คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ
พิศวาส
ความรู้สึกรักใคร่ สิเน่หา ปรารถนาที่จะได้ครอบครองเป็นของตนทั้งกายใจ
ฆาตกรรม
สังหาร ปลิดชีพลงด้วยหลากหลายกลวิธีแตกต่างกัน มีเหตุผลนานับประการที่
คอยปลุกเร้าให้กระทำการ
คำแรกนุ่มนวลอ่อนหวาน คำสองผิดศีลธรรมต่ำช้า
สองคำ สองความหมาย เพ่งพิศ สดับฟังคราวใด รู้ซึ้งได้ถึงความขัดแย้ง แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
แต่หากในความ ‘พิศวาส’ ของใครบางคน เร้นเอาไว้ซึ่งประสงค์ร้าย
ทุกสิ่งจักวิบัติ วอดวายตายตกไปตามกัน
รักพิสุทธิ์เท่านั้น จะเยียวยาบาดแผล และยุติความพินาศได้
บทนำ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลา ดวงตากลมโตสีนิลจดจ้องโลงศพที่ตั้งตรงหน้าราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงร่างของผู้ที่นอนอยู่ในหีบใบสวยนั้น
“พี่ดาว พี่จะไปที่นั่นตามที่แม่ขอร้องหรือเปล่า” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างๆตัว หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นน้องชายนิ่งนาน ก่อนจะหันกลับไปมองรูปของคนตายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ทุกสิ่งอย่างบอกว่าแม่พูด ‘ความจริง’ เสมอ หากแต่ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆกำลังสับสนหนักหนา ถ้าหล่อนเลือกจะทำตามคำขอร้องของผู้เป็นแม่ นั่นก็เท่ากับกำลังเดินเข้าไปสู่อุโมงค์มืดทึบ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทางข้างหน้าจะทึบตันหรือจะพาหล่อนไปพบแสงสว่างเจิดจ้า
แล้วหล่อนจะไม่ขาดอากาศหายใจตายในความมืดนั้นเสียก่อนหรือ ?
ตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวง บนชั้น 15 มีพื้นที่สามคูหาถูกเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานของสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ร่างสูงเพรียวสมส่วนก้าวลงจากรถคันโปรด หยุดยืนนิ่งราวกับกำลังตัดสินใจจะทำสิ่งยิ่งใหญ่
อย่าคิดให้กลุ้ม กับเรื่องที่ไม่มีทางให้ ‘เลือก’
“อ้าวดาว ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้” สุนิสาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการเอ่ยทักคนที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“พอดีจะเข้ามาคุยกับ บก. หน่อย อยู่หรือเปล่าสา”
“เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อสิบนาทีนี่เอง ลองโทรเข้ามือถือดูสิ”
“ถ้างั้นไม่ต้องหรอก ฝากบอกด้วยแล้วกันว่าเรามาหา ถ้ายังไงให้ติดต่อหาเราภายในสองวันนี้ ขอบใจนะสา” พูดจบคนที่เพิ่งมาถึงก็เดินออกไปทันที ไม่สนใจรอยยิ้มและเสียงทักทายจากพนักงานคนอื่นๆในออฟฟิศ
สุนิสามองตามร่างสูงเพรียวนั้นออกไป ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ผู้หญิงคนนั้นมีหลายบุคลิกที่ยากจะเดาได้ หล่อนเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ในความสดใสมีชีวิตชีวานั่นดูเหมือนจะมีความเงียบขรึมหยั่งรากฝังลึกอยู่ด้วยเช่นกัน ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจสภาพแวดล้อมและความกดดันรอบกาย ผู้หญิงที่เป็นผู้ฟังที่ดี บางครั้งสุขุม เย็นเยือกดุจดั่งน้ำแข็งขั้วโลก แต่ในบางครั้งก็ลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาสสารรอบกายให้วอดเป็นจุล
ผู้หญิงที่ชื่อ ดาวล้อม เดือนรัก
ใช้เวลาขับรถจากสำนักงานราวยี่สิบนาทีดาวล้อมก็เดินทางมาถึงวัด หล่อนเดินเข้ามานั่งในศาลาเงียบๆหลังจากสัปเหร่อสูงวัยจัดการไขกุญแจเปิดให้ นับจากวันที่
