คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [SF] My Old Story : EP 4 | JackJae
My Old Story By IU
***********************************************************************************************
Episode 4
7 Years
[Jackson’s Part]
7 years ago
March 2010
...ผมอยู่ที่ไหน...
เอ่ยถามตัวเองพลางหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง หมอกสีขาวขุ่นที่ปกคลุมอยู่รอบกายบดบังวิสัยทัศน์การมองเห็นของผมไปกว่าครึ่ง
‘แจ็คสัน’
...เสียงใคร...
‘แจ็คสันคะ...’
“นั่นใคร!”
ผมตะโกนสวนกลับไปท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวหลังถูกเสียงปริศนานั่นเรียกชื่อซ้ำถึงสองครั้งสองครา
อันที่จริง....จะเรียกว่าเสียงปริศนาก็คงไม่ถูกนัก
...มีความรู้สึกบางอย่าง...บอกว่าผมรู้จักเสียงนี้...
...บางอย่าง...
‘อย่าแกล้งกันสิกากา!! ฮะๆ’
‘ก็เธอมันน่าแกล้งน้อยซะที่ไหนล่ะ มานี่เลยยัยตัวแสบ’
‘ฮะๆ โอ๊ย ไม่เอาๆ ฮ่าๆๆๆ’
เสียงหัวเราะคิกคักคุ้นหูดังขึ้นมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมรอบกายที่เริ่มเปลี่ยนไป
อาคารลายอิฐของ International High School แห่งหนึ่งในฮ่องกงยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำแม้ไม่ได้แวะกลับไปเยี่ยมเยียนนานหลายปี ใกล้เข้ามาอีกหน่อยเป็นสนามหญ้ากว้างๆหลังอาคารเรียน และคงเพราะที่ตรงนี้เป็นทุ่งโล่งและบรรยากาศเย็นสบาย ทำให้เหล่านักเรียนมักจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่ระหว่างช่วงพักเป็นประจำ
...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น...
‘นี่...เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานมากแล้วนะ’
ผมเห็นตัวเองในวัย 18 เอ่ยถามผู้หญิงตัวเล็กที่ผมหนุนหน้าตักเธอต่างหมอนอยู่ เธอละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดและหันมาสบตากับผม
‘หาเรื่องเที่ยวอีกแล้ว นานอะไรล่ะ ไม่กี่อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งไปดูหนังด้วยกันมาเองไม่ใช่หรือไง’
เด็กสาวว่าก่อนละความสนใจจากผมในวัย 18 ปีที่กำลังทำหน้างอหลังได้ยินคำตอบ เธอเงยหน้าขึ้นรับลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามาจนทำให้ผมเธอยุ่งไปหมด ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มบางอย่างสดชื่นและมองตรงมาข้างหน้า
...วินาทีที่เธอสบตากับตัวผมที่ยืนมองอยู่ตรงนี้...หัวใจผมเหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว
ฮอ ยองจี คือชื่อของเธอ
‘งั้นไปขับรถเล่นกัน’
‘...’
‘...น้า ยองจี นะครับคนสวย’
ผมเห็นตัวเองในอดีตกำลังออดอ้อนคนรักให้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ยองจีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางมองหน้าผมไปด้วยอย่างใช้ความคิด
“อย่าไป! อย่าตอบตกลงนะยองจี!!!”
ผมพยายามตะโกนออกไปจนสุดเสียง ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะดังจนทำให้คนในละแวกนั้งหมดหันมามองได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครสนใจผมเลยสักคนเดียว...รวมถึงผู้หญิงที่กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่ตรงนั้นด้วย
‘เอายังไงดีน้า’
“ยองจี...ไม่...”
‘ฉัน...’
“อย่าไป...อย่าตอบตกลงเด็กขาดนะ!...”
‘...ตกลงค่ะมิสเตอร์หวัง ฮ่าฮ่าฮ่า’
“ไม่!!!!!!!!!”
!!!!!!!!!!!!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ม่านตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เหงื่อเป็นเม็ดไหลตามโครงหน้าและซึมออกมาตามแผ่นหลังจนเสื้อนอนเปียกชุ่มไปหมด หัวใจยังคงเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ
ต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งผมถึงค่อยถอนหายใจออกมา
...แค่ความฝัน...
...แค่ฝันเท่านั้น....
ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อีกต่อไปแม้นาฬิกาเพิ่งตีบอกเวลาตีห้าไปเมื่อครู่ ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ใช้เวลาล้างหน้าล้างตาไม่เกิน 5 นาทีผมก็เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพชุดนอนตัวเดิม ที่ตัดสินใจยังไม่อาบน้ำเพราะรู้สึกว่ามันยังเช้าเกินไป ยิ่งเป็นเช้าๆของประเทศเขตหนาวแบบแคนาดาด้วยนะ...เหอะๆ หน้าหนาวที่เกาหลีหรือฮ่องกงนี่เป็นเรื่องเด็กๆไปเลย
ผมตัดสินใจเดินมานั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ ปกติตรงนี้จะเป็นที่นอนของเมทผมเองเพราะเขาชอบนอนหลับหน้าทีวีอยู่บ่อยๆจนผมต้องเป็นคนเดินออกมาปิดและบอกให้เขาไปนอนในห้องดีๆทุกครั้ง แต่สงสัยว่าเมื่อคืนคงไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ เมทผมถึงได้เข้าไปนอนในห้องของตัวเอง
เพราะไม่รู้จะทำอะไร โทรทัศน์ตรงหน้าจึงถูกเปิดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ
รายการสารคดีสัตว์โลกเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้เมื่อเทียบกับข่าวเศรษฐกิจยามเช้าของช่องอื่นๆ ยังไงผมก็ยินดีจะดูตัวสล็อตคลาน ดูตัวนากว่ายน้ำ ดีกว่านั่งหาวฟังข่าวว่าวันนี้หุ้นตัวไหนขึ้น ตัวไหนดิ่งลงเหว
ฮึ...ตัวนากงั้นเหรอ...
หน้าตามึนๆของตัวนากในโทรทัศน์ทำให้ผมพาลนึกถึงใครอีกคนที่ป่านนี้คงกำลังเตรียมตัวทานข้าวเย็นอยู่ที่อีกซีกโลก
หนึ่งปีที่ผ่านมา...คงเป็นปีที่ผมยิ้มออกมามากที่สุดในตลอดระยะเวลาหลายปี
ใครจะไปเชื่อว่าเด็กม.ปลายหน้าตาธรรมดาๆ บ้านๆ จะทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้
คุณเชื่อมั๊ย...แค่ผมเห็นเขายิ้ม...เห็นเขาหัวเราะ...ไอ้เรื่องแย่ๆทุกอย่างที่เคยรุมเร้าเข้ามา ก็เหมือนจะมลายหายไปหมด
Sunshine...คงเป็นคำที่เหมาะกับชเว ยองแจมากที่สุด
เหมือนดวงอาทิตย์ที่สาดส่องแสงสว่างเข้ามาในโลกสีเทาๆใบเล็กของผม
เขาสว่างสดใสมาก...มากจนวูบหนึ่งในห้วงความคิด...ผมกลัวว่าสีเทาในโลกของผมจะเป็นตัวทำลายแสงสว่างนั้น
‘คุณรักเด็กคนนั้นเหรอคะแจ็คสัน’
‘คุณพร้อมจะดูแลเขาแล้วเหรอ’
‘คุณแน่ใจเหรอ...ว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิม’
‘แค่ฉัน...คนที่คุณบอกว่ารักปานจะกลืน...คุณยังดูแลไม่ได้เลย...’
‘คนอย่างคุณน่ะ...ดูแลใครไม่ได้หรอกนะ หวัง แจ็คสัน’
ผมยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองเมื่ออยู่ดีๆก็รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาก่อนลุกขึ้นเดินเซๆกลับเข้าไปในห้องนอน มือข้างหนึ่งควานหากล่องยาบนโต๊ะข้างเตียงจนข้าวของบนนั้นกระจัดกระจาย
ยาเม็ดขนาดพอประมาณ 2 เม็ดถูกเทออกมาจากขวด ก่อนผมจะกินมันเข้าไปตามด้วยน้ำเปล่าหนึ่งอึกใหญ่ๆ
ทุกครั้งที่เผลอนึกถึงยองแจ...ผู้หญิงคนนั้นจะตามกลับมาหลอกหลอนผมทุกครั้ง
ใบหน้าของเธอ รอยยิ้มของเธอ
...และสายตาว่างเปล่าที่จับจ้องมา...ก่อนที่ผมจะหมดสติไปในวันนั้น...
