ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] ของขวัญ [HunHan Feat.KrisLay Chanbaek & Exo]

    ลำดับตอนที่ #5 : Gift 5 : งานใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 56


    2 days later...
    @Coffee & Tea Time café
     
     ถึงจะเจ็บแค่ไหน แต่ปัญหาหัวใจ ยังไงมันก็ยังเล็กกว่าเรื่องเงินๆทองๆ
     
     ลู่หานถอนหายใจเบาๆเมื่อสองล้อจักรยานพาเจ้าตัวมาหยุดอยู่หน้าร้านคอฟฟี่ช็อปขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง
     
     หลังจากยืนละล้าละหลังอยู่หน้าร้านตั้งนานสองนาน ร่างเล็กก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน ไม่ใช่อะไรหรอกนะ มันยังทำใจไม่ค่อยจะได้น่ะ
     
     ต้องมาเจอหน้าแฟนคนที่แอบชอบอยู่...จะรอดมั๊ยวะเสี่ยวลู่
     
    กรุ๊งกริ๊ง
     
     เสียงเพลงคลาสสิคไม่คุ้นหูแล่นเข้ามาในโสตประสาททันทีที่ก้าวเข้ามา ภายในร้านถูกตกแต่งด้วยโทนสีออกน้ำตาลอ่อนๆ ประกอบกับภาพวาดและของตกแต่งสไตล์วินเทจอีกนิหน่อย แต่ก็ทำให้ลู่หานอดประทับใจเล็กๆในความสวยงาม น่านั่งจิบกาแฟร้อนๆไม่ได้
     
     ...ติดที่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้มานั่งจิบกาแฟน่ะนะ...
     
     “สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยมั๊ยครับ”
     
     บาริสต้าหนุ่มพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กมายืนเอ๋ออยู่หน้าเคาน์เตอร์อยู่ตั้งนานสองนาน ลู่หานสะดุ้งเล็กๆก่อนจะตอบไป
     
     “ผม...เอ้อ มาสมัครงานน่ะฮะ คือ...”
     
     “อ๋อ สักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปตามเจ้าของร้านให้”
     
     ไม่นาน ‘เจ้าของร้าน’ ก็ก้าวออกมาจากหลังร้านพร้อมกับคัพเค้กถาดใหญ่ในมือ แน่นอนว่าเรียกน้ำลายคนมาสมัครงานได้ไม่น้อย =_= ง่า น่ากินจังวุ้ย
     
     “คุณคือคนที่จะมาสมัครงานใช่มั๊ยครับ”
     
     “เอ่อ...ครับ” <<<มัวแต่มองเค้ก
     
     “ผมชื่อ ‘จางอี้ชิง’ เป็นเจ้าของร้านครับ’
     
     
     
     
     
     
     
     
     “อืมมมม”
     
     “หน้าฉันมีอะไรติดเหรอ”
     
     ลู่หานพูดประโยคนี้กับเพื่อนร่วมงานตัวเล็กแก้มยุ้ยเป็นรอบที่ 3 ของวัน พอรู้ว่าเจ้าตัวเค้ารู้ ‘คิม มินซอก’ ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วหันกลับไปทำงานของตนต่อ
     
     ก่อนจะหันหน้ากลับมาภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที =_=
     
     “ฉันสงสัยอะไรอยู่อย่าง”
     
     “อะไรอ่ะ”
     
     “นายอายุเท่าฉันจริงๆเหรอ นายคือชายหนุ่มที่อายุ 24 เท่าฉันจริงๆน่ะเหรอ”
     
     คนถูกถามมองคู่สนทนางงๆก่อนจะพยักหน้าไป ถามทำไมวะ ???
     
     “บ้าน่ะ! แล้วทำไมนายถึงได้หน้าเด็กเงี้ยยยย ไม่จริ๊งงง นายโกงอายุแหงๆ ความจริงคือนายอายุแค่ 20 ใช่มั๊ย???”
     
     ลู่หานหันไปมองบาริสต้าหน้าหล่อที่ยืนชงกาแฟไปขำไปอย่างขอความช่วยเหลือ ‘คิม จงแด’ หัวเราะเบาๆพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นไปวางบนเคาน์เตอร์
     
     “อย่าไปอะไรกับเค้ามากเลยฮะ พี่มินซอกก็เป็นแบบนี้แหละฮะ ชอบหลุด ไม่ค่อยจะเต็มแบบชาวบ้านเค้าสักเท่าไหร่”
     
     “ย่า!!! คิม จงแด นายอยากมีเรื่องกับฉันเหรอ เดี๊ยะๆ คืนนี้เจอแน่!”
     
