ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Traveling | SF / OS [ JackJae ] #การเดินทางของแจ็คแจ

    ลำดับตอนที่ #10 : [SF] My Old Story : EP 4 | JackJae

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 59





    My Old Story By IU


    ***********************************************************************************************

    Episode 4


    7 Years








     

    [Jackson’s Part]

    7 years ago

    March 2010

     

     

     

    ...ผมอยู่ที่ไหน...

     

     

    เอ่ยถามตัวเองพลางหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง หมอกสีขาวขุ่นที่ปกคลุมอยู่รอบกายบดบังวิสัยทัศน์การมองเห็นของผมไปกว่าครึ่ง

     

     

     

    แจ็คสัน

     

     

     

    ...เสียงใคร...

     

     

     

     

    แจ็คสันคะ...

     

     

     

    “นั่นใคร!

     

    ผมตะโกนสวนกลับไปท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวหลังถูกเสียงปริศนานั่นเรียกชื่อซ้ำถึงสองครั้งสองครา

     

    อันที่จริง....จะเรียกว่าเสียงปริศนาก็คงไม่ถูกนัก

     

    ...มีความรู้สึกบางอย่าง...บอกว่าผมรู้จักเสียงนี้...

     

     

     

    ...บางอย่าง...

     

     

     

     

     

             อย่าแกล้งกันสิกากา!! ฮะๆ

     

             ก็เธอมันน่าแกล้งน้อยซะที่ไหนล่ะ มานี่เลยยัยตัวแสบ

     

    ฮะๆ โอ๊ย ไม่เอาๆ ฮ่าๆๆๆ

     

     

    เสียงหัวเราะคิกคักคุ้นหูดังขึ้นมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมรอบกายที่เริ่มเปลี่ยนไป

     

    อาคารลายอิฐของ International High School แห่งหนึ่งในฮ่องกงยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำแม้ไม่ได้แวะกลับไปเยี่ยมเยียนนานหลายปี ใกล้เข้ามาอีกหน่อยเป็นสนามหญ้ากว้างๆหลังอาคารเรียน และคงเพราะที่ตรงนี้เป็นทุ่งโล่งและบรรยากาศเย็นสบาย ทำให้เหล่านักเรียนมักจะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่ระหว่างช่วงพักเป็นประจำ

     

    ...ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น...

     

     

     

    นี่...เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานมากแล้วนะ

     

    ผมเห็นตัวเองในวัย 18 เอ่ยถามผู้หญิงตัวเล็กที่ผมหนุนหน้าตักเธอต่างหมอนอยู่ เธอละสายตาจากหนังสือเล่มโปรดและหันมาสบตากับผม

     

    หาเรื่องเที่ยวอีกแล้ว นานอะไรล่ะ ไม่กี่อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งไปดูหนังด้วยกันมาเองไม่ใช่หรือไง

     

    เด็กสาวว่าก่อนละความสนใจจากผมในวัย 18 ปีที่กำลังทำหน้างอหลังได้ยินคำตอบ เธอเงยหน้าขึ้นรับลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามาจนทำให้ผมเธอยุ่งไปหมด ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มบางอย่างสดชื่นและมองตรงมาข้างหน้า

     

     

    ...วินาทีที่เธอสบตากับตัวผมที่ยืนมองอยู่ตรงนี้...หัวใจผมเหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว

     

     

     

    ฮอ ยองจี คือชื่อของเธอ

     

     

     

    งั้นไปขับรถเล่นกัน

     

    ...

     

    ...น้า ยองจี นะครับคนสวย

     

    ผมเห็นตัวเองในอดีตกำลังออดอ้อนคนรักให้ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ยองจีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางมองหน้าผมไปด้วยอย่างใช้ความคิด

     

    “อย่าไป! อย่าตอบตกลงนะยองจี!!!

     

    ผมพยายามตะโกนออกไปจนสุดเสียง ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะดังจนทำให้คนในละแวกนั้งหมดหันมามองได้แล้ว แต่กลับไม่มีใครสนใจผมเลยสักคนเดียว...รวมถึงผู้หญิงที่กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่ตรงนั้นด้วย

     

    เอายังไงดีน้า

     

     

    “ยองจี...ไม่...”

     

     

    ฉัน...

     

     

     

    “อย่าไป...อย่าตอบตกลงเด็กขาดนะ!...”

     

     

    ...ตกลงค่ะมิสเตอร์หวัง ฮ่าฮ่าฮ่า

     

     

     

     

    “ไม่!!!!!!!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    !!!!!!!!!!!!

     

     

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ม่านตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เหงื่อเป็นเม็ดไหลตามโครงหน้าและซึมออกมาตามแผ่นหลังจนเสื้อนอนเปียกชุ่มไปหมด หัวใจยังคงเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ

     

    ต้องตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งผมถึงค่อยถอนหายใจออกมา

     

     

     

    ...แค่ความฝัน...

