ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #11 : [SF] My Old Story : EP 5 | JackJae (END)

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 59




    My Old Story By IU


    *********************************************************************


    Episode 5

    The big tree and a little boy









    เสียงออดหน้าห้องดังตอนเที่ยงคืนกว่าทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อย

     

    เพราะเอาแต่คิดมากเรื่องคนที่เพิ่งเจอไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน ผมถึงได้ข่มตาให้หลับไม่ได้สักทีแม้จะเลยเวลานอนปกติมาเกือบชั่วโมงแล้วก็ตาม

     

    ...อยู่ดีๆก็มาเจอแบบนี้...ผมควรรู้สึกยังไงดีกันล่ะ ฮะๆ...

     

    ทั้งที่ควรดีใจจนอยากจะกระโดดเข้าไปกอดคนตรงหน้า...จริงๆผก็อยากทำแบบนั้นนั่นแหละ แต่คงเพราะความน้อยใจ ไม่เข้าใจ รวมถึงทิฐิที่ว่าตัวเองถูกทิ้งให้รออยู่ตั้ง 7 ปีมันค้ำอยู่ ทำให้ผมพูดทักทายพี่แจ็คสันไปแค่สั้นๆและหนีเข้ามาในห้อง

     

    ความรู้สึกหลากหลายมันตีรวนขึ้นมาจนรู้สึกจุกไปหมด

     

    ทั้งจุก อึดอัด จนเหมือนจะหายใจไม่ออก

     

     

    เคยคิดเล่นๆถ้าได้เจออีกฝ่ายอีกครั้งจะกระโดดเข้าไปกอดแน่นๆจนพี่มันต้องโวยวายหายใจไม่ออกออกมาเลย เคยคิดว่าจะต้องดีใจมากๆจนน้ำตาไหลออกมาแน่ๆ

     

    แต่ความจริง...

     

     

     

     

              พี่คงคิดถึงเราแย่เลย

     

     

     

              ถ้าคิดถึงจริง...จะหายไปทำไมตั้ง 7 ปี

     

              หายไปอย่างนี้ได้ยังไง! ทำไมไม่มีติดต่อกลับมาบ้าง! พี่เคยคิดบ้างมั๊ยว่าคนรออย่างผมมันรู้สึกยังไง...

     

     

     

              อยากจะตะโกนทั้งหมดนี่ใส่หน้าคนห้องข้างๆ เอาให้เจ้าตัวหูดับไปเลย!

     

                  พี่แม่ ง...แย่

     

     

     

    ออดดดดด

     

     

              โอเค สงสัยว่าผมจะเวิ่นเว้อเยอะไปหน่อย แขกยามวิกาลถึงต้องกดออดเรียกอีกรอบแล้ว

     

     

    “มาแล้วครับๆ”

     

    ถึงจะตะโกนบอกคนหน้าห้องไปแบบนั้น แต่เอาจริงๆนะ....ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าใครจะมาหาผมในเวลาแบบนี้

     

    คือเที่ยงคืนกว่า...จะตีหนึ่งอยู่แล้วมั๊ยอ่ะ

     

    ยิ่งคนเพื่อนน้อยแบบผม...คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกอ่ะ

     

     

     

    เพราะประตูบานนี้ไม่มีตาแมวให้มองจากในห้อง ผมจึงแง้มประตูออกแค่นิดหน่อยพอให้มองเห็นว่าคนข้างนอกเป็นใคร ป้องกันไว้ก่อน เกิดเป็นโจรหรือพวกคนไม่หวังดีจะได้รีบปิดทัน

     

    “อ้าว...ไม่เห็นมีใครเลย”

     

              ผมเอ่ยเบาๆกับตัวเองเมื่อไม่เห็นใครเลยสักคน...ให้ตายเถอะ! อย่าให้รู้นะว่าใครมันแกล้งมาเคาะประตูห้องเล่นๆแบบนี้อ่ะ! ไม่ตลกนะเว้ย!

     

                  ยิ่งกับคนขี้กลัวแบบผม...งือ ไม่เอาๆ หยุดคิดเรื่องน่ากลัวเดี๋ยวนี้นะยองแจ

     

              “อืออออ”

     

              เสียงแปลกๆจากหน้าห้องทำให้ผมกำประตูไม้แน่น ขนบนร่างกายพร้อมใจกันลุกชันแบบไม่ทราบสาเหตุ

     

                  เสียง...เสียงลมมั้ง หูฝาดแน่ๆยองแจ ฮะๆๆ

     

                  แม้จะกลัวจนมือเริ่มชื้นเหงื่อ แต่ผมก็ยังพยายามสั่นสู้ กวาดสายตามองซ้ายขวาอีกทีจนแน่ใจว่าคงไม่มีใคร (หรืออะไร) โผล่มาให้ตกใจเล่น ถึงได้ค่อยๆปิดประตูลง

     

              โอยยยย เจอแบบนี้ คืนนี้ได้นอนไม่หลับของจริงแน่ยองแจเอ๊ยย

     

                  และในจังหวะที่ผมกำลังจะปิดประตูนั่นเอง สัมผัสเย็นๆที่ข้อเท้าทำให้ผมสะดุ้งโหยงจนต้องสบถออกมาเสียงดัง

     

              “เชี่ยยยยยยยย ตัวอะไรวะ!! ออกไปๆๆๆ ไม่ๆๆๆๆ ฮืออออออออ”

     

              ผมกรีดร้องพลางกระโดดโหยงเหยง พยายามสะบัดการเกาะกุมจากอะไรสักอย่างที่ข้อเท้า ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะตอนนี้ผมกำลังหลับตาปี๋ ไม่มีแม้แต่ความกล้าจะก้มหน้าลงไปดูว่าไอ้ที่จับข้อเท้าผมอยู่มันคืออะไร

     

              “ออกไปปป ฮือออ ปล่อยยยย พระเจ้าช่วยยองแจด้วย ฮือออออ”

     

              “โวยวายอารายยย หนวกหูวว”

     

              “ฮืออออ”

     

              “โว้ยยย โคนจานอนนโว้ยย”

     

     

     

              หืม? ทำไมเหมือนผมได้ยินเสียง...เหมือนเสียงเอคโค่ดังควบคู่ไปกับเสียงกรีดร้องของผมด้วย???

