ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ปฏิบัติการปล้นหัวใจ...my beautiful love

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 49


    บทนำ…

    เสียงพูดคุยของผู้คนที่มีแต่จะพลุกพล่านมากขึ้นในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ทำให้ร่างแบบบางที่ยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ชำระเงินมีท่าทีลุกลี้ลุกลน มองคิวลูกค้าที่ต่อแถวรอยาวเหยียดไปถึงชั้นวางวางสินค้าด้านหลัง เด็กเล็กๆที่มากับพ่อแม่วิ่งวุ่นไปมาราวกับว่าตลาดสดติดแอร์แห่งนี้เป็นสนามเด็กเล่นก็ไม่ปาน

    “เอ่อ…ขอโทษทีนะคะ พอดีว่าสินค้าชิ้นนี้ไม่มีป้ายราคา ถ้ายังไงรบกวนคุณรอสักครู่นะคะ เราจะไปเปลี่ยนอันมาให้” แคชเชียร์สาวหน้าใสเอ่ยกับผู้มีอุปการะคุณอย่างสุภาพ ถึงแม้ลูกค้าสาวสวยรายนี้จะมีอายุมากกว่าหล่อนไม่กี่ปีก็ตาม

    “เร็วๆเข้าสิ ฉันรีบ” ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่ใจเย็นตามคำพูดที่แสนอ่อนน้อมนั่นเลยสักนิด

    ริมฝีปากบางของเจ้าหล่อนเหยียดตรงบ่งบอกอารมณ์และความเอาแต่ใจในที กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงต้องทำใจดีสู้แม่เสือไปก่อน…Customer is the King !!!

    เอมมิตาตัดปัญหาด้วยการหันไปใช้ ‘นา’ เด็กสาวรุ่นน้องที่ทำหน้าที่แพ็คสินค้าใส่ถุง ให้วิ่งเอาของชิ้นนั้นไปเปลี่ยนเอาชิ้นที่มีบาร์โค้ดมา แสร้งทำไม่สนใจเสียงฮึดฮัดของ ‘พระเจ้า’ ที่ยืนหน้าง้ำอยู่ตรงนั้น ลูกค้าหลายคนที่รอต่อคิวเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ ในเวลาใกล้พบค่ำเช่นนี้ แทบทุกชีวิตล้วนแต่เพิ่งเลิกจากการทำงาน การที่ต้องมายืนรออย่างไม่มีทางเลือกเช่นนี้จึงทำให้หงุดหงิดกันไม่น้อย

    ราวสองนาทีให้หลังปวีนาวิ่งกลับมาที่เคาท์เตอร์อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของสาวน้อยจืดเจื่อนด้วยรู้ดีว่า ลูกค้าสาวแสนเอาแต่ใจคนนี้ ‘ไม่ธรรมดา’ อย่างที่คิด แต่เมื่อพยายามไปควานหาสินค้าบนชั้นแล้วพบว่ามันหมดเกลี้ยงจริงๆ จึงได้แต่ภาวนาถึงคุณพระคุณเจ้าขอให้ท่านช่วยเท่านั้น

    “พี่อิ๋นๆ…นี่มันชิ้นสุดท้ายแล้วอ่ะ เอาไงดี”

    “เอ่อ…คุณคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ถ้ายังไงขออนุญาตคิดเงินแค่นี้ก่อนนะคะ สินค้าชิ้นนี้ไม่มีป้ายบอกราคาจริงๆค่ะ” เอมมิตา หรือ อิ๋น หันไปบอกลูกค้าที่ยืนหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง แต่กลับถูกอีกฝ่ายวีนใส่ทันที

    “หมายความว่ายังไงยะหล่อน แบบนี้มันเหมือนไล่กันชัดๆเลยนี่ ฉันจะซื้อแล้วหล่อนมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันยะ !”

