ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เปิดตำนาน
1.
                กลางทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง สถานที่ที่เคยเป็นเขตของอาณาจักรโอไรนซึ่งล่มสลาย แค้มป์ชั่วคราวเล็ก ๆ ของกองทัพแห่งอาณาจักร ดรากูน ภายใต้การปกตรองของราเซียคลิน ตั้งอยู่อย่างเงียบเหงา กองไฟเล็ก ๆ ส่องแสงริบหรี่ให้เห็นเงาราง ๆ ของทหารที่นั่งสะลึมสะลืออยู่ข้าง ๆแม้จะรู้ตัวว่าเขาเป็นทหารยาม แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้เขาไม่สามารถลืมตาต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว
                สายลมเย็นโชยมา เขารู้สึกราวกับได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วมาเบาๆ ด้วยบทเพลงที่ไพเราะเหลือเกิน เสียงขลุ่ยนั้นไพเราะจนทำให้เขาถึงกลับเคลิ้มไปชั่วขณะว่า เขากำลังนั่งอยู่ในบ้านที่แสนอบอุ่น และฟังเพลงที่แม่ของเขาได้ร้องให้ฟัง
                แต่แล้ว ความคิดของเขาก็ต้องหยุดชะงัก หันกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา และก็ไม่มีแม่มาคอยขับกล่อมบทเพลงให้ฟัง
                กลับเป็นกลางทุ่งร้าง กับเสียงขลุ่ยที่บรรเลงอย่างแผ่วเบา
                เขาลืมตาตื่นเต็มที่ เสียงขลุ่ยยังบรรเลงตามลมที่พัดอยู่ไม่ขาดสาย
ทหารหนุ่มยืนขึ้นมองไปรอบ ๆ พยายามที่จะหาต้นเสียงนั้น แต่รอบตัวกลับมีเพียงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่จะมาบรรเลงเพลงอันไพเราะเช่นนั้นได้เลย
                เขารู้สึกราวกับว่าลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ผ้าหลังคาเต็นท์ปลิวตามแรงลมจนแทบจะหลุดลอยไป ที่น่าประหลาดคือ
ทุกคนในกองทัพต่างหลับใหลโดยไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกตินี้แม้แต่น้อย ใบหญ้าในทุ่งเสียดสีกันเกิดเสียงหวีดหวิด ไม่รู้ว่าเขาหูฝาดไปเพราะความกลัว หรือมีเสียงฝีเท้าเดินย่ำหญ้าตรงมาทางแค้มป์จริงๆ
                ในเวลานั้นเอง เมฆได้เคลื่อนตัวออกจาก ตำแหน่งที่บดบังแสงจันทร์ รังสีเหลืองนวลส่องลงมายังแค้มป์ เมื่อความมืดจางหายไป เขาก็พบว่ามีร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตร ผมยาวสีดำปลิวไสวตามแรงลม ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีขาว ชายแปลกหน้าแต่งกายด้วยอาภรสีดำสนิท และสิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือเคียว โง้งขนาดเหมาะมือ สีของมันขาวนวลราวกับสร้างขึ้นมาจากกระดูกมนุษย์ ทหารหนุ่มรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆไหลลงมาตามหน้าผาก เขายืนตัวสั่นและหันหลังกลับ วิ่งหนีสุดชีวิตแล้วร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อคมเคียวกระทบร่างของเขา
.........................................................................................................................................................................
    “เหล่าอสุรากระเสือกกระสนหนีให้ห่างจากเงาแห่งความตาย ด้วยผู้ที่ไล่ล่าพวกมันอยู่คือเอริออท มังกรมัจจุราช ผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาล้างเหล่าอสูรให้หมดไปจากปฐพี...”
   
                พับ!
   
                เชนปิดหนังสือ ‘ตำนานแห่งมังกร’ พอแค่นี้ดีกว่า- เขาคิดพลางมองไปที่ผู้ฟังซึ่งก็คือเด็ก3-4คนที่นอนก่ายกันอยู่บนเตียงเบื้องหน้าเขา ทุกคนกำลังหลับสนิท เสียงหายใจเบาๆดังสลับกันอย่างสม่ำเสมอ เชนลุกขึ้นยืน ดึงผ้าห่มมาห่มเด็กๆไว้และจึงหยิบหนังสือและเดินออกไป
   
                ภายนอกกระท่อมหลังเล็กนั้น แสงจันทร์สาดส่องลอดหมู่เมฆลงมายังหมู่บ้านเล็กๆใจกลางป่าลับแล แห่งเทือกเขาอัคคาเรล แดนผนึกจอมปราบมาร ที่นี่ หมู่บ้านนี้ คือที่พึ่งพิงแห่งสุดท้ายของชนเผ่าที่คิดต่อต้านราเซียคลิน ทรราชผู้ครอบครองบัลลังก์แห่งDragoon
                เชนเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆบนฟ้า แล้วขมวดคิ้ว คืนนี้จันทร์เต็มดวงแท้ๆแต่เมฆกลับบังซะหมด ดวงตาของเด็กหนุ่มเรืองเป็นสีทองอยู่ชั่วครู่เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่เขา ก่อนจะกลับเป็นสีฟ้าใสเช่นเดิม เขากระพริบตาช้าๆ ค่ำคืนนี้มืดมิดสำหรับมนุษย์ แต่เขากลับเห็นผ่านความมืดได้อย่างชัดเจน ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมยิ่งกว่าสัตว์ชนิดใดบนพื้นพิภพ  เชนก้าวเท้าเดินอย่างเงียบสนิทเพราะเกรงว่าจะส่งเสียงดังปลุกผู้คนที่นอนหลับใหลอยู่ ภารกิจของคืนนี้เสร็จสิ้นไปอย่างหนึ่งแล้ว เหลืออีกอย่างที่เขาต้องทำ
                กลางแสงสลัวของดวงจันทร์ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ในพงไพร ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งกำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ด้วยลีลาท่าทางที่ไม่ผิดกับนักระบำชั้นยอด  เด็กสาวหลับตาพริ้ม มือทั้งสองข้างเกาะกุมด้ามมีดเรียวแหลมไว้อย่างแผ่วเบาแต่มั่นคง มีดด้ามหนึ่งสีขาวราวกับงาช้าง อีกด้ามสีดำสนิทดั่งนิลกาล เรือนผมยาวสลวยของสาวน้อยสะบัดไปตามการเคลื่อนไหวของเจ้าตัว ผิวขาวเนียนภายใต้แสงจันทร์ทำให้ร่างของเธองดงามราวกับตุ๊กตาเซรามิคที่แสนบอบบาง ใบมีดสีขาวสะท้อนแสงจันทร์สลัวเกิดประกายวิบวับ เธอไม่รู้เลยว่าภายใต้เงามืดอันเกิดจากเมฆครึ้มบดบังแสงจันทร์นั้น ใครคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่เงียบๆ
     