     

     

     

     

    ...แค่ฝันเท่านั้น....

     

     

     

              ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นอนเพราะรู้สึกว่าไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อีกต่อไปแม้นาฬิกาเพิ่งตีบอกเวลาตีห้าไปเมื่อครู่  ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ

     

              ใช้เวลาล้างหน้าล้างตาไม่เกิน 5 นาทีผมก็เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพชุดนอนตัวเดิม ที่ตัดสินใจยังไม่อาบน้ำเพราะรู้สึกว่ามันยังเช้าเกินไป ยิ่งเป็นเช้าๆของประเทศเขตหนาวแบบแคนาดาด้วยนะ...เหอะๆ หน้าหนาวที่เกาหลีหรือฮ่องกงนี่เป็นเรื่องเด็กๆไปเลย

     

              ผมตัดสินใจเดินมานั่งที่โซฟาหน้าโทรทัศน์ ปกติตรงนี้จะเป็นที่นอนของเมทผมเองเพราะเขาชอบนอนหลับหน้าทีวีอยู่บ่อยๆจนผมต้องเป็นคนเดินออกมาปิดและบอกให้เขาไปนอนในห้องดีๆทุกครั้ง แต่สงสัยว่าเมื่อคืนคงไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ เมทผมถึงได้เข้าไปนอนในห้องของตัวเอง

     

              เพราะไม่รู้จะทำอะไร โทรทัศน์ตรงหน้าจึงถูกเปิดขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ

     

              รายการสารคดีสัตว์โลกเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้เมื่อเทียบกับข่าวเศรษฐกิจยามเช้าของช่องอื่นๆ ยังไงผมก็ยินดีจะดูตัวสล็อตคลาน ดูตัวนากว่ายน้ำ ดีกว่านั่งหาวฟังข่าวว่าวันนี้หุ้นตัวไหนขึ้น ตัวไหนดิ่งลงเหว

     

              ฮึ...ตัวนากงั้นเหรอ...

     

              หน้าตามึนๆของตัวนากในโทรทัศน์ทำให้ผมพาลนึกถึงใครอีกคนที่ป่านนี้คงกำลังเตรียมตัวทานข้าวเย็นอยู่ที่อีกซีกโลก

     

     

              หนึ่งปีที่ผ่านมา...คงเป็นปีที่ผมยิ้มออกมามากที่สุดในตลอดระยะเวลาหลายปี

     

              ใครจะไปเชื่อว่าเด็กม.ปลายหน้าตาธรรมดาๆ บ้านๆ จะทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้

     

              คุณเชื่อมั๊ย...แค่ผมเห็นเขายิ้ม...เห็นเขาหัวเราะ...ไอ้เรื่องแย่ๆทุกอย่างที่เคยรุมเร้าเข้ามา ก็เหมือนจะมลายหายไปหมด

     

              Sunshine...คงเป็นคำที่เหมาะกับชเว ยองแจมากที่สุด

     

              เหมือนดวงอาทิตย์ที่สาดส่องแสงสว่างเข้ามาในโลกสีเทาๆใบเล็กของผม

     

              เขาสว่างสดใสมาก...มากจนวูบหนึ่งในห้วงความคิด...ผมกลัวว่าสีเทาในโลกของผมจะเป็นตัวทำลายแสงสว่างนั้น

     

     

     

              คุณรักเด็กคนนั้นเหรอคะแจ็คสัน

     

     

             คุณพร้อมจะดูแลเขาแล้วเหรอ

     

     

             คุณแน่ใจเหรอ...ว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิม

     

     

             แค่ฉัน...คนที่คุณบอกว่ารักปานจะกลืน...คุณยังดูแลไม่ได้เลย...

     

     

             คนอย่างคุณน่ะ...ดูแลใครไม่ได้หรอกนะ หวัง แจ็คสัน

            

             

     

     

              ผมยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองเมื่ออยู่ดีๆก็รู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาก่อนลุกขึ้นเดินเซๆกลับเข้าไปในห้องนอน มือข้างหนึ่งควานหากล่องยาบนโต๊ะข้างเตียงจนข้าวของบนนั้นกระจัดกระจาย

     

              ยาเม็ดขนาดพอประมาณ 2 เม็ดถูกเทออกมาจากขวด ก่อนผมจะกินมันเข้าไปตามด้วยน้ำเปล่าหนึ่งอึกใหญ่ๆ

     

     

              ทุกครั้งที่เผลอนึกถึงยองแจ...ผู้หญิงคนนั้นจะตามกลับมาหลอกหลอนผมทุกครั้ง

     

     

     

              ใบหน้าของเธอ รอยยิ้มของเธอ

     

     

     

              ...และสายตาว่างเปล่าที่จับจ้องมา...ก่อนที่ผมจะหมดสติไปในวันนั้น...