     คนแก้มยุ้ยพูดอย่างคาดโทษก่อนจะยกกาแฟไปเสิร์ฟ ซึ่งแน่นนอนว่าคนโดนขู่ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อยก็แหม ขู่ซะน่ากลั๊ววว น่ากลัว~
     
     “จงแดๆ มินซอกเค้าเป็นแบบนี้บ่อยเลยเหรอ”
     
     ทันทีที่คนไม่เต็มเดินออกไป ลู่หานก็เปิดฉากถามเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยกว่าทันที บาริสต้าหนุ่มฉีกยิ้มก่อนจะพูดขำๆ
     
     “แบบนี้ยังน้อยไปพี่ บางวันนะ พี่แกเกิดบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ ลองเอาชานมกับชาเขียวผสมกันแล้วเอามาให้ผมกิน บอกว่าเป็นชาสูตรใหม่...”
     
     =[]=!!! <<< ลู่หานช็อกไปสามวิ นี่เพื่อนร่วมงานตรูปกติหรือเปล่าวะเนี่ยยยย
     
     “...ดีที่ผมไม่หลวมตัวกินเข้าไป ไม่งั้นล่ะก็ เหอะๆ ไม่อยากจะคิด =_=;;”
     
     ลู่หานได้แต่ยิ้มแหยๆให้คนเล่าเมื่อได้ยินวีรกรรมอันน่าประทับใจ (?) ของเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง เหอะๆ แล้วถ้าวันไหนพี่แกดันบ้าอย่างนี้แล้วเขาไม่ทันระวังตัว...ตูจะตายมั๊ยวะ
     
     “แต่เห็นอย่างนี้ พี่มินซอกเค้าก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรนะฮะ อาจจะดูบ้าๆ เพี้ยนๆนิดนึง แต่ลึกๆแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก”
     
     คนเผาเพื่อนในตอนแรกรีบออกตัวอวยคนถูกเผาทันทีเมื่อเห็นหน้าซีดๆ เจื่อนๆ ของเพื่อนร่วมงานคนใหม่ ลู่หานพยักหน้ารับรู้ ก็นะ คนเรามันจะให้เหมือนกันทุกคนมันก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีคนเรียบร้อย คนเงียบๆ คนชอบสังคม หรือแม้แต่คนบ้าๆแบบนี้ก็ด้วย ไม่งั้นโลกคงสงบสุขตายเลย
     
     “คุยอะไรกันอยู่อ่ะ บอกเค้าบ้างดิ”
     
     นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ มาละๆ
     
     “เปล่าหรอกฮะ แค่เรื่องทั่วๆไปอ่ะ จริงมั๊ยฮะพี่ลู่หาน”
     
     “อืมๆ ใช่ๆ”
     
     ลู่หานที่แทบรับมุขไม่ทันตอบไป หากแต่ดวงตาเรียวที่หรี่มองจ้องมาทำเอาเขาได้แต่หัวเราะแห้งๆพลางพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงสนับสนุนว่า ‘ตูพูดจริงจริ๊งงงง’
     
     “อย่าให้รู้แล้วกันนะว่าจงแดนินทาเค้า”
     
     “โธ่ ผมไม่ได้นินทาพี่สักหน่อย เอาอะไรคิดเนี่ย”
     
     “ก็หน้าจงแดมันฟ้องอ่ะ เชอะ อย่าให้รู้นะ ไม่งั้นเจอแน่!”
     
     ทำไมลู่หานถึงรู้สึกว่าเขากำลังดูคู่รักในละครกำลังเล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันอยู่เลยวะ =_= ???
     
     นั่นแหละ เป็นสาเหตุทำให้เขาค่อยๆหลบฉากออกมาช้าๆ เนียนๆ โดยการหยิบกาแฟเอสเพรสโซ่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปเสิร์ฟลูกค้า
     
     “เป็นยังไงบ้างครับ ทำงานวันแรก พอไหวมั๊ย”
     
     เจ้าของร้านหน้าสวยทักขึ้นเมื่อลู่หานเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์อีกรอบ ในมือถือถาดเค้กหน้าตาน่าทานอยู่ 4 – 5 ชิ้น ให้ตาย ยั่วน้ำลายลู่หานอีกแล้ว!
     