                ทันใดนั้นสายลมที่ไร้สัมผัสก็ไหลวูบผ่านหน้าเธอไปให้ความรู้สึกเย็บเยียบราวกับน้ำในทะเลสาบฤดูหนาว เมฆครึ้มบนฟ้าถูกปัดเป่าออกไป เหลือเพียงดวงจันทร์ทอแสงลงมาสู่ป่าแห่งอัคคาเรล และแล้วเธอก็เห็นดวงตาคู่หนึ่ง สีทองแวววาวจ้องมองมาในความมืด แสงจันทร์เผยให้เห็นเจ้าของดวงตาผู้มีผมสีขาวหม่น ใบหน้าหล่อเหลาคล้ำแดด ร่างสูงดูปราดเปรียวแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวเข้มที่ตัดเย็บอย่างง่ายๆและกางเกงหนัง ในมือข้างหนึ่งถือผ้าคลุมยาวแบบพ่อมด ชายผ้าสีเข้มหนาหนักนั้นห้อยลงพื้นโดยไม่หยี่ระต่อสายลมแรงที่เริ่มพัดมา
                เด็กสาวเก็บมีดเข้าฝักแล้วยิ้มให้ชายหนุ่มผมขาว
                “เชน ยังไม่นอนอีกเหรอ” เธอถาม น้ำเสียงของเธอดูจะมีความรู้สึกผิดปนอยู่นิดๆที่แอบออกมานอกบ้านตอนกลางคืน
                “นายท่านยังไม่นอน แล้วผู้คุ้มครองอย่างข้าจะข่มตาหลับลงได้อย่างไร” เชนตอบ น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ เหมือนกับว่าเขาพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
                “กอลโอลสั่งไว้ ให้คอยดูท่านด้วย” เขาเสริม “กลับเถอะนีเอล ดึกมากแล้ว”
                เชนคลี่ผ้าคลุมของเขาออกแล้วคลุมให้เด็กสาว ทั้ง2เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆ นีเอลก้มหน้านิ่ง เมื่อจวนจะถึงหมู่บ้านแล้วเธอจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
                “โกรธข้าเหรอ” เธอจับแขนผู้คุ้มครองเบาๆ
                “ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะต้องโกรธเจ้า” เชนตอบ การใช้คำพูดที่ต่างออกไปจากเดิมทำให้นีเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอไม่ชอบให้เขาใช้คำพูดที่สุภาพจนเกินเหตุกับเธอ  แม้เชนจะอยู่ในฐานะผู้คุ้มครอง แต่เขาก็ยังเป็นสหายสนิทของเจ้าชายกอลโอล พี่ชายของเธอด้วย
                “ข้าส่งแค่นี้นะ” นีเอลสะดุ้งเมื่อเชนพูดขึ้นมากลางคัน เธอพบว่าตนเองยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
                “อื้อ ขอบใจมากนะ” เด็กสาวส่งเสื้อคลุมคืนให้เจ้าของ
                \"รีบนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์” ผู้คุ้มครองของเธอเอ่ย นีเอลขยับปากจะตอบ แต่ก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นวูบหนึ่งไหลผ่านเข้ามาในร่างกาย เสียงกรีดร้องเบาๆแว่วมา เธอเงยหน้ามองเชนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามแต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็เปลี่ยนแววตาของเธอให้เต็มไปด้วยความโกรธ ดูท่าทางเสียงที่เกิดขึ้นจะสร้างความหฤหรรษ์ให้กับพ่อมดหนุ่มไม่น้อย
                “มันสนุกนักรึไง” เธอตวาด ดวงตาวาวโรจราวกับจะลุกเป็นไฟ  เพราะบัดนี้มังกรสวรรค์เอริออท มัจจุราชเลื่องชื่อแห่งดินแดนนี้กำลังออกล่า ล่าอย่างไร้เหตุผล ล่าเพียงเพื่อความพอใจของตนเอง เชนมองเธอครู่หนึ่ง ราวกับเขาอ่านใจเธอได้
                  “หากว่าสิ่งที่ท่านเอริออทสังหาร คือพวกของราเซียคลินแล้วล่ะก็... มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว” เขาตอบ เสียงเคร่งขรึม “ข้าไม่คิด ว่าท่านเอริออท พี่เจ้า จะมีความผิด..”
                  “เอริออทไม่ใช่พี่ข้า” นีเอลโพล่งขึ้น “พี่ข้าคือกอลโอล รัชทายาทอันดับ1แห่งอาณาจักรดรากูน  ไม่ใช่ฆาตรกรที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยอ้างนามของมังกรเทพ”
                  “เจ้าเรียกคนเหล่านั้นว่า ผู้บริสุทธิ์ งั้นเหรอ” เชนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ถึงใบหน้าจะซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ดวงตาสีทองนั้นแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น
                “ไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มี ตราบใดที่พวกมันยังล่าเคลท์อย่างไร้สติ เพียงเพราะนิทานก่อนนอนบอกมันว่าเลือดและดวงตาของพวกเรานำชีวิตอมตะมาให้ พ่อแม่ข้าต้องตาย บ้านข้าถูกทำลาย ความสุขหายไปสิ้น พวกเราที่รอดมาได้ก็ต้องมีชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ เพียงเพราะมนุษย์หน้าโง่พวกนั้นหลงเชื่อเรื่องเล่าไร้สาระ  แล้วอย่างนี้เจ้ายังเรียกพวกมันว่าผู้บริสุทธิ์ได้อีกหรือ”
                เชนขึ้นเสียง ลืมตัวไปว่าเขาอยู่ในฐานะผู้คุ้มครองของเธอ หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้านายแล้ว ห้ามโต้แย้งหรือขัดคำสั่งเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจ้านายของเขาคือมังกร เผ่าพันธุ์เดียวในโลกนี้ที่เคลท์ทุกตนยอมก้มหัวให้อย่างเต็มใจ
นีเอลจ้องหน้าชายหนุ่ม ดวงตาสีแดงเพลิงดูแข็งกร้าว เธอเข้าใจถึงความลำบากของเชน ตัวเขาเองเกิดมาไม่เหมือนใคร แม้ว่าเขาจะมีทั้งคนรักใคร่บูชาและรังเกียจเหยียดหยาม แต่เชนในวัยเด็กก็มีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งราเซียคลินยื่นมือเข้ามาทำลายมัน 5ปีก่อนเชนสาบานไว้ สาบานต่อดวงวิญญาณของเคลท์ทุกตนที่ถูกมนุษย์สังหาร สาบาน ว่าเขาจะล่าล้างพวกมันให้สิ้น ไม่เว้นแม้แต่สายเลือดมังกรอย่างราเซีย-
คลิน
                “มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปซะทุกคนหรอกนะ” เด็กสาวพูดเสียงแผ่ว เธอพยายามทำใจให้เย็น โกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เชนไม่เคยเปลี่ยนความคิด เขาเกลียดมนุษย์เข้ากระดูกดำ ช่างคงความคิดของเคลท์รุ่นเก่าไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เสียจริงๆ
                เสียงร้องโหยหวนเบาลงเรื่อยๆจนเหลือเพียงความเงียบสงัด สายลมหยุดนิ่งและเมฆครึ้มเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าอีกครั้ง การล่าจบลงแล้ว
               