ชื่อของเธอคือ ฮอ ยองจี
สำหรับผม...เธอคือครั้งแรกของแทบจะทุกอย่าง
เป็นเพื่อนคนแรกสมัยเรียนมัธยมปลาย
เป็นเพื่อนต่างชาติคนแรกที่ผมรู้จัก
เป็นเพื่อนสนิทผู้หญิงคนแรกที่ผมเคยมี
และถึงแม้เธอจะไม่ใช่รักแรกหรือแฟนคนแรก...แต่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่า...ผมอยากจะดูแลและปกป้องเธอไปตลอดชีวิต
...ปกป้องเหรอ...หึ...
‘ไปขับรถเล่นกันนะยองจี’
...ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นยองจี คือสายตาว่างเปล่าที่จ้องมองมา...และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับข้างซ้ายของเธอ...
Present day
2016
“แล้วมึงไม่อธิบายให้น้องเค้าฟังล่ะว่ามึงหายไปเพราะอะไร เจอกันทั้งที”
ไอ้แจบอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นพลางรินโซจูลงในแก้วว่างเปล่าของผมอีกครั้ง
ร้านโพจังมาจาข้างถนนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมหลังเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อครู่ และเพื่อนสนิทกว่า 10 ปีอย่างอิม แจบอมก็ยินดีจะมานั่งเป็นเพื่อนแม้จะโดนผมโวยวายใส่โทรศัพท์ไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน
ทันทีที่แอลกอฮอล์เริ่มไหลเข้าสู่ร่างกาย ปากผมมันก็พาลเล่าเรื่องเก่าๆที่เคยเล่าให้คนตรงหน้าฟังกว่าร้อยรอบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตที่แคนาดา เรื่องผู้ชายตัวเล็กแต่กลับมีอิทธิพลต่อผมมากมายมหาศาลอย่างชเว ยองแจ...หรือแม้แต่เรื่องราวฝังใจเมื่อ 11 ปีก่อน
เพราะความสะเพร่าของผมในวันนั้น...ถ้าผมมีสมาธิในการขับรถอีกสักนิด...หรือถ้า...ถ้าผมไม่ออกปากชวนเธอไปนั่งรถเล่นด้วยกัน...
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แสงสว่างจ้าของไฟรถบรรทุกสาดเข้าตาผม ตามมาด้วยแรงอัดรุนแรงจากทางด้านหน้า กระแทกรถยนต์ของผมจนมันหมุนคว้าง กระเด็นไปจนตกไหล่ทาง
เพราะยังมีสติอยู่ ผมถึงได้แอบคิดในใจว่าโชคดีแค่ไหนที่รถไม่ระเบิด ถึงจะเจ็บจนแทบไม่อยากขยับตัว กระดูกน่าจะหักหลายชิ้น...แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ตาย
...เรา...
หึ
วินาทีที่หันกลับไปเจอสายตาว่างเปล่าไร้แวว และใบหน้าโชกเลือดนั่นแหละ...ผมถึงได้รู้สึกกว่า...ทำไมคนที่จากไปถึงไม่เป็นผม
ทำไมต้องเอาเธอไป...ทำไมไม่เอาผมไปแทน เธอทำผิดอะไร
คนออกปากชวนเธอมา...ก็ผม
คนขับรถ...ก็ผม
คนที่ตกใจจนไม่ยอมหักพวงมาลัยหลบ...ก็ผม
ทำไมพระเจ้าต้องเอาเธอไป! เธอทำผิดอะไร!
แล้วผม...ผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไง...
ถึงทุกคนจะไม่มีใครเอาผิด ไม่มีใครว่า เพราะหลักฐานจากทั้งกล้องวงจรปิดและพยานเห็นเหตุการณ์แถวนั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารถบรรทุกคันนั้นเป็นฝ่ายขับรถผิดเลนและพุ่งเข้ามาชนด้วยความเร็ว เหมือนว่าคนขับจะเมาหรืออะไรสักอย่าง
...แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดี ว่าคนที่ฆ่ายองจี ไม่ใช่คนขับรถบรรทุกคันนั้น...
‘ไปขับรถเล่นกันนะยองจี’
...ผมต่างหาก...ที่เป็นฆาตรกร...
ความกลัวฝังใจในอดีตทำให้ผมไม่กล้าเปิดใจรับใครเข้ามาอีก
ผมไม่ได้กลัวการมีความรัก หรือลืมรักครั้งเก่าไม่ได้
ผมแค่กลัว...กลัวว่าเมื่อรักใครสักคนแล้ว...ผมจะไม่สามารถปกป้องเขาได้
กลัว...ว่าจะเป็นคนพรากอีกฝ่ายไปซะเอง...