     

     

     

     

              ชื่อของเธอคือ ฮอ ยองจี

     

              สำหรับผม...เธอคือครั้งแรกของแทบจะทุกอย่าง

     

     

              เป็นเพื่อนคนแรกสมัยเรียนมัธยมปลาย

     

              เป็นเพื่อนต่างชาติคนแรกที่ผมรู้จัก

     

              เป็นเพื่อนสนิทผู้หญิงคนแรกที่ผมเคยมี

     

     

              และถึงแม้เธอจะไม่ใช่รักแรกหรือแฟนคนแรก...แต่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่า...ผมอยากจะดูแลและปกป้องเธอไปตลอดชีวิต

     

     

             

              ...ปกป้องเหรอ...หึ...

     

     

     

              ไปขับรถเล่นกันนะยองจี

     

     

     

     

     

              ...ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นยองจี คือสายตาว่างเปล่าที่จ้องมองมา...และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับข้างซ้ายของเธอ...

     

     

     

     

     

     

     

    Present day

    2016

     

     

              “แล้วมึงไม่อธิบายให้น้องเค้าฟังล่ะว่ามึงหายไปเพราะอะไร เจอกันทั้งที”

     

              ไอ้แจบอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นพลางรินโซจูลงในแก้วว่างเปล่าของผมอีกครั้ง

     

              ร้านโพจังมาจาข้างถนนคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผมหลังเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อครู่ และเพื่อนสนิทกว่า 10 ปีอย่างอิม แจบอมก็ยินดีจะมานั่งเป็นเพื่อนแม้จะโดนผมโวยวายใส่โทรศัพท์ไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน

     

              ทันทีที่แอลกอฮอล์เริ่มไหลเข้าสู่ร่างกาย ปากผมมันก็พาลเล่าเรื่องเก่าๆที่เคยเล่าให้คนตรงหน้าฟังกว่าร้อยรอบอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตที่แคนาดา เรื่องผู้ชายตัวเล็กแต่กลับมีอิทธิพลต่อผมมากมายมหาศาลอย่างชเว ยองแจ...หรือแม้แต่เรื่องราวฝังใจเมื่อ 11 ปีก่อน

     

     

              เพราะความสะเพร่าของผมในวันนั้น...ถ้าผมมีสมาธิในการขับรถอีกสักนิด...หรือถ้า...ถ้าผมไม่ออกปากชวนเธอไปนั่งรถเล่นด้วยกัน...

     

              ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แสงสว่างจ้าของไฟรถบรรทุกสาดเข้าตาผม ตามมาด้วยแรงอัดรุนแรงจากทางด้านหน้า กระแทกรถยนต์ของผมจนมันหมุนคว้าง กระเด็นไปจนตกไหล่ทาง

     

              เพราะยังมีสติอยู่ ผมถึงได้แอบคิดในใจว่าโชคดีแค่ไหนที่รถไม่ระเบิด ถึงจะเจ็บจนแทบไม่อยากขยับตัว กระดูกน่าจะหักหลายชิ้น...แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ตาย

     

              ...เรา...

     

     

     

              หึ

     

     

     

    วินาทีที่หันกลับไปเจอสายตาว่างเปล่าไร้แวว และใบหน้าโชกเลือดนั่นแหละ...ผมถึงได้รู้สึกกว่า...ทำไมคนที่จากไปถึงไม่เป็นผม

     

    ทำไมต้องเอาเธอไป...ทำไมไม่เอาผมไปแทน เธอทำผิดอะไร

     

    คนออกปากชวนเธอมา...ก็ผม

     

    คนขับรถ...ก็ผม

     

    คนที่ตกใจจนไม่ยอมหักพวงมาลัยหลบ...ก็ผม

     

     

    ทำไมพระเจ้าต้องเอาเธอไป! เธอทำผิดอะไร!

     

    แล้วผม...ผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไง...

     

     

     

    ถึงทุกคนจะไม่มีใครเอาผิด ไม่มีใครว่า เพราะหลักฐานจากทั้งกล้องวงจรปิดและพยานเห็นเหตุการณ์แถวนั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารถบรรทุกคันนั้นเป็นฝ่ายขับรถผิดเลนและพุ่งเข้ามาชนด้วยความเร็ว เหมือนว่าคนขับจะเมาหรืออะไรสักอย่าง

     

     

    ...แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดี ว่าคนที่ฆ่ายองจี ไม่ใช่คนขับรถบรรทุกคันนั้น...

     

     

    ไปขับรถเล่นกันนะยองจี

     

     

    ...ผมต่างหาก...ที่เป็นฆาตรกร...

     

     

     

     

     

     

     

              ความกลัวฝังใจในอดีตทำให้ผมไม่กล้าเปิดใจรับใครเข้ามาอีก

     

              ผมไม่ได้กลัวการมีความรัก หรือลืมรักครั้งเก่าไม่ได้

     

              ผมแค่กลัว...กลัวว่าเมื่อรักใครสักคนแล้ว...ผมจะไม่สามารถปกป้องเขาได้

     

     

              กลัว...ว่าจะเป็นคนพรากอีกฝ่ายไปซะเอง...