     

              แถมยังเอคโค่เป็นคำพูดยานคางอีก

     

              “จานอนนน คร่อก”

     

              เพราะรู้สึกว่าเสียงเอคโค่นั่นมันชักจะฟังแปลกๆและดูไม่น่าใช่อะไรเหนือธรรมชาติอย่างที่นึกกลัว ผมถึงได้ทำใจกล้าก้มหน้าลงไปมอง

     

              และสิ่งที่เห็น...มันทำให้ผมตกใจเสียยิ่งกว่าเห็นผีซะอีก

     

     

              “พี่แจ็คสัน?!

     

     

              ถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อภาพที่เห็นสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่ผิดแน่ คนที่นอนเมาเป็นหมาอยู่หน้าห้องผมตอนนี้กับคนที่ผมเจอโดยบังเอิญเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนคือคนเดียวกัน

     

              “ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะเนี่ย”

     

              ผมพูดกับตัวเองงๆพลางเกาหัว เวลาแค่ 2 ชั่วโมงสามารถทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ จำได้ว่าเจอกันตอนนั้นพี่แจ็คสันยังดีๆอยู่เลยนี่นา

     

             “พี่แจ็คสัน...พี่แจ็คสันตื่นเถอะครับ พี่จะมานอนตรงนี้ไม่ได้นะ...พี่แจ็คสัน”

     

              ถึงจะยังไม่ค่อยอยากมองหน้าคนแถวนี้สักเท่าไหร่ แต่ไอ้จะทำเมินแล้วเดินหนีเข้าห้องมันก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกัน ผมเลยย่อตัวลงเขย่าตัวคนเมาไม่ได้สติเบาๆ กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งซะจนคนไม่ค่อยถูกกับอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่อย่างผมต้องยกมือขึ้นปิดจมูก ดื่มหรืออาบมากันแน่เนี่ย ให้ตายเถอะ

     

              ผมลองพยายามควานหากุญแจห้องตามตัวพี่แจ็คสัน อย่างน้อยจะได้พาคนตัวโตเข้าไปนอนในห้องดีๆ อยู่อย่างนี้ทั้งคืนถ้าไม่แข็งตายซะก่อนก็คงโดนยุงหามแน่ๆ

     

              “ทำไมไม่มีอ่ะ”

     

              แต่ไม่ว่าจะควานหายังไง ทั้งกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อ กระเป๋าสตางค์ ผมก็หากุญแจไม่เจอ และผมก็คิดว่าพี่แจ็คสันคงจะไม่ประหลาดถึงขั้นเอากุญแจห้องไปซ่อนตามที่แปลกๆในร่างกายหรอกนะ เหอะๆ

     

              “หรือว่าจะลืมไว้ในห้อง...เอาจริงดิ”

     

    ต้องสะเพร่าขนาดไหนเนี่ย! ถึงขั้นลืมกุญแจห้องไว้ในห้องอ่ะนะ บ้าไปแล้ว!

     

              “เอาไงดีวะเนี่ย”

     

              หลังยืนชั่งใจอยู่สักพัก ผมก็ตัดสินใจพยุงคนตัวโตให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ถึงส่วนสูงจะไม่ต่างกันมากก็เถอะนะ

     

              ถึงในใจจะยังไม่พร้อมเท่าไหร่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับพี่แจ็คสัน แต่จะให้ทิ้งคนเมาแถมยังลืมกุญแจไว้ในห้องให้นอนอยู่ตรงนี้ผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน สุดท้ายเลยตัดสินใจยอมให้คนข้างห้องมาค้างห้องตัวเองสักคืนก็แล้วกัน

     

              “พอเจอหน้ากันปุ๊บก็สร้างภาระให้ผมปั๊บเลยนะ พี่แจ็คสันนี่มันพี่แจ็คสันจริงๆเลย เฮ้อ”

     

     

     

     

     

     

     

     

              วินาทีที่ประตูห้องของรุ่นน้องที่รู้จักปิดลง ร่างสูงของอิม แจบอมก็ค่อยๆโผล่ออกมาจากหัวมุมที่เขาแอบอยู่ตั้งนานสองนาน

     

              ลุ้นแทบแย่ว่าน้องมันจะยอมให้เพื่อนเขาเข้าไปในห้องตามแผน หรือจะใจร้ายปล่อยให้
    แม่ งนอนอาบยุงอยู่ตรงนั้น

     

              และแน่นอน ยองแจไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยสักนิด

     

              “กูอุตส่าห์ลงทุนสร้างโอกาสให้แล้ว ช่วยใช้ให้คุ้มด้วยนะไอ้แจ็คสัน”

     

              ชายหนุ่มกระซิบกับตัวเองเบาๆ นิ้วมือใหญ่ยกขึ้นควงพวงกุญแจห้องของคนขี้เมาพลางผิวปากอย่างอารมณ์ดีก่อนเจ้าตัวจะเดินจากไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              “แล้วต้องทำไรต่ออ่ะ”

     

              ผมพึมพำกับตัวเองเสียงเบา สายตายังคงจ้องไปยังคนเมาไร้สติที่อยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่น

     

              “อืออออ แจ๊บๆ”

     

              จ้า! เชิญนอนตามสบายเลยจ้า! เหอะ!

