ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF] Yesterday EP 4 : Rewind | JackJae [END]

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 59




    I wish we can go back to our first days,

    to the beautiful, happy and loving days











                อาหารเย็นมื้อนั้นจบลงหลังผ่านไปชั่วโมงกว่าๆโดยคนอาวุโสที่สุดในโต๊ะยืนยันจะเป็นคนจ่ายค่าอาหารถึงแม้ว่าจานของตนจะพร่องไปไม่ถึงครึ่งก็เถอะ

     

                ถึงคนตัวเล็กจะสามารถสงบสติอารมณ์ บังคับตัวเองให้หยุดร้องไห้ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถบังคับให้ร่างกายผลิตความอยากอาหารเพิ่มขึ้นได้เลยแม้ทั้งยูคยอมและแบมแบมแทบจะผลัดกันเล่าเรื่องตลกเพื่อดึงให้เขารู้สึกดีขึ้นก็ตาม

     

                “ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนมั๊ย”

     

                ยูคยอมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงหลังเห็นสภาพใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวของรุ่นพี่ตัวเล็ก รอยยิ้มฝืนๆที่ถูกส่งมาหลังเขาเล่าเรื่องตลกตลอดมื้ออาหารไม่ได้ทำให้ยูคยอมลดความเป็นห่วงลงเลย กลับกัน ยิ่งห่วงมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ

     

                “อย่าเลย ลำบากเปล่าๆนะ เราต้องไปส่งแบมแบมไม่ใช่หรือไง” ยองแจตอบปฏิเสธกลับไปทันทีที่เด็กยักษ์พูดจบ “...พี่อยู่คนเดียวได้น่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...กลับบ้านดีๆนะทั้งสองคน ไว้อยากนัดกินอีกเมื่อไหร่อย่าลืมโทรเรียกพี่นะ”

     

                ร่างเล็กว่าก่อนหายเข้าไปในรถญี่ปุ่นคันเล็กของเจ้าตัวและขับออกไป ทิ้งให้ยูคยอมและแบมแบมได้แต่มองหน้ากันด้วยความไม่สบายใจ

     

     

     

     

                “จะไม่เป็นไรจริงๆน่ะเร้อ”

     

                คนตัวเล็กกว่าเปรยออกมาขณะทั้งสองคนอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว ยูคยอมที่ตอนนี้รับหน้าที่เป็นสารถีก็ได้แต่ถอนหายใจแทนคำตอบให้กับเพื่อนสนิท

     

                พี่ยองแจตอนนี้ก็เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆของเขาไปแล้ว เห็นพี่เป็นแบบนี้แล้วจะให้น้องอย่างเขาทำตัวสบายใจเฉิบได้ยังไงกันล่ะ

     

                เขายังจำสภาพรุ่นพี่ตัวเล็กเมื่อหลายเดือนก่อนได้ เหตุการณ์นั้นกือบจะทำให้เขามีเรื่องกับรุ่นพี่แจ็คสันไปแล้วถ้าไม่เห็นว่าอีกคนก็มีสภาพไม่ต่างกัน

     

                แค่หวนคิดถึงก็รู้สึกแย่แล้ว พี่แจ็คสันยังมีพี่มาร์คที่เป็นเพื่อนสนิทคอยอยู่ข้างๆ แต่พี่ยองแจแทบไม่มีใครเลย จะโทษว่าเจ้าตัวค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงก็คงไม่ผิด ขนาดเขากับแบมแบมที่ว่าสนิทกันมานาน บางทีก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงที่รุ่นพี่คนนี้สร้างไปได้ แล้วยิ่งเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป คนโลกส่วนตัวสูงอย่างพี่ยองแจเลยยิ่งเงียบเข้าไปอีกทวีคูณ

     

                “อย่าถอนหายใจบ่อยดิ เดี๋ยวก็หน้าเหี่ยว”

     

                แบมแบมเอ่ยขึ้นมาหลังเห็นเพื่อนสนิทถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านแล้วตั้งแต่ขับรถออกมา ตั้งใจจะพูดให้มันตลกๆ จะได้หายเครียดจนคิ้วขมวดเป็นปมบ้าง แต่ยูคยอมกลับปรายตามองคนข้างๆแบบคาดโทษที่เล่นมุขไม่ถูกเวลา

     

                “เออๆ ขอโทษ...ก็ไม่อยากให้เครียดนี่หว่า” คนตัวเล็กกว่าว่าก่อนถอนหายใจออกมาบ้าง “ไม่รู้จะทำยังไงกับพี่สองคนนี้ดีเลยว่ะ สงสารจะตายอยู่ละแล้วเนี่ย แต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”

     

                “ก็จะให้ทำไง...มันเป็นเรื่องของเค้าสองคน...เราก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆแบบนี้แหละ ยังไงถ้าเค้าจะเคลียร์ ก็ต้องเคลียร์กันเอง”

     

                ยูคยอมว่าพลางถอนหายใจก่อนเลี้ยวรถเข้าคอนโดหรูใจกลางเมือง ตัดสินใจวนหาที่จอดก่อนเดินลงไปส่งเพื่อนสนิทถึงหน้าห้องแทนที่จะจอดแค่หน้าคอนโดแล้ววนรถออกไปอย่างที่คิดไว้ตอนแรก

     

                คอนโดที่ทั้งสองคนมา ไม่ใช่ที่อยู่ของทั้งแบมแบมหรือยูคยอม...แต่เป็นที่อยู่ของใครอีกคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่

     

     

                “ไง”

     

                มาร์คเป็นคนเดินออกมาเปิดประตูหลังกดออดไปประมาณสามครั้ง ร่างสูงดูสะลึมสะลืมเหมือนเพิ่งตื่นนอนทั้งๆที่เพิ่งเป็นเวลาสองทุ่ม

     

                “พี่เพิ่งตื่นเหรอ หน้ายับเชียว”

     

                แบมแบมว่าขณะเดินตามเข้ามาในห้องพร้อมๆกับเพื่อนสนิท  มาร์คพยักหน้าเบาๆพลางเคลียร์ข้าวของระเกะระกะบนโซฟาเพื่อให้ผู้มาใหม่มีที่นั่ง

     

                “พี่แจ็คสันล่ะฮะ”

     

                “อยู่ในห้อง” ร่างสูงว่าพลางพยัดเพยิดปทางประตูสีดำสนิท “เพิ่งหลับไปเมื่อตอนหกโมงนี่เอง กว่าจะยึดโซจูมาจากมันได้หมด เหนื่อยแทบตาย”

     

                “ผมขอเข้าไปดูพี่แกหน่อยได้มั๊ย”

     

                “อือ ไปสิ แต่อย่าทำมันตื่นนะ ปล่อยให้มันนอนพักไป”

     

                ยูคยอมพยักหน้ารับรู้ก่อนลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องนอน บิดลูกบิดอย่างแผ่วเบาและแทรกตัวเข้าไปในห้อง อุณหภูมิเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกอดตัวเอง ยืนนิ่งๆให้สายตาชินกับความมืดอยู่ครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นร่างของเจ้าของห้องนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

     

                หวัง แจ็คสันยังคงอยู่ในชุดธรรมดาไม่ใช่ชุดนอน คิดว่าคงเป็นเพราะดื่มหนักจนเมาหลับไปแล้วมาร์คถึงได้หิ้วปีกเข้ามานอนในห้องดีๆ ใบหน้าที่ตอบลงไปเยอะภายในเวลาไม่กี่เดือนยังคงดูเศร้าหมองแม้ในเวลาที่เจ้าตัวไม่ได้สตb

     

                “...อย่า...ไป...”