    “เอ่อ คือว่า…ดิฉันไม่ได้ห้ามนะคะ เพียงแต่…ยังมีลูกค้าอีกหลายท่านที่ต่อคิวชำระเงินอยู่” คนพูดชำเลืองตามองคนที่มาเข้าคิวคิดเงินจนแถวยาวเหยียด

    “ก็ช่างพวกนั้นสิ ! ถ้ารีบนักก็ไปคิดเงินที่ช่องอื่นโน้น !” เจ้าหล่อนวีนต่อจนคนที่ใจเย็นมานานเริ่มกำหมัดแน่น

    “ถ้าอย่างงั้นรบกวนคุณรออีกสักครู่ใหญ่ๆนะคะ เราจะรีบเช็คราคาสินค้าให้เร็วที่สุดเลยค่ะ” เอมมิตาเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่ดูเหมือนไร้ผล นอกจากจะไม่ฟังแล้ว ‘เจ้าแม่’ ยังของขึ้นหนักกว่าเก่าอีกด้วย

    “ว่าไงนะ ! นี่หล่อนยังทำฉันเสียเวลาไม่พอใช่ไหม รู้หรือเปล่าว่าฉันกับเจ้าของห้างนี้เกี่ยวข้องกันยังไง ทำตัวแบบนี้มันน่าเฉดหัวออกจากห้างนัก !”

    หมดกัน…ความอดทนที่สั่งสมมานานถึงเวลาระเบิดออกมาเป็นเปลวเพลิงแห่งความคับแค้นแล้ว เอมมิตาไม่ใช่คนที่กระด้างขนาดยอมอดตายแล้วนอนกินศักดิ์ศรีอยู่ที่บ้าน หากแต่หล่อนก็ไม่ใช่คนที่จะก้มหัวให้ใครง่ายๆเช่นกัน

    “เออ ก็เอาสิ อยากจะรู้นักเชียวว่าหน้าตาผู้ดีผีเน่าอย่างเธอน่ะจะเป็นญาติฝ่ายไหนของเจ้านายฉัน !” แคชเชียร์สาวกระแทกของในมือลงบนเคาท์เตอร์ จ้องหน้าอีกฝ่ายที่ยืนกรี้ดอย่างเอาเรื่อง งานนี้ถ้ารู้ถึงหู ‘เบื้องบน’ แล้วเกิดไม่พอใจจะไล่หล่อนออก ก็คงว่าอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพูดคำว่า ‘ไอ้พวกไร้มันสมอง !!!’

    ไม่นานหลังจากนั้นเอมมิตาก็มานั่งหลับตาปี๋อยู่ชั้นบนสุดของตึกห้างสรรพสินค้า พยายามจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแต่ยากเย็นเต็มที ยัยผู้หญิงหน้าสวยปากร้ายคนนั้นหายเข้าไปในห้องของท่านประธานนานเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่กลับออกมาเลย…ท่านประธานที่ถึงแม้หล่อนจะไม่เคยพบหน้ามาก่อนแต่ก็พอเดาได้ว่าจะต้องตัวอ้วน ไว้หนวดเคราครึ้ม หน้าตาดุดัน มีเขี้ยวแหลมคมเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่พร้อมจะตะครุบกินเหยื่อตัวน้อยๆอย่างหล่อนทุกเมื่อ ยิ่งได้ยินแม่ตัวร้ายนั่นพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินนวยนาดเข้าห้องไปแล้วยิ่งใจคอไม่ดี

    หล่อนว่าหล่อนเป็นคู่ควงคนล่าสุดของท่านประธาน !!!




    แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว หากแต่ยังมีคนขยันอีกหลายคนที่ยังไม่ยอมกลับบ้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นพวกหนุ่มโสดสาวซิงที่ยังไม่มีครอบครัว จึงอยู่รับค่าโอทีต่อไปอย่างเต็มใจ

    เสียงประตูห้องตรงหน้าเปิดออกอีกครั้งตามด้วยร่างสูงเพรียวของนางมารร้ายก้าวออกมาอย่างมาดมั่น คนนั่งรออยู่หน้าห้องลุกพรวดขึ้น มือบางปาดเหงื่อที่หน้าผากอย่างลวกๆพร้อมกับพยายามบังคับหัวใจตัวเองไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป ตอนก่อนจะขึ้นมายังไม่นึกหวั่น แต่ไหงกลับกลัวหัวหดได้ขนาดนี้