     

              คิดในใจพลางเบะปากใส่คนตรงหน้า ผมยืนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินหายเข้าไปในห้องนอน คว้าผ้าสะอาดมาหนึ่งผืนพร้อมขันใส่น้ำสะอาดอีกหนึ่งใบ

     

              ผ้าชุบน้ำหมาดๆถูกซับเข้าที่ใบหน้าคมอย่างแผ่วเบา ไล่ตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงซอกคอ อย่างน้อยก็เพื่อชะล้างคราบเหงื่อ คราบแอลกอฮอล์ออกไปบ้าง เผื่อว่าจะทำให้คนที่กำลังหลับรู้สึกสบายตัวมากขึ้น

     

              วูบหนึ่งที่ได้มองใบหน้าของใครอีกคนแบบชัดๆ หัวใจไม่รักดีมันก็พลันเต้นแรงขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ

     

              เต้นแรง...แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..ตลอดระยะเวลา 7 ปี

     

              ไม่ใช่ว่าช่วงที่เคยคบกับคนอื่นๆหัวใจผมไม่เคยเต้นแรงเลยนะ มันก็มีบ้าง ตามสถานการณ์ ผมก็คน ไม่ใช่พระอิฐพระปูนมั๊ยล่ะ

     

              แต่นี่มัน...แตกต่าง

     

              ราวกับว่ามันกำลังดีใจ ที่ตามหาอีกครึ่งหนึ่งเจออย่างไรอย่างนั้น

     

     

     

     

              ฮะๆ...คิดบ้าอะไรอยู่เนี่ยยองแจ ดึกแล้วเพ้อหรือไง

     

     

     

     

              แค่นยิ้มก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมพยายามเรียกสติที่ชักเพ้อไปไกลขึ้นทุกทีให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง นาฬิกาตีบอกเวลาตีหนึ่งเหมือนเป็นสัญญาณเร่งให้ผมรีบเข้านอนสักที

     

              โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันว่าง ผมไม่มีคลาสสอนพอดี ไม่งั้นไม่อยากจะคิดเลยว่าจะต้องไปสอนนักเรียนในสภาพไหน

     

              “...ยองแจ”

     

              เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ขาที่กำลังจะก้าวกลับเข้าห้องนอนชะงักไป

     

              “...ยองแจ...ใช่มั๊ย”

     

              ผมตัดสินใจหันกลับไปหลังถูกเรียกซ้ำเป็นครั้งที่สอง

     

              ภาพคนตรงหน้าที่กำลังหรี่ตาสู้แสงไฟจากเพดานห้องเพื่อมองตรงมาทำให้ผมรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก

     

              เหมือนกับเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนไม่มีผิด

     

              ต่างตรงที่ว่า ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้คนตรงหน้ามีสติมากน้อยแค่ไหนก็เท่านั้น

     

              “ยองแจ...”

     

              ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนตัวโตเดินเซๆมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

     

              “...”

     

              “...พี่...”

     

              “...ผมว่าพี่นอนพักดีกว่าครับ พี่เมามากแล้ว”

     

              เป็นผมเองที่พูดขัดขึ้นมาก่อนใครอีกคนจะทันพูดอะไร

     

              แน่นอนว่าผมยังเคืองคนตรงหน้าที่หายไปดื้อๆตั้ง 7 ปี และยังอยากฟังคำอธิบายจากคนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดอย่างเจ้าตัว

     

    แต่อีกใจหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า...ยังไม่พร้อม

     

    กลัว...ว่าคำอธิบายจะออกมาในรูปแบบไหน

     

    เพราะไม่รู้...จึงหวั่นใจ และกลายเป็นคำว่ายังไม่พร้อม

     

    ก็แค่...กลัว

     

     

     

     

    !!!!

     

     

    “ขอโทษ”

     

     

    แรงโอบกอดจากด้านหลังมาพร้อมกับคำพูดสั้นๆเพียงสองคำ

     

     

              พี่แจ็คสันไม่ได้โถมแรงทั้งตัวมารั้งผมไว้ ไม่ได้แม้แต่ออกแรงกอดรัดจนผมหนีไปไหนไม่ได้ มีเพียงท่อนแขนแข็งแรงทั้งสองข้างที่โอบผมไว้หลวมๆกับน้ำเสียงอ่อนแรงของเจ้าตัวที่ทำให้ผมก้าวหนีต่อไปไม่ออกก็เท่านั้น

     

              “ขอโทษที่หายไป”

     

              “...”

     

              “...ขอโทษที่ไม่ติดต่อกลับมา...”

     

              “...”

     

              “ขอโทษที่ทำให้เราต้องเป็นฝ่ายรออย่างไร้จุดหมายแบบนี้”

     

              “...”

     

              “พี่...”

     

              “พี่รู้ได้ยังไงเหรอครับว่าผมรอพี่”

     

              คำพูดของผมทำให้คนที่กำลังจะเอ่ยอะไรสักอย่างออกมาชะงักไป แม้แต่อ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรอบตัวผมอยู่ก็ดูจะหลวมลงไปนิดหนึ่งด้วยความตกใจ

     

              ผมอาศัยจังหวะที่ใครอีกคนกำลังตกใจผละตัวออกจากอ้อมแขนนั่นและหันหลังกลับไปประจันหน้ากับเขา

     

              “เพราะรู้อยู่แล้วใช่มั๊ย”

     

              “...”

     

              “...เพราะรู้อยู่แล้ว...ว่าพี่สำคัญกับผมมากแค่ไหน”

     

              “...”

     

              “...รู้อยู่แล้วว่าผม...ว่าผม...ชอบ...พี่มากขนาดไหน”

     

              “...”

     

              “...ใช่มั๊ย”

     

              “...”

     

              “...พี่แจ็คสัน...”

     

    ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากคนตรงหน้า มีเพียงใบหน้าที่พยักขึ้นลงเบาๆ กับความรู้สึกหลากหลายที่พรั่งพรูขึ้นมาจนผมแทบทนยืนต่อไม่ไหว

     

     

     

              “...ถ้ารู้แล้วทำไม...”

     

              “...”

     

              “...ถ้าพี่ไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน ก็บอกผมมาตรงๆสิ...”

     

              “...”

     

              “...ทำไมต้องทำแบบนี้ ทิ้งผมไว้กับความไม่รู้ตลอด 7 ปี...มันไม่ตลกนะพี่แจ็คสัน...ฮึก...ไม่ตลกเลยสักนิด...”