     

                เด็กยักษ์สะดุ้งโหยงหลังได้ยินเสียงพูด กลัวว่าจะเผลอทำคนที่กำลังหลับอยู่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะต้องถอนใจอย่างโล่งอกเพราะดูเหมือนคนเมาจะแค่ละเมอพูดขึ้นมาเท่านั้น

     

                “...อย่า...ไป...นะ..”

     

     

                “...ยองแจอา...ไม่...”

     

     

     

                เพราะเห็นคนไม่ได้สติเริ่มจะดิ้นไปมา ยูคยอมถึงเดินเข้าไปใกล้พลางเอ่ยปลอบโยนคนที่กำลังละเมอเพ้อหาอดีตคนรักแม้ในยามหลับฝันจนสงบลง

     

                เป็นอีกครั้งที่ยูคยอมเกิดความรู้สึกเวทนาจนอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมรุ่นพี่สองคนที่เขารักและเคารพเหมือนพี่ชายแท้ๆต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ทั้งๆที่ทั้งคู่ต่างก็ยังรักกันมาก แต่ทำไมถึงเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์ลงแบบนี้

     

                ...ปากก็บอกว่า...ทำไปเพื่ออีกคน...ดีแล้วที่เขาจากไปเพื่อไปพบอะไรที่มันดีกว่า...

     

                ...เขาล่ะอยากจะให้ต่างฝ่ายต่างได้มาเห็นสภาพของกันและกันจริงๆเลย...จะได้รู้สึกสักที ว่าทำแบบนี้แล้วอีกคนได้ไปเจออะไรที่ดีกว่าตรงไหน...

     

                ...สุดท้ายก็เจ็บกันทั้งคู่...

     

     

                ยูคยอมถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวันเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองถอนหายใจบ่อยจนขี้เกียจจะนับก่อนตัดสินใจเดินออกจากห้องนั้นไป

     

                “จะกลับแล้วเหรอคยอม?”

     

                แบมแบมเอ่ยถามขึ้นมาหลังเห็นเขาเดินตรงดิ่งไปที่ประตูห้อง อยากจะลุกเดินเข้าไปถามดีๆอยู่หรอก แต่ดันถูกแฟนหนุ่มอาศัยตักต่างหมอนอยู่นี่สิ

     

                “อื้ม...ว่าจะแวะไปดูพี่ยองแจสักหน่อยน่ะ”

     

                “ก็ดีนะ ฉันก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน...ขับรถดีๆนะ อย่าขับเร็วรู้เปล่า ยังไม่อยากให้โซมีเป็นหม้ายนะ”

     

                “ระวังปากเถอะไอ้ตัวเล็ก” ร่างสูงว่าพลางชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิท “ฝากดูแลพี่แจ็คสันด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปดูพี่ยองแจให้เอง น่าเป็นห่วงทั้งคู่เลยให้ตายเถอะ”

     

                “ได้ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ขับรถดีๆล่ะ ไว้เจอกัน”

     

                คนตัวเล็กกว่าเอ่ยพลางโบกมือลาเพื่อนสนิทก่อนต้องหลุดหัวเราะออกมาเพราะคนรักที่นอนหนุนตักเขาอยู่ดีๆก็พลิกตัวขึ้นมานอนหงาย มองหน้าเขาซะงั้น

     

                “พี่มาร์ค! แบมบอกแล้วไงว่าถ้านอนตักห้ามขยับตัวอ่ะ! มันจั๊กจี้นะเว้ย! เดี๋ยวไม่ให้นอนเลย...ย่าห์!...

     

                เสียงบ่นงุ้งงิ้งๆของแบมแบมทำให้ยูคยอมหลุดขำออกมาเบาๆก่อนปิดประตูห้อง คนหนึ่งขี้โวยวายเป็นเด็กๆ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ชอบแกล้งเด็ก เป็นคู่ที่เคมีเข้ากันยิ่งกว่าอะไรดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงคบกันมาได้นานขนาดนี้โดยแทบไม่มีเรื่องให้กวนใจ

     

                เด็กตัวยักษ์คิดพลางคลี่รอยยิ้มบางออกมา ก้มหน้ากดโทรศัพท์ส่งข้อความบอกกับคนรักว่าคืนนี้คงจะกลับบ้านดึกเพราะขอไปดูแลรุ่นพี่ตัวเล็กที่อาการยังน่าเป็นห่วงอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาอย่างเข้าใจพร้อมย้ำให้เขาขับรถดีๆ หรือจะให้ดีกว่านั้นก็ขอค้างไปเลยเพราะเธอไม่ชอบให้เขาขับรถตอนกลางคืนดึกๆดื่นๆ อาจจะหลับในตอนไหนก็ได้ ใครจะไปรู้

     

                ยูคยอมส่งข้อความบอกฝันดีให้กับคนรักก่อนวางมันไว้ที่เบาะข้างคนขับ สตาร์ทรถ และขับออกไปท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                บรรยากาศเงียบสงัดยามค่ำคืนกำลังทำให้ชเว ยองแจเป็นบ้า

     

     

                คนปากเก่งที่พร่ำบอกรุ่นน้องทั้งสองคนว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง กำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่นมืดๆ

     

     

                ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน ยองแจก็นั่งอยู่ตรงนี้มาตลอด ทีแรกก็กะว่าจะแค่นั่งหลับตานิ่งๆ พักชาร์จพลังให้ตัวเองเท่านั้น แต่ทันทีที่คนตัวเล็กลดการ์ดของตัวเองลง ปล่อยหัวใจและสมองให้ล่องลอยไปไกล ภาพเดิมๆdy[คนเดิมๆก็ปรากฎขึ้นมาในหัวอย่างควบคุมไม่ได้

     

                ภาพเก่าๆในขวดโหลความทรงจำที่เจ้าตัวเก็บไว้ลึกสุดของจิตใจเหมือนถูกทุบจนแตกละเอียด ใบหน้ายิ้มสดใส เสียงหัวเราะที่เรามีให้กัน หรือแม้แต่ไออุ่นจางๆจากฝ่ามือใหญ่ที่มักกุมมือเล็กๆของเขาไว้เสมอกำลังทำให้เขาร้องไห้

     

     

                มันมากเกินไป

     

                และชเว ยองแจในตอนนี้ ไม่พร้อมที่จะรับมันไว้ในคราวเดียว

     

     

                ความรู้สึกทั้งหมดที่ก่อตัวอยู่ภายในใจกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำตา หนึ่งหยด สองหยด ไหลอาบแก้มเนียน ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยน

     

     

     

                เขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

     

     

     

                เสียศูนย์ไปทุกครั้งที่ขวดโหลความทรงจำนั้นถูกกระทบกระเทือน ไม่ว่าจะเล็กน้อยแบบเมื่อคืน หรือแตกละเอียดแบบในตอนนี้

     

                เหมือนลูกโป่งที่พองลมจนสุด พองด้วยความสุขจอมปลอมที่เจ้าตัวสร้างขึ้น ฝืนหัวเราะ ฝืนยิ้ม และเหยียบความทรงจำเก่าๆไว้ให้อยู่ลึกสุดในใจ

     

                เหมือนลูกโป่งที่พองมากเกินไป...จนแตก...และให้คนตัวเล็กได้เห็นความเป็นจริง...

     

                ...ว่ามันไม่มีความสุขมาตั้งแต่ต้น...

     

                ...สุดท้าย...ก็เหลือแค่เขาคนเดียว...

     

     

                ...ก็แค่คนอ่อนแอ...ที่ยังยึดติดกับรักครั้งเก่า...ไม่ยอมขยับไปไหนสักที

     

     

                ...คนอ่อนแอ...ชเว ยองแจ...