‘ดาหวัน เดือนรัก’ ผู้เป็นแม่จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก คนเป็นลูกสาวก็เอาแต่มานั่งมองรูปหน้าศพนั้นอยู่เงียบๆ แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างมาตลอดสองสัปดาห์เต็ม ถึงตอนนี้กลับเรียบเฉยและฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ดาวจะไปจ้ะแม่ ดาวจะไปที่นั่น”
อีกนานนับชั่วโมงที่ดาวล้อมไม่กระดิกตัวลุกไปไหน หญิงสาวตระหนักดีว่าหลังจากวันนี้ไป คงอีกนานแรมเดือนกว่าที่หล่อนจะกลับมาเคารพศพของมารดาอีกครั้ง
‘แม่อยากให้ดาวไปที่เกาะนั่น แม่จะบอกเส้นทางให้ ก่อนที่จะเผาศพของแม่ ดาวช่วยเอาของสองอย่างนั้นกลับมาให้แม่ทีนะลูก ไปที่นั่นนะลูก ไปตามสัญญานะลูก’ เสียงอ้อนวอนนั้นสั่นเครือและฟังดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย แม้ไม่น่าจดจำหากมันยังคงดังซ้ำไปมาในทุกห้วงความคิดของคนฟัง
‘อะไรคะแม่’ ดาวล้อมปาดน้ำตา ทว่าในเนื้อเสียงไม่มีแม้ร่องรอยสะอื้น หล่อนยังคงยืนนิ่งทอดสายตามองคนเจ็บอย่างใจเย็น การร้องไห้ฟูมฟายในยามที่ทุกอย่างดูจะสายไปแบบนี้ รังแต่จะทำให้ความต้องการสุดท้ายของคนเจ็บสูญค่าไปเปล่าๆ หล่อนต้องการที่จะสดับความปรารถนาของหญิงอันเป็นที่รักอย่างตั้งใจที่สุด
‘แหวน แหวนเงินที่สลักชื่อของแม่กับรูปถ่ายใบนั้น รูปของแม่กับคุณอดุลย์’
‘ใครกันคะ’
‘ผู้ชายที่แม่รัก’
‘พ่อ ?’ หญิงสาวทวนคำเสียงสูงถึงผู้ชายที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ
‘ ..’ คนป่วยทำได้เพียงกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เหมือนว่าถ้าหล่อนปริปากบอกอะไรลูกสาวมากไปกว่านี้ มันจะทำให้หล่อนจากโลกนี้ไปอย่างไร้ความสุข
ดาวล้อมหยุดความสงสัยไว้ที่ริมฝีปาก คิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่หล่อนจะซักไซ้ไล่เรียงจากคนป่วยอีก คนเราทุกคนย่อมอยากจะตายไปพร้อมความลับของตัวเองทั้งนั้น ย่อมอยากจะจากโลกนี้ไปโดยปราศจากเรื่องโกหก ทั้งจากปากของตนเองและผู้อื่น
‘ไปที่นั่นนะลูก ไปหาคุณอดุลย์ บอกว่าแม่ตายแล้ว’ นางพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดินสอและกระดาษขาวที่หัวเตียง ลงมือเขียนแผนที่ด้วยความยากลำบาก
‘มือแม่สั่นไปหมดแล้ว พอเถอะจ้ะ เดี๋ยวดาวจะไปหาซื้อแผนที่มาเอง’
‘ไม่มีหรอกลูก ไม่มีแผนที่เล่มไหนที่จะพาลูกไปที่นั่นได้ นอกจากแผนที่ของแม่ แล้วก็ชื่อของคุณอดุลย์’
ดาวล้อมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มหลังจากนั่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หญิงสาวก้มลงกราบศพแม่เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หล่อนจะออกเดินทางแต่เช้า
“อวยพรให้ดาวด้วยนะแม่ ถ้าหาของเจอแล้วดาวจะรีบกลับมา ดาวจะเผามันไปพร้อมๆกับร่างของแม่ อย่างที่แม่ต้องการ แม่จะได้มีความสุขเสียที”
‘จันทร์ ’ น้ำเสียงแหบแห้งแห่งคำสั่งเสียสุดท้ายในวันนั้นผุดเข้ามาในความคิดของหล่อนอีกครั้ง มันบ่งบอกถึงความกังวลของคนเจ็บจนดาวล้อมต้องบีบมือผู้เป็นแม่แน่นๆ หล่อนพยายามจับจ้องริมฝีปากแห้งผากสีซีดของคนบนเตียง เพื่อจับใจความให้ได้ หากแต่คนเราไม่อาจต่อรองเวลาให้แก่ชีวิตของตนเองแม้เพียงเสี้ยววินาที มือหยาบกร้านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครึ่งศตวรรษหลุดร่วงลงข้างกาย ลมหายใจสุดท้ายชะงักหมดลงก่อนที่จะทันได้เอ่ยจนจบประโยค มีเพียงเสียงหวีดร้องจากเครื่องมือบนหัวเตียง ราวกับมีดปักลงกลางหัวใจของคนอีกสองคนที่ยังมีลมหายใจอยู่
เดือนเด่นผู้เป็นลูกชายคนเล็กในวันนั้น วิ่งเข้าไปเขย่าร่างของผู้เป็นแม่จนตัวเองถึงกับหมดสติไป หากแต่ดาวล้อมผู้เป็นพี่สาวกลับยังทนแข็งใจ หล่อนจะเป็นอะไรไปอีกคนไม่ได้เด็ดขาด !
ดูเหมือนแม่จะนึกอะไรออกบางอย่าง และคงเป็นสิ่งสำคัญเสียด้วย ถึงได้พยายามยื้อชีวิตตัวเองกับมัจจุราชด้วยสีหน้าทรมานเช่นนั้น
จันทร์ ชื่อคนอย่างนั้นหรือ ?
แม่หมายถึงใครกัน ?