     

             

              ประโยคสุดท้ายถูกพูดออกมาพร้อมๆกับเสียงสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมทรุดตัวลงกับพื้นอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป มือทั้งสองข้างโอบกอดตัวเองที่ร้องไห้จนตัวโยน ราวกับความรู้สึกที่อัดอั้นมาตลอด 7 ปีมาระเบิดเอาตอนนี้

     

              ความไม่เข้าใจ ความโกรธ เสียใจ น้อยใจ

     

              ความรู้สึกทุกอย่างที่พยายามเหยียบไว้ และพร่ำบอกตัวเองว่าให้เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง ระเบิดออกมาเพียงแค่ได้กลับมาเจอพี่แจ็คสันอีกครั้ง

     

              ร้องไห้ จนความคิดบ้าๆความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว

     

     

              บางที...ถ้าเราไม่เจอกัน

     

              ถ้าผมปล่อยพี่แจ็คสันให้นอนอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม

     

              ถ้าผมกลับคอนโดเร็วกว่านี้

     

              ถ้าเมื่อ 7 ปีก่อน..เราไม่เคยเจอกัน

     

     

              บางที...อะไรๆ...มันอาจจะดีกว่านี้

     

     

              อย่างน้อย...ก็ไม่ต้องมาเจ็บเหมือนตอนนี้

     

              ไม่ต้องมาร้องไห้จนแทบขาดใจ...เหมือนตอนนี้

     

     

              ไม่รัก...ขนาดนี้

     

     

     

              “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง...”

     

              ผ่านม่านน้ำตา ผมมองเห็นพี่แจ็คสันทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงหน้าผม

     

              ในขณะที่ผมกำลังงงว่าพี่เขามีอารมณ์มาเล่านิทานอะไรตอนนี้ พี่แจ็คสันกลับยกยิ้มบางและเริ่มเล่าต่อ

     

              แต่ทำไม...ทั้งๆที่กำลังยิ้ม...ผมกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าจนอยากอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น

     

              “มันเคยเป็นต้นไม้ที่สง่างาม กิ่งก้านสาขามากมาย ออกดอกออกผลมากมายจนเป็นที่ชื่นชมของคนที่เดินผ่านไปมา...”

     

              “...”

     

              “แต่ว่า...เพราะพายุใหญ่ที่พัดผ่านเข้ามา ทั้งดอกและผลของต้นไม้ต้นนั้นจึงหล่นจากต้นทั้งหมด และหมดโอกาสจะเติบโตต่อไป”

     

              “...”

     

              “...ด้วยความเสียใจ ต้นไม้ต้นนั้นจึงไม่กล้าที่จะออกดอกออกผลอีกต่อไป ด้วยกลัวว่าหากมีพายุใหญ่พัดมา ตนจะไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้อีก”

     

              ผมอาจจะตาฝาดไป แต่ผมเหมือนเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังไหววูบเช่นเดียวกัน

     

    “...จากที่เคยเป็นต้นไม้ใหญ่สง่างาม ลำต้นของมันกลับแคระแกร็น ใบไม้ร่วงโรยไปเรื่อยๆจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม”

     

              ทั้งๆที่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่อะไรบางอย่างกลับผลักดันให้ผมยื่นมือไปข้างหน้า...และจับมือของใครอีกคนไว้หลวมๆ

     

              อะไรบางอย่าง กำลังบอกผมว่าคนตรงหน้าไม่ได้แค่กำลังเล่านิทานให้ฟัง

     

             

              “จนเวลาผ่านไป เด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาต้นไม้ต้นนั้นพร้อมกับฝักบัวรดน้ำอันเล็กๆ...” พี่แจ็คสันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “'ออกดอกออกผลเยอะๆนะเจ้าต้นไม้ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลคุณเอง’ เด็กชายว่า”

     

    เป็นจังหวะนี้เองที่ผมสังเกตเห็นว่ารอยยิ้มของพี่แจ็คสันเป็นยิ้มที่มาจากความสุขจริงๆ ไม่ใช่ยิ้มเพราะความเศร้าเหมือนเมื่อครู่

     

    ราวกับว่าพี่เขาเป็นต้นไม้ ที่กำลังได้รับความรักและความห่วงใยจากเด็กชายในนิทานอย่างไรอย่างนั้น

     

    “จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เจ้าต้นไม้ก็ยังไม่ยอมออกดอกออกผล ทว่า เด็กชายยังคงเดินมารดน้ำที่โคนต้นไม้ใหญ่เหมือนกับทุกวัน”

     

     

     

    ‘ปีนี้ร้อนจังเลยนะคุณต้นไม้ ฉันอยากให้คุณโตไวๆจัง จะได้เป็นร่มเงาให้กับฉันและคนอื่นๆที่ผ่านไปมา’

     

    ‘แต่ฉันก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ สัญญากับฉันสิว่าวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สง่างามเหมือนเดิม สัญญานะ’

     

     

     

              “ทว่า เจ้าต้นไม้ในวันนั้นยังคงหวาดกลัวเกินกว่าจะสัญญาอะไรกับเด็กชาย ความกลัวตั้งแต่ครั้งอดีตยังคงกัดกินจิตใจของเจ้าต้นไม้จนไม่กล้าที่จะเปิดใจและเติบใหญ่เพื่อเป็นร่มเงาอย่างที่เด็กชายต้องการ”

     

              “...”

     

              “หลายปีผ่านไป ความกลัวของเจ้าต้นไม้ลดลงไปกว่าเดิมมาก พอกันทีกับความทรมาน เจ้าต้นไม้ในเวลานี้พร้อมที่จะเติบใหญ่และกลายเป็นร่มเงาให้กับเด็กชายตามที่ได้เคยสัญญากันไว้อีกครั้ง”

     

              “...ดีจังเลยนะฮะ...”