     

     

              ...เหมือนกับเธอ...

     

     

     

     

     

              การที่ผมพยายามหายไปจากชีวิตของยองแจก็เหมือนกัน

     

     

              ตอนนั้น...เมื่อ 7 ปีก่อน...ผมยังกลัวเกินไป

     

     

              ทุกครั้งที่คิดว่าจะเริ่มใหม่...ทุกครั้งที่คิดว่าอยากจะปกป้องใครสักคน...

     

     

     

     

              ขนาดฉันคุณยังปล่อยให้ตาย! แล้วคุณจะไปดูแลใครได้ แจ็คสัน

     

     

     

     

              เสียงของความกลัวที่อยู่ในหัวมีมากเกินไปจนกลายเป็นภาพหลอน ผมมักจะฝันถึงอุบัติเหตุในวันนั้น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาและพบกับเสียงของอดีตคนรักที่พร่ำพูดสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไปจนตายดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา

            

     

     

              ช่วงสองสามเดือนแรกที่ไปอยู่แคนาดา เป็นช่วงที่ผมอาการหนักมากที่สุด

     

              อาจเพราะผมคิดถึงคนที่อยู่อีกซีกโลกบ่อยมากเกินไป และทุกครั้งที่นึกถึง...ก็จะตามมาด้วยภาพหลอนของคนที่จากไปแล้วทุกครั้ง

     

             

              ถ้าคุณยังดึงดัน สุดท้ายเด็กคนนั้นก็คงต้องตายเพราะคุณเหมือนกับฉันอีกนั่นแหละ!’

     

     

     

              ผมตัดสินใจเลิกติดต่อกับยองแจ และเข้าพบจิตแพทย์

     

              ที่ต้องเลิก...เพราะทุกครั้งที่ติดต่อ หรือแม้แต่นึกถึง...ภาพหลอน เสียง ความกลัวทุกอย่างจะกลับมา

     

              อีกอย่าง...ผมคิดว่าตัวผมเองยังไม่พร้อม

     

              หากผมคิดจะรักใครสักคนอย่างจริงจัง...ผมต้องมั่นใจว่าผมพร้อมจะดูแลและปกป้องเขาให้ได้

     

              และหากผมยังเป็นอย่างนี้...ผมคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้

     

     

     

     

              การหายไปของผม...สำหรับยองแจ...คงเป็นการหายไปแบบไร้เหตุผล...

     

              ผมนึกภาพออกเลยว่ายองแจจะต้องโกรธมากแค่ไหนที่อยู่ดีๆผมก็ขาดการติดต่อไปแบบนี้

     

     

     

              เพราะผมไม่รู้จะพูดเหตุผลออกมายังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ จึงตัดสินใจไม่บอกอะไรและหายมาเฉยๆแบบนี้

     

    ผมรู้ตัวว่าเรื่องนี้ผมผิดเต็มประตู และผมจะไม่โกรธเลยสักนิดหากเขาไม่พอใจ

     

    สำหรับเขา ผมอาจจะเป็นพี่ชายแสนดี แต่ความจริง...ผมก็แค่หวัง แจ็คสัน...ผู้ชายที่มีแต่ความกลัวในใจและไม่กล้าพอที่จะต่อสู้กับมันเท่านั้น

     

     

     

     

     

    “มึงต้องเห็นว่าสายตาที่น้องเค้ามองกูมาเป็นยังไง” ผมว่าพลางเหยียดยิ้มสมเพชตัวเอง “แค่เห็นสายตายองแจ...กูก็รู้สึกผิดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว”

     

     

              โซจูหนึ่งจอกเล็กถูกยกขึ้นซดจนหมดรวดเดียวหลังพูดจบ สายตาคู่นั้นที่มองมา จนถึงตอนนี้ผมยังจำได้ขึ้นใจ

     

     

              ดีใจที่ได้เจออีกครั้งนะครับ...พี่แจ็คสัน

     

     

              เป็นประโยคสั้นๆที่คนตัวเล็กพูด...ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องของตนเอง

     

              ดีใจงั้นเหรอ

     

     

              ถ้าดีใจ...แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

     

              ถ้าดีใจ...แล้วทำไมต้องฝืนยิ้ม

     

              ถ้าดีใจ...แล้วทำไมผมถึงเห็นความสับสนในดวงตาคู่นั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

              “มึงก็นะ...ก็รู้ว่าเค้าชอบ แต่นี่เล่นหายไป 7 ปี ถึงมารู้ทีหลังว่าใจตรงกัน แต่เป็นกู กูก็โกรธว่ะ แม่ งเหี้ ยเกิน”

     

              “มึงเพื่อนกูใช่มั๊ยแจบอม”

     

              ผมว่าพลางมองแรงใส่คนนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อถูกมันพูดแทงใจดำใส่

     

              ก็รู้ว่าผิด นี่ก็รู้สึกผิดจะตายห่าจนไม่กล้ามองหน้าน้องมันแล้ว! ไม่งั้นกูต้องมานั่งปรับทุกข์ ซดโซจูย้อมใจกับมึงตรงนี้มั๊ยล่ะ!