     

     

               

     

               

              โอ๋ๆ ตัวเล็กของเฮียร้องไห้เหรอ ไม่เอาๆ ไม่ร้องนะไม่ร้อง โอ๋ๆ

     

     

     

                ยองแจหลุดยิ้มออกมาทั้งน้ำตาหลังเผลอคิดถึงใครอีกคนที่มักจะพูดแบบนี้เสมอเวลาเห็นเขาร้องไห้

     

     

                มือทั้งสองข้างโอบกอดตัวเองแน่นขึ้นยามสมองหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ อ้อมกอดอบอุ่นของคนตัวใหญ่กว่าที่มักจะโอบกอดเขาไว้ทุกครั้งยามที่ร้องไห้แบบนี้ มือข้างหนึ่งที่มักจะลูบหัวเขาเบาอย่างปลอบโยน ในขณะที่ใบหน้าของเขาจะจมอยู่กับแผงอกกว้างจนเสื้อของอีกคนเป็นด่างดวงจากหยาดน้ำตา

     

     

              ...หว่าย...ทำไมร้องหนักกว่าเดิมล่ะเนี่ย โอ๋ๆ เด็กขี้แย ไม่ร้องนะไม่ร้อง เฮียแจ็คสันของน้องยองแจอยู่นี่แล้วนะครับ ไม่ร้องนะคนเก่ง นะครับ

     

     

     

     

     

                “...ไม่ร้องนะยองแจ...ไม่ร้อง...”

     

               

     

     

    우리가 써내려갔던 아름다웠던 이야기

    Those beautiful stories that we wrote down together

     

    우리가 기도했었던 영원 하자던 약속들

    Those eternal promises that we prayed for at that time

     

    하나씩 떠올리다 나의 가슴이 견디지 할걸 알기에

    They're all coming back to me now and I don't think my heart can take it

     

               

     

     

     

     

                รองเท้าคู่โปรดถูกสวมอีกครั้งทั้งๆที่เพิ่งถอดมันไปไม่เกินชั่วโมง ประตูบ้านถูกล็อกเรียบร้อยเพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีที่อาจแอบลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้

     

                ยองแจตัดสินใจออกมาข้างนอกทั้งๆที่เวลาก็เกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว รถญี่ปุ่นคันเล็กถูกจอดทิ้งไว้ในบ้านเพราะเจ้าตัวคิดว่าความรู้สึกเวลาถูกลมเย็นๆพัดใส่หน้าคงจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง

     

                มือทั้งสองข้างซุกเข้าในกระเป๋ากางเกงเพราะลมเย็นๆของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แม้จะออกมาได้สักพักแล้ว แต่เท้าทั้งสองก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

     

                ในหัวของคนตัวเล็ก ต้องการเพียงแค่อะไรที่ดีกว่าห้องสี่เหลี่ยมแคบๆภายในบ้านที่อาจทำเขาจิตตกได้อีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ เพราะงั้น ถึงอุณหภูมิจะค่อนข้างต่ำ แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการต้องนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวในห้องมืดๆ

     

                ยองแจไม่แน่ใจว่าตนเดินมาไกลเท่าไหร่ รู้แค่ว่าอีกไม่กี่เมตรข้างหน้าจะเป็นป้ายรถเมล์ที่เขามักจะเดินมาขึ้นอยู่บ่อยๆสมัยที่ยังไม่มีรถส่วนตัว

     

                ...แต่นั่น...มันก็เกือบจะห้าหรือหกปีก่อนแล้วล่ะ...

     

                ...เพราะหลังจากนั้น ถึงจะไม่มีรถ แต่ก็มีสารถีมาคอยรับส่งตลอด พอผ่านไปอีกปีสองปี เขาถึงได้มีรถคันแรกในชีวิตและห่างหายจากการขึ้นรถเมล์ไป

     

               

                คนตัวเล็กทรุดตัวนั่งลงที่ป้ายรถเมล์นั้น เฝ้ามองรถผ่านไปคันแล้วคันเล่าด้วยสายตาเหม่อลอย แต่อย่างน้อยเสียงรบกวนกับแสงไฟของเขตเมืองในยามค่ำคืนก็ไม่ทำให้เขาฟุ้งซ่านมากจนเกินไป

     

     

                !!

     

     

                แสงไฟดวงจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่บินเข้ามาใกล้จนเกือบชนปลายจมูกทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อย มือข้างหนึ่งเกือบยกขึ้นปัดทิ้งตามสัญชาตญาณคนขี้กลัวไปแล้วถ้าไม่เห็นว่ามันก็แค่หิ่งห้อยตัวหนึ่ง

     

                ยองแจลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ตกใจแทบแย่ นึกว่าตัวอะไรบินมาเกาะจมูก แถมมีแสงที่ก้นอีกต่างหาก

     

                ทีแรก เขาก็ว่าจะพยายามไล่ๆมันออกไปโดยไม่ให้เจ้าแมลงตัวน้อยบาดเจ็บ ทว่า โดยที่ไม่รู้ตัว คนตัวเล็กกลับเผลอมองตามเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยไปทุกที่ที่มันบินราวกับต้องมนตร์สะกด กว่าจะรู้ตัวอีกที หิ่งห้อยตัวนั้นก็บินไปไกลเสียแล้ว ทิ้งให้สายตาได้ปะทะเข้ากับเลขบอกสายรถเมล์ที่เพิ่งวิ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย

     

     

                302…

     

     

     

                คุ้นจัง...

     

                ...เหมือนเคยนั่ง...ไปที่ไหน...สักแห่ง...

     

     

     

                และในจังหวะที่รถเมล์สายนั้นกำลังจะเคลื่อนตัวออกไป ร่างเล็กของคนที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์มาตลอด 5 นาทีที่ผ่านมาก็รีบออกวิ่ง และก้าวขึ้นไปบนรถคันนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                !!!!

     

                ร่างทั้งร่างผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจหลังเจ้าตัวสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมออกตามไรผมและใบหน้า ต้องใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ๆเลย หวังแจ็คสันถึงสงบสติอารมณ์และบังคับให้หัวใจกลับมาเต้นอยู่ในอัตราปกติได้

     

                ผนังห้องสีเทาซึ่งเป็นโทนสีที่เจ้าตัวชอบ สัมผัสนุ่มหยุ่นของเตียงที่กำลังนั่งอยู่ และลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศเหมือนช่วยเป็นเครื่องยืนยันว่าแจ็คสันยังคงนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง

     

                ...ไม่ใช่ข้างนอกนั่น...

     

     

     

                ...และไม่ได้กำลังวิ่งไล่ตามหลังคนตัวเล็กที่เหมือนจะอยู่ห่างไกลไปเรื่อยๆ...และจางหายไปในที่สุด

     

     

     

     

     

                ...ทั้งหมด...มันก็แค่ความฝัน...

     

     

                ...แต่ความรู้สึกไม่สบายใจลึกๆที่ค้างอยู่คืออะไร...เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย...