    “ถึงตาเธอแล้วยัยหน้าจืด !” เอมมิตายังคงจ้องตอบอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร แล้วในที่สุดก็รวบรวมพลังทั้งหมดยกขาที่หนักอึ้งให้ก้าวเดินต่อไปได้สำเร็จ

    บรรยากาศภายในห้องท่านประธานแม้ไม่อึมครึมขนาดที่คาดไว้ ทว่ามันก็ไม่ได้สดใสจนหล่อนหายใจหายคอได้สะดวกหรอกนะ

    “เอมมิตา…เธอใช่ไหม” คนที่นั่งอยู่ในห้องเอ่ยถาม หญิงสาวยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาเพราะอีกฝ่ายนั่งหันหลังให้โดยมีพนักเก้าอี้บังไว้จนเกือบมิด…หากเสียงนั้นทุ้มต่ำ ดูมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก

    “ค…คะ…ค่ะ” กว่าจะตอบออกไปได้ลมแทบจับ หญิงสาวอาศัยความรวดเร็วเอื้อมแขนไปดึงกระดาษทิชชู่บนโต๊ะของท่านประธานมาอย่างรวดเร็ว…ไม่ถึงนาทีทั้งกระดาษทั้งมือคนก็ชุ่มไปด้วยน้ำเหงื่อ

    “รู้หรือเปล่าว่างานบริการอย่างพวกเรา ลูกค้าคือพระเจ้า”

    “ระ…รู้… เอ้ย ! ทราบค่ะ” เสียงใสตอบตะกุกตะกักคล้ายคนหยุดหายใจเป็นช่วงๆ

    “แล้วไง ปากบอกว่าทราบแล้ว แต่เธอก็ยังทำฉันขายหน้า จะรับผิดชอบยังไงดีกับความผิดนี้”

    “………..” ที่คิดมาว่าจะอธิบายพอเอาเข้าจริงๆกลับพูดอะไรไม่ออกสักแอะ หญิงสาวก้มหน้านิ่งยอมรับชะตากรรม

    “ที่เงียบนี่หมายความว่าเธอยอมรับผิด และพร้อมที่จะรับโทษใช่ไหม”

    “เปล่าค่ะ ! ฉันยอมรับชะตากรรมแต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันยอมรับผิด นังมารร้าย เอ๊ย ! ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เป็นคนผิด ไม่เชื่อคุณจะลองถามใครดูก็ได้”

    เก้าอี้ทำงานราคาสูงลิ่วหมุนกลับมาทันที เผยให้เห็นดวงหน้าคมคาย เครื่องหน้าทุกชิ้นรับกันอย่างเหกมาะเจาะ จนหล่อนเผลอคิดว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นภาพวาดเสียมารกกว่าจะมีชีวิตและลมหายใจจริงๆ ริมฝีปากหยักลึกของท่านประธานยกขึ้นเล็กน้อยอย่างขันๆ ทว่าดวงตาพราวยังคงมีแววเฉียบขาดแบบที่ทำให้คนมองต้องรีบหลบวูบ

    นี่น่ะหรือผู้บริหาร…ไม่เหมือนกับที่หล่อนนึกภาพเอาไว้สักอย่าง

    “ถ้าคุณจะไล่ฉันออกก็ได้ค่ะ แต่ขอให้การสอบสวนมันโปร่งใสกว่านี้หน่อยจะได้ไหมคะ” เรียกสติคืนกลับมาได้ หล่อนก็เริ่มแจกแจงอีกครั้ง…หวังว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้มีดีเพียงแค่ ‘รูปลักษณ์’ ภายนอกหรอกนะ

    “โปร่งใสงั้นหรอ ? หมายความว่ายังไง ?” ทว่าเขากลับแสร้งตีหน้าเซ่อ ทำเป็นไม่เข้าใจความนัยที่หล่อนต้องการบอก…เอมมิตาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นอย่างลืมตัว…เป็นคู่ควงกันก็ต้องเข้าข้างกันวันยันค่ำสินะ !!!