     

              “จริงๆแล้ว ตอนมึงกลับมาเกาหลีช่วงจบป.ตรีมึงก็น่าจะติดต่อน้องกลับไปบ้าง...ตอนนั้นมึงหายแล้วไม่ใช่หรือไง”

     

              แจบอมเอ่ยขึ้นพลางชี้หน้าผมเหมือนจะบอกว่า ไม่ต้องมาพูดอ้างห่าเหวอะไรเลย จริงๆแล้วมึงมันก็แค่ไอ้เหี้ ยคนนึงที่เทน้องไปนั่นแหละ

             

     

              “...จริงๆแล้วตอนนั้น...กูเจอยองแจด้วยแล้ว...แต่กูไม่ได้บอกมึง”

     

              “ฮะ? จริงดิ ตอนไหน? แล้วทำไมมึงไม่ทักน้องเค้า แล้วบอกเหตุผลว่าทำไมถึงหายไปล่ะวะ มึงบ้าป่ะเนี่ยแจ็คสัน”

     

              “...”

     

              “...แจ็คสัน?..”

     

              “...จะให้กูบอกยังไงวะ...”

     

              “...”

     

              “...ก็ตอนนั้น ข้างๆน้อง...มันไม่มีที่ให้กูแล้วนี่หว่า...”

     

     

     

     

     

     

    5 Years ago

    2012

    Seoul, South Korea

     

     

              สนามบินอิลชอนยังดูเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ผมจากมา

     

              “ว่าไงเด็กนอก! ไม่เจอกันเป็นชาติทำไมมึงไม่สูงขึ้นเลยวะ ฮ่าฮ่าฮ่า โอ๊ย โทษๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

              แจบอมที่อาสามารับผมที่สนามบนหัวเราะลั่นก่อนเราจะเดินกอดคอกันออกไปจากสนามบิน

     

     

              2 ปีแล้วสินะ

     

              ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่ผมมีแผนจะต่อปริญญาโทที่แคนาดาต่อเลยหลังได้ทุนจากมหาวิทยาลัยที่นู่นอีกครั้ง

     

              และเพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน ธีซิส หรือแม้แต่เรื่องปัญหาสุขภาพจิตใจของผม ทำให้ผมไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ หรือเพื่อนๆที่เกาหลีเลย

     

              ผมจึงตัดสินใจใช้ช่วงเวลาว่างๆไม่กี่เดือนก่อนกลับไปเริ่มเรียนปริญญาโทกลับมาที่ประเทศนี้อีกครั้ง

     

     

     

              “ยองแจ...เป็นยังไงบ้างวะ”

     

             

     

              ผมตัดสินใจถามแจบอมไปหลังกลับมาเหยียบเกาหลีใต้ได้สองสามวัน

     

              ระยะเวลา 2 ปี...นานเพียงพอที่จะทำให้อาการทางจิตของผมถูกรักษาจนหายขาด

     

              แน่นอน...มันแลกมาด้วยการไม่ติดต่อใครอีกคนที่ผมคิดถึงอยู่ตลอดมาเช่นกัน

     

             

     

              “ถ้าอยากรู้...มึงก็ลองไปหาน้องเค้าสิ...มึงโอเคแล้วไม่ใช่เหรอ”

     

     

     

     

              ตลอด 2 สัปดาห์ที่อยู่เกาหลี ผมเห็นใบหน้าใสๆนั่นอยู่ทุกที่รอบกาย

     

    ไม่ว่าจะเป็นในโทรทัศน์

     

    ในแผ่นโฆษณา

     

    ในอินเทอร์เน็ต

     

     

     

    ทุกครั้งที่ผมเห็น ผมก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองในใจ

     

     

    ดังใหญ่แล้วสินะตัวเล็ก...ฮึๆ

     

     

     

    และ Superstar K คนต่อไปของเกาหลี ได้แก่...ชเว ยองแจ!!!’