     “ถ้าแค่นี้ยังไม่ไหว พี่คงไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้วล่ะ”
     
     คนถูกถามพูดติดตลก แต่ก็จริงอยู่นะ
     
     งานนี้ถือเป็นงานที่ค่อนข้างเบามากๆงานหนึ่งที่เขาเคยทำมาเลยก็ว่าได้ ทำแค่เดินไปเสิร์ฟกาแฟบ้าง เค้กบ้าง ทำในห้องแอร์ แถมลูกค้าก็ไม่ได้แน่นทั้งวัน แถมยังมีช่วงที่ลูกค้าบางตาให้ได้นั่งพักหายใจหายคออยู่บ้าง เงินเดือนก็อยู่ในเกณฑ์กำลังดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป...
     
     หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คาดว่าลู่หานคงจะสิงสถิตอยู่กับงานนี้ไปอีกนาน
     
     “อี้ชิงอา~ อบเค้กสูตรใหม่อีกแล้วเหรอ”
     
     พนักเสิร์ฟแก้มยุ้ยพูดขึ้นพลางเดินเข้ามาหาเจ้านายอย่างออดอ้อน ดวงตาเรียวกระพริบวิบวับๆ อย่างเด็กอย่างได้ขนม
     
     “เฮ้ย ไม่เอาน่าพี่ ของเค้ามีไว้ขาย พี่ไปขอกินได้ไง” จงแดพูดปรามๆ
     
     “โธ่! ฉันขอกินนิดเดียวเองอ่ะ นะๆ แล้วฉันจะตั้งใจทำงานที่ซู้ดดดดดด นะอี้ชิงคนดี อี้ชิงคนเก่ง ขอฉันชิมนี๊ดดดดดดดดดดดนึงน้า~”
     
     นอกจากจะไม่ฟังแล้ว มินซอกยังเริ่มเกาะแขนเกาะขาอี้ชิงอย่างอ้อนวอน แน่นอนว่ามันไม่ได้ดูน่าสงสารแต่อย่างใด =_= เห็นได้จากจงแดที่ยืนกุมขมับ กับลู่หานที่ยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆ
     
     ...ไม่ใช่อะไรหรอก...ขำว่ะ...555...ตลกได้อีกวุ้ย...
     
     “ก็ได้ครับ นิดเดียวจริงๆนะครับพี่”
     
     “Yessss รักอี้ชิงที่สุดเลย^O^”
     
     ว่าไปก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจก่อนจะเดินตามเจ้าของร้านหน้าสวยไปหยิบเค้กชินเล็กออกมาจากตู้แช่ แน่นอนว่าลู่หานกำลังแอบกลืนน้ำลายเป็นรอบที่ 3 ของวัน
     
     ก็มันน่ากินจะตายนะ!
     
     “เป็นไงบ้างครับพี่ รสชาติพอใช้ได้มั๊ย”
     
     “ถ้าไม่อร่อยก็คงไม่ใช่ฝีมืออี้ชิงหรอก ง่ำๆๆๆ “
     
     “พี่นี่น้า เมื่อวานเพิ่งบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าจะลดความอ้วนน่ะ”
     
     “เมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานสิ จงแดก็...” มินซอกพูดพลางหันไปค้อนวงโตใส่หนุ่มรุ่นน้อง “เอาน่า พี่กินนิดเดียวมันไม่ทำให้อ้วนขึ้นหรอก”
     
     “ผมก็เห็นพี่พูดอย่างนี้ทุกวันอ่ะ”
     
     “ย่า! คิมจงแด นายอยากมีเรื่องงั้นเหรอ”
     
     “ก็มันจริงนี่...โอ๊ย! นี่พี่เอาช้อนตีหัวผมเหรอ” จงแดพูดพลางเอามือลูบหัว “อี๋ มีคราบเค้กด้วยอ่ะ ต้องมีน้ำลายพี่ติดมาด้วยแหงเลย”
     
     “สมน้ำหน้า”
     
     เอาอีกแล้ว =_= สร้างโลกส่วนตัวงุ้งงิ้งๆกันอยู่ 2 คนอีกแล้วคู่นี้ ลู่หานชักสงสัยความสัมพันธ์คู่นี้แล้วนะเฮ่ย!
     
