ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dragoon The Dragon

    ลำดับตอนที่ #3 : จูน่า

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 46


    ณ ที่นี่ คือสุสานแห่งสายลม...

        เสียงกรีดร้องดังขึ้นในหัว กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศ พื้นดินถูกย้อมด้วยโลหิตแดงฉานจากซากศพ พระเพลิงร้อนแรงแผดเผาทุกสิ่งจนมอดไหม้สิ้น....

        

    นั่นเป็นเพียงความทรงจำ ความทรงจำในค่ำคืนสุดท้ายของไดโจริว เหล่ามังกรผู้ปกครองหุบเขาแห่งสายลม มันเด่นชัดอยู่ในใจของเด็กคนหนึ่งราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน กลิ่นควันไฟและเลือด เสียงร้องโหยหวนที่คอยตามหลอกหลอนเธอมาตลอดนั้นย้ำเตือนให้นึกถึงคำสาบาน เธอจะฆ่าราเซียคลิน...

        

    จูน่าหลับตา สลัดความรู้สึกนั้นออกไปจากหัว และรู้สึกดีขึ้นเมื่อสายลมแรงพัดมา เธอลืมตาขึ้นและมองลงไปเบื้องล่าง จากบนผานี้สามารถเห็นหุบเขาเบื้องล่างได้กว้างไกล หุบเขาที่แห้งแล้ง ไร้ชีวิต 12ปีแล้วสินะตั้งแต่ชีวิตสุดท้ายลาจากดินแดนแห่งนี้ไป หากไม่มีไดโจริว หญ้าสักต้นหรือแมลงสักตัวก็ไม่สามารถอยู่รอดในที่แห่งนี้ได้ หุบเขาที่เคยอุดมสมบูรณ์ถูกทำลายลงเพียงชั่วข้ามคืน พร้อมกับชีวิตทั้งหมดในนั้น มีเพียง1ที่รอดมาได้ คือเธอ

        

    “ท่านพ่อ ท่านแม่ ... พี่ชาย...” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบาหวิวราวกับต้องการจะให้มันลอยไปกับสายลม แต่มือทั้ง2ข้างกลับกำแน่นจนสั่นระริก “พวกท่านไม่ต้องห่วง หลับให้สบายนะ ความแค้นของทุกๆคนข้าจะชำระให้เอง”

        

    ปากว่าไม่ให้ห่วง แต่ดวงตาสีเขียวหม่นกลับเต็มไปด้วยน้ำตา เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งชันเข่า ซบหน้ากับแขนของตนเอง กล่าวเสียงอู้อี้กับสายลมว่า

        

    “ทำไมพวกท่านต้องตายด้วย ทำไมถึงเหลือข้าอยู่คนเดียว ทำไมไม่เอาข้าไปด้วยล่ะ พวกท่านก็รู้อยู่ว่าใต้หล้านี้ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว...”

        

    “เจ้าก็เหลือข้าไงล่ะ”

        

    จูน่าสะดุ้งเฮือก ปาดน้ำตาออกทันทีและหันไปหาที่มาของเสียง ‘เขา’ เป็นชายหนุ่มท่าทางทะเล้น ผมสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววร่าเริงดูเอาจริงเอาจัง หูแหลมและลวดลายที่หน้าผากแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่มนุษย์ เครื่องแบบสีฟ้าแบบทหารของโอไรฟีเซียที่เขาสวมถูกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมแขนยาวปุปะเหมือนเย็บจากหนังสัตว์ต่อกันลวกๆ

            

    “ข้าบอกว่าอย่าขึ้นมาไง เฟว์”  เด็กสาวมองเขาตาขวาง

        

    “เฮ้ อย่าลืมสิ ออกมานอกวังเมื่อไหร่ไม่ว่าใครก็สั่งข้าไม่ได้” เฟว์ตอบอย่างอารมณ์ดี “ข้าแค่จะมาตามเจ้า ได้เวลากลับแล้วจูน่า อยู่นานกว่านี้เดี๋ยวท่านเมโครเนสจับได้ว่าเจ้าแอบออกมาที่นี่อีก คราวนี้คนที่จะซวยมันไม่ใช่ข้าคนเดียวแล้วนา”

        