     

              เป็นผมหลุดปากพูดขัดออกไปโดยไม่รู้ตัว

     

              พี่แจ็คสันมองตรงมาที่ผมและยิ้มอีกครั้ง

     

              ทว่า...มันกลับเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน

     

              “นั่นสินะ...แต่เจ้าต้นไม้คงจะลืมไปว่า...ตัวเอง ไม่ใช่ต้นไม้ต้นเดียวในโลก” คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ผมชะงักไป “และเด็กชาย...ก็มีสิทธิ์เลือกต้นไม้อื่นที่อาจจะทั้งโตกว่า ใหญ่กว่า มีกิ่งก้านสาขามากมายจนสามารถเป็นร่มเงาให้กับเด็กชายได้มากกว่า...”

     

     

     

              ทำไมไม่ลองเปิดใจบ้าง...คนดีๆตั้งมากมายที่เคยเข้ามา ทั้งพี่จินยอง พี่นิชคุณ...

     

     

             อย่าปิดโอกาสตัวเอง เพราะแค่คนคนเดียวสิวะ ชีวิตเรายังต้องเจออะไรอีกตั้งเยอะแยะนะเว้ย แกจะมาหยุดอยู่ที่แค่รุ่นพี่คนนั้นคนเดียวไม่ได้นะยองแจ

     

     

     

     

              คำพูดเมื่อหลายปีก่อนของเพื่อนสนิทแล่นเข้ามาในหัวโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

     

              กับการรอที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่...ตัวเลือกอื่นที่เดินผ่านเข้ามา บางทีก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า

     

              ผมว่าผมเข้าใจเด็กชายคนนั้นนะ

     

              หรือถ้าผมไม่ได้คิดมากจนเกินไป...เด็กชายคนนั้น...ก็คือตัวผมเอง

     

     

     

              “ถึงจะเสียใจแค่ไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากจะโทษฟ้าโทษโชคชะตา แต่ก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง...”

     

              พี่แจ็คสันยังคงเล่าเรื่องด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนแรงและสั่นระริกราวคนป่วยเจียนขาดใจ

     

              “กาลเวลาผ่านไป เจ้าต้นไม้ได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่แข็งแรง เช่นเดียวกัน เด็กชายในวันนั้นก็เติบโตขึ้นกว่าเดิมมาก...” คนเล่าเรื่องหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนหันมาสบตาผมตรงๆ “...เป็นวันนั้นเอง ที่เด็กชายและต้นไม้ต้นเดิมได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง...”

     

     

     

     

              ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะครับ...พี่แจ็คสัน

     

     

     

    “เราคิดว่า...เด็กชาย...จะกลับมาให้โอกาสเจ้าต้นไม้อีกครั้งได้มั๊ย”

     

              วินาทีที่สบกับดวงตาคมอีกครั้ง...น้ำตาที่คิดว่าแห้งไปแล้วก็พาลจะไหลออกมาอีกครั้ง

     

              ผมรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่ประโยคถามความเห็น...แต่เป็นประโยคคำถาม ที่คนตรงหน้าตั้งใจจะส่งมาให้ผมโดยเฉพาะ

     

     

              “ให้โอกาสเจ้าต้นไม้...ได้เป็นร่มเงาให้กับเด็กชาย...”

     

     

              ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นจนริมฝีปากห้อเลือดไปหมด

     

     

              ...ไม่ไหวแล้ว...

     

     

              ไม่รู้อีกแล้วว่าควรจะรู้สึกยังไง

     

     

              อยากจะดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบ...หลายปีที่ผ่านมา พี่แจ็คสันต้องเจออะไรมาบ้าง...ผมไม่เคยแม้แต่จะนึกถึงตรงจุดนั้นเลย

     

              คิดแต่ว่าคนตรงหน้าคงจะลืมกันไปแล้ว หรือทิ้งกันไปแล้ว

     

     

              คงเหมือนกับเด็กชาย...ที่คิดว่าเจ้าต้นไม้คงไม่สามารถเติบใหญ่และกลายเป็นต้นไม้ที่สง่างามได้อีกต่อไป

     

     

              ทุกอย่างมันดู...กลับตาลปัตรไปหมด

     

              คนที่เดินจากไปไม่ใช่พี่แจ็คสัน

     

              เป็นผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายปล่อยมือออกไปก่อน

     

     

              เป็นผมเอง

     

     

     

              ขอโทษ

     

     

     

              “ผมคิดว่า...เจ้าต้นไม้นั่นคงไม่รู้ความลับอย่างหนึ่งของเด็กชาย..”

     

              หลายนาทีเลยกว่าผมจะสามารถดึงเสียงในลำคอกลับมาอีกครั้ง

     

              “ความลับ?”

     

              ผมพยักหน้าให้กับคำถามของคนตรงหน้า พี่แจ็คสันมองมาด้วยความงงระคนสงสัย ทว่าไม่ได้เอ่ยขัดอะไรและเปิดโอกาสให้ผมได้พูดต่อ

     

              “ความลับ...ที่ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ต้นไหน จะมีร่มเงามากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถแทนที่เจ้าต้นไม้ของเด็กชายได้เลย...”

     

     

              พี่คิดว่า...คนที่อยู่ในใจของเราคงไม่ใช่พี่หรอก...

     

     

     

              “กลับมาเป็นร่มเงาให้ผมต่อไปเถอะนะครับ พี่แจ็คสัน...เจ้าต้นไม้ของผม”

     

     

              ร่างของผมถูกคนตรงหน้าดึงเข้าไปกอดทันทีที่พูดจบ

     

              เช่นเดียวกับน้ำตา ที่ไหลอาบแก้มราวกับไม่สามารถอดทนกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป

     

     

     

              พอกันทีกับความทรมานตลอด 7 ปี

     

     

              ถึงเวลาที่หัวใจสองดวง จะได้เต้นเป็นจังหวะเดียวกันและเต้นไปพร้อมๆกันสักที

     

     

     

     

     

             

     

     

     

     

              เป็นเช้าวันแรกในรอบหกวัน ที่ผมไม่ต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกเหงาอีกต่อไป

     

     

              “ตื่นแล้วเหรอคนขี้เซา”

     

              เตียงอีกฝั่งยวบลงไปเมื่อใครอีกคนทิ้งน้ำหนักตัวลงมา ผมสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังไม่ตื่นดี เผลอยกมือข้างหนึ่งขยี้ตาอย่างลืมตัวจนโดนคนตัวโตตีมือไปหนึ่งที