     โอเค เราปล่อยพวกเค้าสร้างโลกส่วนตัวกันไป แล้วกลับมาหาคนที่เหลือกันบ้างดีกว่า...
     
     “สองคนนั้นเป็นอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ”
     
     “ครับ งุ้งงิ้งๆอย่างนี้แหละพี่ เดี๋ยวก็ชิน ฮะๆ”
     
     อี้ชิงพูดพลางยกเค้กไปเก็บในตู้แช่เหมือนเดิม ก่อนจะกลับมาพร้อมกับลาเต้ร้อนๆสองแก้วแล้วยื่นให้กับพนักงานใหม่
     
     “สักหน่อยพี่ แก้ง่วง”
     
     “อ๊ะ ขอบคุณๆ” ลู่หานพูดพลางรับกาแฟแก้วนั้นมาดื่ม อืม...รสชาติใช้ได้ ไม่สิๆ เข้าขั้นอร่อยเลยเชียวล่ะ “แล้วเอามาให้พี่ดื่มอย่างนี้ไม่เป็นไรเหรอ”
     
     “ไม่เป็นไรหรอกครับ ใช้หมดยังไงก็ดีกว่าเหลือให้มันเสีย”
     
     ...ใจดีจัง...
     
     นี่คือคำแรกที่ผุดเข้ามาในหัวสมองของลู่หานหลังจากฟังคำพูดของคนตรงหน้าจบ
     
     “ว่าแต่...พี่ลู่หานเป็นเพื่อนกับพี่คริสเหรอฮะ”
     
     “ก็...เพื่อนข้างห้องน่ะ พอดีพี่ไประบายกับเค้าว่าตกงาน เค้าเลยแนะนำมา”
     
     “อ๋อ”
     
     คำพูดสั้นๆหลุดออกมาจากปากคนอายุน้อยกว่าก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งจิบกาแฟต่อไปเงียบๆ...ในขณะที่อีกคนแอบเหงื่อตกเล็กๆ
     
     ก็รู้อยู่นะว่าคำถามแบบนี้มันก็เป็นแค่คำถามทั่วๆไป แต่คนถูกถามที่ดันคิดไม่ซื่อกับ ‘แฟน’ คนถามนี่สิ กลับอดคิดมากไม่ได้ หรือว่าอี้ชิงจะสงสัยความสัมพันธ์ของเขากับคุณคริส!?
     
     ...ไม่หรอกๆ คิดไปนู่นแล้วลู่หาน...ใจเย็นๆ...
     
      “ผมก็ว่าอยู่ เพราะพี่คริสไม่ค่อยมีเพื่อนคนจีนที่นี่ ซึ่งผมก็พอรู้จักอยู่เกือบหมด ไอ้เราก็นั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าใคร”
     
     ลู่หานได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับคนฝั่งตรงข้ามแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง บรรยากาศชิลๆเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอึดอัดไปในทันทีในความคิดของเขา
     
     ...จะให้ถามเหรอว่า ‘นายสงสัยในตัวพี่กับคุณคริสหรือเปล่า’ จะบ้าหรือไง ใครมันจะไปกล้าวะ...
     
      แต่เขาไม่ชอบอะไรที่มันค้างคาใจว่ะ แม่ง
     
     “อี้ชิง”
     
     “ครับ?”
     
     “เอ่อ...ที่ถามพี่เกี่ยวกับคุณคริสนี่ คงไม่ใช่ว่าอี้ชิง...เอ่อ...สงสัยเรื่องพี่กับ...” เพราะนิสัยไม่ชอบอะไรที่ค้างๆคาๆ ทำให้ลู่หานตัดสินใจถามคนตรงหน้าไปแบบกล้าๆกลัวๆ
     
     “กับพี่คริสน่ะเหรอฮะ...555 จะบ้าเหรอพี่ ผมคิดอย่างนั้นซะเมื่อไหร่ล่ะ” จางอี้ชิงพูดกลั้วหัวเราะ ทิ้งให้คนชอบคิดมากนั่งหน้าแตกดังเพล้ง
     
     อ้าว? ซะงั้นไป ไอ้เราก็มานั่งคิดมากอยู่คนเดียว แม่ ง
     
     “เหรอ แหะๆ พี่ก็คิดว่า...เราจะสงสัยซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ พี่ไม่ได้คิดอะไรกับคุณคริสนะ”
     
     พอถึงตอนนี้ทุกคนคงรู้ว่าลู่หานแอบโกหกนิดหน่อย ใช่ เขาคิดกับคริสเกินคำว่าเพื่อนข้างห้องก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งผู้ชายคนนี้มาจากคนตรงหน้านะเฮ่ย เพราะงั้นจะพูดความจริงไปให้เจ้านายคิดมากไปทำไมกันล่ะ
     
     ...บางที...โกหกไปก็ดีกว่าพูดความจริงนี่นะ...
     