                “เจ้ารีบไปนอนซะเถอะ” เชนพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน “ถ้ากอลโอลกลับมาซะก่อนเจ้าจะเดือดร้อน”
........................................................................................................................................................................
    แสงนวลของดวงจันทร์ส่องผ่านบานประตูเข้ามายังห้องเล็กๆที่สร้างขึ้นจากหินสีขาวแข็งแกร่ง  ประตูสู่ระเบียงถูกเปิดอ้าทิ้งไว้  เงาสีดำของร่างมนุษย์ทอดยาวตัดกับพื้นหินขาวที่บัดนี้เรืองเป็นสีเหลืองนวล เสียงไวโอลินบรรเลงอยู่ท่ามกลางความสงบของค่ำคืน โหยหวนแต่ก็ไพเราะจับใจ ไม่ว่าจะโดยความบังเอิญหรือไม่ แต่ในเวลานี้ ณ ทุ่งร้างแห่งโอไรน ขลุ่ยเลาหนึ่งกำลังบรรเลงดนตรีไปพร้อมกัน ทุกตัวโน๊ต ทุกท่วงทำนอง
   
                “หากกอลโอลยังอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ คงจะตื่นมาฟังเพลงนี้แน่ๆ” นี่เป็นความคิดของเด็กสาวเจ้าของเสียงไวโอลิน มือของเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและชำนาญเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนจังหวะของเพลง มันคือบทเพลงที่องค์รัชทายาทอันดับ1แห่งดรากูนโปรดปรานเป็นที่สุด  สายลมเอื่อยๆโชยมาพัดกลิ่นหอมของดอกไม้จากเส้นผมสีทองของเธอให้กระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นที่ท่านเมทารอน เมื่อตอนยังมีพระชนม์ชีพ เคยชมนักชมหนาว่าหอมเหลือเกิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลกระพริบถี่ๆเมื่อนึกถึงองค์ราชาที่ล่วงลับ เธอรู้ว่าจะต้องไม่ร้องไห้ พ่อห้ามไว้ ไม่ให้ร้องไห้ให้กับท่านเมทารอน เพราะถ้าร้อง ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าท่านตาย
   
                เสียงไวโอลินชะงักกะทันหันเมื่อสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา จากบนผืนฟ้าที่ไร้เมฆ  เธอมองท้องฟ้าอย่างไม่พอใจ และเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อมองไปที่ปราสาท ปราสาทหินงดงามที่เคยเป็นบ้านของกอลโอล เพื่อนรักที่สุดของเธอ
   
                “เจ้าพวกบ้า” เด็กสาวบ่นพึมพำแล้วเก็บเครื่องดนตรีอย่างเร่งรีบ ไวโอลินสีดำมะเมื่อมถูกวางลงในกล่องไม้ทันเวลาพอดี เมื่อสายฝนเทลงมาจากฟ้า
   
                “เจ้าบ้าเอ้ย!” เด็กสาวตะโกนอย่างไม่พอใจใส่ปราสาท หวังจะให้คนที่อยู่ในนั้นได้ยิน “เรียกฝนทำไม เพิ่งจะถึงวันที่82ของหน้าร้อนแท้ๆ อีกตั้ง11วันถึงจะเข้าหน้าฝน เจ้าโง่!!!”
   
                เสียงฟ้าคำรามลั่นตอบกลับเธอ ดังกระหึ่มจนกลบเสียงของเด็กสาวจนหมด ฝนเทจั้กๆจนทุกอย่างดูพร่ามัว เด็กสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายฝนเย็นเยียบกระทบร่าง แต่ในใจของเธอกลับคุกรุ่นด้วยความโกรธ...
.........................................................................................................................................................................
    การล่าจบลงแล้ว ทุ่งหญ้าเวิ้งว้างดูว่างเปล่าและสงบเงียบอีกครา มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวผ่านยอดหญ้าราวกับเสียงครวญครางของวิญญาณผู้ที่ทอดกายนอนนิรันดร์ ณ  ทุ่งแห่งนี้
   
                เสียงฝีเท้าของม้าแผ่วเบาลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังควบจากไปไกล ปล่อยทิ้งไว้เพียงผืนหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
   
                และซากศพของกองทหารแห่งดรากูนเกือบ5000นาย...
   
                เขาควบม้าไปอย่างเลือนลอยท่ามกลางความมืด ไม่จำเป็นต้องบังคับเพราะม้ามันรู้ทางอยู่แล้ว สายลมโกรกผ่านเข้ามาทางช่องเล็กๆของหน้ากากสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนั้นให้ความรู้สึกเย็นสบายดีเหลือเกิน เขาตัดสินใจถอดมันออกแล้วเขวี้ยงทิ้งไปอย่างไม่แยแส อากาศอันหอมหวนยามค่ำคืนไหลเข้ามาในปอดเต็มที่ เขาสูดหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อขับไล่กลิ่นเลือดออกไปจากโสตประสาท และจากใจของเขา
   
                ที่สุดชายทุ่ง คือภูเขาอัคคาเรล แดนปราบมารที่น่าพรั่นพรึง เขาดึงม้าให้ลดความเร็วลงเมื่อต้นไม้ใหญ่เริ่มหนาตา  แลเห็นดวงไฟริบหรี่อยู่ไกลๆ เขาบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆไปทางนั้น เพื่อพบกับผู้ที่มารอรับเขา
   
   
                เชนหรี่ตามองไปในความมืด ในมือถือตะเกียงโลหะสีนาครูปร่างบางไว้อย่างระมัดระวัง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแต่ไกลก่อนที่ม้าสีดำเมื่อมตัวหนึ่งจะโผล่พ้นเนินขึ้นมา ผู้ที่อยู่บนหลังของมันถือเคียวยาวโง้ง แวบหนึ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นสีขาวราวกับกระดูก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็เห็นว่ามันเป็นเคียวโลหะสีทองหม่น หม่นเพราะเพิ่งผ่านการใช้งานมาไม่นาน
   