     

              “อย่าขยี้ตาสิ! เด็กคนนี้นี่ จะสามสิบอยู่แล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เลย”

     

              ผมเบ้ปากใส่คนอายุมากกว่าเมื่อถูกดุ นี่พอไม่มีคดีติดตัวแล้วเอาใหญ่เลยเหรอ รู้งี้ไม่น่ารีบใจอ่อนให้เลย น่าจะแกล้งงอนไปอีกสักสองสามวัน

     

              “ไปอาบน้ำแปรงฟันเถอะ เดี๋ยวพี่ออกไปทำอะไรให้กิน”

     

              พี่แจ็คสันว่าก่อนเดินออกไปจากห้องนอน

     

              ก่อนจะแวบกลับเข้ามาอีกครั้งตอนที่ผมล้มตัวกลับลงไปที่เตียงอีกทีอย่างกับรู้ทัน

     

              “แหน่ะ! ลุกได้แล้วยองแจ จะสิบเอ็ดโมงอยู่แล้วนะ”

     

              นอนดึกขนาดนั้นก็เพราะใครล่ะ! ให้ตายเถอะ

     

     

              เมื่อคืนกว่าจะปลอบกันเสร็จแล้วได้ฤกษ์บอกให้อีกคนไปอาบน้ำแปรงฟันเสียใหม่ก็เกือบจะตีสองอยู่แล้ว พอผมบอกจะนอน ก็ยังจะมางอแงเป็นเด็กๆอีก

     

     

     

             นอนโซฟามันเมื่อยจะตายนะยองแจ

     

             ช่วยไม่ได้ ก็พี่ลืมกุญแจไว้ในห้องเองนี่ แล้วทำไมผมต้องให้พี่เข้าไปนอนในห้องนอนด้วยอ่ะ

     

             ไม่สงสารพี่จริงๆเหรอ

     

             ไม่

     

             ยองแจอา

     

             ...

     

             ยองแจจจจจจจ

     

             โอเคๆ ผมยอมก็ได้ หยุดเรียกผมด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้แล้วนะ...พี่แจ็คสัน!!! ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะ!’

     

             เดี๋ยวพาไปส่งในห้องนอนไง บริการพิเศษเลย

     

             แล้วทำไมต้องอุ้มท่าเจ้าหญิงด้วยเล่า! ปล่อยยยยย

     

     

     

              แต่นอกจากจะไม่ฟังแล้ว คนตัวโตยังอุ้มผม เดินดุ่มๆเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะวางผมลงบนเตียงแล้วล้มตัวนอนลงข้างๆกันแบบหน้าตาเฉยอีกด้วย ให้ตาย!

     

     

             ย่าห์!’

     

             ...

     

             พี่แจ็คสัน

     

             ก็แค่อยากนอนจับมือ....ไม่ได้เหรอ

     

             ‘…’

     

             เอาเถอะ ถ้ามันทำให้เราไม่สบายใจ...พี่ไปก็ได้

     

              ก่อนที่ผมจะทันแย้งอะไร คนขี้งอนก็จัดการคิดเองเออเองเสร็จสรรพ พี่แจ็คสันลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ประตูห้องนอน ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่แค่มองผ่านๆก็รู้แล้วว่ากำลังตัดพ้อชัดๆ! แล้วทำไมผมต้องรู้สึกผิดด้วยเนี่ยให้ตายเถอะ!

     

             ฝันดีนะยองแจ เจอกันพรุ่งนี้...

     

             ถ...ถ้าแค่จับมือ…’

     

             ...

     

             ...แค่จับมือเท่านั้นนะ

     

     

              แค่นั้นแหละ คนขี้งอนหน้าบูดเมื่อกี๊ก็รีบวิ่งดุ๊กๆมากระโดขึ้นเตียงที่ข้างๆผม เร็วจนแทบมองไม่ทัน นี่วาร์ปมาเหรอ ผมว่าห้องนอนมันก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้นนะ

     

     

     

             ถ้าทำมากกว่าจับมือนะ...โดนแน่

     

             

     

              ผมพูดขู่ออกไป แต่คนถูกขู่กลับนอนยิ้มแฉ่ง แถมยังจ้องกลับมาเสียจนผมไปต่อไม่ถูก

     

     

              ฝันดีนะครับ ยองแจ

     

     

     

              มีที่ไหน ปล่อยระเบิดไว้ตู้มแล้วชิงนอนหลับตาพริ้มหน้าตาเฉย!

     

              เจอแบบนี้ไปคิดว่าจะหลับลงไม่เล่า! กว่าจะปรามให้หัวใจหยุดทำงานหนักกว่าปกติก็แทบแย่แล้ว นี่ยังต้องมาฝืนข่มตาให้หลับอีก

     

     

              เพราะพี่คนเดียวเลย ฮึ่ย!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

              “แล้วนี่พี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอ”

     

              ผมถามขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือหยิบขนมปังปิ้งทาแยมขึ้นทาน

     

              ใช่ครับ นี่แหละ อาหารเช้าที่พี่แจ็คสันบอกว่าจะทำให้ ฮาาา

     

             

    “พี่ทำคล้ายๆฟรีแลนซ์น่ะ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ”

     

              ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนก้มหน้าก้มตางับขนมปังเข้าไปอีกหนึ่งคำโตๆเพราะความหิว เช้าๆ (?) ก็งี้แหละครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้องใช่มั๊ยล่ะ

     

              “มองไร”

     

              เอ่ยถามขึ้นหลังเงยหน้าขึ้นมาสามรอบ ก็สบเข้ากับดวงตาคมๆนั่นทั้งสามรอบ ไม่เข้าใจว่ามองอะไรนักหนากับแค่คนกำลังนั่งกินขนมปัง เอาให้พรุนเลยมั๊ย ดีนะผมไม่ใช่ปลากัดอ่ะ

     

              “มองแฟน...ผิดเหรอ”

     

              โอ้โห! พอคดีหลุดตัวแล้วชักเล่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเลยนะพี่แจ็คสัน

     

              แต่ขอโทษ ผมก็ไม่ยอมถูกพี่เล่นอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้หรอกนะ!