     

     

     

                แจ็คสันตัดปัญหาด้วยการตัดสินใจลุกไปล้างหน้าล้างตา กะว่าจะอาบน้ำใหม่อีกสักรอบเพราะตอนนี้ตัวเขามีแต่กลิ่นเหล้าติดตัวจนฉุนไปหมด

     

     

     

     

     

              แหวะ ตัวเหม็นว่ะเฮีย ลุกไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย...ย่าห์! ลุกเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าไม่ยอมลุก แจจะให้เฮียไปนอนข้างนอกจริงๆด้วย เหม็นเหล้าขนาดนี้ให้ตายก็ไม่นอนด้วยหรอก! ไปอาบน้ามมมมมม

     

     

     

     

     

                อยู่ดีๆคนในความฝันก็โผล่เข้ามาวิ่งเล่นในหัว แจ็คสันยกยิ้มบางหลังนึกถึงมัน ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆจางลงไปหลังนึกออกว่าเรื่องราวหลังจากนั้นเป็นอย่างไร

     

                วันนั้นเขาเมามากเพราะไปกินเลี้ยงวัน...วันอะไรสักอย่างนี่แหละ พอกลับมาก็อยากจะเอาหัวพุ่งใส่เตียงทันที อาบน้ำอะไรมันไม่อยู่ในความคิดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่พอถึงคอนโด คนตัวเล็กกลับโวยวายให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำทั้งๆที่มันตีสองกว่าๆ เกือบจะตีสามอยู่แล้ว

     

     

                ...เราจบเหตุการณ์นั้นด้วยการทะเลาะกันใหญ่โต และยองแจเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปนอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่น...

     

     

                อยากจะโทษความเมาที่ทำให้สติความยับยั้งชั่งใจของเขาหายไปกว่าครึ่ง แต่ที่สุดแล้วคนที่ผิด...ก็คือไอ้คนเมาหัวราน้ำอย่างเขาคนเดียว

     

                ...แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง...แต่เพราะความเอาแต่ใจ ความงี่เง่า...เลยทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เพิ่มแผลรอยใหญ่ให้กับความสัมพันธ์ของเราไปอีกแผลหนึ่ง...

     

     

     

                ในขณะที่คนหนึ่งพยายามพยุงความสัมพันธ์ พยายามสมานรอยแผล รอยร้าวเอาไว้...อีกคนหนึ่งกลับใช้มีดทำร้าย สร้างบาดแผลไว้ซ้ำๆจนมันไม่อาจสมานกันได้อีก

     

                เราต่างกันเกินไป...นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิด

     

     

     

                เขาเป็นคนตื่นสาย...ในขณะที่ยองแจเป็นคนตื่นเช้า

     

                เขาชอบฟังเพลงฮิปฮอป บีทหนักๆ...ในขณะที่ยองแจชอบฟังเพลงบัลลาด

     

                เขาชอบเข้าสังคม...ในขณะที่ยองแจพอใจที่จะอยู่ในโลกของตัวเองคนเดียวเงียบๆ

     

                ความสุขของเขาคือการได้ไปเจอเพื่อนฝูง...ในขณะที่ความสุขของยองแจคือการได้อยู่บ้าน ดูหนังดีๆสักเรื่องจนหลับไป

     

     

     

                ในตอนนั้น แจ็คสันคิดแค่ว่า ในเมื่อเราต่างกันขนาดนี้...บางที...การแยกกันไป อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่

     

                ...เขาไม่พร้อม...สำหรับการปรับตัว..

     

                ไม่สิ

     

                ...เขาแค่เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะเป็นคนปรับตัวเข้าหาซะมากกว่า...

     

     

     

                แจ็คสันไม่เคยเอะใจเลย...ว่ายองแจพยายามขยับตัวให้เบาที่สุดขนาดไหนในตอนเช้า เพื่อไม่ให้รบกวนเขาที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

     

                แจ็คสันไม่เคยเอะใจเลย...ว่าทำไมเพลงที่เคยสัญญาว่าจะสลับกันฟังในรถ ถึงกลายเป็นว่ามีแต่แนวเพลงที่เขาชอบอยู่เต็มไปหมด

     

                แจ็คสันไม่เคยเอะใจเลย...ว่าทำไมช่วงหลังๆที่เขาไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน คนตัวเล็กกลับเลือกที่จะส่งข้อความมามากกว่าใช้การโทรตาม หลังจากที่โดนเขาหลุดปากบ่นไปว่ามันน่ารำคาญขนาดไหนเวลาถูกโทรตาม

     

     

     

     

                มีแต่ยองแจ...ที่เป็นฝ่ายปรับตัวมาตลอด...

     

     

                แล้วเขาล่ะ...หวัง แจ็คสันคนนี้...กลับเป็นไอ้คนเห็นแก่ตัว เลือกหนีปัญหาด้วยการบอกเลิก ทำร้ายจิตใจทั้งคนตัวเล็ก...และตัวเขาเอง

     

     

     

     

     

     

    우리가 아주 조금만 어른스러웠더라면

    At that time, if only we had been a bit more mature

     

     

    우리가 미처 몰랐던 지금을 알았더라면

    If only we knew how we would it be right now

     

     

     

     

     

     

                ประตูห้องนอนถูกเปิดออกโดยคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ หันไปมองทางห้องนั่งเล่นก็เห็นคู่รักแห่งปีนอนหลับกันอยู่ตรงนั้นโดยมาร์คเป็นคนเสียสละให้คนตัวเล็กกว่านอนบนโซฟา ในขณะที่ตัวเองยอมนอนหนุนหมอนบนพื้นพรม

     

                แจ็คสันก้าวเบาๆข้ามไปยังโซนที่จัดไว้เป็นห้องครัว เปิดตู้เย็นหาของกินรองท้องสักหน่อยแม้จะเป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว ก่อนตัดสินใจหยิบนมขวดหนึ่งพร้อมแครกเกอร์โง่ๆสองห่อออกมา

     

    RRRrrr

     

                เสียงริงโทนไม่คุ้นหูเรียกความสนใจจากเจ้าของห้อง แจ็คสันเหลือบมองไปยังโซนห้องนั่งเล่นที่มีร่างสองร่างกำลังนอนหลับสนิทอยู่ แสงไฟสว่างวาบเล็กๆจากหน้าจอโทรศัพท์เป็นเครื่องยืนยันว่าคงจะมีใครสักคนโทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของหนึ่งในสองคนนั่น

     

                ทีแรกเขาก็กะจะปล่อยให้มันดังไปอยู่อย่างนั้น แต่คิดอีกที เขาก็ตัดสินใจเดินไปหยิบมันขึ้นมาเพื่อกดปิดเสียงซะ จะได้ไม่รบกวนคนที่กำลังนอน

     

                -Yugueom-

     

                แต่เพราะเห็นว่าปลายสายเป็นรุ่นน้องที่รู้จัก แจ็คสันจึงตัดสินใจกดรับแทนที่จะแค่กดปิดเสียงเหมือนในตอนแรก

     

     

                “ฮัล...”

     

                [ไอ้แบม! พี่ยองแจหายไป!]

     

                “...”

     

                [นี่ฉันเพิ่งมาถึงบ้านพี่เขาเพราะรถติดโคตรๆ กดกริ่งตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิดสักที เห็นรถอยู่ก็เลยคิดว่าอาจจะหลับไปแล้ว แต่พอกำลังจะกลับ พอดีเจอคนข้างๆบ้านพี่ยองแจ เขาก็บอกมาว่าพี่แกเดินออกไปข้างนอกตั้งแต่ตอนสามทุ่ม นี่ยังไม่กลับมาเลย!]

     

                “...”

     

                [ก่อนหน้านี้ก็เห็นจิตตกอยู่ แล้วนี่ยังจะมาหายไปอีก...นี่แกฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่าวะไอ้แบ...]

     

                “พอนึกออกบ้างมั๊ยว่ายองแจจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้าง”

     

                […]

     

                “ยูคยอม?”

     

                […พ...พี่แจ็คสันเหรอครับผ...ผมนึกว่าเป็นไอ้แบม...]