    “ฮึ แล้วใครใช้ให้เจ้าตามออกมาล่ะ” จูน่าหันกลับไปมองหุบผาอย่างเดิม เฟว์ถอนหายใจ

        

    “นี่เจ้ารู้รึเปล่าว่าแอบเอาม้ามังกรออกมานอกวังโดยไม่ให้ใครรู้น่ะมันยากแค่ไหน แถมยังต้องร่ายมนต์บังตาไม่ให้เจ้าโล่วตามตัวได้อีก อีกอย่าง ถ้าเกิดท่านเมโครเนสอยากจะพบหน้าเจ้าขึ้นกะทันหัน ข้าไม่คิดว่าจะมีใครกล้าพูดปดกับองค์ราชาเพื่อช่วยเจ้าหรอกนะ” องครักษ์หนุ่มบ่น ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็ออกจะชอบการ ‘แอบ’ ออกมานอกเมืองหลวงแบบนี้ไม่น้อย

        

    “แต่เจ้ากล้านี่” จูน่าตอบอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่เฟว์แยกเขี้ยว

        

    “เจ้าจำกฎพื้นฐานของการเป็นเพื่อนได้ไหม” เขาถาม เด็กสาวชะงัก แล้วพูดขึ้นเบาๆ

            

    “รู้น่า กลับก็ได้” ภูติหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ วิธีนี้ใช้ได้ผลเสมอ เขาเดินนำจูน่าลงมาที่เนินผา ที่นั้น สัตว์รูปร่างคล้ายมังกร2ตัวหมอบนิ่งรออยู่ สิ่งที่พันธนาการสัตว์2ตัวนั้นไว้ไม่ใช่โซ่หรือเชือก แต่กลับเป็นกิ่งไม้ที่งอกขึ้นมาจากพื้นดินแตกระแหง เมื่อเฟว์ดีดนิ้ว กิ่งไม้เหล่านั้นก็แห้งกรอบ ตายลงในทันที จูน่าปีนขึ้นบนหลังมังกรสีเขียวอ่อนและมองเศษไม้ที่ค่อยๆสลายเป็นฝุ่นลอยไปตามสายลมอย่างไม่พอใจ

        

    “มันอยู่นานกว่านี้ไม่ได้หรอก” เฟว์พูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเธอ ตอนนี้เขานั่งอยู่บนหลังมังกรสีดำ “ที่นี่มีความตายอยู่มากเกินไป แม้แต่ภูติแห่งพงไพรอย่างข้าก็ไม่สามารถคืนชีวิตให้มันได้”

        เด็กสาวพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แล้วม้ามังกรทั้ง2ตัวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งสู่ทิศเหนือ กลับโอไรฟีเซีย

    .........................................................................................................................................................................



        ที่ปราสาทสีขาวกลางเมืองหลวงแห่งอาณาจักรโอไรฟีเซีย แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบยอดหอคอยคริสตัลเกิดแสงประกายวิบวับสร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือนจากต่างแดนได้ทุกครั้ง

        

    แต่ถ้าผู้มาเยือนได้มาพบหน้าเจ้าของปราสาทในเวลานี้ คงจะไม่ค่อยอยากจะประทับใจสักเท่าไหร่...

        

    “ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดีนะ” ราชาเมโครเนสเอ่ยพลางมองผู้เคราะห์ร้ายทั้ง2คนด้วยสายตาเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง แต่ใครๆก็รู้ว่าในใจพระองค์ลุกเป็นไฟจนแทบจะแลบออกมาเผาเจ้า2คนตรงหน้าอยู่รอมร่อ  ราชันผู้ครองนครโอไรฟีเซียประทับอยู่ในห้องโถงเล็กของพระราชวัง ที่ซึ่งใช้ว่าราชการประจำทุกวัน และใช้ปรึกษาปัญหาต่างๆของอาณาจักรในเบื้องต้น ข้างกายพระองค์คือฟางโหยวจิ้น เลียว-โล่ว พ่อมดและที่ปรึกษาส่วนพระองค์

        

    “ข้าคิดว่า...” พ่อมดหนุ่มเอ่ยขึ้นช้าๆ “ท่านควรจะจัดการลงโทษจูน่าให้เด็ดขาดเสียที นางผิดคำสาบานหลายคราโดยไม่มีแม้แต่ท่าทีจะสำนึกตน...”