     

     

     

    ‘Mark!! You see that!!! He won!! He can do it! Oh my god!!! ’

     

     

     

              ผมยังจำโมเม้นท์ที่ตัวเองกรีดร้องด้วยความดีใจใส่รูมเมทที่แคนาดาได้อยู่เลย นึกแล้วตลกเป็นบ้า ฮะๆ

     

              ช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่ผมจะกลับมาเกาหลี เป็นช่วงที่รายการแข่งขันร้องเพลงยอดนิยมอย่าง superstar K ออกอากาศ

     

              ผมคงไม่ดูรายการนี้หรอก ถ้าไม่บังเอิญไปเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าหนึ่งในบรรดาผู้แข่งขันที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเป็นใคร

     

             

     

              จากเด็กตื่นเวทีในวันนั้น...กลายมาเป็นผู้ชนะในรายการใหญ่ขนาดนี้

     

     

              วันนั้นทั้งวันผมยิ้มแก้มปริจนเพื่อนทั้งคณะหาว่าบ้าเลยล่ะ ฮะๆ

     

     

     

     

     

     

              กลับมาที่เกาหลี...ผมเจอยองแจอยู่ทุกที่...แต่ไม่เจอแม้แต่เงาจริงๆของเขา

     

     

     

     

              มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมทำใจกล้า แอบไปที่บ้านของยองแจ...แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่าเพราะไม่มีใครอยู่บ้าน

     

     

              คุณต้องถามผมอยู่ในใจแน่ๆเลยใช่มั๊ยว่าทำไมไม่โทรไป

     

     

     

              รู้แล้วอย่าด่าผมนะ

     

     

     

              ก่อนหน้านี้ผมทำโทรศัพท์มือถือหายน่ะ...ทั้งเบอร์โทร Kakao ของยองแจอยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้น...ปัญหาคือ ผมเป็นประเภทไม่จำเบอร์โทรศัพท์คนอื่นด้วยนี่สิ

     

     

     

              แต่เหนือความนกก็ยังมีความบังเอิญ

     

     

     

     

              คืนสุดท้ายก่อนบินกลับแคนาดา ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมออกมาเดินเล่น ชมวิวเมืองโซลเป็นครั้งสุดท้ายตอนเกือบเที่ยงคืน

     

              เป็นตอนนั้นเอง...ที่ผมได้พบกับคนที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดมา

     

     

     

              ถึงเจ้าตัวจะใส่แมสปิดบังใบหน้า แต่ผมก็ยังจำเขาได้ดี

     

    ยองแจนั่งอยู่ที่ม้านั่งห่างจากผมไปประมาณ 5 เมตร เส้นผมสีน้ำตาลเข้มถูกย้อมให้สว่างขึ้นอีกเล็กน้อย เช่นเดียวกับใบหน้าที่เคยอวบอูมกลับตอบลง ผมคงต้องขอบคุณหูฟังอันเล็กที่ยองแจใส่อยู่ ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง...และแน่นอน ไม่สังเกตเห็นผมด้วย

     

    ผมอยากจะก้าวเข้าไปหาเขา เข้าไปแกล้งปิดตา หรือเข้าไปดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดสักทีให้หายคิดถึง

     

    แต่ก็เพราะเหตุผลเดิม...ความกลัว

     

              มันไม่ใช่ความกลัวเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน

     

              กลัว...ว่าอีกฝ่ายจะลืมไปแล้ว

     

              กลัว...ว่าอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม

     

              กลัว...ทั้งที่คนต้นเหตุ...ก็คือผมเองทั้งนั้น ฮะๆ

     

     

     

              และในระหว่างที่ผมมัวแต่ลังเล...สิ่งที่กำลังกลัวอยู่ในใจก็เกิดขึ้นตรงหน้าผม

     

     

              มาช้าจังเลย ปล่อยให้ผมรอตั้งนานนะพี่จินยอง

     

             ขอโทษๆ พี่ติดคุยงานกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยน่ะ...ขอโทษนะครับยองแจ

     

             ไม่ให้อภัยหรอก...พี่ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน

     

             งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมถ้วยนึงเลย

     

             นี่พี่เห็นผมเป็นอะไรวะ ผมดูเห็นแก่กินมากหรือไง

     

             งั้นสองถ้วย

     

             พี่...!’

     

             สามถ้วยขาดตัว... ฮ่าฮ่าฮ่า

     

             ย่าห์! ปาร์ค จินยอง!’

     

     

     

     

              ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าทั้งคู่คงเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมากๆ ถ้าไม่ทันว่าเห็นอีกฝ่ายดึงยองแจเข้ามาจูบเบาๆที่ขมับ

     

             

              คุณเคยโดนตบจนหน้าชามั๊ย

     

              นั่นล่ะ...ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นเลย

     

     

              มันไม่เจ็บ ไม่ปวด...แต่มันชา...ชาไปทั้งตัว

     

              ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแม้ทั้งสองคนจะเดินหายไปนานแล้ว ร่างกายมันไม่ตอบสนองเหมือนกับว่าผมเป็นอัมพาตไปแล้วจริงๆ พร้อมกับคำว่า สายไป ที่ดังสะท้อนก้องไปมาอยู่ในโสตประสาท

     

              ...ช้าไป...ช้าไปแล้วจริงๆ...