                “เป็นไงบ้าง” ชายบนหลังม้าเอ่ยปากถามเมื่อชักม้าให้หยุดตรงหน้าพ่อมด เสียงของเขาทุ้มแต่ก็พอฟังออกว่ายังเป็นเด็กหนุ่ม
   
                “เรียบร้อยดี” พ่อมดตอบอย่างขรึมๆ ดูท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไร เขายื่นตะเกียงให้ชายที่เพิ่งลงมาจากหลังม้า ตัวเขาเองรับสายบังเหียนไปและเดินจูงม้าไปข้างๆ แสงตะเกียงริบหรี่แต่ก็พอที่จะส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าของผู้ถือ ใบหน้าคม ออกจะสวยคล้ายผู้หญิงด้วยซ้ำเว้นแต่รอยแผลเป็นใหญ่ที่พาดจากขมับขวาลงมาถึงกรามซ้ายที่ทำให้มันดูน่ากลัวขึ้น แววตาสีดำของเขาแม้จะแวววาวเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องสนุกสุดๆมาแต่ก็ดูครุ่นคิด
   
                “เสียงดังมาถึงนี่...” เชนพูดขึ้นทำลายความเงียบ “กี่คนกัน”
   
                “ราว5000 ข้าไม่ได้นับให้แน่นอน” ฝ่ายตรงข้ามตอบอู้อี้เพราะใช้ปากคาบสายห้อยตะเกียงอยู่ มือ2ข้างกำลังรวบผมยาวดำให้เรียบร้อย
   
                “มนุษย์ทั้งหมด ?”
   
                “ใช่ มนุษย์ทั้งนั้น”
   
                “ดี” เชนตอบสั้นๆ รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นแวบหนึ่งบนใบหน้าหล่อเหลา ชายผมดำหันมามองเขา
   
                “เจ้านี่เกลียดมนุษย์ซะจริงๆ” ว่าพลางส่ายหัว เชนยิ้มน่ากลัวอีก
   
                “และเจ้าก็ช่วยฆ่าพวกมันให้ข้า” เขาเสริม “น่าเสียดาย ข้าควรจะไปด้วย”
   
                ชายผมดำเงียบไปอีก ท่าทางเขาวุ่นวายใจ
   
                “เจ้าเป็นอะไรไป” คราวนี้พ่อมดหนุ่มหันมามองชายผมดำ ที่ยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบผ่านดวงตา
   
                “ข้าทำเกินไปคราวนี้ ข้าปล่อยให้เขาออกมานานเกินไปหน่อย... เขาเกือบจะขังข้าไว้ได้แล้ว“
   
                “เอริออทไม่มีทางเหนือเจ้าได้” เชนตบบ่าเขาอย่างมั่นใจ “เจ้ามีหัวใจ มีสติ และมีพลังพอที่จะต่อต้านเขา ใช่ไหม กอลโอล”
   
                ‘กอลโอล’พยักหน้า ดูท่าทางสบายใจขึ้น เขาอ้าปากจะพูด
   
                “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก เก็บคำพูดเจ้าไว้อธิบายกับนีเอลดีกว่าว่าเจ้าไปทำอะไรมา” เชนขัด “ถึงข้าจะชอบแต่น้องเจ้าคงไม่พอใจกับเรื่องคืนนี้นักหรอก ข้าว่า” เขาหัวเราะหึ ในขณะที่กอลโอลยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงว่ากลับบ้านไปแล้วจะเจออะไร
   
   
                ในห้องเล็กๆที่มืดมิด แสงจันทร์ลอดผ่านรอยแยกของหน้าต่างเกิดเป็นเส้นแสงบางบนพื้นไม้ แสงนี้ทอดผ่านเตียงเล็กๆหลังหนึ่ง บนเตียงนั้นมีเด็กหญิงนั่งกอดเข่านิ่ง ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียวแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว
   
                เสียงเปิดปิดประตูเบาๆดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน เด็กหญิงจึงขยับหัว หันมองไปทางประตูห้องที่กำลังเปิดออกช้าๆ
   
                “ปิดหน้าต่างทำไม อุดอู้แบบนี้เจ้าไม่ร้อนรึ” เสียงห้าวถามขึ้น พร้อมกับที่ร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง แม้จะอยู่ในความมืดแต่เด็กหญิงก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ผมสีขาวและดวงตาสีฟ้าใสนั้นทำให้เธอคลายความกลัวลงได้
   
                “พี่... พวกเขามาอีกแล้ว หนูได้ยินเสียง ” เด็กหญิงพูดขึ้นเบาๆราวกับว่ากลัวใครจะได้ยิน เชนนั่งลงที่ขอบเตียงและเอื้อมมือไปลูบหัวเธออย่างเบามือ ผมเส้นยาวละเอียด สีขาวราวกับหิมะลื่นไปตามมือของเขา ดวงตาสีฟ้าแบบเดียวกันจ้องเขาไม่วางตา เชนยิ้มแล้วก้มลงพูดกับเธอ
   
                “ไม่เป็นไร เลนก้า พวกเขาไม่มาหรอก ไม่มีใครมาหรอก ไม่มีใครมาทำอะไรน้องได้” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและอบอุ่น ต่างจากสำเนียงไร้อารมณ์ตามปกติอย่างเห็นได้ชัด
   
                “หนูได้ยินจริงๆนะ พวกเขาร้องขอชีวิต ไม่ใช่แค่ด้วยเสียง แต่ด้วยวิญญาณ มันดังมาถึงที่นี่ พวกเขาร้องให้หนูช่วยไม่หยุด จนตอนนี้พวกเขาก็ยังร้องอยู่”
   
                เลนก้าเอนตัวพิงพี่ชายที่โอบเธอไว้เบาๆ
   
                “ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่ นอนซะ พี่อยู่นี่แล้ว” เชนพึมพำ ลงมานั่งที่ข้างเตียง น้องสาวของเขาเอนตัวลงอีกครั้ง พลางเอื้อมมือมาจับมือของเขาแน่นแล้วหลับตาลง
   