        

    “เจ้าจะรู้อะไร” จูน่าขัดขึ้น มองหน้าโล่วด้วยสายตาชิงชังที่สงวนไว้ให้พ่อมดผู้นี้โดยเฉพาะ “คนอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าคนที่สูญเสียบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไปเค้ารู้สึกอย่างไรกัน...”

        

    “แน่นอนข้าไม่เข้าใจ” โล่วพูดขัด ท่าทางสงบเยือกเย็น “ข้าไม่ใช่นักรบเยี่ยงเจ้าหรือเฟว์ ข้าไม่เข้าใจอุดมคติและแนวความคิดของพวกเจ้า แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อมดอย่างข้าและนักรบอย่างเจ้ารู้ดี คือความศักดิ์สิทธิ์ของคำสาบาน เจ้าสาบานว่าจะไม่กลับไปเหยียบสุสานแห่งสายลมอีก แต่เจ้าก็ผิดคำสาบาน”

        

    “เฮ้ ไม่ยุติธรรมนี่” เฟว์โวย “ตอนนั้นจูน่าสาบานเพราะเจ้าบังคับ นี่เจ้าถือคำสาบานที่ได้จากการบังคับเด็ก6ขวบเป็นเรื่องจริงจังขนาดนี้เชียว”

        ราชาเมโครเนสเหลือบมองเฟว์

        

    “เฟว์ อยู่ในรั้วในวังถอดเสื้อคลุมนั่นออกซะ” ตรัสห้วนๆ แววตาราวกับจะลุกเป็นไฟ

        

    -ทำไมหนอ เจ้าพวกนี้ถึงกัดกันได้ทุกวัน-

        

    ภูติหนุ่มถอดเสื้อคลุมปุปะออกอย่างว่องไวผิดธรรมดาราวกับใช้เวทย์มนต์ช่วย ด้วยรู้ว่าถ้าขึ้นมาล้อเล่นเอาตอนนี้มีหวังได้ไปประจำการณ์หน้าเล้าไก่แน่ๆ

        

    องค์ราชาถอนหายใจ แล้วหันไปมองจูน่า

        “ตามที่ข้าได้รู้มา เจ้าสาบานไว้นับแต่ขุนศึกคาติสรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อ11ปีก่อน ว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่กลับไปเหยียบแผ่นดินไดโจริวอีกมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงได้ละเมิดคำสาบานของตนเช่นนี้ “ ดวงเนตรสีไข่มุกจ้องมังกรสาวตรงหน้าเขม็ง ราวกับว่าจะมองให้ทะลุถึงภายใจในของนาง องค์เมโครเนสสงสัย ไม่สิ หากจะพูดให้ถูกคือแคลงใจ แคลงใจในตัวบุตรสาวขุนศึกแห่งกองทัพที่5ของโอไรฟีเซียมานานแล้ว ราชาเมโครเนสเป็นผู้ใช้เวทย์ที่หาตัวจับได้ยาก ฝีไม้ลายมือของพระองค์นั้นเหนือชั้นยิ่งกว่าฟางโหยวจิ้น พ่อมดประจำอาณาจักรเสียอีก โดยเฉพาะในเรื่องการอ่านความคิดของผู้อื่น แต่กับสายเลือดสุดท้ายแห่งไดโจริวคนนี้ องค์ราชากลับไม่สามารถล่วงรู้ความคิดของนางได้เลย

        

    “ข้า...” ทายาทมังกรสายลมเอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะที่ประตูห้อง เลียว-โล่วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาขุ่นๆ ไม่ต้องถามว่าใครคือผู้อยู่หลังประตูบานนั้น เพราะทั่วทั้งอาณาจักรนี้ มีเพียงผู้เดียวที่กล้าขัดจังหวะการไต่สวนขององค์ราชา

        

    “เข้ามา” สิ้นเสียงของราชาเมโครเนส บานประตูไม้สีเข้มหนาหนักก็เปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง ผมสีเหล็กไหลยาวประบ่าถูกรวบไว้หลวมๆเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มดูจริงจัง ดวงตาสีไข่มุกนั้นสงบนิ่งและเยือกเย็นไม่ผิดกับน้ำในทะเลสาบฤดูหนาว เขาเป็นคนร่างสูง จนเมื่อยืนเทียบกันแล้วจูน่าสูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มย่อตัวลงทำความเคารพราชาเมโครเนส ในขณะนี่พ่อมดประจำพระองค์หรี่ตามองด้วยสายตาไม่ใคร่พอใจนัก