    “ก็หมายความว่าการที่นางมารร้ายคนนั้นเป็นคู่ควงของคุณ มันทำให้ฉันเสียเปรียบ…ให้ตายสิ ! ฉันจะบอกอะไรให้นะคะท่านประธานใหญ่ ถ้าคุณไม่รีบเปลี่ยนคู่ควงโดยด่วน รับรองได้เลยว่าจะต้องมีพนักงานของห้างลาออกไปเพราะแม่นั่นอีกหลายร้อยคน” หญิงสาวร่ายยาวเหยียดด้วยความคับแค้นจนไม่ทันสังเกตรอยยิ้มบางๆของอีกฝ่าย

    “ขนาดนั้นเชียว ?”

    “ก็คอยดูกันต่อไปสิคะ” ใช่ว่าไม่รู้ตัวหรอกนะ หากแต่ถ้ายังต้องทำงานอยู่ภายใต้อำนาจของคนอยุติธรรมอย่างเขา หล่อนจะมีความสุขได้ยังไง ถ้ายังยอมก้มหัวให้ จะมีเหตุการณ์แบบเมื่อเย็นเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งกัน !!!

    “เอาล่ะๆ…ถ้างั้นเธอว่าฉันควรจะทำยังไงดี หรือว่าฉันควรจะเลิกกับมิลาแล้วหันมาควงสาวปากมากแบบเธอแทน” เขายิ้มกวนทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนกว่าวัยลงมาอีก แน่นอนว่าหล่อนได้ยินเต็มสองรูหูและเข้าใจแจ่มแจ้ง…เขาถามว่าเขาควรจะ ‘เลิก’ กับแม่นั่นไหม ก็เท่ากับยอมรับว่าคบกันอยู่นั่นแหละ

    “นี่ ! ช่วยให้เกียรติกันหน่อยนะคุณ จะลงโทษ จะตัดเงินเดือนหรือจะไล่ฉันออกก็ว่ามา ฉันไม่ใช่ไก่อ่อนให้ใครมาปั่นหัวง่ายๆหรอกนะ”

    “มิลาต้องการให้ฉันไล่เธอออกจากงาน” เขาบอกเสียงเรียบ ยังไม่เก็บรอยยิ้มที่แขวนไว้บนมุมปากทั้งสอง

    “ถ้างั้นก็ไล่สิคะ ไม่เห็นยาก” หญิงสาวทำปากเก่งทั้งที่ในใจแทบอยากจะบ้า… ไล่ออกงั้นหรอ ?! จะบ้าหรือเปล่า ? นี่ฉันเพิ่งเรียนจบมานะยะ คิดว่าวุฒิปริญญาตรีสมัยนี้มันหางานกันง่ายๆหรือไง ไอ้พวกคาบช้อนทองออกมาจากท้องแม่จะไปเข้าใจอะไร !?

    “ลาออก…แล้วมาเป็นคู่ควงคนใหม่ของฉันดีไหม” ชายหนุ่มถาม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาพอมองออกว่าเอมมิตาไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะล้อเล่นด้วยได้โดยเฉพาะเรื่องของศักดิ์ศรี แต่ยิ่งเห็นท่าทางโกรธของหล่อนเขาก็ยิ่งอยากยั่ว อยากจะรู้นักว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงจะดิ้นรนเพื่อลบคำสบประมาทเหล่านี้ได้ยังไง

    แล้วก็ดูเหมือนจะจี้ถูกจุด ตากลมโตเบิกกว้างกว่าเดิมอย่างคาดไม่ถึง ความกังวลว่าจะต้องออกไปเดินเตะฝุ่นหางานใหม่มลายหายไปทันที กับบางเรื่องก็ต้อง ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’ ถึงจะอยู่ได้อย่างมีคุณค่า !