     

             

     

     

     

     

     

     

              “แปลว่านี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มึงไม่ติดต่อกลับมาหายองแจเลยใช่มั๊ย”

     

              “อืม”

     

              เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่แก้วโซจูถูกผมยกขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียว สติผมเริ่มจะเบลอๆหลังปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมีมากจนเกินไป มั่นใจได้เลยว่าถ้าให้ผมยืนนี่ต้องมีเซแน่นอน

     

              “กูรู้ว่ามันฟังดูปัญญาอ่อน...แต่...ให้ตายเหอะ มึงไม่เคยอกหักหรือไงวะ เวลามึงอกหักมึงยังมีอารมณ์อยากจะทักคนที่หักอกมึงอีกเหรอ...”

     

              อาจเพราะสติสัมปชัญญะหายไปกว่าครึ่ง ผมถึงได้โพล่งออกไปตามที่คิดและใส่อารมณ์มากเกินความจำเป็น

     

              แต่เหมือนแจบอมจะเข้าใจ มันถึงได้ไม่ตอบอะไรกลับมา มีเพียงมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาตบบ่าผมอย่างเห็นใจเท่านั้น

     

              “กูเข้าใจ...ตอนกูเลิกกับแฟนเก่า...แค่ชื่อเค้ากูยังไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะจำเลย”

     

              “เออ นั่นแหละ ความรู้สึกกูตอนนั้นเลย...ไม่อยากจะติดต่อ อยากจะลืมๆไปให้หมด อยากทำยังไงก็ได้ให้หน้าใสๆนั่นออกไปจากหัว...กู...เฮ้อ”

     

     

     

              เพราะแบบนี้ จากที่ตั้งใจว่าจะพยายามหาทางติดต่อคนตัวเล็กให้ได้ กลายเป็นว่าผมพยายามปิดกั้นตัวเองจากชเว ยองแจโดยสิ้นเชิง

     

              พยายามเรียนและทำงานพิเศษอย่างหนักจนแม้แต่คนรอบตัวยังประหลาดใจเพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจนไม่มีเวลามาคิดถึงใครอีกคน

     

              ซึ่งนั่นก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะจากกการทำงานหนักนั้น ทำให้ผมจบปริญญาโทภายในระยะเวลาแค่ 1 ปีและมีบริษัทใหญ่ในแคนาดาเรียกตัวให้เข้าไปสัมภาษณ์งานทันทีที่เรียนจบ

     

              ผมตัดสินใจอยู่ทำงานต่อที่แคนาดาเลย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ท่านก็เข้าใจและเห็นดีเห็นงามด้วย ถึงมันจะทำให้ไม่ได้เจอกันบ่อยมากขึ้นไปอีก แต่พวกท่านก็เข้าใจ

     

              ผมทำงานอย่างหนักอยู่ที่แคนาดาตลอด 2 ปีกว่าๆ ก่อนจะตัดสินใจลาออกและกลับมาทำงานที่เกาหลีใต้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนนี่เอง

     

    ที่ไม่กลับฮ่องกงเพราะถึงจะเป็นประเทศบ้านเกิด แต่พ่อกับแม่ผมอยู่ที่นี่ ผมถึงตัดสินใจกลับมาทำงานที่นี่แทน

     

              สำหรับงานที่ทำก็เป็นเหมือนงานประจำกึ่งๆฟรีแลนซ์ เหมือนกับผมมีบริษัทแม่ที่คอยป้อนงานให้ ส่วนผมมีหน้าที่รับงานมาทำ จะทำที่บ้านหรือที่บริษัทก็ได้ พอเสร็จก็เอาไปส่งให้ลูกค้า

     

              นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในคอนโดไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตาผมสักเท่าไหร่ถึงจะอยู่มาเป็นเดือนแล้ว เวลามีงานผมจะฝังตัวปั่นงานอยู่ในห้อง จะมีก็แค่ตอนต้องไปซื้อของเข้าห้อง ต้องเข้าบริษัท หรือมีคนชวนไปดื่มเท่านั้นแหละผมถึงจะได้ฤกษ์ก้าวเท้าออกจากห้อง

     

              เป็นสาเหตุ ที่ทำให้ผมไม่รู้เลยว่า...คนที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด 7 ปี...อยู่ห่างกันแค่กำแพงกั้นเท่านั้นเอง

     

     

     

              “แล้วมึงจะเอาไงต่อ”

     

              สติผมแทบไม่เหลือแล้วตอนแจบอมถามคำถามนี้

     

              “มึงยัง...ชอบน้องมันอยู่หรือเปล่า”

     

              ...ถ้าไม่ชอบแล้วกูจะมานั่งเมาขนาดนี้ทำไม...

     

              “ถ้าชอบ...แล้วจะกลัวอะไรวะ”

     

              “...”

     

              “ไปหาน้องดิ...”

     

              “...”

     

              “...ไปบอกน้อง ว่าจริงๆแล้วมึงรู้สึกยังไง...”