        

    “มีอะไรรึ พลาติน” องค์ราชาเอ่ยถาม ชายหนุ่มเงยหน้ามององค์ราชา บางอย่างในแววตาคู่นั้นทำให้พระองค์ถอนหายใจ

        

    “เฟว์ จูน่า พวกเจ้าออกไปก่อน ไว้ข้าจะเรียกพวกเจ้ามาอีกที” ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย หน้าซีดของเฟว์เริ่มมีสีเลือดขึ้นหน่อย ในขณะที่จูน่าท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไร พวกเขาย่อตัวทำความเคารพแล้วค่อยๆเดินออกมา



    ราชาเฒ่ารอจนประตูห้องปิดสนิทแล้วจึงตรัสด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง



    “มีอะไรรึ...ลูกพ่อ”

        

    พลาตินลุกขึ้น เหลือบมองเลียว-โล่วที่ส่งสายตาอาฆาตมาแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาๆ แต่หนักแน่น

        

    “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน เรื่องจูน่า...”  เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อยพลางเหลือบตามองเลียว-โล่ว “ข้าคิดว่าข้าหาทางแก้ไขพฤติกรรมของนางได้แล้ว” ท้ายประโยคแฝงน้ำเสียงเย้ยหยันนิดๆ ส่งตรงให้พ่อมดหนุ่มโดยเฉพาะ แต่องค์ราชาไม่สนใจ ทรงพยักหน้าเป็นสัญญาณให้พูดต่อ

        

    “ส่งนางเข้ากองทัพ แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วย คอยฝึกทหาร”

        

    “ข้าขอค้าน” เลียว-โล่วขัดขึ้นทันที “ตลอด11ปีนับจากนางมาอยู่ที่นี่ นางไม่ได้แสดงให้พวกท่านเห็นถึงความไร้ความรับผิดชอบของนางเลยหรืออย่างไร”

        

    พลาตินหรี่ตามองพ่อมดหนุ่มด้วยสายตาเยือกเย็น ชนิดที่ว่าถ้าเป็นคนอื่นคงขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

        

    “นางเชี่ยวชาญเพลงทวน ปัญญาและความรู้ความสามารถทางด้านการศึกก็มิได้ด้อยกว่าเหล่าขุนศึกทั้งหลายเลย ถึงนางจะเหลวไหลไปบ้างแต่ข้าเชื่อว่าการมอบหน้าที่รับผิดชอบ แม้เป็นเพียงหน่วยเล็กๆ จะสามารถฝึกความรับผิดชอบให้แก่นางได้”

        

    “และอีกประการ ตอนนี้ย่างเข้าปีที่5แล้วนับแต่ดรากูนเปลี่ยนกษัตริย์ ตามนิสัยของราชาคนใหม่ ข้าเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วดรากูนต้องยกทัพขึ้นมาหาเราแน่ ก่อนจะถึงเวลานั้นเราควรเตรียมกองทัพให้พร้อม การได้ยอดฝีมือเช่นจูน่ามาช่วยอีกแรงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือ” เจ้าชายหันกลับไปทางราชาเมโครเนส ผู้ซึ่งกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่พระโอรสเสนอ แค่เห็นท่าทางของผู้เป็นพ่อ พลาตินก็ยิ้มออกทันที

        

    ...ในขณะที่ฟางโหยวจิ้น เลียว-โล่ว มองเขาด้วยสายตาคับแค้นใจ



    ...................................................................................................................................................

        

    “เฮ้อ เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ” เฟว์บ่นออกมาเกือบจะทันทีที่ทั้ง2ก้าวพ้นเขตกำแพงวัง “เห็นสายตาเจ้าโล่วมั้ย ถ้าฆ่าข้าได้ตรงนั้นมันคงฆ่าไปแล้ว” ภูติหนุ่มตวัดเสื้อคลุมพาดบ่า ถอนหายใจเบาๆ



    “มีอะไร” คนที่เดินข้างๆหันขวับมาถามทันที เสียงเขียวเหมือนโกรธกันมาสักร้อยชาติ เฟว์หัวเราะหึ



    “โกรธอะไร ครั้งนี้ดีนะที่ได้ระฆังช่วยชีวิต ไม่งั้นมีหวังข้าโดนปลดประจำการ เจ้าก็ถูกลงโทษ อย่างแย่ก็อาจจะถูกห้ามเข้าใกล้ม้ามังกรอีกสัก30ปี...”