    “ฝันไปเถอะ ! คิดว่าใครเขาจะตาต่ำเหมือนยัยมิลาอะไรนั่นหรือไง เชิญคุณสองคนไปท่องนรกด้วยกันตามสบายเถอะ…วันนี้ถึงไม่ไล่ฉันก็จะขอลาออกเอง !” เจ้าของร่างบางทุบกำปั้นลงบนโต๊ะก่อนจะผลุนผลันออกจากห้องไป

    ทันทีที่หญิงสาวเดินออกจากห้องมา ตัวปัญหาก็เสนอหน้ามาหาเรื่องต่อทันที

    “ไงยะ ? โดนด่ามาล่ะสิ เอ…หรือว่าพัทธ์เขาจะไล่เธอออกแล้ว เอมมิตาก้มหน้ากำหมัดแน่นพยายามระงับอารมณ์ หล่อนไม่อยากจะมีเรื่องเพราะรู้ดีว่าถ้าความอดทนมันถึงขีดสุด ไม่หล่อนก็แม่ดอกหน้าวัวนี่ต้องตายกันไปข้างนึงแน่ๆ !

    “ตายล่ะ ! เงียบแบบนี้…เธอถูกไล่ออกแล้วแน่ๆ พัทธ์นี่น่ารักจริงๆเลย เอาใจมิลาไปหมดทุกอย่าง นี่…ถึงเธอจะถูกไล่ออกก็ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยากทำงานจริงๆไปเป็นเด็กล้างส้วมบ้านฉันก็ได้” มิลาหัวเราะร่าเหมือนคนเสียสติ ส่วนคนที่เก็บกดอดทนมานานก็เหมือนกับมีใครเอาค้อนมาทุบปรอทให้แตก…ได้เวลาสะสางความแค้นอีกครั้งแล้ว !

    “ล้างส้วมงั้นหรอ ? ได้…แต่ก่อนอื่นฉันขอล้างปากแกก่อนแล้วกันนังมิลาหมาบ้า !”

    พลั่ก ! เสียงกำปั้นเล็กแต่เต็มไปด้วยแรงแค้นกระทบกับปากแดงแจ๋ของคู่กรณีสาว

    “กรี๊ดดดดดดด ! แก….เลือด ว้าาาาาย ช่วยด้วย ! นังนี่มันต่อยฉันเลือดออก พัทธ์ขาาาา พัทธ์ช่วยมิลาด้วย !” เสียงโหวกเหวกทำเอาพนักงานหลายคนที่ยังไม่กลับบ้านวิ่งมามุงดู

    “จำเอาไว้นะ อย่ามายุ่งกับฉันอีก คนอย่างพวกแก ต่อให้อยู่บนที่สูงยังไง จิตใจมันก็ต่ำอยู่ดีนั่นแหละ” พูดจบร่างบางก็เดินฝ่าวงล้อมของฝูงไทยมุงออกไปอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว

    ถ้าจะพูดถึงความสะใจมันก็สะใจอยู่ แต่ถ้าจะพูดถึงอนาคตในวันรุ่งขึ้นมันกลับมืดมนจนหล่อนอยากจะร้องไห้…ลำพังแค่ดั้นด้นหาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรีหล่อนก็แทบกระอักเลือดตายอยู่แล้ว ผลการเรียนแบบถูไถนั่นมันไม่ต่างจากเศษกระดาษเลย…คนโง่ๆ ใครเค้าอยากจะรับเข้าไปทำงานกันเล่า !!!