...เหมือนกับเธอ...
การที่ผมพยายามหายไปจากชีวิตของยองแจก็เหมือนกัน
ตอนนั้น...เมื่อ 7 ปีก่อน...ผมยังกลัวเกินไป
ทุกครั้งที่คิดว่าจะเริ่มใหม่...ทุกครั้งที่คิดว่าอยากจะปกป้องใครสักคน...
‘ขนาดฉันคุณยังปล่อยให้ตาย! แล้วคุณจะไปดูแลใครได้ แจ็คสัน’
เสียงของความกลัวที่อยู่ในหัวมีมากเกินไปจนกลายเป็นภาพหลอน ผมมักจะฝันถึงอุบัติเหตุในวันนั้น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบกับเสียงของอดีตคนรักที่พร่ำพูดสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไปจนตายดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา
ช่วงสองสามเดือนแรกที่ไปอยู่แคนาดา เป็นช่วงที่ผมอาการหนักมากที่สุด
อาจเพราะผมคิดถึงคนที่อยู่อีกซีกโลกบ่อยมากเกินไป และทุกครั้งที่นึกถึง...ก็จะตามมาด้วยภาพหลอนของคนที่จากไปแล้วทุกครั้ง
‘ถ้าคุณยังดึงดัน สุดท้ายเด็กคนนั้นก็คงต้องตายเพราะคุณเหมือนกับฉันอีกนั่นแหละ!’
ผมตัดสินใจเลิกติดต่อกับยองแจ และเข้าพบจิตแพทย์
ที่ต้องเลิก...เพราะทุกครั้งที่ติดต่อ หรือแม้แต่นึกถึง...ภาพหลอน เสียง ความกลัวทุกอย่างจะกลับมา
อีกอย่าง...ผมคิดว่าตัวผมเองยังไม่พร้อม
หากผมคิดจะรักใครสักคนอย่างจริงจัง...ผมต้องมั่นใจว่าผมพร้อมจะดูแลและปกป้องเขาให้ได้
และหากผมยังเป็นอย่างนี้...ผมคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้
การหายไปของผม...สำหรับยองแจ...คงเป็นการหายไปแบบไร้เหตุผล...
ผมนึกภาพออกเลยว่ายองแจจะต้องโกรธมากแค่ไหนที่อยู่ดีๆผมก็ขาดการติดต่อไปแบบนี้
เพราะผมไม่รู้จะพูดเหตุผลออกมายังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ จึงตัดสินใจไม่บอกอะไรและหายมาเฉยๆแบบนี้
ผมรู้ตัวว่าเรื่องนี้ผมผิดเต็มประตู และผมจะไม่โกรธเลยสักนิดหากเขาไม่พอใจ
สำหรับเขา ผมอาจจะเป็นพี่ชายแสนดี แต่ความจริง...ผมก็แค่หวัง แจ็คสัน...ผู้ชายที่มีแต่ความกลัวในใจและไม่กล้าพอที่จะต่อสู้กับมันเท่านั้น
“มึงต้องเห็นว่าสายตาที่น้องเค้ามองกูมาเป็นยังไง” ผมว่าพลางเหยียดยิ้มสมเพชตัวเอง “แค่เห็นสายตายองแจ...กูก็รู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว”
โซจูหนึ่งจอกเล็กถูกยกขึ้นซดจนหมดรวดเดียวหลังพูดจบ สายตาคู่นั้นที่มองมา จนถึงตอนนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ
‘ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะครับ...พี่แจ็คสัน’
เป็นประโยคสั้นๆที่คนตัวเล็กพูด...ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องของตนเอง
ดีใจงั้นเหรอ
ถ้าดีใจ...แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ถ้าดีใจ...แล้วทำไมต้องฝืนยิ้ม
ถ้าดีใจ...แล้วทำไมผมถึงเห็นความสับสนในดวงตาคู่นั้น
“มึงก็นะ...ก็รู้ว่าเค้าชอบ แต่นี่เล่นหายไป 7 ปี ถึงมารู้ทีหลังว่าใจตรงกัน แต่เป็นกู กูก็โกรธว่ะ แม่ งเหี้ ยเกิน”
“มึงเพื่อนกูใช่มั๊ยแจบอม”
ผมว่าพลางมองแรงใส่คนนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อถูกมันพูดแทงใจดำใส่
ก็รู้ว่าผิด นี่ก็รู้สึกผิดจะตายห่าจนไม่กล้ามองหน้าน้องมันแล้ว! ไม่งั้นกูต้องมานั่งปรับทุกข์ ซดโซจูย้อมใจกับมึงตรงนี้มั๊ยล่ะ!