     

                “ฉันจะช่วยนายตามหาอีกแรง ถ้ามีอะไรรีบโทรหาฉันด้วยนะ”

     

     

                แจ็คสันกดปุ่มตัดสายทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มวางมือถือไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาเหมือนเดิมก่อนรีบวิ่งไปใส่รองเท้าอย่างกระวนกระวาย ยามเร่งรีบแบบนี้แม้แต่รองเท้าแตะหูคีบกากๆยังใส่ยากจนน่าหงุดหงิด

     

                ตอนที่ได้ยินว่าคนตัวเล็กหายไปจากบ้าน ใจเขาเหมือนตกไปอยู่ตาตุ่ม ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเลยถึงจะดึงสติกลับมาถามคำถามรุ่นน้องปลายสายได้ แม้แต่ตอนที่กำลังวิ่งลงบันไดไปลานจอดรถเพราะลิฟต์มาช้าเกินไปแบบนี้ แจ็คสันก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าสติที่หายไปเมื่อครู่ของเขากลับมาครบถ้วนแล้วหรือยัง

     

                หัวใจเต้นเร็วจนเขาต้องหอบออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยจากการวิ่งลงบันไดกว่าสิบชั้น หรือเพราะความกังวลที่อัดแน่นอยู่ภายในใจจนแม้แต่ฝ่ามือก็ยังเหงื่อออกจนชุ่มไปหมดกันแน่

     

                รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นสีดำสนิทคือสิ่งที่เขากำลังมองหา ทว่าทันทีที่วิ่งมาถึง แจ็คสันก็ต้องหงุดหงิดหนักกว่าเดิมเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมกุญแจรถไว้บนห้อง

     

                ชายหนุ่มสบถคำหยาบออกมาอย่างหัวเสีย โชคยังดีที่หยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือติดตัวมา แจ็คสันจึงรีบวิ่งออกไปหน้าคอนโดและโบกรถแท็กซี่คันที่ใกล้ที่สุด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                เพราะเป็นสวนสาธารณะเปิดทำการ 24 ชั่วโมง ไฟตามทางเดินภายในสวนจึงยังเปิดอยู่แม้จะเป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วก็ตาม

     

                ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ยองแจพาตัวเองมาถึงสวนสาธารณะซงพานารุที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้ กว่าจะนั่งรถเมล์มาถึง กินเวลาไปเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว

     

                บรรยากาศภายในสวนสาธาณะเงียบสงบไร้ผู้คน จะมีก็แค่เสียงลมพัดหวีดหวิวตามสไตล์ฤดูใบไม้ร่วง กับเสียงใบไม้ร่วงลงพื้นเท่านั้นแหละ

     

                ยองแจเลือกนั่งลงตรงขั้นบันไดที่ทอดยาวลงไปจนเกือบถึงริมทะเลสาบซอกชนที่ตั้งอยู่กลางสวน มุมประจำที่เขาเคยมานั่งพักอยู่บ่อยๆสมัยที่ยังทำงานพาร์ทไทม์อยู่แถวนี้ช่วงปิดเทอมของมหาลัย

     

                จำได้ว่าพอเลิกงานทีไร ต้องแอบแวบมานั่งพักที่นี่ประจำ นั่งพักเฉยๆบ้าง บางทีก็มีอะไรติดไม้ติดมือมานั่งทานไปพลาง เป็นการเติมพลังก่อนต้องไปต่อสู้กับฝูงชนมหาศาลในรถไฟใต้ดิน

     

     

     

                ...และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่เลือกมาที่นี่ก่อนกลับบ้าน...

     

     

     

     

     

                อ้าว...เพื่อนของแบมแบมนี่...ยองแจใช่มั๊ย?

     

     

     

                นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันหลังอีกฝ่ายจบจากมหาวิทยาลัยไป ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกันมากนักเพราะรู้จักกันแค่ห่างๆ แต่ยองแจก็จำรุ่นพี่แจ็คสันได้ตั้งแต่แรกเห็น รอยยิ้มสดใสนั่นยังเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เห็นตอนงานรับปริญญาของคนตรงหน้า

     

                ตอนนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรมาก ทักทายกันสองสามประโยคก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวไปวิ่งออกกำลังกายต่อ ส่วนยองแจก็เตรียมตัวกลับบ้านก่อนที่มันจะมืดจนเกินไป

     

                ไม่รู้เพราะโชคชะตา สวนสาธารณะมันเล็กห รือเพราะอะไร ยองแจถึงได้เจอรุ่นพี่แจ็คสันมันทุกวันๆ เจอกันที่เดิมเวลาเดิม จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เจอกันจนจะกลายเป็นกิจวัตรไปซะแล้ว

     

     

     

     

                มาคนเดียวทุกวันเลย เหงาป่ะเนี่ย มาเล่นบาสด้วยกันป่ะ   

     

                ไม่ดีกว่าฮะ เดี๋ยวผมต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดินอ่ะ ไม่มีชุดเปลี่ยนด้วย เดี๋ยวตัวเหม็นแล้วคนเค้าจะรังเกียจเอา

     

              น่าาา ไปเล่นด้วยกันหน่อย บาสมันเล่นคนเดียวไม่สนุกอ่ะ

     

              อ่า...แต่ว่าผม...

     

              เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งที่บ้านก็ได้ เหม็นๆกันสองคนบนรถเนี่ยแหละ นะๆๆๆ

     

               

     

     

     

                สุดท้ายเขาก็ต้องยอมใจอ่อนให้คนกับอายุมากกว่าและตามไปเล่นบาสตามที่อีกฝ่ายขอไว้ ตอนแรกยองแจก็มั่นใจเรื่องเล่นบาสเก็ตบอลอยู่หรอกนะ แต่พอต้องมาเล่นกับคนที่เล่นบาสเป็นประจำแบบนี้ เล่นกันไปชั่วโมงกว่า เขาได้จับลูกบาสถึง 20 นาทีหรือเปล่าเถอะ

     

                และเพราะไม่ได้ออกกำลังกายมานานมากๆ คนตัวเล็กเลยแทบสลบตอนเล่นเสร็จ ดีที่รุ่นพี่แจ็คสันรักษาสัญญาเรื่องจะไปส่งที่บ้าน ไม่อย่างนั้นยองแจคงต้องไปยืนสัปปะหงกบนรถไฟใต้ดินแน่ๆ

     

     

     

     

     

              ไหนๆก็เจอกันแทบทุกวัน พี่ขอเบอร์เราหน่อยสิ

     

              ครับ?

     

              ก็...เจอกันทุกวันไง...หรือจะ Kakao ก็ได้นะ

     

     

     

     

                พอกลับมาย้อนนึกตอนนี้แล้วขำเป็นบ้า เป็นการขอเบอร์ที่คนขอพูดได้หน้าตายไปอีก แม้แต่น้ำเสียงก็ยังคงความกวนๆตามนิสัยเจ้าตัว ติดก็แต่ว่ามือทั้งสองข้างนั่นแหละที่ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน ดูพันไปพันมาจนผิดสังเกต...ซึ่งไอ้สังเกตที่ว่านี่ก็ไม่ได้สังเกตตั้งแต่ตอนนั้นหรอกนะ พอมาคิดดูอีกทีแล้วก็ เออ! ทำไมพี่มันต้องทำท่าทางแบบนั้นด้วยนะ ตลกชะมัด

     

                ความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เหมือนเส้นขนาน ไม่เคยโคจรเข้ามาใกล้กันเลย เริ่มเบนเข้ามาใกล้กันมากขึ้นตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอเบอร์โทรศัพท์ การโทรมาคุยเรื่องทั่วๆไป มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบางในทุกๆคืนก่อนนอนเหมือนจะเป็นอีกกิจวัตรหนึ่งที่ยองแจขาดไปไม่ได้ เป็นความเคยชินของคนตัวเล็กไปซะแล้วที่ต้องรอจนถึงสามทุ่มเพื่อคุยโทรศัพท์ก่อนจะไปเข้านอน ราวกับว่าเสียงบอกฝันดีของใครอีกคน เป็นยานอนหลับให้กับชเว ยองแจ