                “พี่ร้องเพลงหน่อยสิ” เธอพึมพำ และยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆตอบกลับมา อย่างน้อยมันก็กลบเสียงโหยหวนพวกนั้นได้ เสียงคร่ำครวญจากดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกสังหารในค่ำคืนนี้
............................................................................................
                กลางทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง สถานที่ที่เคยเป็นเขตของอาณาจักรโอไรนซึ่งล่มสลาย แค้มป์ชั่วคราวเล็ก ๆ ของกองทัพแห่งอาณาจักร ดรากูน ภายใต้การปกตรองของราเซียคลิน ตั้งอยู่อย่างเงียบเหงา กองไฟเล็ก ๆ ส่องแสงริบหรี่ให้เห็นเงาราง ๆ ของทหารที่นั่งสะลึมสะลืออยู่ข้าง ๆแม้จะรู้ตัวว่าเขาเป็นทหารยาม แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทำให้เขาไม่สามารถลืมตาต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว
                สายลมเย็นโชยมา เขารู้สึกราวกับได้ยินเสียงขลุ่ยแว่วมาเบาๆ ด้วยบทเพลงที่ไพเราะเหลือเกิน เสียงขลุ่ยนั้นไพเราะจนทำให้เขาถึงกลับเคลิ้มไปชั่วขณะว่า เขากำลังนั่งอยู่ในบ้านที่แสนอบอุ่น และฟังเพลงที่แม่ของเขาได้ร้องให้ฟัง
                แต่แล้ว ความคิดของเขาก็ต้องหยุดชะงัก หันกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริงว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา และก็ไม่มีแม่มาคอยขับกล่อมบทเพลงให้ฟัง
                กลับเป็นกลางทุ่งร้าง กับเสียงขลุ่ยที่บรรเลงอย่างแผ่วเบา
                เขาลืมตาตื่นเต็มที่ เสียงขลุ่ยยังบรรเลงตามลมที่พัดอยู่ไม่ขาดสาย
ทหารหนุ่มยืนขึ้นมองไปรอบ ๆ พยายามที่จะหาต้นเสียงนั้น แต่รอบตัวกลับมีเพียงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีแม้แต่เงาของคนที่จะมาบรรเลงเพลงอันไพเราะเช่นนั้นได้เลย
                เขารู้สึกราวกับว่าลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ผ้าหลังคาเต็นท์ปลิวตามแรงลมจนแทบจะหลุดลอยไป ที่น่าประหลาดคือ
ทุกคนในกองทัพต่างหลับใหลโดยไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกตินี้แม้แต่น้อย ใบหญ้าในทุ่งเสียดสีกันเกิดเสียงหวีดหวิด ไม่รู้ว่าเขาหูฝาดไปเพราะความกลัว หรือมีเสียงฝีเท้าเดินย่ำหญ้าตรงมาทางแค้มป์จริงๆ
                ในเวลานั้นเอง เมฆได้เคลื่อนตัวออกจาก ตำแหน่งที่บดบังแสงจันทร์ รังสีเหลืองนวลส่องลงมายังแค้มป์ เมื่อความมืดจางหายไป เขาก็พบว่ามีร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตร ผมยาวสีดำปลิวไสวตามแรงลม ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีขาว ชายแปลกหน้าแต่งกายด้วยอาภรสีดำสนิท และสิ่งที่อยู่ในมือของเขาคือเคียว โง้งขนาดเหมาะมือ สีของมันขาวนวลราวกับสร้างขึ้นมาจากกระดูกมนุษย์ ทหารหนุ่มรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นๆไหลลงมาตามหน้าผาก เขายืนตัวสั่นและหันหลังกลับ วิ่งหนีสุดชีวิตแล้วร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อคมเคียวกระทบร่างของเขา
.........................................................................................................................................................................
    “เหล่าอสุรากระเสือกกระสนหนีให้ห่างจากเงาแห่งความตาย ด้วยผู้ที่ไล่ล่าพวกมันอยู่คือเอริออท มังกรมัจจุราช ผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาล้างเหล่าอสูรให้หมดไปจากปฐพี...”
   
                พับ!
   
                เชนปิดหนังสือ ‘ตำนานแห่งมังกร’ พอแค่นี้ดีกว่า- เขาคิดพลางมองไปที่ผู้ฟังซึ่งก็คือเด็ก3-4คนที่นอนก่ายกันอยู่บนเตียงเบื้องหน้าเขา ทุกคนกำลังหลับสนิท เสียงหายใจเบาๆดังสลับกันอย่างสม่ำเสมอ เชนลุกขึ้นยืน ดึงผ้าห่มมาห่มเด็กๆไว้และจึงหยิบหนังสือและเดินออกไป
   
                ภายนอกกระท่อมหลังเล็กนั้น แสงจันทร์สาดส่องลอดหมู่เมฆลงมายังหมู่บ้านเล็กๆใจกลางป่าลับแล แห่งเทือกเขาอัคคาเรล แดนผนึกจอมปราบมาร ที่นี่ หมู่บ้านนี้ คือที่พึ่งพิงแห่งสุดท้ายของชนเผ่าที่คิดต่อต้านราเซียคลิน ทรราชผู้ครอบครองบัลลังก์แห่งDragoon
                เชนเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆบนฟ้า แล้วขมวดคิ้ว คืนนี้จันทร์เต็มดวงแท้ๆแต่เมฆกลับบังซะหมด ดวงตาของเด็กหนุ่มเรืองเป็นสีทองอยู่ชั่วครู่เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาที่เขา ก่อนจะกลับเป็นสีฟ้าใสเช่นเดิม เขากระพริบตาช้าๆ ค่ำคืนนี้มืดมิดสำหรับมนุษย์ แต่เขากลับเห็นผ่านความมืดได้อย่างชัดเจน ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมยิ่งกว่าสัตว์ชนิดใดบนพื้นพิภพ  เชนก้าวเท้าเดินอย่างเงียบสนิทเพราะเกรงว่าจะส่งเสียงดังปลุกผู้คนที่นอนหลับใหลอยู่ ภารกิจของคืนนี้เสร็จสิ้นไปอย่างหนึ่งแล้ว เหลืออีกอย่างที่เขาต้องทำ
                กลางแสงสลัวของดวงจันทร์ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ในพงไพร ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งกำลังร่ายรำเพลงยุทธ์ ด้วยลีลาท่าทางที่ไม่ผิดกับนักระบำชั้นยอด  เด็กสาวหลับตาพริ้ม มือทั้งสองข้างเกาะกุมด้ามมีดเรียวแหลมไว้อย่างแผ่วเบาแต่มั่นคง มีดด้ามหนึ่งสีขาวราวกับงาช้าง อีกด้ามสีดำสนิทดั่งนิลกาล เรือนผมยาวสลวยของสาวน้อยสะบัดไปตามการเคลื่อนไหวของเจ้าตัว ผิวขาวเนียนภายใต้แสงจันทร์ทำให้ร่างของเธองดงามราวกับตุ๊กตาเซรามิคที่แสนบอบบาง ใบมีดสีขาวสะท้อนแสงจันทร์สลัวเกิดประกายวิบวับ เธอไม่รู้เลยว่าภายใต้เงามืดอันเกิดจากเมฆครึ้มบดบังแสงจันทร์นั้น ใครคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่เงียบๆ
     