“จริงๆแล้ว ตอนมึงกลับมาเกาหลีช่วงจบป.ตรีมึงก็น่าจะติดต่อน้องกลับไปบ้าง...ตอนนั้นมึงหายแล้วไม่ใช่หรือไง”
แจบอมเอ่ยขึ้นพลางชี้หน้าผมเหมือนจะบอกว่า ‘ไม่ต้องมาพูดอ้างห่าเหวอะไรเลย จริงๆแล้วมึงมันก็แค่ไอ้เหี้ ยคนนึงที่เทน้องไปนั่นแหละ’
“...จริงๆแล้วตอนนั้น...กูเจอยองแจด้วยแล้ว...แต่กูไม่ได้บอกมึง”
“ฮะ? จริงดิ ตอนไหน? แล้วทำไมมึงไม่ทักน้องเค้า แล้วบอกเหตุผลว่าทำไมถึงหายไปล่ะวะ มึงบ้าป่ะเนี่ยแจ็คสัน”
“...”
“...แจ็คสัน?..”
“...จะให้กูบอกยังไงวะ...”
“...”
“...ก็ตอนนั้น ข้างๆน้อง...มันไม่มีที่ให้กูแล้วนี่หว่า...”
5 Years ago
2012
Seoul, South Korea
สนามบินอิลชอนยังดูเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ผมจากมา
“ว่าไงเด็กนอก! ไม่เจอกันเป็นชาติทำไมมึงไม่สูงขึ้นเลยวะ ฮ่าฮ่าฮ่า โอ๊ย โทษๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แจบอมที่อาสามารับผมที่สนามบนหัวเราะลั่นก่อนเราจะเดินกอดคอกันออกไปจากสนามบิน
2 ปีแล้วสินะ
ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่ผมมีแผนจะต่อปริญญาโทที่แคนาดาต่อเลยหลังได้ทุนจากมหาวิทยาลัยที่นู่นอีกครั้ง
และเพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน ธีซิส หรือแม้แต่เรื่องปัญหาสุขภาพจิตใจของผม ทำให้ผมไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ หรือเพื่อนๆที่เกาหลีเลย
ผมจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลาว่างๆไม่กี่เดือนก่อนกลับไปเริ่มเรียนปริญญาโทกลับมาที่ประเทศนี้อีกครั้ง
“ยองแจ...เป็นยังไงบ้างวะ”
ผมตัดสินใจถามแจบอมไปหลังกลับมาเหยียบเกาหลีใต้ได้สองสามวัน
ระยะเวลา 2 ปี...นานเพียงพอที่จะทำให้อาการทางจิตของผมถูกรักษาจนหายขาด
แน่นอน...มันแลกมาด้วยการไม่ติดต่อใครอีกคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดมาเช่นกัน
“ถ้าอยากรู้...มึงก็ลองไปหาน้องเค้าสิ...มึงโอเคแล้วไม่ใช่เหรอ”
ตลอด 2 สัปดาห์ที่อยู่เกาหลี ผมเห็นใบหน้าใสๆนั่นอยู่ทุกที่รอบกาย
ไม่ว่าจะเป็นในโทรทัศน์
ในแผ่นโฆษณา
ในอินเทอร์เน็ต
ทุกครั้งที่ผมเห็น ผมก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองในใจ
ดังใหญ่แล้วสินะตัวเล็ก...ฮึๆ
‘และ Superstar K คนต่อไปของเกาหลี ได้แก่...ชเว ยองแจ!!!’