ดาวล้อมรำลึกไว้เสมอ แม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตแม้หล่อนไม่เคยปริปากพูดคำหวานเพื่อประจบเอาใจ แต่ในเมื่อของสองสิ่งนั่นสำคัญต่อชีวิตของแม่เช่นกัน ถึงอันตรายขนาดไหนหล่อนเองก็พร้อมจะทำ
สิ่งสุดท้ายเท่านั้น เพื่อผู้หญิงที่ตรากตรำเลี้ยงดูหล่อนกับน้องมาโดยลำพังจนเติบใหญ่ ให้ความรักความอบอุ่นทั้งในฐานะบุพการีทั้งสองและเพื่อนสนิท
‘เกาะ เนิน ห้องลับ’ ร่างบางเพ่งมองตัวหนังสือขยุกขยุยของคนที่ตายไปแล้ว ราวกับจะจดจำมันให้ขึ้นใจก่อนที่จะออกเดินทาง
สายลมวูบไหวรุนแรงที่พัดผ่านร่างแบบบาง ราวกับจะส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้แก้เจ้าของร่างได้รับรู้ ทันทีที่ย่างเท้าพ้นประตูหน้าวัด ดาวล้อมถึงกับต้องผงะถอยหลังกลับเข้ามาในวัดทันที ขณะที่กระดาษสีขาวในมือถูกพัดพาหายไปในกลุ่มธุลีที่หมุนวนกันกลางอากาศ
ดาวล้อมพยายามไขว่คว้าทว่าฝุ่นละเอียดยิบเหล่านั้น ทำให้เปลือกตาของหล่อนต้องปิดลงโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอวัยวะภายในที่แสนบอบบางอย่างดวงตาเอาไว้
เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนถีบรถสามล้อรับจ้างสามสี่คนยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส แม่ค้าหาบเร่ยังคงนั่งโบกพัดที่ทำจากลังกระดาษเข้าหาตัวเองเพื่อดับความร้อนรุ่มของยามบ่าย เม็ดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากและปลายจมูกของคนเก็บของเก่าที่เข็นรถเดินผ่านมา ทั้งที่สายลมเมื่อครู่ที่ดาวล้อมสัมผัส รุนแรงจนแทบจะกวาดต้อนเอาทุกสิ่งให้หลุดลอยไปได้อยู่แล้ว
แต่ทุกคนทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หญิงสาวเลิกคิ้วมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น หรือมีเพียงตัวหล่อนเท่านั้นที่สัมผัสแรงลมกรรโชกเมื่อครู่นี้ได้ ครั้นพอฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนอยู่ต่อหน้าสงบลง หญิงสาวถึงได้ปิดเปลือกตาพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะถามตัวเองอีกครั้งพร้อมแรงสั่นสะท้านที่ล้นเอ่อออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เธอจะไปที่นั่นแน่หรือดาวล้อม
รถเก๋งคันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก ทว่าในความคับแคบนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวยังคงตลบอบอวลไปทั่วทุกอาณาบริเวณ
ดาวล้อมยิ้มน้อยๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองซุ้มเฟื่องฟ้าที่เลื้อยอยู่บนหลังคาบ้าน เลยขึ้นไปเป็นระเบียงห้องนอนของแม่ มันเก่าทรุดโทรมแต่ก็สะอาดสะอ้านราวกับผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงมีชีวิตอยู่ กระถางเปเปอร์โรเมียและเฟิร์นข้าหลวงตั้งสับหว่างกันไปตลอดแนวกำแพงระเบียง
“พี่ดาว” หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาที่ระดับปกติ มอง ‘เดือนเด่น’ น้องชายคนเดียวที่เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
ถึงเดือนเด่น จะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของหล่อน แต่เขาก็ไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่งพิงอีกแล้ว เมื่อสมัยที่ดาวล้อมยังเล็ก หล่อนจำได้ว่าอยู่ๆวันนึงก็มีน้องชายหน้าตาน่ารักโผล่เข้ามาในชีวิต ดาหวันผู้เป็นแม่มักจะฝากฝังให้ดาวล้อมดูแลน้องชายต่างสายเลือดคนนี้เสมอ
จนกระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยจนไม่สามารถยึดอาชีพนักเขียนต่อไปได้ ดาวล้อมจึงก้าวออกมารับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัวและเต็มใจยิ่ง
แต่หลายครั้งค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายของแม่ก็ทำเอาดาวล้อมถึงกับอดหลับอดนอน เดือนเด่นเองเมื่อทนไม่ไหวก็ช่วยแบ่งเบาภาระอีกแรงด้วยการไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟ และคงเพราะท่าทางตุ้งติ้งของเขา ที่ทำให้ถูกลูกค้ารังแกเสมอ สุดท้ายเมื่อรู้ความจริงดาวล้อมถึงกับออกปากสั่งห้ามไม่ให้น้องชายกลับไปทำงานที่นั่นอีก
หล่อนจะลำบากให้ได้มากกว่าที่แม่เคยลำบาก อดทนให้ได้มากกว่าที่แม่เคยอดทน ขอเพียงสองชีวิตที่สำคัญยังคงอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข หยาดเหงื่อที่เสียไปก็นับว่าคุ้มนักหนาแล้วสำหรับดาวล้อมคนนี้
“พรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้า เดือนดูแลตัวเองได้ใช่มั้ย” มือบางเอื้อมไปลูบผมเรียบแปล้ของน้องชายอย่างรักใคร่เอ็นดู
“เดือนขอไปด้วยคนไม่ได้หรอฮะพี่ดาว” น้องชายออดอ้อน หากดาวล้อมจากบ้านนี้ไปอีกคน เขาก็เท่ากับเหลือตัวคนเดียว
ดาวล้อมมองน้องชายเงียบๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ แต่แล้วภาพของผู้เป็นแม่ในนาทีสุดท้ายนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว อะไรบางอย่างในแววตาเศร้าหม่นของแม่บอกหล่อนว่าที่นั่นอาจเต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำบาก
แม่รู้ เพราะบางทีแม่คงเคยเผชิญมันมากับตัว
“เดือนอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว เรายังต้องเรียนหนังสืออีกเทอมนึง พี่ไม่อยากให้เราทิ้งบ้านหลังนี้ไปกันหมด อีกอย่าง พี่ห่วงแม่”
“โธ่พี่ดาว อย่าพูดแบบนี้สิ เดือนยิ่งกลัวๆอยู่”
“กลัวอะไร นั่นแม่เราแท้ๆ อยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปคุยกับแม่บ่อยๆนะเดือน อย่าปล่อยให้แม่เหงา” พี่สาวพูดเสียงเรียบเช่นเคย คนเป็นน้องชายเลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่วายหันมองหน้ามองหลังอย่างระแวง
“แล้วพี่ดาวจะไปนานแค่ไหนฮะ” หญิงสาวสบตาน้องชายอีกครั้ง ความนิ่งงันคือคำตอบในยามนี้ ถึงใครจะมองว่าดาวล้อมเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยวขนาดไหน แต่ลึกลงไปในใจ หญิงสาวก็ยังอดหวั่นไม่ได้ มนุษย์ก็คือมนุษย์ แท้จริงแล้วเปลือกที่แน่นหนาไม่อาจช่วยอะไรได้ เมื่อเนื้อในยังคงอ่อนแอและเปราะบาง
เกาะนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แน่ชัด มีเพียงแผนที่ที่วาดโดยคนเจ็บใกล้ตายเท่านั้น ได้แต่หวังว่าหล่อนจะไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการ ‘หลงทาง’ มากนัก
วันรุ่งขึ้นดาวล้อมนั่งจดจ้องหนังสือพิมพ์รายวันฉบับดังที่เดือนเด่นจะออกไปหาซื้อมาให้เป็นประจำ รายการโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเองเลย วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีข่าวแปลกใหม่ นอกจากเรื่องราวการรบราฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ ข่าวเสียหายที่ทำให้วงการศาสนาเสื่อมถอย นักการเมืองออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อท้ายที่สุดก็หมายเพียง ‘อำนาจ’ เหมือนๆกันหมด
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หญิงสาวเบนสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปที่ตัวต้นเสียง
“สวัสดีค่ะ บก.” กรอกเสียงเรียบเรื่อยตามนิสัย
“นั่นคุณอยู่ไหนน่ะดาว" หล่อนตอบคำถามตามความจริง หลังจากซักตามมารยาทอยู่สองสามข้อปลายสายก็เข้าเรื่อง
“เมื่อวานคุณมาหาผมที่บริษัทมีอะไรหรือเปล่า”
“ค่ะ คือดาวจะขอลางานค่ะ ดาวมีธุระด่วน”
“ได้สิ จะลาไปกี่วันล่ะ”
“สามเดือนค่ะ”
“หา !?” น้ำเสียงคนโทรมาบ่งบอกถึงความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด สามเดือนนั่นจะลาพักร้อนหรือลาออกกันแน่นะ
“คิดว่าบางทีดาวอาจไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกเขียนต้นฉบับส่งให้ แต่จะพยายามรีบกลับมาค่ะ บก. คงเข้าใจนะคะ มันจำเป็นมากจริงๆ”
“แล้วนั่นดาวจะไปไหน ตั้งสามเดือนเชียว”
“ไปทำธุระสำคัญค่ะ บก. ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ”
“อืม งั้นยังไงผมจะหาคนอื่นมาดูแลส่วนของคุณแทนก่อน คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ว่าแต่ ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ดาวล้อมไม่รีรอฟังคำถามต่อไปจากเจ้านาย หล่อนตัดขาดการสนทนาทันที อาชีพนักเขียนอิสระอย่างหล่อนไม่เคยต้องซีเรียสกับเวลางานมากนัก จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อนหล่อนได้มีโอกาสมาเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเกิดใหม่ฉบับนี้ คอลัมน์ท่องเที่ยวจึงทำให้หล่อนต้องหมั่นเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น แถมพล็อตนิยายใหม่ๆ ยังผุดขึ้นในหัวสมองราวกับดอกเห็ดอีกด้วย
ที่หล่อนต้องการคุยกับบรรณาธิการนิตยสารคนนี้ ก็เพราะไม่อยากทิ้งงานไปเสียเฉยๆ หล่อนไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีเวลาให้หล่อนได้ติดต่อกลับมาหาคนที่กรุงเทพมากน้อยแค่ไหน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าทั้งการไปและการกลับในครั้งนี้ อาจไม่ราบรื่นนัก
“เนินดาหวันงั้นหรือ ?”
หญิงสาวทบทวนข้อข้องใจอีกข้อหนึ่ง เบาะแสซึ่งเป็น ‘สถานที่’ จากปากแม่ของหล่อน ยิ่งคิดยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด และน่าพิศวงยิ่งนัก หากแต่ในหัวใจดวงน้อยๆกำลังเต้นรัว บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบอกให้หล่อนกลับไปค้นหาความจริงที่นั่นด้วยตัวเอง
เกาะดาวล้อม ใช้ชื่อของตัวหล่อน
เนินดาหวัน ใช้ชื่อของผู้หญิงที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ในโลงศพ
แม่ย้ำกับหล่อนนักหนาถึงชื่อของทั้งสองสถานที่นี้ ถึงตอนนี้อย่าว่าแต่คนตายเลยที่จะนอนตาไม่หลับ แม้แต่คนเป็น ที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ตรงนี้เองก็แทบเร่งเวลาให้ถึงวันที่ปริศนาทุกอย่างกระจ่างเสียที
หล่อนจะข่มตานอนหลับสบายอยู่ในเมืองหลวงเมืองฟ้าแบบนี้ต่อไปได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งอย่างที่ออกจากปากของดาหวันในวาระสุดท้ายนั้น มันเกี่ยวโยงถึงตัวหล่อนชัดเจนถึงเพียงนี้ !