                ทันใดนั้นสายลมที่ไร้สัมผัสก็ไหลวูบผ่านหน้าเธอไปให้ความรู้สึกเย็บเยียบราวกับน้ำในทะเลสาบฤดูหนาว เมฆครึ้มบนฟ้าถูกปัดเป่าออกไป เหลือเพียงดวงจันทร์ทอแสงลงมาสู่ป่าแห่งอัคคาเรล และแล้วเธอก็เห็นดวงตาคู่หนึ่ง สีทองแวววาวจ้องมองมาในความมืด แสงจันทร์เผยให้เห็นเจ้าของดวงตาผู้มีผมสีขาวหม่น ใบหน้าหล่อเหลาคล้ำแดด ร่างสูงดูปราดเปรียวแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวเข้มที่ตัดเย็บอย่างง่ายๆและกางเกงหนัง ในมือข้างหนึ่งถือผ้าคลุมยาวแบบพ่อมด ชายผ้าสีเข้มหนาหนักนั้นห้อยลงพื้นโดยไม่หยี่ระต่อสายลมแรงที่เริ่มพัดมา
                เด็กสาวเก็บมีดเข้าฝักแล้วยิ้มให้ชายหนุ่มผมขาว
                “เชน ยังไม่นอนอีกเหรอ” เธอถาม น้ำเสียงของเธอดูจะมีความรู้สึกผิดปนอยู่นิดๆที่แอบออกมานอกบ้านตอนกลางคืน
                “นายท่านยังไม่นอน แล้วผู้คุ้มครองอย่างข้าจะข่มตาหลับลงได้อย่างไร” เชนตอบ น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆ เหมือนกับว่าเขาพยายามข่มอารมณ์เอาไว้
                “กอลโอลสั่งไว้ ให้คอยดูท่านด้วย” เขาเสริม “กลับเถอะนีเอล ดึกมากแล้ว”
                เชนคลี่ผ้าคลุมของเขาออกแล้วคลุมให้เด็กสาว ทั้ง2เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆ นีเอลก้มหน้านิ่ง เมื่อจวนจะถึงหมู่บ้านแล้วเธอจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
                “โกรธข้าเหรอ” เธอจับแขนผู้คุ้มครองเบาๆ
                “ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะต้องโกรธเจ้า” เชนตอบ การใช้คำพูดที่ต่างออกไปจากเดิมทำให้นีเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอไม่ชอบให้เขาใช้คำพูดที่สุภาพจนเกินเหตุกับเธอ  แม้เชนจะอยู่ในฐานะผู้คุ้มครอง แต่เขาก็ยังเป็นสหายสนิทของเจ้าชายกอลโอล พี่ชายของเธอด้วย
                “ข้าส่งแค่นี้นะ” นีเอลสะดุ้งเมื่อเชนพูดขึ้นมากลางคัน เธอพบว่าตนเองยืนอยู่หน้าบ้านแล้ว
                “อื้อ ขอบใจมากนะ” เด็กสาวส่งเสื้อคลุมคืนให้เจ้าของ
                \"รีบนอนล่ะ ราตรีสวัสดิ์” ผู้คุ้มครองของเธอเอ่ย นีเอลขยับปากจะตอบ แต่ก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นวูบหนึ่งไหลผ่านเข้ามาในร่างกาย เสียงกรีดร้องเบาๆแว่วมา เธอเงยหน้ามองเชนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามแต่แล้วรอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็เปลี่ยนแววตาของเธอให้เต็มไปด้วยความโกรธ ดูท่าทางเสียงที่เกิดขึ้นจะสร้างความหฤหรรษ์ให้กับพ่อมดหนุ่มไม่น้อย
                “มันสนุกนักรึไง” เธอตวาด ดวงตาวาวโรจราวกับจะลุกเป็นไฟ  เพราะบัดนี้มังกรสวรรค์เอริออท มัจจุราชเลื่องชื่อแห่งดินแดนนี้กำลังออกล่า ล่าอย่างไร้เหตุผล ล่าเพียงเพื่อความพอใจของตนเอง เชนมองเธอครู่หนึ่ง ราวกับเขาอ่านใจเธอได้
                  “หากว่าสิ่งที่ท่านเอริออทสังหาร คือพวกของราเซียคลินแล้วล่ะก็... มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้ว” เขาตอบ เสียงเคร่งขรึม “ข้าไม่คิด ว่าท่านเอริออท พี่เจ้า จะมีความผิด..”
                  “เอริออทไม่ใช่พี่ข้า” นีเอลโพล่งขึ้น “พี่ข้าคือกอลโอล รัชทายาทอันดับ1แห่งอาณาจักรดรากูน  ไม่ใช่ฆาตรกรที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยอ้างนามของมังกรเทพ”
                  “เจ้าเรียกคนเหล่านั้นว่า ผู้บริสุทธิ์ งั้นเหรอ” เชนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ถึงใบหน้าจะซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ดวงตาสีทองนั้นแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น
                “ไม่มีมนุษย์คนไหนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มี ตราบใดที่พวกมันยังล่าเคลท์อย่างไร้สติ เพียงเพราะนิทานก่อนนอนบอกมันว่าเลือดและดวงตาของพวกเรานำชีวิตอมตะมาให้ พ่อแม่ข้าต้องตาย บ้านข้าถูกทำลาย ความสุขหายไปสิ้น พวกเราที่รอดมาได้ก็ต้องมีชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ เพียงเพราะมนุษย์หน้าโง่พวกนั้นหลงเชื่อเรื่องเล่าไร้สาระ  แล้วอย่างนี้เจ้ายังเรียกพวกมันว่าผู้บริสุทธิ์ได้อีกหรือ”
                เชนขึ้นเสียง ลืมตัวไปว่าเขาอยู่ในฐานะผู้คุ้มครองของเธอ หากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้านายแล้ว ห้ามโต้แย้งหรือขัดคำสั่งเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเจ้านายของเขาคือมังกร เผ่าพันธุ์เดียวในโลกนี้ที่เคลท์ทุกตนยอมก้มหัวให้อย่างเต็มใจ
นีเอลจ้องหน้าชายหนุ่ม ดวงตาสีแดงเพลิงดูแข็งกร้าว เธอเข้าใจถึงความลำบากของเชน ตัวเขาเองเกิดมาไม่เหมือนใคร แม้ว่าเขาจะมีทั้งคนรักใคร่บูชาและรังเกียจเหยียดหยาม แต่เชนในวัยเด็กก็มีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งราเซียคลินยื่นมือเข้ามาทำลายมัน 5ปีก่อนเชนสาบานไว้ สาบานต่อดวงวิญญาณของเคลท์ทุกตนที่ถูกมนุษย์สังหาร สาบาน ว่าเขาจะล่าล้างพวกมันให้สิ้น ไม่เว้นแม้แต่สายเลือดมังกรอย่างราเซีย-
คลิน
                “มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปซะทุกคนหรอกนะ” เด็กสาวพูดเสียงแผ่ว เธอพยายามทำใจให้เย็น โกรธไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เชนไม่เคยเปลี่ยนความคิด เขาเกลียดมนุษย์เข้ากระดูกดำ ช่างคงความคิดของเคลท์รุ่นเก่าไว้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์เสียจริงๆ
                เสียงร้องโหยหวนเบาลงเรื่อยๆจนเหลือเพียงความเงียบสงัด สายลมหยุดนิ่งและเมฆครึ้มเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมผืนฟ้าอีกครั้ง การล่าจบลงแล้ว
               