‘Mark!! You see that!!! He won!! He can do it! Oh my god!!! ’
ผมยังจำโมเม้นท์ที่ตัวเองกรีดร้องด้วยความดีใจใส่รูมเมทที่แคนาดาได้อยู่เลย นึกแล้วตลกเป็นบ้า ฮะๆ
ช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่ผมจะกลับมาเกาหลี เป็นช่วงที่รายการแข่งขันร้องเพลงยอดนิยมอย่าง superstar K ออกอากาศ
ผมคงไม่ดูรายการนี้หรอก ถ้าไม่บังเอิญไปเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าหนึ่งในบรรดาผู้แข่งขันที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเป็นใคร
จากเด็กตื่นเวทีในวันนั้น...กลายมาเป็นผู้ชนะในรายการใหญ่ขนาดนี้
วันนั้นทั้งวันผมยิ้มแก้มปริจนเพื่อนทั้งคณะหาว่าบ้าเลยล่ะ ฮะๆ
กลับมาที่เกาหลี...ผมเจอยองแจอยู่ทุกที่...แต่ไม่เจอแม้แต่เงาจริงๆของเขา
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมทำใจกล้า แอบไปที่บ้านของยองแจ...แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่าเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน
คุณต้องถามผมอยู่ในใจแน่ๆเลยใช่มั๊ยว่าทำไมไม่โทรไป
รู้แล้วอย่าด่าผมนะ
ก่อนหน้านี้ผมทำโทรศัพท์มือถือหายน่ะ...ทั้งเบอร์โทร Kakao ของยองแจอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้น...ปัญหาคือ ผมเป็นประเภทไม่จำเบอร์โทรศัพท์คนอื่นด้วยนี่สิ
แต่เหนือความนกก็ยังมีความบังเอิญ
คืนสุดท้ายก่อนบินกลับแคนาดา ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมออกมาเดินเล่น ชมวิวเมืองโซลเป็นครั้งสุดท้ายตอนเกือบเที่ยงคืน
เป็นตอนนั้นเอง...ที่ผมได้พบกับคนที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดมา
ถึงเจ้าตัวจะใส่แมสปิดบังใบหน้า แต่ผมก็ยังจำเขาได้ดี
ยองแจนั่งอยู่ที่ม้านั่งห่างจากผมไปประมาณ 5 เมตร เส้นผมสีน้ำตาลเข้มถูกย้อมให้สว่างขึ้นอีกเล็กน้อย เช่นเดียวกับใบหน้าที่เคยอวบอูมกลับตอบลง ผมคงต้องขอบคุณหูฟังอันเล็กที่ยองแจใส่อยู่ ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง...และแน่นอน ไม่สังเกตเห็นผมด้วย
ผมอยากจะก้าวเข้าไปหาเขา เข้าไปแกล้งปิดตา หรือเข้าไปดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดสักทีให้หายคิดถึง
แต่ก็เพราะเหตุผลเดิม...ความกลัว
มันไม่ใช่ความกลัวเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน
กลัว...ว่าอีกฝ่ายจะลืมไปแล้ว
กลัว...ว่าอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม
กลัว...ทั้งที่คนต้นเหตุ...ก็คือผมเองทั้งนั้น ฮะๆ
และในระหว่างที่ผมมัวแต่ลังเล...สิ่งที่กำลังกลัวอยู่ในใจก็เกิดขึ้นตรงหน้าผม
‘มาช้าจังเลย ปล่อยให้ผมรอตั้งนานนะพี่จินยอง’
‘ขอโทษๆ พี่ติดคุยงานกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยน่ะ...ขอโทษนะครับยองแจ’
‘ไม่ให้อภัยหรอก...พี่ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน’
‘งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมถ้วยนึงเลย’
‘นี่พี่เห็นผมเป็นอะไรวะ ผมดูเห็นแก่กินมากหรือไง’
‘งั้นสองถ้วย’
‘พี่...!’
‘สามถ้วยขาดตัว... ฮ่าฮ่าฮ่า’
‘ย่าห์! ปาร์ค จินยอง!’
ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าทั้งคู่คงเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมากๆ ถ้าไม่ทันว่าเห็นอีกฝ่ายดึงยองแจเข้ามาจูบเบาๆที่ขมับ
คุณเคยโดนตบจนหน้าชามั๊ย
นั่นล่ะ...ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นเลย
มันไม่เจ็บ ไม่ปวด...แต่มันชา...ชาไปทั้งตัว
ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแม้ทั้งสองคนจะเดินหายไปนานแล้ว ร่างกายมันไม่ตอบสนองเหมือนกับว่าผมเป็นอัมพาตไปแล้วจริงๆ พร้อมกับคำว่า ‘สายไป’ ที่ดังสะท้อนก้องไปมาอยู่ในโสตประสาท
...ช้าไป...ช้าไปแล้วจริงๆ...
