รู้งุ้งงิ้งๆ เสียงถุงพลาสติกเสียดสีกันที่ดังควบคู่มาด้วยทำให้ผมแอบเดาในใจว่าเขาอาจจะกำลังขนอะไรสักอย่างออกมาจากห้อง

     

     

     

     

     

              แต่นั่นมันไม่สำคัญหรอก

     

     

     

     

              “ไอ้แจบอมนี่ชักจะตลกแด กขึ้นทุกวันละ”

     

     

     

     

     

     

              หัวใจผมกำลังเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา

     

     

     

     

     

              ...ผมรู้จักเสียงนี้...

     

     

     

     

              “แล้วไอ้ถุงนี้มันจะหนักไปไหนวะ...โอ๊ะ!

     

     

     

              ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที

     

              ชั่วพริบตาที่ผมหันหลังกลับไป เสี้ยวหน้าของคนที่กำลังบ่นอุบอิบอยู่คนเดียวก็โผล่พ้นกำแพงบางๆที่คั่นระหว่างสองห้องไว้

     

     

     

              คุณเคยรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนมั๊ย

     

     

              ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปบ้างตามวัยและกาลเวลา...แต่สุดท้าย...ก็ยังเป็นคนคนเดิม

     

              คนคนเดิม...ที่ชอบเข้ามาวิ่งเล่นอยู่ในหัวผมตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

     

     

     

     

     

    คนคนเดิม...และคนคนเดียว

     

     

     

     

     

     

     

              “...พี่แจ็คสัน...”

     

     

     

     

              หัวใจผมเหมือนหยุดเต้นไปแล้ว.

     

     

     

    FIN

     

    31/5/2016

    1.00 am

     

    Continue reading in EP 4

     

    Coming soon

     

     

    Let’s Talk

     

    มาปล่อยระเบิดตู้มละจากไป 55555

     

     

    Enjoy reading ค่ะ ^^

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×