     

                เราเริ่มเรียนรู้กันและกันอย่างช้าๆ เริ่มด้วยเรื่องทั่วๆไปอย่างบ้านอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ไปจนถึงเรื่องความชอบส่วนบุคคลอย่างอาหาร ภาพยนตร์ หรือแม้แต่สีที่ชอบ

     

                มีครั้งหนึ่งที่ยองแจไม่รู้จะช็อกหรือประทับใจดี คือแจ็คสันมาเซอร์ไพรซ์เขาถึงร้านอาหารเล็กๆที่เขาทำงานพาร์ทไทม์อยู่

     

                เพราะรู้มาว่าอีกฝ่ายค่อนข้างเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ได้ทำงานตำแหน่งสูงแม้จะเพิ่งเรียนจบมาได้ไม่ถึงปี ยองแจถึงไม่คิดว่ารุ่นพี่แจ็คสันจะลงทุนมาหาเขาถึงร้านอาหารเกาหลีข้างทางเล็กๆแบบนี้ (ถึงเจ้าตัวจะบอกว่ามาเพื่อกินข้าวมื้อสี่โมงเย็นก็เถอะนะ)

     

     

     

              พี่คิดยังไงเนี่ยถึงมาหาผมถึงนี่

     

     

                เป็นเขาที่เอ่ยถามไปหลังเราสองคนออกมาเดินเล่นนที่สวนสาธารณะซงพานารุในตอนเย็น ต่างตรงที่วันนี้รุ่นพี่แจ็คสันยังคงอยู่ในชุดทำงาน ไม่ใช่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นใส่ออกกำลังกายเหมือนทุกวัน

     

     

                ไม่ชอบเหรอ?

     

              ก็...ไม่ใช่ไม่ชอบ...แค่แปลกใจน่ะ

     

              ทำไม คิดว่าพี่เป็นพวกติดหรูหรือไงฮึ

     

              ก็...นิดนึง...ก็แหม ดูหน้าที่การงานพี่ดิ ใครๆเห็นเค้าก็ต้องนึกก่อนละว่าชอบอะไรที่แบบ...มีระดับ ไฮคลาส อะไรแบบนี้อ่ะ

     

              เมื่อกี๊เราพูดว่าอะไรนะ ไฮคลาส?

     

              ย่าห์! เลิกล้อสำเนียงผมเลยนะ! ให้ตายเถอะพี่คนนี้นี่

     

              ฮ่าฮ่า...ล้อเล่นหรอกน่า...

     

              ...ผมดีใจนะที่พี่โอเคกับมัน

     

              จริงๆแล้ว...พี่ก็ชอบทุกอย่างที่เป็นเรานั่นแหละ

     

              ‘…’

     

              แล้วเราล่ะ...ชอบพี่บ้างมั๊ย???

     

     

                จำได้ว่าตอนนั้นนอกจากจะทำตาโตใส่คนตรงหน้าแล้ว ขาทั้งสองข้างยังรีบเดินหนีออกมาจนแม้แต่ตัวเขาเองยังกลัวว่ามันจะพันกันจนล้มซะก่อน มืออีกข้างก็ยกขึ้นพัดหน้าตัวเองที่อยู่ดีๆก็เห่อร้อนขึ้นมา

     

                ...คนที่ไหนเค้าอยู่ดีๆก็พูดเรื่องแบบนี้กันโต้งๆเล่า!...

     

     

                บิ้วท์หน่อยสิบิ้วท์...

     

                ไม่ตกใจตาเหลือกก็บุญแค่ไหนแล้ว

     

     

                แต่นอกจากคนพูดจะไม่เขินแล้ว ยังหัวเราะเสียงดังจนเขาต้องหันไปมองค้อนใส่อีกด้วย ให้ตายเถอะ

     

     

     

                เมื่อ 4 ปีที่แล้วชเว ยองแจ กับ หวัง แจ็คสัน ก็นั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ มือทั้งสองข้างกุมกันไว้ เหมือนเป็นคำสัญญาว่าจะไม่จากกันไปไหน

     

     

     

     

                เรื่องตลกก็คือ...4 ปีผ่านไป ชเว ยองแจยังคงนั่งอยู่ที่เดิม...หากแต่ไร้คนข้างกาย

     

     

                ...และคงไม่มีอีกต่อไป...

     

     

                ....นี่คือสิ่งที่คนตัวเล็กพร่ำบอกตัวเองมาตลอดระยะเวลา 5 เดือน...

     

     

                พยายามยิ้ม พยายามหัวเราะ ทว่า น้ำตายังคงไหลออกมา

     

     

                เพราะใจยังคงคิดถึงอีกคนแทบบ้า แม้สมองจะพยายามสั่งให้ลืมมากแค่ไหนก็ตาม

     

     

     

     

    กรอบ!

     

                เสียงประหลาดจากด้านหลังดึงคนตัวเล็กให้หลุดออกจากห้วงความคิด ยองแจหันไปมองตามเสียง ก่อนแทบหยุดหายใจ

     

                เพราะอยู่ในจุดที่แสงไฟส่องลงมาพอดี แผ่นหลังกว้างคุ้นตาใต้เสื้อยืดสีดำสนิทที่อยู่ในระดับสายตาจึงเป็นสิ่งแรกที่ยองแจสังเกตเห็น ผมสีบลอนด์สว่างที่ตอนนี้เริ่มเห็นโคนสีดำบ้างแล้วยิ่งทำให้คนตัวเล็กมั่นใจว่าเขาจำไม่ผิด

     

                ...แม้จะไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาตนเองเท่าไหร่ก็ตาม...

     

     

     

     

     

     

                “...เฮีย...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แจ็คสันอยากจะตบตัวเองสักร้อยครั้งที่เผลอเดินเหยียบใบไม้แห้งโง่ๆจนเกิดเสียงขึ้น ถึงจะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอที่จะเรียกให้คนตัวเล็กหันมา

     

                ความจริงคือ แจ็คสันมาอยู่ที่นี่ หลบอยู่ตรงนี้นานพอสมควรแล้ว หลังจากวิ่งหาคนตัวเล็กมาหลายที่ เสียค่าแท็กซี่ไปหลายหมื่นวอนอยู่ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขามาที่สวนสาธารณะแห่งนี้

     

                หิ่งห้อยตัวหนึ่ง...ล่ะมั้ง?

     

                ฟังดูปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่ก็เอาเถอะ วินาทีที่เห็นว่าคนตัวเล็กนั่งหันหลังอยู่ตรงหน้า หัวใจที่หนักอึ้งด้วยความกังวลของเขาก็เหมือนเบาลง บรรยายไม่ถูกเลยว่าโล่งใจขนาดไหนที่เห็นว่าคนตรงหน้าปลอดภัยดี

     

                หลังจากส่งข้อความบอกยูคยอมเรียบร้อยแล้ว แจ็คสันก็หลบอยู่ตรงนี้ ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้จนกว่าคนตัวเล็กจะกลับบ้าน

     

                ...ไม่กล้าเข้าไปหาหรอก...