และบางทีสิ่งที่ได้กลับมา อาจไม่ใช่เพียงแค่รูปถ่ายใบเก่ากับแหวนเงินวงนั้น
หญิงสาวร่างสูงโปร่งนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลา ดวงตากลมโตสีนิลจดจ้องโลงศพที่ตั้งตรงหน้าราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงร่างของผู้ที่นอนอยู่ในหีบใบสวยนั้น
“พี่ดาว พี่จะไปที่นั่นตามที่แม่ขอร้องหรือเปล่า” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างๆตัว หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นน้องชายนิ่งนาน ก่อนจะหันกลับไปมองรูปของคนตายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ทุกสิ่งอย่างบอกว่าแม่พูด ‘ความจริง’ เสมอ หากแต่ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆกำลังสับสนหนักหนา ถ้าหล่อนเลือกจะทำตามคำขอร้องของผู้เป็นแม่ นั่นก็เท่ากับกำลังเดินเข้าไปสู่อุโมงค์มืดทึบ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทางข้างหน้าจะทึบตันหรือจะพาหล่อนไปพบแสงสว่างเจิดจ้า
แล้วหล่อนจะไม่ขาดอากาศหายใจตายในความมืดนั้นเสียก่อนหรือ ?
ตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวง บนชั้น 15 มีพื้นที่สามคูหาถูกเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานของสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ร่างสูงเพรียวสมส่วนก้าวลงจากรถคันโปรด หยุดยืนนิ่งราวกับกำลังตัดสินใจจะทำสิ่งยิ่งใหญ่
อย่าคิดให้กลุ้ม กับเรื่องที่ไม่มีทางให้ ‘เลือก’
“อ้าวดาว ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้” สุนิสาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการเอ่ยทักคนที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“พอดีจะเข้ามาคุยกับ บก. หน่อย อยู่หรือเปล่าสา”
“เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อสิบนาทีนี่เอง ลองโทรเข้ามือถือดูสิ”
“ถ้างั้นไม่ต้องหรอก ฝากบอกด้วยแล้วกันว่าเรามาหา ถ้ายังไงให้ติดต่อหาเราภายในสองวันนี้ ขอบใจนะสา” พูดจบคนที่เพิ่งมาถึงก็เดินออกไปทันที ไม่สนใจรอยยิ้มและเสียงทักทายจากพนักงานคนอื่นๆในออฟฟิศ
สุนิสามองตามร่างสูงเพรียวนั้นออกไป ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ผู้หญิงคนนั้นมีหลายบุคลิกที่ยากจะเดาได้ หล่อนเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ในความสดใสมีชีวิตชีวานั่นดูเหมือนจะมีความเงียบขรึมหยั่งรากฝังลึกอยู่ด้วยเช่นกัน ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจสภาพแวดล้อมและความกดดันรอบกาย ผู้หญิงที่เป็นผู้ฟังที่ดี บางครั้งสุขุม เย็นเยือกดุจดั่งน้ำแข็งขั้วโลก แต่ในบางครั้งก็ลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาสสารรอบกายให้วอดเป็นจุล
ผู้หญิงที่ชื่อ ดาวล้อม เดือนรัก
ใช้เวลาขับรถจากสำนักงานราวยี่สิบนาทีดาวล้อมก็เดินทางมาถึงวัด หล่อนเดินเข้ามานั่งในศาลาเงียบๆหลังจากสัปเหร่อสูงวัยจัดการไขกุญแจเปิดให้ นับจากวันที่
‘ดาหวัน เดือนรัก’ ผู้เป็นแม่จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก คนเป็นลูกสาวก็เอาแต่มานั่งมองรูปหน้าศพนั้นอยู่เงียบๆ แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างมาตลอดสองสัปดาห์เต็ม ถึงตอนนี้กลับเรียบเฉยและฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ดาวจะไปจ้ะแม่ ดาวจะไปที่นั่น”