     “ครับ ฮะๆ พี่ลู่หานนี่ชอบคิดมากจัง ผมไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย”
     
     “...”
     
     “ผมรักพี่คริส ผมก็ไว้ใจเค้าและมั่นใจในตัวเค้าครับ”
     
      “...”
     
     “เพราะงั้นพี่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมเข้าใจว่าคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรมันก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา”
     
     “...”
     
     “อย่าคิดมากเลยครับ งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะครับ”
     
     “อื้ม พี่ก็ต้องไปเหมือนกันแหละ”
     
     ลู่หานตอบพลางลุกขึ้นยืน หัวสมองคิดทบทวนคำพูดของหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังเดินหายเข้าไปในครัวหลังร้าน
     
     ก็จริงอย่างที่อี้ชิงว่านั่นแหละ
     
     คนเป็นแฟนกัน ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นเหมือนนักข่าวที่ต้องรายงานตัวกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือเป็นนักสืบที่เอาแต่สงสัยเรื่องคนโน้นคนนี้ที่เข้ามาเกาะแกะแฟนเรา
     
     เพียงแค่มีความ ‘ไว้ใจ’ ความรักก็สามารถขับเคลื่อนไปได้แล้ว
     
     “คุณคริส ผมอิจฉาคุณจริงๆเลยที่ได้มีแฟนดีๆอย่างนี้ ขอให้...คบกันไปนานๆนะครับ”
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    20.00 p.m.
     
     ...ร้านปิดแล้ว...
     
     แต่ยังมีลูกค้าอยู่สองสามโต๊ะที่ยังนั่งกินกาแฟอยู่ อี้ชิงก็ไม่ได้ไปไล่หรือไปอะไร แค่ตอนนี้ไม่รับลูกค้าเพิ่มแล้ว ก็แค่นั้น
     
     ลู่หานช่วยเพื่อนร่วมงานแก้มยุ้ยยกโต๊ะยกเก้าอี้เก็บให้เรียบร้อย จงแดจัดการเก็บข้าวเก็บของบนเคาน์เตอร์ให้เรียบร้อย ส่วนคุณเจ้าของร้านก็ไปล้างถ้วยล้างชามอยู่ในครัว
     
     ...ทำไมงานมันดูสลับๆกันยังไงก็ไม่รู้วะ...
     
     “ฮ้า เสร็จสักที วันนี้ลูกค้าเยอะจังเลยเนอะจงแด”
     
     “นั่นสิฮะ แล้วพี่ลู่หานเป็นยังไงบ้าง งานใหม่ เริ่มชินบ้างหรือยังฮะ” ประโยคแรกตอบคำถามรุ่นพี่แก้มยุ้ย ก่อนจะหันไปถามพนักงานใหม่ที่ยืนเรียงถ้วยชามอยู่อีกมุมหนึ่ง
     
     “อื้ม สบายกว่างานก่อนๆเยอะเลยแหละ”
     
     “ช่ายยยย ทำงานที่นี่นอกจากจะสบายแล้วนะ บางทียังได้กินของอร่อยๆด้วยแหละ ฮุๆ” <<มินซอก
     
     “พี่ก็คิดแต่เรื่องกินตลอดอ่ะ เลยไม่ผอมสักที”
     
     “ย่า!!! คิมจงแด มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!” คนแก้มยุ้ยพูดพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างๆลู่หาน “โป้งจงแดแล้ว เชอะ เรามารักกันดีกว่าเนอะลู่หานเนอะ”
     
     ว่าไปก็เริ่มเอียงคอซบไหล่เพื่อนร่วมงานคนใหม่ ลู่หานก็ได้แต่ยิ้มแหยๆก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกไป
     
     “แต่ฉันเห็นด้วยกับจงแดนะ”
     
     “ย่า!!! พวกนายสองคนไปตายซะไป๊!!”
     