    “ก็ลองดูสิ ถ้าเจ้าพ่อมดจอมจุ้นนั่นทำได้จริง ให้มันรู้ไปว่าองค์ราชาจะยอมให้ลงโทษข้า” จูน่าตอบด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ “ทำไมเลียว-โล่วถึงต้องคอยจับผิดข้าตลอดเวลาเลยนะ ทียัยหนูเรอึนเล่นอะไรแผลงๆกลับทำเป็นไม่สนใจ” ประโยคหลังเปลี่ยนเป็นบ่นอุบเมื่อกล่าวถึงเรอึน ธิดาองค์สุดท้องของราชาเมโครเนส ซึ่งพฤติกรรมของนางมิได้ดีกว่าจูน่าสักเท่าไรนัก เจ้าหญิงเรอึนเป็นเด็กซนอย่างร้ายกาจ ทั้งยังหัวดื้อเป็นที่สุด นับเป็นเรื่องประหลาดที่คนเคร่งระเบียบอย่างฟางโหยวจิ้น เลียว-โล่ว กลับไม่เคยเอ่ยติงพฤติกรรมขององค์หญิงน้อยเลยสักครั้ง



    “จะว่าไป มันก็มีวิธีนะ” เฟว์พูดด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “วิธีที่เจ้าโล่วนั่นจะเลิกรังควานเจ้า แล้วเจ้าก็จะได้อำนาจปกครองกองทัพแห่งโอไรฟีเซียทั้งหมดมาอยู่ในมือ เพื่อจุดประสงค์การแก้แค้นของเจ้า” ท้ายประโยคลดเสียงลงเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ผู้อื่นได้ยิน



    “อะไร” เด็กสาวโพล่งถามทันที รอยยิ้มของเฟว์ดูจะกว้างขึ้นอีก



    “แต่งงานกับพลาติน…”



    “เจ้า..”



    “อ้ะๆ อย่าเพิ่งโวยวายไป ข้าพูดถูกใช่ไหมล่ะ ถ้าเจ้าแต่งกับองค์รัชทายาทอันดับ1 ลูกรักของราชาเมโครเนส เจ้าก็จะเป็นว่าที่ราชินี เป็นพระญาติคนหนึ่งของกษัตริย์ ทีนี้เลียว-โล่วก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า อีกอย่าง ตอนนี้พลาตินรั้งตำแหน่งแม่ทัพหลวงของกองทหารส่วนพระองค์ หากเจ้าขอเพียงคำเดียว จะกองทัพกี่หมื่นกี่แสน เจ้าชายย่อมให้เจ้าแน่” เฟว์จาระไนความคิดให้เพื่อนซี้ฟังอย่างละเอียด พร้อมทิ้งท้าย



    “ก็เจ้าชายน่ะ หลงเจ้าขนาดนั้น ข้าว่าแผนนี้ได้ผลชัวร์”



    “ได้ผลกะบุพการีเจ้าน่ะสิ” จูน่าตาเขียว “ใครจะแต่งกับเจ้าชายนั่น ข้ามีแผนของข้า ถ้าเจ้าอย่างทำตามแผนเจ้ามากนักก็แต่งกับพลาตินเองสิ”



    เฟว์เห็นท่าทางเด็กสาวจะโกรธจริง เขายิ้มเจื่อนๆ

    “ใจเย็นซี่ ข้าพูดเล่น เฮ้ย อย่า!” ภูติหนุ่มร้องลั่นเมื่อจูน่าคว้าท่อนฟืนจากกระบะขายของข้างทางขึ้นมา





    ดวงตาสีไข่มุกคู่หนึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จากบานหน้าต่างบนหอคอยของปราสาท เจ้าของเรือนผมสีเหล็กไหลหลับตาลงช้าๆ



    -ข้าให้กำลังแก่เจ้าแล้ว จงใช้มันเพื่อจุดหมายของเจ้าเถอะ-



    .......................................................................................................................



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×