อีกนานนับชั่วโมงที่ดาวล้อมไม่กระดิกตัวลุกไปไหน หญิงสาวตระหนักดีว่าหลังจากวันนี้ไป คงอีกนานแรมเดือนกว่าที่หล่อนจะกลับมาเคารพศพของมารดาอีกครั้ง
‘แม่อยากให้ดาวไปที่เกาะนั่น แม่จะบอกเส้นทางให้ ก่อนที่จะเผาศพของแม่ ดาวช่วยเอาของสองอย่างนั้นกลับมาให้แม่ทีนะลูก ไปที่นั่นนะลูก ไปตามสัญญานะลูก’ เสียงอ้อนวอนนั้นสั่นเครือและฟังดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย แม้ไม่น่าจดจำหากมันยังคงดังซ้ำไปมาในทุกห้วงความคิดของคนฟัง
‘อะไรคะแม่’ ดาวล้อมปาดน้ำตา ทว่าในเนื้อเสียงไม่มีแม้ร่องรอยสะอื้น หล่อนยังคงยืนนิ่งทอดสายตามองคนเจ็บอย่างใจเย็น การร้องไห้ฟูมฟายในยามที่ทุกอย่างดูจะสายไปแบบนี้ รังแต่จะทำให้ความต้องการสุดท้ายของคนเจ็บสูญค่าไปเปล่าๆ หล่อนต้องการที่จะสดับความปรารถนาของหญิงอันเป็นที่รักอย่างตั้งใจที่สุด
‘แหวน แหวนเงินที่สลักชื่อของแม่กับรูปถ่ายใบนั้น รูปของแม่กับคุณอดุลย์’
‘ใครกันคะ’
‘ผู้ชายที่แม่รัก’
‘พ่อ ?’ หญิงสาวทวนคำเสียงสูงถึงผู้ชายที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ
‘ ..’ คนป่วยทำได้เพียงกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เหมือนว่าถ้าหล่อนปริปากบอกอะไรลูกสาวมากไปกว่านี้ มันจะทำให้หล่อนจากโลกนี้ไปอย่างไร้ความสุข
ดาวล้อมหยุดความสงสัยไว้ที่ริมฝีปาก คิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่หล่อนจะซักไซ้ไล่เรียงจากคนป่วยอีก คนเราทุกคนย่อมอยากจะตายไปพร้อมความลับของตัวเองทั้งนั้น ย่อมอยากจะจากโลกนี้ไปโดยปราศจากเรื่องโกหก ทั้งจากปากของตนเองและผู้อื่น
‘ไปที่นั่นนะลูก ไปหาคุณอดุลย์ บอกว่าแม่ตายแล้ว’ นางพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดินสอและกระดาษขาวที่หัวเตียง ลงมือเขียนแผนที่ด้วยความยากลำบาก
‘มือแม่สั่นไปหมดแล้ว พอเถอะจ้ะ เดี๋ยวดาวจะไปหาซื้อแผนที่มาเอง’
‘ไม่มีหรอกลูก ไม่มีแผนที่เล่มไหนที่จะพาลูกไปที่นั่นได้ นอกจากแผนที่ของแม่ แล้วก็ชื่อของคุณอดุลย์’
ดาวล้อมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มหลังจากนั่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หญิงสาวก้มลงกราบศพแม่เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หล่อนจะออกเดินทางแต่เช้า
“อวยพรให้ดาวด้วยนะแม่ ถ้าหาของเจอแล้วดาวจะรีบกลับมา ดาวจะเผามันไปพร้อมๆกับร่างของแม่ อย่างที่แม่ต้องการ แม่จะได้มีความสุขเสียที”
‘จันทร์ ’ น้ำเสียงแหบแห้งแห่งคำสั่งเสียสุดท้ายในวันนั้นผุดเข้ามาในความคิดของหล่อนอีกครั้ง มันบ่งบอกถึงความกังวลของคนเจ็บจนดาวล้อมต้องบีบมือผู้เป็นแม่แน่นๆ หล่อนพยายามจับจ้องริมฝีปากแห้งผากสีซีดของคนบนเตียง เพื่อจับใจความให้ได้ หากแต่คนเราไม่อาจต่อรองเวลาให้แก่ชีวิตของตนเองแม้เพียงเสี้ยววินาที มือหยาบกร้านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครึ่งศตวรรษหลุดร่วงลงข้างกาย ลมหายใจสุดท้ายชะงักหมดลงก่อนที่จะทันได้เอ่ยจนจบประโยค มีเพียงเสียงหวีดร้องจากเครื่องมือบนหัวเตียง ราวกับมีดปักลงกลางหัวใจของคนอีกสองคนที่ยังมีลมหายใจอยู่
เดือนเด่นผู้เป็นลูกชายคนเล็กในวันนั้น วิ่งเข้าไปเขย่าร่างของผู้เป็นแม่จนตัวเองถึงกับหมดสติไป หากแต่ดาวล้อมผู้เป็นพี่สาวกลับยังทนแข็งใจ หล่อนจะเป็นอะไรไปอีกคนไม่ได้เด็ดขาด !
ดูเหมือนแม่จะนึกอะไรออกบางอย่าง และคงเป็นสิ่งสำคัญเสียด้วย ถึงได้พยายามยื้อชีวิตตัวเองกับมัจจุราชด้วยสีหน้าทรมานเช่นนั้น
จันทร์ ชื่อคนอย่างนั้นหรือ ?
แม่หมายถึงใครกัน ?