                “เจ้ารีบไปนอนซะเถอะ” เชนพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน “ถ้ากอลโอลกลับมาซะก่อนเจ้าจะเดือดร้อน”
........................................................................................................................................................................
    แสงนวลของดวงจันทร์ส่องผ่านบานประตูเข้ามายังห้องเล็กๆที่สร้างขึ้นจากหินสีขาวแข็งแกร่ง  ประตูสู่ระเบียงถูกเปิดอ้าทิ้งไว้  เงาสีดำของร่างมนุษย์ทอดยาวตัดกับพื้นหินขาวที่บัดนี้เรืองเป็นสีเหลืองนวล เสียงไวโอลินบรรเลงอยู่ท่ามกลางความสงบของค่ำคืน โหยหวนแต่ก็ไพเราะจับใจ ไม่ว่าจะโดยความบังเอิญหรือไม่ แต่ในเวลานี้ ณ ทุ่งร้างแห่งโอไรน ขลุ่ยเลาหนึ่งกำลังบรรเลงดนตรีไปพร้อมกัน ทุกตัวโน๊ต ทุกท่วงทำนอง
   
                “หากกอลโอลยังอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ คงจะตื่นมาฟังเพลงนี้แน่ๆ” นี่เป็นความคิดของเด็กสาวเจ้าของเสียงไวโอลิน มือของเธอเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและชำนาญเมื่อถึงช่วงเปลี่ยนจังหวะของเพลง มันคือบทเพลงที่องค์รัชทายาทอันดับ1แห่งดรากูนโปรดปรานเป็นที่สุด  สายลมเอื่อยๆโชยมาพัดกลิ่นหอมของดอกไม้จากเส้นผมสีทองของเธอให้กระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นที่ท่านเมทารอน เมื่อตอนยังมีพระชนม์ชีพ เคยชมนักชมหนาว่าหอมเหลือเกิน ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลกระพริบถี่ๆเมื่อนึกถึงองค์ราชาที่ล่วงลับ เธอรู้ว่าจะต้องไม่ร้องไห้ พ่อห้ามไว้ ไม่ให้ร้องไห้ให้กับท่านเมทารอน เพราะถ้าร้อง ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าท่านตาย
   
                เสียงไวโอลินชะงักกะทันหันเมื่อสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา จากบนผืนฟ้าที่ไร้เมฆ  เธอมองท้องฟ้าอย่างไม่พอใจ และเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อมองไปที่ปราสาท ปราสาทหินงดงามที่เคยเป็นบ้านของกอลโอล เพื่อนรักที่สุดของเธอ
   
                “เจ้าพวกบ้า” เด็กสาวบ่นพึมพำแล้วเก็บเครื่องดนตรีอย่างเร่งรีบ ไวโอลินสีดำมะเมื่อมถูกวางลงในกล่องไม้ทันเวลาพอดี เมื่อสายฝนเทลงมาจากฟ้า
   
                “เจ้าบ้าเอ้ย!” เด็กสาวตะโกนอย่างไม่พอใจใส่ปราสาท หวังจะให้คนที่อยู่ในนั้นได้ยิน “เรียกฝนทำไม เพิ่งจะถึงวันที่82ของหน้าร้อนแท้ๆ อีกตั้ง11วันถึงจะเข้าหน้าฝน เจ้าโง่!!!”
   
                เสียงฟ้าคำรามลั่นตอบกลับเธอ ดังกระหึ่มจนกลบเสียงของเด็กสาวจนหมด ฝนเทจั้กๆจนทุกอย่างดูพร่ามัว เด็กสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายฝนเย็นเยียบกระทบร่าง แต่ในใจของเธอกลับคุกรุ่นด้วยความโกรธ...
.........................................................................................................................................................................
    การล่าจบลงแล้ว ทุ่งหญ้าเวิ้งว้างดูว่างเปล่าและสงบเงียบอีกครา มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวผ่านยอดหญ้าราวกับเสียงครวญครางของวิญญาณผู้ที่ทอดกายนอนนิรันดร์ ณ  ทุ่งแห่งนี้
   
                เสียงฝีเท้าของม้าแผ่วเบาลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ากำลังควบจากไปไกล ปล่อยทิ้งไว้เพียงผืนหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
   
                และซากศพของกองทหารแห่งดรากูนเกือบ5000นาย...
   
                เขาควบม้าไปอย่างเลือนลอยท่ามกลางความมืด ไม่จำเป็นต้องบังคับเพราะม้ามันรู้ทางอยู่แล้ว สายลมโกรกผ่านเข้ามาทางช่องเล็กๆของหน้ากากสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนั้นให้ความรู้สึกเย็นสบายดีเหลือเกิน เขาตัดสินใจถอดมันออกแล้วเขวี้ยงทิ้งไปอย่างไม่แยแส อากาศอันหอมหวนยามค่ำคืนไหลเข้ามาในปอดเต็มที่ เขาสูดหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อขับไล่กลิ่นเลือดออกไปจากโสตประสาท และจากใจของเขา
   
                ที่สุดชายทุ่ง คือภูเขาอัคคาเรล แดนปราบมารที่น่าพรั่นพรึง เขาดึงม้าให้ลดความเร็วลงเมื่อต้นไม้ใหญ่เริ่มหนาตา  แลเห็นดวงไฟริบหรี่อยู่ไกลๆ เขาบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆไปทางนั้น เพื่อพบกับผู้ที่มารอรับเขา
   