     

     

              “ใครแฟนพี่”

     

              “ก็เราไง”

     

              “ตลกละ แฟนเฟินไร...แค่บอกชอบผม พี่ยังไม่เคยพูดเลยเหอะ”

     

     

              ประโยคที่ผมพูดไปเมื่อครู่ทำเอาคนที่กำลังจะเถียงเป็นอันต้องปิดปากฉับ หน้าเหวอไปเลยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า

     

              บอกแล้วไงว่าผมไม่ยอมถูกพี่เต๊าะเฉยๆแบบนี้หรอกนะ! คนที่ทรมานมาตลอด 7 ปีมีแค่พี่คนเดียวซะเมื่อไหร่ เรื่องอะไรผมจะยอมให้พี่กอบโกยความสุขคนเดียวล่ะ ขอผมเอาคืนบ้างเหอะ

     

              “ต...แต่ที่พี่พูดไปเมื่อคืนมันก็...”

     

              “ไม่เคยพูดก็ไม่เคยพูดดิ...ใช่ซี้ บางทีผมอาจจะไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นก็ได้ ในเมื่อโลกนี้ไม่ได้มีต้นไม้แค่ต้นเดียว เด็กผู้ชายก็ไม่ได้มีคนเดียวในโลกสักหน่อยเนอะ”

     

              “แต่พี่มีแค่เราคนเดียว”

     

              “...”

     

              “ต้นไม้อาจจะมีหลายต้น เด็กผู้ชายอาจจะมีหลายคน แต่พี่ก็มีแค่เราคนเดียว...แค่เรา”

     

     

     

     

              อ่า...ไปต่อไม่ถูกเลยครับท่านผู้ชม

     

              ว่าจะแกล้งพี่เขาสักหน่อย พอโดนฮุกกลับมา ถึงกับจุกไปเลย

     

     

              แต่ก็...เป็นจุกที่ได้มาพร้อมกับความรู้สึกอบอุ่นในใจแบบแปลกๆ เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อหัวใจที่อยู่ดีๆก็เต้นแรงขึ้นมา

     

              คนตัวโตอาศัยจังหวะที่ผมยังอึ้งๆอยู่คว้ามือผมไปกุมไว้หลวมๆ สายตาจริงจังที่มองตรงมาทำเอาผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมไปตรงนั้นเลย

     

              ให้ตายเถอะ! อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้มั๊ยเล่า!

     

              “พี่ชอบเรา...ไม่สิ...”

     

              “...”

     

              “...พี่รักเรานะครับ”

     

              “...”

     

              “...รัก...ตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน...”

     

              “...”

     

              “..จนถึงตอนนี้...ก็ยังเหมือนเดิม...”

     

              “...”

     

              “หวัง แจ็คสัน รัก ชเว ยองแจ นะครับ”

     

     

     

     

     

              ตู้ม!!

     

              วอนกู้ภัยมาเก็บศพคุณครูสอนร้องเพลงวัย 26 คนนี้แบบด่วนๆเลยครับ

     

     

     

     

              “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” คนเพิ่งสารภาพรักตรงหน้าผมไปหมาดๆพูดกลั้วหัวเราะ “หรือว่า...เขิน”

     

              ไม่เขินก็บ้ามั๊ย! เล่นบอกกันตรงๆแบบนี้!

     

              “พี่ก็บอกชอบเราแล้ว...ตกลงจะเป็นแฟนกันได้ยัง”

     

              แหน่ะ! ยังจะมาทำตาหวานใส่ผมอีก! เดี๋ยวเถอะ!

     

              “ตอบเร็วๆดิ นี่ลุ้นจะตายอยู่แล้วนะยองแจอา”

     

              หยุด! ทำหน้าแบบนั้นนะ! ไม่งั้นผมจะระเบิดตัวแตกให้ดูเลย งื้อ!

     

     

              “ไม่...”

     

     

              สีหน้าของคนลุ้นแทบตายเปลี่ยนไปทันทีที่ผมหลุดคำแรกออกไป ดวงตาคมเบิกกว้างอย่างตกใจ ถ้าตาไม่ฝาดไป ผมเหมือนเห็นความผิดหวังกับเครื่องหมายคำถามตัวโตๆอยู่ในตาของพี่แจ็คสันด้วย

     

     

              แน่นอนว่าผมยังยืนยันคำเดิม

     

     

              เรื่องอะไร ผมจะยอมเป็นฝ่ายโดนเล่นอยู่คนเดียวล่ะ จริงมั๊ย

     

     

     

              “ไม่...จนกว่าพี่จะจีบผมติด...”

     

              “เจอกันแค่วันเดียวก็จะมาขอเค้าเป็นแฟนแล้วมันง่ายไปหน่อยมั้ง ตั้ง 7 ปีที่ผมรอพี่แบบไม่มีจุดหมาย...ลองมารับรู้ความรู้สึกของฝ่ายที่ต้องคอยรอคอยวิ่งตามบ้างก็แล้วกัน”

     

              “เข้าใจตรงกันนะครับ พี่แจ็คสัน”

     

     

     

              “ร้ายนักนะเรา”

     

              คนนั่งฝั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มออกมาทันทีที่ผมพูดจบก่อนยื่นมือข้ามมายีหัวผมอย่างหมั่นไส้อีก เดี๋ยวเหอะ!

     

              “ย่าห์! หัวผมยุ่งหมดแล้วนะพี่แจ็คสัน! นี่พี่จีบผมอยู่นะ! เดี๋ยวลดคะแนนเลย”

     

              “มีคะแนนด้วย?”

     

              “แน่นอน”

     

              ผมว่าพลางแลบลิ้นใส่คนตรงหน้าก่อนลุกขึ้นยืนเพื่อนำจานรองเศษขนมปังไปล้างที่ซิงค์ด้านหลัง

     

              ใครจะรู้ว่าจะโดนลอบแทงข้างหลัง (?) จากคนตัวโตแบบนี้ล่ะ!