    ร่างบางเดินลงส้นเท้าออกจากลิฟท์หลังจากหลบออกไปนั่งร้องไห้เงียบๆตรงลานจอดรถเพียงคนเดียวจนใกล้เวลาห้างปิด ใบหน้าสวยนั้นมันเยิ้มกับดวงตาแดงช้ำเป็นผลมาจากความตึงเครียดของเจ้าตัว รู้ดีว่าไม่มีแรงจะลากสังขารขึ้นไปบนรถเมล์แน่ๆ เลยจำใจต้องควักเนื้อจ่ายค่าแท็กซี่กลับบ้านสักวัน เอมมิตาเดินตรงดิ่งออกไปหน้าห้าง มือบางเอื้อมไปหมายจะเปิดประตูรถแท็กซี่มิเตอร์ที่จอดรอรับผู้โดยสารอยู่ แต่แล้วกลับมีอีกมือ ที่เธอคิดว่ามันเป็น ‘มือมาร’ มาขัดขวางเสียก่อน

    ไร้เสียงโต้แย้ง มีเพียงการยื้อยุดฉุดกระชากประตูรถของคนทั้งสอง เนื่องด้วยเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า หนำซ้ำไฟหน้าห้างสรรพสินค้ายังถูกไล่ปิดเกือบหมด เหลือเพียงแสงสลัวบริเวณป้ายรถประจำทางเท่านั้น หล่อนจึงไม่มีโอกาสได้เพ่งมองหน้า ‘คู่กรณีหนุ่ม’ ชัดๆ

    “ปล่อยสิ !” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดสร้างความโมโหให้หญิงสาวอีกรอบ หล่อนเป็นฝ่ายมาถึงรถก่อน หนำซ้ำรถคันอื่นก็ยังมี ทำไมถึงไม่ไปขึ้น จะต้องมาแย่งกับผู้หญิงแบบนี้ให้ดูน่าสมเพชทำไมกัน !? หากยังไม่ทันที่จะมองหน้าหรือตะโกนด่าเขา อารมณ์ขุ่นมัวที่คั่งค้างก็บัญชามือเจ้ากรรมให้ทำเรื่อง

    “หน็อย ! ปล่อยงั้นหรอ…” เอมมิตายกมือขึ้นผลักศีรษะของอีกฝ่ายจากด้านหลังมาข้างหน้า หมายจะให้หน้าผากเขากระแทกกับหลังคารถ แต่คนถูกทำร้ายตัวสูงเกินไป จึงเพียงแค่ปล่อยมือออกจากประตูรถด้วยความตกใจเท่านั้น หล่อนสำทับด้วยการดันร่างสูงของเขาออกไปอีกครั้งเพื่อที่จะได้ขึ้นรถเสียที ทว่าพื้นที่เป็นขั้นบันไดหน้าห้างนั้นกลับทำให้ร่างสูงล้มลงไปไม่เป็นท่า ศีรษะกระแทกเข้ากับกันชนท้ายรถอย่างจัง

    “คัทๆๆๆ ! เฮ้ย ! รีบไปดูเร็ว พระเอกเป็นอะไรหรือเปล่า” จบเสียงตะโกนนั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เอมมิตายืนตัวแข็งทื่อ ขณะมองช่างไฟคนหนึ่งถือไฟฉายส่องหน้าคนเจ็บ ของเหลวสีแดงซึมออกมาตรงมุมหน้าผากขวาเหมือนอย่างที่คนทำหวังจะให้เป็นในตอนแรก…ทว่าตอนนี้เจ้าของร่างบางกลับยืนหน้าซีดเผือด นอกจากไม่รู้สึกสะใจแล้วยังเผลอขยี้ตาก่อนจะเรียกชื่อคนเจ็บเสียงหลง

    “ป…ปะ…ปฏิภูมิ !”

    นับว่าเป็นโชคดีที่ นักแสดง-นักร้องหนุ่มชื่อดังคนนี้ ไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นสลบไป หากแต่มันก็เป็นเรื่องที่ ‘ซวย’ สุดๆของวันนี้แล้ว…ปฏิภูมิ ชินไพศาล เป็นพระเอกในดวงใจของหล่อน เอมมิตาคลั่งไคล้เขาถึงขนาดไม่ยอมพลาดผลงานของเขาเลยสักชิ้น เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ในขณะที่เขายังคงมีสติจำหน้าหล่อนได้…เอมมิตาถึงได้รู้ว่าตัวเอง ‘งี่เง่า’ เหลือเกินจริงๆ !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×