     

                เขาขอไว้เองไม่ใช่เหรอ...ว่าอย่ามาให้เห็นหน้า

     

                เข้าไปหา ก็อาจจะมีแต่ทำให้คนตัวเล็กกว่าร้องไห้แน่ๆ

     

                แค่นี้ เขาก็ทำให้เด็กขี้แยร้องไห้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

     

                เด็กคนนี้ ถึงจะชอบทำเป็นเข้มแข็ง ทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ลับหลังทีไรมีแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งจนเขาต้องเป็นคนเข้าไปปลอบทุกที

     

                ทุกครั้งที่คนตัวเล็กร้องไห้ เขาจะเอ่ยถามเสมอว่าเป็นอะไร โดนใครทำอะไรมา บอกมาเลย เดี๋ยวเฮียไปจัดการให้...เรื่องตลกคือ สุดท้าย เขากลับเป็นคนทำให้ยองแจร้องไห้ซะเอง

     

     

     

     

     

                “...เฮีย...ใช่มั๊ย”

     

               

     

     

     

                “...อืม...”

     

     

                แจ็คสันตัดสินใจหันกลับไปหาเจ้าของเสียงเรียกในที่สุด ร่างเล็กที่เคยดูมีน้ำมีนวลกลับซูบผอมลงจนน่าตกใจ ไหนจะใบหน้าอิดโรยเหมือนผ่านการร้องไห้มาตลอดนั่นอีก

     

     

                แจ็คสันกำลังโกรธ

     

                โกรธ...ที่ปลอบคนตัวเล็กไม่ได้

     

                โกรธ...ที่สาเหตุของทุกอย่าง...คือเขา

     

     

     

                “เฮีย...มาทำอะไรที่นี่เหรอ”

     

                ทั้งที่เป็นแค่คำถามง่ายๆ แต่คนฉลาดเป็นกรดอย่างแจ็คสันกลับตอบไม่ได้ เสียงในลำคอเหมือนจะถูกทำให้หายไปตั้งแต่หันมาสบตากับคนตรงหน้า

     

                “...มา...เดินเล่นน่ะ...”

     

                เป็นคำตอบโง่ๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เขานึกออกในตอนนี้

     

                “...แล้ว...ยองแจล่ะ...”

     

                “...”


                “...”

     

                “...เหมือนกัน...”

     

                “...”

     

                “เราสองคนนี่ยังโกหกไม่เก่งเหมือนเดิมเลยเนอะ ฮะๆ”

     

                “...”

     

                “...เฮ...พี่เมื่อยมั๊ย...มานั่งด้วยกันก่อนสิ”

     

     

     

                แจ็คสันไม่รู้หรอกว่ายองแจใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการพูดประโยคนี้ คนตัวเล็กฝืนทำเป็นยิ้ม ฝืนพูดปกติ เลือกใช้สรรพนามเหมือนกับก่อนที่เราจะมาคบกัน สมัยที่เรายังเป็นแค่คนที่เจอกันทุกวันที่สวนสาธารณะแห่งนี้

     

                รู้อยู่หรอกว่าโอกาสที่คนตัวสูงจะปฏิเสธน่าจะมีมากกว่า...แต่บางครั้ง...คนเราก็อยากจะลองเสี่ยงใช่มั๊ยล่ะ

     

                อย่างน้อย...ก็ให้ได้ตามใจตัวเองอีกสักครั้ง

     

                ...ต่อให้วันพรุ่งนี้ต้องกลับไปพยายามลืมใหม่ตั้งแต่ศูนย์ก็ไม่เป็นไร...

     

                ...ขอแค่ตอนนี้...

     

     

                ...แค่ตอนนี้เท่านั้น...

     

     

     

     

     

                แจ็คสันยังคงลังเล ความรู้สึกผิดที่ยังสุมอยู่เต็มอกทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเข้าไปใกล้คนตัวเล็กแม้ความต้องการในใจจะเรียกร้องขนาดไหน

     

                เขากำลังกลัว

     

                ถ้าเข้าไปใกล้...เขาจะทำให้ยองแจร้องไห้อีกมั๊ย

     

                คนตัวเล็ก...จะต้องฝืนยิ้มในวันต่อๆไปเพราะเขาอีกหรือเปล่า...

     

     

     

     

     

                “...เฮีย...ไม่สิ...พี่ว่า...พี่อยู่ตรงนี้ดีกว่า...”

     

     

                ยองแจหน้าเสียไปเล็กน้อยหลังโดนปฏิเสธ คนตัวเล็กฝืนฉีกยิ้มแห้งๆกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำใสๆที่อาจจะไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

     

                ...ต้องไม่ร้องไห้สิยองแจ...ไม่ร้องไห้...

     

                ...ฮึบนะ...ฮึบ...ไม่ร้องๆ...

     

     

                ...โตแล้วนะ...จะมาร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ได้ยังไง...

     

                ...ไม่มีใครมาปลอบแล้วสักหน่อย...

     

     

     

     

     

                “...แล้ว...พี่...เป็นยังไงบ้างฮะ...”

     

                “...”

     

                “สบายดี...ใช่หรือเปล่า”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “...อืม...พี่สบายดี...”

     

                “...”

     

                “...แล้วยองแจล่ะ...”

     

                แม้แต่ประโยคถามไถ่ง่ายๆ แจ็คสันยังต้องใช้เวลาในการฝืนพูดออกมา ระยะห่างประมาณ 2 เมตรไม่ได้เป็นอุปสรรคในการมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทำไมเขาจะมองไม่ออกว่าคนตัวเล็กที่นั่งเอี้ยวตัวมาหาเขากำลังฝืนทำตัวเป็นปกติขนาดไหน

     

                “...ผมก็...เรื่อยๆแหละ”

     

                “...”

     

                “จะให้พูดว่าสบายดี...มันก็ดูจะหลอกตัวเองไปหน่อยเนอะ ฮะๆ...”

     

                “...”

     

                “แต่เห็นพี่สบายดี...ผมก็ดีใจ...”

     

                “...”

     

                คนตัวเล็กหยุดพูดไปก่อนเอี้ยวตัวกลับไป ใช้มือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมาอย่างรวดเร็วและหันกลับไปส่งยิ้มฝืนๆให้กับคนด้านหลังอีกครั้ง

     

                แน่นอน แจ็คสันไม่ได้สายตาสั้น และที่ตรงนี้ก็ไม่ได้มืดจนเขาไม่เห็นน้ำใสๆที่คนตัวเล็กรีบปาดมันทิ้งไป

     

                ขาข้างหนึ่งกำลังจะก้าวเข้าไปหาเพื่อกอดปลอบอีกคนเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่ร่างกายกลับชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำแบบนั้นได้อีกแล้ว

     

                รอยยิ้มฝืนๆนั่นทำหวัง แจ็คสันใจสลาย จิตใต้สำนึกสั่งให้เข้าไปกอด เอ่ยปลอบโยนคนตัวเล็ก ทว่าสมองกลับสั่งให้ทำสิ่งตรงกันข้ามอย่างการยืนนิ่งๆอยู่ตรงนี้

     

                ...กอดไม่ได้...

     

                ...ไม่ได้อีกแล้ว...

     

     

     

                “กลับบ้านเถอะ...ดึกมากแล้ว”

     

                ...เดี๋ยวจะไม่สบายเอา

     

                ประโยคหลัง แจ็คสันได้แต่เอ่ยกับตนเองในใจเท่านั้น

     

                “อา...จริงด้วยสิ...ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

     

                “...”

     

                “พี่ก็...เดินทางปลอดภัยนะครับ”

     

                “...”

     

                “ถ้าพี่ขับรถมา...ก็...อย่าขับเร็วมากนะ...มันอันตราย”

     

                “...”

     

                “พอถึงคอนโด ก็อย่าลืมห่มผ้าหนาๆนะ...เดี๋ยวจะ...ไม่สบายเอา...”