     คนถูกด่าทั้งสองคนหัวเราะร่วนในขณะที่มินซอกเดินหน้าบูดเข้าไปในครัว อีหรอบนี้ต้องเข้าไปก่อกวนเจ้าของร้านแหงๆ
     
     “ผมก็เห็นพี่โดนแกล้งทุกวันนะครับ ยังไม่ชินอีกเหรอ”
     
     “อะไรอ่ะ ทำไมมีแต่คนรุมเค้า แม้แต่อี้ชิงคนดี แม่มมมม โป้งแล้ว!! มินซอกโป้งทุกคนในร้านนี้!!”
     
     ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปนั่งกอดเข่าอยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน แน่นอนว่าสามคนที่เหลือก็ได้แต่ลอบขำเบาๆกับความติงต๊องของเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่บาริสต้าหนุ่มต้องรับหน้าที่ไปง้อคนติงต๊องตามเคย
     
     “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอตัวกลับก่อนละกันนะอี้ชิง เจอกันพรุ่งนี้นะ”
     
     “ครับ...อ๊ะ เดี๋ยวครับพี่ลู่หาน” อี้ชิงพูดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับแก้วชานมแบบถือกลับบ้าน 1 แก้ว “ถือซะว่าเป็นของขวัญต้อนรับฮะ”
     
     “โห ขอบคุณมากนะอี้ชิง งั้นพี่ไปละนะ มินซอก!! จงแด!! ฉันกลับก่อนนะ”
     
     ลู่หานบอกลาคนในร้านก่อนจะเดินออกมาที่จักรยานของตัวเอง แน่นอนว่าอากาศหนาวๆกับชานมเย็นๆแบบนี้ไม่ได้เข้ากันแม้แต่น้อย แต่เพราะความว้อนท์ ทำให้ลู่หานลองดูดชานมเข้าไป 1 อึก
     
     ...อร่อย...
     
     ก่อนจะตามด้วยอึกที่ 2 และ 3 ตามลำดับ =_=
     
     แต่พอนึกถึงตาคมๆที่ชอบมองมาแบบละห้อยๆทำให้ลู่หานหยุดดูดชานมแก้วนั้น เอ...ถ้าเอาไปฝาก...จะชอบมั๊ยน้า
     
     คิดได้ดังนั้น เจ้าตัวก็จัดการแขวนแก้วชานมไว้กับแฮนด์จักรยานแล้วขี่ออกไปทันที
     
     ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงอพาร์ทเมนต์ คนตัวเล็กรีบจอดจักรยานแล้วขึ้นไปบนห้องอันแสนอบอุ่นของตนทันที
     
     “กลับมาแล้ววว~”
     
     “มาช้า!! หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย!!!”
     
     ยังไม่ทันปิดประตูสนิทดี เสียงห้วนๆของคน ‘หิวข้าว’ ก็ลอยมากระแทกหูซะแล้ว เซฮุนมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยสายตาโกรธๆ มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้เขารอกินข้าวถึงสองสามทุ่มแบบเนี้ย!!
     
     “หิวแล้วทำไมไม่ทำกินเองเล่า ฉันก็สอนวิธีต้มบะหมี่ไปแล้วนี่นา”
     
     “ก็...” ...รอนายกลับมากินด้วยกันไงเล่า!!
     
     พูดไม่ออก
     
     เซฮุนหยุดประโยคไว้แค่นั้นแล้วเดินกลับมานั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เออ เขาผิดเองที่ไม่ต้มบะหมี่กินไปก่อนคนเดียว แม่ ง
     
     พอได้เห็นหน้าบูดๆของเทวดาตกสวรรค์ ลู่หานเลยต้องเอา ‘ของฝาก’ มาล่อสักหน่อย ด้วยการหยิบแก้วชานมไปให้
     
     “อ่ะ”
     
     “...” <<<เงียบ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
     
     “เจ้าของร้านเค้าให้มา อร่อยดี ลองกินดิ”
     
     พอรู้ว่าเป็นของกิน ไอ้คนที่จงใจเมินก็เหลือบตามามองน้อยๆ ก่อนจะหันไปอีกทางอย่างถือทิฐิ แม้ว่ากระเพาะของตนจะเรียกร้องอาหารมากแค่ไหนก็ตาม
     
     ...จะเอาของกินมาล่อเทวดาอย่างโอ เซฮุนน่ะเหรอ เฮอะ อย่าหวังซะให้ยาก...
     