“แปลว่านี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มึงไม่ติดต่อกลับมาหายองแจเลยใช่มั๊ย”
“อืม”
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่แก้วโซจูถูกผมยกขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียว สติผมเริ่มจะเบลอๆหลังปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมีมากจนเกินไป มั่นใจได้เลยว่าถ้าให้ผมยืนนี่ต้องมีเซแน่นอน
“กูรู้ว่ามันฟังดูปัญญาอ่อน...แต่...ให้ตายเหอะ มึงไม่เคยอกหักหรือไงวะ เวลามึงอกหักมึงยังมีอารมณ์อยากจะทักคนที่หักอกมึงอีกเหรอ...”
อาจเพราะสติสัมปชัญญะหายไปกว่าครึ่ง ผมถึงได้โพล่งออกไปตามที่คิดและใส่อารมณ์มากเกินความจำเป็น
แต่เหมือนแจบอมจะเข้าใจ มันถึงได้ไม่ตอบอะไรกลับมา มีเพียงมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาตบบ่าผมอย่างเห็นใจเท่านั้น
“กูเข้าใจ...ตอนกูเลิกกับแฟนเก่า...แค่ชื่อเค้ากูยังไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะจำเลย”
“เออ นั่นแหละ ความรู้สึกกูตอนนั้นเลย...ไม่อยากจะติดต่อ อยากจะลืมๆไปให้หมด อยากทำยังไงก็ได้ให้หน้าใสๆนั่นออกไปจากหัว...กู...เฮ้อ”
เพราะแบบนี้ จากที่ตั้งใจว่าจะพยายามหาทางติดต่อคนตัวเล็กให้ได้ กลายเป็นว่าผมพยายามปิดกั้นตัวเองจากชเว ยองแจโดยสิ้นเชิง
พยายามเรียนและทำงานพิเศษอย่างหนักจนแม้แต่คนรอบตัวยังประหลาดใจเพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจนไม่มีเวลามาคิดถึงใครอีกคน
ซึ่งนั่นก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะจากกการทำงานหนักนั้น ทำให้ผมจบปริญญาโทภายในระยะเวลาแค่ 1 ปีและมีบริษัทใหญ่ในแคนาดาเรียกตัวให้เข้าไปสัมภาษณ์งานทันทีที่เรียนจบ
ผมตัดสินใจอยู่ทำงานต่อที่แคนาดาเลย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เข้าใจและเห็นดีเห็นงามด้วย ถึงมันจะทำให้ไม่ได้เจอกันบ่อยมากขึ้นไปอีก แต่พวกท่านก็เข้าใจ
ผมทำงานอย่างหนักอยู่ที่แคนาดาตลอด 2 ปีกว่าๆ ก่อนจะตัดสินใจลาออกและกลับมาทำงานที่เกาหลีใต้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนนี่เอง
ที่ไม่กลับฮ่องกงเพราะถึงจะเป็นประเทศบ้านเกิด แต่พ่อกับแม่ผมอยู่ที่นี่ ผมถึงตัดสินใจกลับมาทำงานที่นี่แทน
สำหรับงานที่ทำก็เป็นเหมือนงานประจำกึ่งๆฟรีแลนซ์ เหมือนกับผมมีบริษัทแม่ที่คอยป้อนงานให้ ส่วนผมมีหน้าที่รับงานมาทำ จะทำที่บ้านหรือที่บริษัทก็ได้ พอเสร็จก็เอาไปส่งให้ลูกค้า
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในคอนโดไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตาผมสักเท่าไหร่ถึงจะอยู่มาเป็นเดือนแล้ว เวลามีงานผมจะฝังตัวปั่นงานอยู่ในห้อง จะมีก็แค่ตอนต้องไปซื้อของเข้าห้อง ต้องเข้าบริษัท หรือมีคนชวนไปดื่มเท่านั้นแหละผมถึงจะได้ฤกษ์ก้าวเท้าออกจากห้อง
เป็นสาเหตุ ที่ทำให้ผมไม่รู้เลยว่า...คนที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด 7 ปี...อยู่ห่างกันแค่กำแพงกั้นเท่านั้นเอง
“แล้วมึงจะเอาไงต่อ”
สติผมแทบไม่เหลือแล้วตอนแจบอมถามคำถามนี้
“มึงยัง...ชอบน้องมันอยู่หรือเปล่า”
...ถ้าไม่ชอบแล้วกูจะมานั่งเมาขนาดนี้ทำไม...
“ถ้าชอบ...แล้วจะกลัวอะไรวะ”
“...”
“ไปหาน้องดิ...”
“...”
“...ไปบอกน้อง ว่าจริงๆแล้วมึงรู้สึกยังไง...”
“...”