     

              “...”

     

              “...ไม่มีอะไรจะเสียแล้วป่ะวะ โตกันขนาดนี้แล้ว ใจๆหน่อย”

     

              “...”

     

              “มึง...”

     

              “กูควรเสี่ยงเหรอวะ...”

     

              “...”

     

              “...น้องมันเคยชอบกูก็จริง...แต่มันก็ 7 ปี...แถมเป็น 7 ปีที่ไม่ได้เจอกันเลย...”

     

              “...”

     

              “...กู...”

     

              เป็นตอนนั้นเองที่สติของผมหลุดลอยหายไปเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แม้จะพยายามฝืนไว้มากแค่ไหน

     

              แจบอมไม่มีทีท่าตกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกว่า 10 ปีล้มฟุบคอพับไป

     

              ก็จะตกใจทำไมล่ะ...เขาตั้งใจมอมเหล้ามันกับมือ

     

     

              ถึงจะไม่ได้เจอกับชเว ยองแจบ่อยมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอเลย

     

              และทุกครั้งที่เจอ...แน่นอน...คนตัวเล็กเอ่ยถามถึงไอ้โง่ที่นอนกำแก้วโซจูอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

     

              แม้ไม่เคยบอกว่ายังชอบ ยังรัก ยังคิดถึง...แต่ทุกการกระทำของคนตัวเล็กต่างชี้ไปในทางเดียวกัน

     

              ...ในสายตาของเขา ยองแจยังเป็นเด็กมัธยมปลายที่แอบชอบติวเตอร์ของตัวเองจนแทบเก็บอาการไม่อยู่แม้เจ้าตัวจะพยายามนิ่งไว้แค่ไหนก็ตาม

     

              เขาพูดจริง ตอนนั้นใครๆเค้าก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าทั้งสองคนนี้มันชอบกัน

     

              ถ้าน้องมันสังเกตพี่ติวเตอร์อีกกสักนิด หรือถ้าตอนนั้นไอ้แจ็คสันมันไม่มีเรื่องฝังใจจนไม่กล้ารักใคร...ทั้งสองคนคงได้รักกันไปนานแล้ว

     

              ไม่ต้องมาผ่านมรสุม 7 ปีแบบนี้หรอก

     

              “...ทำตามใจตัวเองได้แล้วนะห่ า กูขี้เกียจจะลุ้นแล้ว”

     

              ชายหนุ่มพูดกับคนที่เมาคอพับไม่รู้เรื่องก่อนเรียกคุณป้าเจ้าของร้านมาเก็บเงินและแบกเพื่อนสนิทขึ้นแท็กซี่กลับคอนโด

     

              พร้อมลอบยิ้มที่มุมปาก...กับแผนการที่เจ้าตัวเพิ่งคิดขึ้นได้แบบสดๆร้อนๆเมื่อครู่...

     

     

     

    Fin

     

    5/6/2016

    11.19 pm

     

    Continue reading in EP 4

    Coming Soon

     

     

    Let’s Talk

     

    เย่ๆ กลับมาแล้วค่า ^^

     

    สำหรับใครที่โกรธพี่แจ็คว่าหายไปไหนมาตั้ง 7 ปี รู้เหตุผลกันแล้วก็อย่าโกรธพี่แกเลยนะคะ เรื่องบางเรื่องมันเป็นอะไรที่ฝังใจ เรื่องของความรู้สึก ในมุมคนมองเราอาจจะคิดว่าเรื่องแค่นี้เอง แต่ในมุมของคนที่ได้สัมผัสมันกับตัวเอง...มันอาจจะหนักเกินกว่าตัวเขาจะรับมันไหวก็ได้เนอะ

     

    สำหรับตอนหน้า มาลุ้นกันเนอะว่าพี่แจบอมจะทำอัลไลลล 555

     

    สำหรับเสาร์และอาทิตย์หน้า ใครได้ไปคอน ได้ทัช และอื่นๆ...เราดีใจด้วยนะคะ ฮืออออออออ ร้องไห้หนักมากอ่ะ ยิ่งใกล้วันคอนยิ่งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เสียใจมาก ใครมีลิ้งสตรีมรีบปามานะคะ โซนหน้าคอม ทีมคนไม่มีเงินเปย์อยู่นี่ค่ะ *ยกมือ #ร้องไห้หนักมาก

     

    ช่วงนี้รู้สึกว่าลูกสาวเราฮอตมากเลยค่ะ มีโมเม้นทับหนุ่มๆไม่ซ้ำกันเลย เดี๋ยวก็พี่แจ็ค พี่มาร์ค คุณจู คุณบี โอ๊ยยย แม่หวงรู้มั๊ยลูก ฮา

     

    ไปแล้วค่า ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมนะคะ รักมากๆเยย *ทำมือเป็นรูปหัวใจ อิอิ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×