     

              “พี่แจ็คสัน! เล่นอะไรเนี่ย! ตกใจหมดเลย!

     

              ผมแหวออกมาดังลั่นห้องเมื่ออยู่ดีๆนที่เคยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ก็พุ่งชาร์จเข้ามา โอบรัดผมจากข้างหลังเสียแน่น

     

              ไอ้เจ็บน่ะมันไม่เจ็บหรอก แต่ตกใจมากกว่า

     

              ดีนะไม่ตกใจจนเผลอทำจานแตกอ่ะ!

     

              “ไม่ได้เล่น ทำคะแนนอยู่”

     

              “ย่าห์!

     

              “รอดูได้เลยยองแจ...”

     

              “ด..ดูอะไร..ย่าห์! อย่าถือโอกาสยืนหน้ามาหอมแก้ผมนะพี่แจ็คสัน!

     

              ไม่มีคำตอบจากคนตัวโตที่กำลังพยายามล่วงเกิน...เอ้ย...จีบผมทุกวิถีทาง สุดท้ายพี่แจ็คสันก็สามารถขโมยหอมแก้มผมไปได้หนึ่งฟอดใหญ่ๆ ก่อนเจ้าตัวจะต้องวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องนอนหลังโดนผมถลึงตาใส่และเงื้อมือเหมือนจะตบเข้าให้

     

              ...แบบนี้ ถึงจะบอกว่าให้แค่จีบ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ใช่หรือไง ฮึ่ย!...

     

     

     

     

     

     

              อีกมุมหนึ่งของห้อง หวัง แจ็คสันกำลังยืนฟิงขอบประตูห้องนอน ดวงตาคมจ้องมองไปยังคนตัวเล็กที่กำลังล้างจานอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง โยนจานโยนช้อนโครมๆอย่างกับไปโกรธใครที่ไหนมา ริมฝีปากหยักยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงรูหู

     

              ก็คนมันมีความสุขนี่ครับ โดนตบโดนตี แค่นี้ไม่สะเทือนหรอกครับ ฮ่าฮ่า

     

             

    “รับรองเลยว่าพี่จะจีบเราให้ติดก่อนที่เราจะทันรู้ตัวซะอีก...เจ้าลูกหมูเอ๊ย”

     

              คุณผู้อ่านทุกท่านอย่าลืมเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ ^^

     

     

    END

     

    12/6/2016

    10.26 pm

     

    Let’s talk!

     

    จบไปแล้วนะคะกับเรื่องราวความรักความหลังของพี่แจ็คกับน้องแจ เย่!! :D

     

    ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันมากแค่ไหน แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและให้ความรักกับฟิคของเรานะคะ ยอมรับเลยว่าเรื่องนี้เขียนได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สารภาพเลยว่าต้องคิดพล็อตใหม่แบบกะทันหันหลายครั้งเลยล่ะค่ะ เราต้องปรับปรุงอีกเยอะเลย สัญญาว่าเรื่องหน้าจะทำให้ดีขึ้นไปอีกค่ะ ฮี่ๆ


    ในคอมเม้นท์ตอนก่อนหน้า เห็นมีคอมเม้นท์นึงบอกว่าเราน่าจะลองแต่งเรื่องยาว นี่ก็อยากลองเหมือนกันค่า แต่กลัวแต่งไม่จบแรงมากเลยอ่ะ ฮา ขอเราฝึกอีกสักพักดีกว่านะคะ เราไม่อยากแต่งออกมาแล้วก็เทอ่ะ เราเข้าใจความรู้สึกคนอ่าน เพราะนี่ก็โดนเทมาหลายเรื่องแล้วเหมือนกัน จะร้องไห้ ฮา

     

    ขอพื้นที่หวีดผมทรงใหม่ของหนูแจนนิดนึงนะคะ โอ๊ยยย ยัยลูกไถข้าง! แม่เจ้า! ฮืออออ ไม่ไหวแล้วค่ะ ดีงามมาก หวีทมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้แล้วค่ะ ฮืออออออออ

     

    รูปจากในคอนพี่เจบีก็หล่อมากค่ะ หล่อแบบ หล่อมาก คือดีมาก พังมาก...เรานี่แหละค่ะพัง ฮา

     

    คอนกัซสองวัน เท่าที่เราฟังและดูผ่านไลฟ์กับสตรีม (สายอยากเปย์แต่ไม่มีเงินค่ะ โปรดเข้าใจ คราวหน้าเราสัญญาว่าจะไปหาให้ได้นะกัซเซบึน TT) เป็นอะไรที่ดีมากอ่ะ บรรยากาศดีมาก แค่ดูจากตรงนี้เรายังรู้สึกดี รู้สึกได้ถึงความรักที่อกซมีต่อกัซและความรักที่กัซมีต่ออกซได้ขนาดนี้ แล้วในคอนล่ะมันจะปริ่มขนาดไหน คือดีมากจริงๆค่ะ โปรเจ็คสวยมาก ดีมาก โมเม้น JackJae ก็ดีมาก ถึงจะมาแบบ วับๆแวมๆ แอบจับมงจับมือ แม่รู้แม่เห็นค่ะ พอดีเกิดมาขี้ชิป ฮา มีความอยากมุดหัวเข้าไปในไลฟ์กับสตรีมสูงมากเลยค่ะ ฮืออออ

             

    โอเค เลิกเวิ่นเว้อละ ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะที่ติดตามและเข้ามาอ่านกัน ฝาก #การเดินทางของแจ็คแจ  ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ รักค่ะ จุ๊ฟ

     

    ถ้าอยากเข้ามาเม้ามอย ทวงนิยาย สามารถมาได้ที่ @pupulittleangel หรือ @TheLittlePP ได้เลยนะคะ เราเล่น 2 แอคค่ะ มาได้หมดเลย ต้อนรับทุกคนค่า ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่ะ ^^       

     


    Pupu

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×