“...ไม่มีอะไรจะเสียแล้วป่ะวะ โตกันขนาดนี้แล้ว ใจๆหน่อย”
“...”
“มึง...”
“กูควรเสี่ยงเหรอวะ...”
“...”
“...น้องมันเคยชอบกูก็จริง...แต่มันก็ 7 ปี...แถมเป็น 7 ปีที่ไม่ได้เจอกันเลย...”
“...”
“...กู...”
เป็นตอนนั้นเองที่สติของผมหลุดลอยหายไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แม้จะพยายามฝืนไว้มากแค่ไหน
แจบอมไม่มีทีท่าตกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกว่า 10 ปีล้มฟุบคอพับไป
ก็จะตกใจทำไมล่ะ...เขาตั้งใจมอมเหล้ามันกับมือ
ถึงจะไม่ได้เจอกับชเว ยองแจบ่อยมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอเลย
และทุกครั้งที่เจอ...แน่นอน...คนตัวเล็กเอ่ยถามถึงไอ้โง่ที่นอนกำแก้วโซจูอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
แม้ไม่เคยบอกว่ายังชอบ ยังรัก ยังคิดถึง...แต่ทุกการกระทำของคนตัวเล็กต่างชี้ไปในทางเดียวกัน
...ในสายตาของเขา ยองแจยังเป็นเด็กมัธยมปลายที่แอบชอบติวเตอร์ของตัวเองจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แม้เจ้าตัวจะพยายามนิ่งไว้แค่ไหนก็ตาม
เขาพูดจริง ตอนนั้นใครๆเค้าก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าทั้งสองคนนี้มันชอบกัน
ถ้าน้องมันสังเกตพี่ติวเตอร์อีกกสักนิด หรือถ้าตอนนั้นไอ้แจ็คสันมันไม่มีเรื่องฝังใจจนไม่กล้ารักใคร...ทั้งสองคนคงได้รักกันไปนานแล้ว
ไม่ต้องมาผ่านมรสุม 7 ปีแบบนี้หรอก
“...ทำตามใจตัวเองได้แล้วนะห่ า กูขี้เกียจจะลุ้นแล้ว”
ชายหนุ่มพูดกับคนที่เมาคอพับไม่รู้เรื่องก่อนเรียกคุณป้าเจ้าของร้านมาเก็บเงินและแบกเพื่อนสนิทขึ้นแท็กซี่กลับคอนโด
พร้อมลอบยิ้มที่มุมปาก...กับแผนการที่เจ้าตัวเพิ่งคิดขึ้นได้แบบสดๆร้อนๆเมื่อครู่...
Fin
5/6/2016
11.19 pm
Continue reading in EP 4
Coming Soon
Let’s Talk
เย่ๆ กลับมาแล้วค่า ^^
สำหรับใครที่โกรธพี่แจ็คว่าหายไปไหนมาตั้ง 7 ปี รู้เหตุผลกันแล้วก็อย่าโกรธพี่แกเลยนะคะ เรื่องบางเรื่องมันเป็นอะไรที่ฝังใจ เรื่องของความรู้สึก ในมุมคนมองเราอาจจะคิดว่าเรื่องแค่นี้เอง แต่ในมุมของคนที่ได้สัมผัสมันกับตัวเอง...มันอาจจะหนักเกินกว่าตัวเขาจะรับมันไหวก็ได้เนอะ
สำหรับตอนหน้า มาลุ้นกันเนอะว่าพี่แจบอมจะทำอัลไลลล 555
สำหรับเสาร์และอาทิตย์หน้า ใครได้ไปคอน ได้ทัช และอื่นๆ...เราดีใจด้วยนะคะ ฮืออออออออ ร้องไห้หนักมากอ่ะ ยิ่งใกล้วันคอนยิ่งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เสียใจมาก ใครมีลิ้งสตรีมรีบปามานะคะ โซนหน้าคอม ทีมคนไม่มีเงินเปย์อยู่นี่ค่ะ *ยกมือ #ร้องไห้หนักมาก
ช่วงนี้รู้สึกว่าลูกสาวเราฮอตมากเลยค่ะ มีโมเม้นทับหนุ่มๆไม่ซ้ำกันเลย เดี๋ยวก็พี่แจ็ค พี่มาร์ค คุณจู คุณบี โอ๊ยยย แม่หวงรู้มั๊ยลูก ฮา
ไปแล้วค่า ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมนะคะ รักมากๆเยย *ทำมือเป็นรูปหัวใจ อิอิ
ความคิดเห็น