   
                เชนหรี่ตามองไปในความมืด ในมือถือตะเกียงโลหะสีนาครูปร่างบางไว้อย่างระมัดระวัง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแต่ไกลก่อนที่ม้าสีดำเมื่อมตัวหนึ่งจะโผล่พ้นเนินขึ้นมา ผู้ที่อยู่บนหลังของมันถือเคียวยาวโง้ง แวบหนึ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นสีขาวราวกับกระดูก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ เขาก็เห็นว่ามันเป็นเคียวโลหะสีทองหม่น หม่นเพราะเพิ่งผ่านการใช้งานมาไม่นาน
   
                “เป็นไงบ้าง” ชายบนหลังม้าเอ่ยปากถามเมื่อชักม้าให้หยุดตรงหน้าพ่อมด เสียงของเขาทุ้มแต่ก็พอฟังออกว่ายังเป็นเด็กหนุ่ม
   
                “เรียบร้อยดี” พ่อมดตอบอย่างขรึมๆ ดูท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไร เขายื่นตะเกียงให้ชายที่เพิ่งลงมาจากหลังม้า ตัวเขาเองรับสายบังเหียนไปและเดินจูงม้าไปข้างๆ แสงตะเกียงริบหรี่แต่ก็พอที่จะส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าของผู้ถือ ใบหน้าคม ออกจะสวยคล้ายผู้หญิงด้วยซ้ำเว้นแต่รอยแผลเป็นใหญ่ที่พาดจากขมับขวาลงมาถึงกรามซ้ายที่ทำให้มันดูน่ากลัวขึ้น แววตาสีดำของเขาแม้จะแวววาวเหมือนเพิ่งผ่านเรื่องสนุกสุดๆมาแต่ก็ดูครุ่นคิด
   
                “เสียงดังมาถึงนี่...” เชนพูดขึ้นทำลายความเงียบ “กี่คนกัน”
   
                “ราว5000 ข้าไม่ได้นับให้แน่นอน” ฝ่ายตรงข้ามตอบอู้อี้เพราะใช้ปากคาบสายห้อยตะเกียงอยู่ มือ2ข้างกำลังรวบผมยาวดำให้เรียบร้อย
   
                “มนุษย์ทั้งหมด ?”
   
                “ใช่ มนุษย์ทั้งนั้น”
   
                “ดี” เชนตอบสั้นๆ รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นแวบหนึ่งบนใบหน้าหล่อเหลา ชายผมดำหันมามองเขา
   
                “เจ้านี่เกลียดมนุษย์ซะจริงๆ” ว่าพลางส่ายหัว เชนยิ้มน่ากลัวอีก
   
                “และเจ้าก็ช่วยฆ่าพวกมันให้ข้า” เขาเสริม “น่าเสียดาย ข้าควรจะไปด้วย”
   
                ชายผมดำเงียบไปอีก ท่าทางเขาวุ่นวายใจ
   
                “เจ้าเป็นอะไรไป” คราวนี้พ่อมดหนุ่มหันมามองชายผมดำ ที่ยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบผ่านดวงตา
   
                “ข้าทำเกินไปคราวนี้ ข้าปล่อยให้เขาออกมานานเกินไปหน่อย... เขาเกือบจะขังข้าไว้ได้แล้ว“
   
                “เอริออทไม่มีทางเหนือเจ้าได้” เชนตบบ่าเขาอย่างมั่นใจ “เจ้ามีหัวใจ มีสติ และมีพลังพอที่จะต่อต้านเขา ใช่ไหม กอลโอล”
   
                ‘กอลโอล’พยักหน้า ดูท่าทางสบายใจขึ้น เขาอ้าปากจะพูด
   
                “ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก เก็บคำพูดเจ้าไว้อธิบายกับนีเอลดีกว่าว่าเจ้าไปทำอะไรมา” เชนขัด “ถึงข้าจะชอบแต่น้องเจ้าคงไม่พอใจกับเรื่องคืนนี้นักหรอก ข้าว่า” เขาหัวเราะหึ ในขณะที่กอลโอลยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงว่ากลับบ้านไปแล้วจะเจออะไร
   
   
                ในห้องเล็กๆที่มืดมิด แสงจันทร์ลอดผ่านรอยแยกของหน้าต่างเกิดเป็นเส้นแสงบางบนพื้นไม้ แสงนี้ทอดผ่านเตียงเล็กๆหลังหนึ่ง บนเตียงนั้นมีเด็กหญิงนั่งกอดเข่านิ่ง ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียวแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว
   
                เสียงเปิดปิดประตูเบาๆดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน เด็กหญิงจึงขยับหัว หันมองไปทางประตูห้องที่กำลังเปิดออกช้าๆ
   
                “ปิดหน้าต่างทำไม อุดอู้แบบนี้เจ้าไม่ร้อนรึ” เสียงห้าวถามขึ้น พร้อมกับที่ร่างของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง แม้จะอยู่ในความมืดแต่เด็กหญิงก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน ผมสีขาวและดวงตาสีฟ้าใสนั้นทำให้เธอคลายความกลัวลงได้
   
                “พี่... พวกเขามาอีกแล้ว หนูได้ยินเสียง ” เด็กหญิงพูดขึ้นเบาๆราวกับว่ากลัวใครจะได้ยิน เชนนั่งลงที่ขอบเตียงและเอื้อมมือไปลูบหัวเธออย่างเบามือ ผมเส้นยาวละเอียด สีขาวราวกับหิมะลื่นไปตามมือของเขา ดวงตาสีฟ้าแบบเดียวกันจ้องเขาไม่วางตา เชนยิ้มแล้วก้มลงพูดกับเธอ
   
                “ไม่เป็นไร เลนก้า พวกเขาไม่มาหรอก ไม่มีใครมาหรอก ไม่มีใครมาทำอะไรน้องได้” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและอบอุ่น ต่างจากสำเนียงไร้อารมณ์ตามปกติอย่างเห็นได้ชัด
   
                “หนูได้ยินจริงๆนะ พวกเขาร้องขอชีวิต ไม่ใช่แค่ด้วยเสียง แต่ด้วยวิญญาณ มันดังมาถึงที่นี่ พวกเขาร้องให้หนูช่วยไม่หยุด จนตอนนี้พวกเขาก็ยังร้องอยู่”
   
                เลนก้าเอนตัวพิงพี่ชายที่โอบเธอไว้เบาๆ
   
                “ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่ นอนซะ พี่อยู่นี่แล้ว” เชนพึมพำ ลงมานั่งที่ข้างเตียง น้องสาวของเขาเอนตัวลงอีกครั้ง พลางเอื้อมมือมาจับมือของเขาแน่นแล้วหลับตาลง
   
                “พี่ร้องเพลงหน่อยสิ” เธอพึมพำ และยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆตอบกลับมา อย่างน้อยมันก็กลบเสียงโหยหวนพวกนั้นได้ เสียงคร่ำครวญจากดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกสังหารในค่ำคืนนี้
............................................................................................
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น