ดาวล้อมรำลึกไว้เสมอ แม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตแม้หล่อนไม่เคยปริปากพูดคำหวานเพื่อประจบเอาใจ แต่ในเมื่อของสองสิ่งนั่นสำคัญต่อชีวิตของแม่เช่นกัน ถึงอันตรายขนาดไหนหล่อนเองก็พร้อมจะทำ
สิ่งสุดท้ายเท่านั้น เพื่อผู้หญิงที่ตรากตรำเลี้ยงดูหล่อนกับน้องมาโดยลำพังจนเติบใหญ่ ให้ความรักความอบอุ่นทั้งในฐานะบุพการีทั้งสองและเพื่อนสนิท
‘เกาะ เนิน ห้องลับ’ ร่างบางเพ่งมองตัวหนังสือขยุกขยุยของคนที่ตายไปแล้ว ราวกับจะจดจำมันให้ขึ้นใจก่อนที่จะออกเดินทาง
สายลมวูบไหวรุนแรงที่พัดผ่านร่างแบบบาง ราวกับจะส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้แก้เจ้าของร่างได้รับรู้ ทันทีที่ย่างเท้าพ้นประตูหน้าวัด ดาวล้อมถึงกับต้องผงะถอยหลังกลับเข้ามาในวัดทันที ขณะที่กระดาษสีขาวในมือถูกพัดพาหายไปในกลุ่มธุลีที่หมุนวนกันกลางอากาศ
ดาวล้อมพยายามไขว่คว้าทว่าฝุ่นละเอียดยิบเหล่านั้น ทำให้เปลือกตาของหล่อนต้องปิดลงโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอวัยวะภายในที่แสนบอบบางอย่างดวงตาเอาไว้
เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง คนถีบรถสามล้อรับจ้างสามสี่คนยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส แม่ค้าหาบเร่ยังคงนั่งโบกพัดที่ทำจากลังกระดาษเข้าหาตัวเองเพื่อดับความร้อนรุ่มของยามบ่าย เม็ดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากและปลายจมูกของคนเก็บของเก่าที่เข็นรถเดินผ่านมา ทั้งที่สายลมเมื่อครู่ที่ดาวล้อมสัมผัส รุนแรงจนแทบจะกวาดต้อนเอาทุกสิ่งให้หลุดลอยไปได้อยู่แล้ว
แต่ทุกคนทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หญิงสาวเลิกคิ้วมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น หรือมีเพียงตัวหล่อนเท่านั้นที่สัมผัสแรงลมกรรโชกเมื่อครู่นี้ได้ ครั้นพอฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนอยู่ต่อหน้าสงบลง หญิงสาวถึงได้ปิดเปลือกตาพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะถามตัวเองอีกครั้งพร้อมแรงสั่นสะท้านที่ล้นเอ่อออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เธอจะไปที่นั่นแน่หรือดาวล้อม
รถเก๋งคันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก ทว่าในความคับแคบนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวยังคงตลบอบอวลไปทั่วทุกอาณาบริเวณ
ดาวล้อมยิ้มน้อยๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองซุ้มเฟื่องฟ้าที่เลื้อยอยู่บนหลังคาบ้าน เลยขึ้นไปเป็นระเบียงห้องนอนของแม่ มันเก่าทรุดโทรมแต่ก็สะอาดสะอ้านราวกับผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงมีชีวิตอยู่ กระถางเปเปอร์โรเมียและเฟิร์นข้าหลวงตั้งสับหว่างกันไปตลอดแนวกำแพงระเบียง
“พี่ดาว” หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาที่ระดับปกติ มอง ‘เดือนเด่น’ น้องชายคนเดียวที่เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
ถึงเดือนเด่น จะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของหล่อน แต่เขาก็ไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่งพิงอีกแล้ว เมื่อสมัยที่ดาวล้อมยังเล็ก หล่อนจำได้ว่าอยู่ๆวันนึงก็มีน้องชายหน้าตาน่ารักโผล่เข้ามาในชีวิต ดาหวันผู้เป็นแม่มักจะฝากฝังให้ดาวล้อมดูแลน้องชายต่างสายเลือดคนนี้เสมอ
จนกระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยจนไม่สามารถยึดอาชีพนักเขียนต่อไปได้ ดาวล้อมจึงก้าวออกมารับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัวและเต็มใจยิ่ง
แต่หลายครั้งค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายของแม่ก็ทำเอาดาวล้อมถึงกับอดหลับอดนอน เดือนเด่นเองเมื่อทนไม่ไหวก็ช่วยแบ่งเบาภาระอีกแรงด้วยการไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟ และคงเพราะท่าทางตุ้งติ้งของเขา ที่ทำให้ถูกลูกค้ารังแกเสมอ สุดท้ายเมื่อรู้ความจริงดาวล้อมถึงกับออกปากสั่งห้ามไม่ให้น้องชายกลับไปทำงานที่นั่นอีก
หล่อนจะลำบากให้ได้มากกว่าที่แม่เคยลำบาก อดทนให้ได้มากกว่าที่แม่เคยอดทน ขอเพียงสองชีวิตที่สำคัญยังคงอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข หยาดเหงื่อที่เสียไปก็นับว่าคุ้มนักหนาแล้วสำหรับดาวล้อมคนนี้
“พรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้า เดือนดูแลตัวเองได้ใช่มั้ย” มือบางเอื้อมไปลูบผมเรียบแปล้ของน้องชายอย่างรักใคร่เอ็นดู
“เดือนขอไปด้วยคนไม่ได้หรอฮะพี่ดาว” น้องชายออดอ้อน หากดาวล้อมจากบ้านนี้ไปอีกคน เขาก็เท่ากับเหลือตัวคนเดียว
ดาวล้อมมองน้องชายเงียบๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ แต่แล้วภาพของผู้เป็นแม่ในนาทีสุดท้ายนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว อะไรบางอย่างในแววตาเศร้าหม่นของแม่บอกหล่อนว่าที่นั่นอาจเต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำบาก
แม่รู้ เพราะบางทีแม่คงเคยเผชิญมันมากับตัว
“เดือนอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว เรายังต้องเรียนหนังสืออีกเทอมนึง พี่ไม่อยากให้เราทิ้งบ้านหลังนี้ไปกันหมด อีกอย่าง พี่ห่วงแม่”
“โธ่พี่ดาว อย่าพูดแบบนี้สิ เดือนยิ่งกลัวๆอยู่”
“กลัวอะไร นั่นแม่เราแท้ๆ อยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปคุยกับแม่บ่อยๆนะเดือน อย่าปล่อยให้แม่เหงา” พี่สาวพูดเสียงเรียบเช่นเคย คนเป็นน้องชายเลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่วายหันมองหน้ามองหลังอย่างระแวง
“แล้วพี่ดาวจะไปนานแค่ไหนฮะ” หญิงสาวสบตาน้องชายอีกครั้ง ความนิ่งงันคือคำตอบในยามนี้ ถึงใครจะมองว่าดาวล้อมเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยวขนาดไหน แต่ลึกลงไปในใจ หญิงสาวก็ยังอดหวั่นไม่ได้ มนุษย์ก็คือมนุษย์ แท้จริงแล้วเปลือกที่แน่นหนาไม่อาจช่วยอะไรได้ เมื่อเนื้อในยังคงอ่อนแอและเปราะบาง
เกาะนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แน่ชัด มีเพียงแผนที่ที่วาดโดยคนเจ็บใกล้ตายเท่านั้น ได้แต่หวังว่าหล่อนจะไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการ ‘หลงทาง’ มากนัก
วันรุ่งขึ้นดาวล้อมนั่งจดจ้องหนังสือพิมพ์รายวันฉบับดังที่เดือนเด่นจะออกไปหาซื้อมาให้เป็นประจำ รายการโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเองเลย วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีข่าวแปลกใหม่ นอกจากเรื่องราวการรบราฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ ข่าวเสียหายที่ทำให้วงการศาสนาเสื่อมถอย นักการเมืองออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อท้ายที่สุดก็หมายเพียง ‘อำนาจ’ เหมือนๆกันหมด
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หญิงสาวเบนสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปที่ตัวต้นเสียง
“สวัสดีค่ะ บก.” กรอกเสียงเรียบเรื่อยตามนิสัย
“นั่นคุณอยู่ไหนน่ะดาว" หล่อนตอบคำถามตามความจริง หลังจากซักตามมารยาทอยู่สองสามข้อปลายสายก็เข้าเรื่อง
“เมื่อวานคุณมาหาผมที่บริษัทมีอะไรหรือเปล่า”
“ค่ะ คือดาวจะขอลางานค่ะ ดาวมีธุระด่วน”
“ได้สิ จะลาไปกี่วันล่ะ”
“สามเดือนค่ะ”
“หา !?” น้ำเสียงคนโทรมาบ่งบอกถึงความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด สามเดือนนั่นจะลาพักร้อนหรือลาออกกันแน่นะ
“คิดว่าบางทีดาวอาจไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกเขียนต้นฉบับส่งให้ แต่จะพยายามรีบกลับมาค่ะ บก. คงเข้าใจนะคะ มันจำเป็นมากจริงๆ”
“แล้วนั่นดาวจะไปไหน ตั้งสามเดือนเชียว”
“ไปทำธุระสำคัญค่ะ บก. ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ”
“อืม งั้นยังไงผมจะหาคนอื่นมาดูแลส่วนของคุณแทนก่อน คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ว่าแต่ ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ดาวล้อมไม่รีรอฟังคำถามต่อไปจากเจ้านาย หล่อนตัดขาดการสนทนาทันที อาชีพนักเขียนอิสระอย่างหล่อนไม่เคยต้องซีเรียสกับเวลางานมากนัก จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อนหล่อนได้มีโอกาสมาเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเกิดใหม่ฉบับนี้ คอลัมน์ท่องเที่ยวจึงทำให้หล่อนต้องหมั่นเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น แถมพล็อตนิยายใหม่ๆ ยังผุดขึ้นในหัวสมองราวกับดอกเห็ดอีกด้วย
ที่หล่อนต้องการคุยกับบรรณาธิการนิตยสารคนนี้ ก็เพราะไม่อยากทิ้งงานไปเสียเฉยๆ หล่อนไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีเวลาให้หล่อนได้ติดต่อกลับมาหาคนที่กรุงเทพมากน้อยแค่ไหน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าทั้งการไปและการกลับในครั้งนี้ อาจไม่ราบรื่นนัก
“เนินดาหวันงั้นหรือ ?”
หญิงสาวทบทวนข้อข้องใจอีกข้อหนึ่ง เบาะแสซึ่งเป็น ‘สถานที่’ จากปากแม่ของหล่อน ยิ่งคิดยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด และน่าพิศวงยิ่งนัก หากแต่ในหัวใจดวงน้อยๆกำลังเต้นรัว บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบอกให้หล่อนกลับไปค้นหาความจริงที่นั่นด้วยตัวเอง
เกาะดาวล้อม ใช้ชื่อของตัวหล่อน
เนินดาหวัน ใช้ชื่อของผู้หญิงที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ในโลงศพ
แม่ย้ำกับหล่อนนักหนาถึงชื่อของทั้งสองสถานที่นี้ ถึงตอนนี้อย่าว่าแต่คนตายเลยที่จะนอนตาไม่หลับ แม้แต่คนเป็น ที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ตรงนี้เองก็แทบเร่งเวลาให้ถึงวันที่ปริศนาทุกอย่างกระจ่างเสียที
หล่อนจะข่มตานอนหลับสบายอยู่ในเมืองหลวงเมืองฟ้าแบบนี้ต่อไปได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งอย่างที่ออกจากปากของดาหวันในวาระสุดท้ายนั้น มันเกี่ยวโยงถึงตัวหล่อนชัดเจนถึงเพียงนี้ !
และบางทีสิ่งที่ได้กลับมา อาจไม่ใช่เพียงแค่รูปถ่ายใบเก่ากับแหวนเงินวงนั้น
ความคิดเห็น