     “ไม่กินใช่ป่ะ โอเค ฉันกินเองคนเดียวก็...”
     
     “ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่กิน”
     
     คราวนี้เสี่ยวลู่หลุดขำออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่เบาเกินกว่าคนขี้งอนจะไม่ได้ยิน เซฮุนหันมาค้อนขวับใส่ก่อนจะคว้าชานมแก้วนั้นมาดูดเงียบๆ
     
     ...และเนียนดูดต่อไปจนหมดแก้วเพราะรสชาติมันอร่อยดีและลู่หานก็ไม่ทวงคืน...
     
     ...เจริญเถอะคนเรา...
     
     “อ่ะ บะหมี่ อาหารที่อร่อยที่สุดในโลก”
     
     ไม่นาน คนตัวเล็กก็กลับมาพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองชาม เซฮุนหมดความสนใจกับแก้วชานมที่หมดเกลี้ยง แล้ววิ่งมาหาชามบะหมี่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่บนโต๊ะอาหารแทน
     
     “กว่าจะเสร็จ หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย” แต่ก็ยังมิวายบ่นอยู่ดี
     
     “นี่ ให้มันน้อยๆหย่อย นายมันผู้อาศัยนะอย่าลืม ฉันทำอะไรให้กินก็บุญท่วมหัวแค่ไหนละ”
     
     “โหหห ซึ้งใจที่ซู้ดดดดดดด เลี้ยงด้วยมาม่าเนี่ยนะ โคตรซึ้งเลย”
     
     “โอเค๊!!! งั้นไม่ต้องกิน เอามานี่!”
     
     “เฮ้ยยยย ฉันพูดเล่นเฟ้ย”
     
     เซฮุนหน้าเหวอ รีบคว้าชามบะหมีกลับมาอย่างไวว่อง ร่างสูงรีบกระซวก...ย้ำอีกทีว่ากระซวก =_= บะหมี่ทั้งชามหมดภายในเวลาไม่กี่วินาทีเพราะความหิว ลู่หานมองภาพนั้นอย่างนึกขันก่อนจะเดินไปหยิบแก้วชานม กะจะเอามาดูดให้ชื่นใจสักหน่อย
     
     หืมมมม???
     
     ทำไมมันดูดไม่ขึ้นวะ???
     
     หรือว่า...
     
     “ย่า!!!~ โอเซฮุน!! นี่นายดูดชานมของฉันจนหมดเกลี้ยงเลยงั้นเหรอ!!”
     
     คนทำแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังคงตั้งหน้าตั้งตาซดบะหมี่ต่อไปราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ซึ่งนั่นยิ่งเรียกความหมั่นไส้จากคนโดนแย่งของกินได้โข
     
     “ทีเมื่อกี๊ล่ะบอก ไม่เอ๊า ไม่เอา เป็นไงล่ะ ดูดหมดเกลี้ยง ไม่มีเหลือให้คนเอามาฝากสักหยดอ่ะ”
     
     “ก็นายอยากไม่เอาคืนเองนี่ ช่วยไม่ได้”
     
     ปากก็อยากจะด่าไอ้คนตรงหน้าให้หายหมั่นไส้สักสองสามคำ แต่สมองเจ้ากรมดันคิดไม่ออกนี่สิ! ลู่หานเลยได้แต่ทำปากขมุบขมิบใส่ร่างสูงแทนที่กำลังนั่งหันหลังให้อยู่นี่แทน แน่นอนว่าเซฮุนก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาหรอก
     
     “มัวโอ้เอ้อยู่ได้ รีบมากินได้แล้วน่า เดี๋ยวก็อืดหมดหรอก”
     
     “เออ รู้แล้วล่ะน่า”
     
     ...และแล้ว...ชีวิตการทำงานวันแรกของเสี่ยวลู่...ก็จบลงเอวังละประการฉะนี้นั่นเองงง~...
     
    .
     
    .
     
    .
     
    .
     
    .
     
    TBC.
     
    Writer Talk 
    หายไปนาน เดี๋ยวอัพเพิ่มให้อีกตอนเลยอ่ะ เจอกันตอนหน้าค่า
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×