     

                คนตัวเล็กหยุดพูดพลางยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ขาทั้งสองข้างก้าวเข้ามาหาใครอีกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าน่ารักเปียกชื้นไปด้วยคราบน้ำตาแม้เจ้าตัวจะพยายามปาดมันทิ้งไปมากแค่ไหน ทว่าริมฝีปากบางยังคงฝืนฉีกยิ้มบางแม้สิ่งที่อยากทำจริงๆคือการสะอื้นไห้ออกมาจนขาดใจ

     

                ยองแจยังคงยิ้ม...เหมือนวันแรกที่เจอกัน...

     

                “อาจจะเป็นแค่คำพูดโง่ๆของคนที่ยังไม่พยายามก้าวไปข้างหน้าอย่างผมนะ...แต่...แต่ขอให้ผมได้ทำตามใจตัวเอง...ให้ผมได้...ให้ผมได้พูดมันอีกสักครั้ง...”

     

                “...”

     

     

     

     

     

                “...คิดถึง...มากนะ...”

     

     

               

     

     

                เหมือนเชือกเส้นสุดท้ายถูกดึงจนขาด คำสั่งของสมองถูกเพิกเฉยไปเมื่อจิตใต้สำนึกเข้ามาแทนที่ ร่างบอบบางของคนตรงหน้าถูกดึงรั้งเข้ามาใกล้จนห่างเพียงลมหายใจกั้น

     

                วินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน เหมือนยิ่งเป็นการตอกย้ำความโหยหากันและกันของทั้งคู่

     

     

                ระยะเวลาห้าเดือนที่ห่างกันไป...ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไปเลย

     

                ...ยังคงเหมือนเดิม...

     

                ...ยัง...รัก...เหมือนเดิม

     

     

     

    이젠 알아 절대로 우리는 헤어질 없어

    I know now that we can never part from each other

     

    사랑하고 사랑하는 한사람

    The one person I love and love again

     

     

     

                “ขอโทษ...เฮียขอโทษนะยองแจ...”

     

                น้ำเสียงทุ้มสั่นครือเอ่ยขึ้นหลังผละริมฝีปากออกมา มือทั้งสองข้างรวบกอดร่างเล็กไว้แน่นจนยองแจแทบจะจมหายเข้าไปในแผงอกกว้าง

     

                ...จะไม่ปล่อยไปไหนอีกแล้ว...

     

                “เพราะความโง่ของเฮีย ความเห็นแก่ตัวของเฮีย...ขอโทษ...”

     

                แจ็คสันซบหน้าลงกับบ่าเล็ก ปากยังคงเอ่ยคำต่อว่า กล่าวโทษตัวเองไม่หยุด แม้ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ความเจ็บปวดที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นี้ก็แสดงออกชัดเจนแล้วว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกผิดมากแค่ไหน

     

                ...แม้จะขอโทษอีกสักพันครั้ง...มันก็ยังไม่พอ...

     

                ...กับสิ่งที่เขาทำลงไป...คำขอโทษพวกนี้...ไม่มีค่าเท่ากับความรู้สึกของคนตัวเล็กที่เสียไปตลอด 5 เดือนที่ผ่านมานี้หรอก...

     

     

     

                ทั้งที่รู้อย่างนี้ คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาก็ยังอยากจะขอ...โอกาส

     

                อยากขอโอกาสจากคนตรงหน้า...ให้ได้กลับไปแก้ตัว...

     

                ...ให้เราได้เริ่มใหม่กันอีกสักครั้ง...

     

     

     

                “...เรามาเริ่มต้นใหม่...ด้วยกันได้มั๊ย”

     

                “...”

     

                “ขอโอกาสเฮีย...อีกสักครั้งนะ...”

     

     

                ไม่มีเสียงตอบจากคนที่กำลังสะอื้นจนตัวโยน มีเพียงใบหน้าที่พยักขึ้นลงในอ้อมอกกว้างแทนคำตกลงเท่านั้นที่ทำให้แจ็คสันคลี่ยิ้มกว้าง รวบคนตัวเล็กเข้ามากอดเสียแน่นด้วยความดีใจจนคนที่กำลังร้องไห้ต้องเอ่ยประท้วง

     

                “เฮีย...ฮึก...แจ....หายใจไม่ออกแล้ว...ฮะฮะ...”

     

                “เฮียมีความสุขนี่นา...” แจ็คสันว่าพลางผละตัวออกเล็กน้อยให้สามารถสบตากับคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าได้ “จะไม่ปล่อยไปไหนอีกแล้ว...เฮียสัญญาเลย”

     

                “...”

     

                “ห้าเดือนที่ไม่มีเราอยู่ เฮียเหมือนจะตายเลยรู้มั๊ย”

     

                “รู้สิ...”

     

                “...”

     

                “...แจก็เหมือนกัน...”

     

                ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองคนอีกครั้ง ทว่ามันไม่ใช่เงียบเพราะความอึดอัดเหมือนเมื่อห้านาทีก่อน แต่เป็นการเงียบเพื่อซึมซับบรยากาศดีๆระหว่างกัน ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งข้างกันตรงขั้นบันได มือทั้งสองข้างกุมกันไว้แน่นเหมือนเป็นคำสัญญาว่าจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปอีกเป็นครั้งที่สอง

     

                “เฮียจำได้มั๊ย...สี่ปีที่แล้ว...เราก็นั่งอยู่ตรงนี้”

     

                ยองแจว่าพลางหันไปมองคนข้างๆ ริมฝีปากเผลอคลี่ยิ้มบางๆทันทีที่นึกถึงความทรงจำเก่าๆ

     

                “จำได้สิ...”

     

                “...”

     

                “จำได้ว่าเรานั่งตรงนี้...”

     

                “...”

     

                “จับมือกัน...แบบนี้...”

     

                “...”

     

                “แล้วเฮียก็บอกรักเรา...แบบนี้”

     

                ชายหนุ่มโน้มตัวมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนแนบริมฝีปากเข้ากับตำแหน่งเดียวกันของอีกฝ่าย

     

     

     

                “...我愛你

     

     

     

     

    I've loved you forever, in lifetimes before

    And I promise you never

    will you hurt anymore

     

    I give you my word

    I give you my heart

    This is a battle we've won

    And with this vow, forever has now begun

     

    Fin

    17/5/2016

    4:13 am

    Yesterday EP 4 : Rewind - Fin

    17/5/2016

    4:13 am


    END


    Cr. เนื้อเพลง

    1. One Year Later By Jessica & Onew [Shinee]

    เนื้อภาษาเกาหลี : https://www.siamzone.com/board/view.php?sid=1083288

    คำแปลภาษาอังกฤษ : http://www.soshified.com/forums/topic/21011-06-1%EB%85%84-%E5%BE%8Cone-year-later/


    2. This is I promise you - N Sync

    เนื้อเพลงภาษาอังกฤษ : http://my.dek-d.com/sasaimiyeon/writer/viewlongc.php?id=830836&chapter=2


    Let's Talk


    SF เรื่องเเรกจบแล้ว เย่!!! *จุดพลุ


    เป็น อะไรที่สูบวิญญาณใช้ได้เลยเหมือนกัน มีหลายช่วงเลยที่ตันๆ เขียนไม่ออก เลยอาจจะทำให้ภาษาแปลกๆไปบ้างนะคะ ฮือ สำหรับตอนสุดท้ายของเช็ตนี้ก็ สิริรวม 60 หน้า Word ค่ะ OMG เยอะไปอีก แอบคิดว่าจะแบ่งเป็น 5 ตอนดีมั๊ย แต่หาจุดตัดไม่ได้เลยค่ะ เลย อ่ะๆ 60 ก็ 60 เนอะ ตาเปียกตาแฉะกันไป


    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมนะคะ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^


    Pupu

    Edit คำผิดค่ะ
    1:41 am
    19/5/2016
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×