ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอยแค้น...ดินแดนรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 49


    พิศวาส…ความรู้สึกรักใคร่ สิเน่หา ปรารถนาที่จะได้ครอบครองเป็นของตนทั้งกายใจ

    ฆาตกรรม…สังหาร ปลิดชีพลงด้วยหลากหลายกลวิธีแตกต่างกัน มีเหตุผลนานับประการที่

    คอยปลุกเร้าให้กระทำการ

    คำแรกนุ่มนวลอ่อนหวาน คำสองผิดศีลธรรมต่ำช้า

    สองคำ สองความหมาย เพ่งพิศ สดับฟังคราวใด รู้ซึ้งได้ถึงความขัดแย้ง แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

    แต่หากในความ ‘พิศวาส’ ของใครบางคน เร้นเอาไว้ซึ่งประสงค์ร้าย

    ทุกสิ่งจักวิบัติ วอดวายตายตกไปตามกัน

    รักพิสุทธิ์เท่านั้น…จะเยียวยาบาดแผล และยุติความพินาศได้

    บทนำ…

    หญิงสาวร่างสูงโปร่งนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลา ดวงตากลมโตสีนิลจดจ้องโลงศพที่ตั้งตรงหน้าราวกับจมองให้ทะลุไปถึงร่างของผู้ที่นอนอยู่ในหีบใบสวยนั้น

    “พี่ดาว…พี่จะไปที่นั่นตามที่แม่ขอร้องหรือเปล่า” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างๆตัว หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นน้องชายนิ่งนาน ก่อนจะหันกลับไปมองรูปของคนตายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

    ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ทุกสิ่งอย่างบอกว่าแม่พูด ‘ความจริง’ เสมอ หากแต่ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆกำลังสับสนหนักหนา ถ้าหล่อนเลือกจะทำตามคำขอร้องของผู้เป็นแม่ นั่นก็เท่ากับกำลังเดินเข้าไปสู่อุโมงค์มืดทึบ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทางข้างหน้าจะทึบตันหรือจะพาหล่อนไปพบแสงสว่างเจิดจ้า

    แล้วหล่อนจะไม่ขาดอากาศหายใจตายในความมืดนั้นเสียก่อนหรือ ?



    ตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวง บนชั้น 15 มีพื้นที่สามคูหาถูกเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานของสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ร่างสูงเพรียวสมส่วนก้าวลงจากรถคันโปรด หยุดยืนนิ่งราวกับกำลังตัดสินใจจะทำสิ่งยิ่งใหญ่

    อย่าคิดให้กลุ้ม…กับเรื่องที่ไม่มีทางให้ ‘เลือก’

    “อ้าวดาว ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้” สุนิสาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการเอ่ยทักคนที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรู้สึกแปลกใจ

    “พอดีจะเข้ามาคุยกับ บก. หน่อย อยู่หรือเปล่าสา”

    “เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อสิบนาทีนี่เอง ลองโทรเข้ามือถือดูสิ”

    “ถ้างั้นไม่ต้องหรอก…ฝากบอกด้วยแล้วกันว่าเรามาหา ถ้ายังไงให้ติดต่อหาเราภายในสองวันนี้…ขอบใจนะสา” พูดจบคนที่เพิ่งมาถึงก็เดินออกไปทันที ไม่สนใจรอยยิ้มและเสียงทักทายจากพนักงานคนอื่นๆในออฟฟิศ

    สุนิสามองตามร่างสูงเพรียวนั้นออกไป ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา…ผู้หญิงคนนั้นมีหลายบุคลิกที่ยากจะเดาได้ หล่อนเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ในความสดใสมีชีวิตชีวานั่นดูเหมือนจะมีความเงียบขรึมหยั่งรากฝังลึกอยู่ด้วยเช่นกัน…ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจสภาพแวดล้อมและความกดดันรอบกาย ผู้หญิงที่เป็นผู้ฟังที่ดี บางครั้งสุขุม เย็นเยือกดุจดั่งน้ำแข็งขั้วโลก แต่ในบางครั้งก็ลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาสสารรอบกายให้วอดเป็นจุล

    ผู้หญิงที่ชื่อ…ดาวล้อม เดือนรัก



    ใช้เวลาขับรถจากสำนักงานราวยี่สิบนาทีดาวล้อมก็เดินทางมาถึงวัด หล่อนเดินเข้ามานั่งในศาลาเงียบๆหลังจากสัปเหร่อสูงวัยจัดการไขกุญแจเปิดให้ นับจากวันที่… ‘ดาหวัน เดือนรัก’ ผู้เป็นแม่จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก คนเป็นลูกสาวก็เอาแต่มานั่งมองรูปหน้าศพนั้นอยู่เงียบๆ แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างมาตลอดสองสัปดาห์เต็ม ถึงตอนนี้กลับเรียบเฉยและฉายแววเด็ดเดี่ยว

    “ดาวจะไปจ้ะแม่…ดาวจะไปที่นั่น”

    อีกนานนับชั่วโมงที่ดาวล้อมไม่กระดิกตัวลุกไปไหน หญิงสาวตระหนักดีว่าหลังจากวันนี้ไป คงอีกนานแรมเดือนกว่าที่หล่อนจะกลับมาเคารพศพของมารดาอีกครั้ง

    ‘แม่อยากให้ดาวไปที่เกาะนั่น แม่จะบอกเส้นทางให้…ก่อนที่จะเผาศพของแม่ ดาวช่วยเอาของสองอย่างนั้นกลับมาให้แม่ทีนะลูก…ไปที่นั่นนะลูก ไปตามสัญญานะลูก’ เสียงอ้อนวอนนั้นสั่นเครือและฟังดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย แม้ไม่น่าจดจำหากมันยังคงดังซ้ำไปมาในทุกห้วงความคิดของคนฟัง

    ‘อะไรคะแม่’ ดาวล้อมปาดน้ำตา ทว่าในเนื้อเสียงไม่มีแม้ร่องรอยสะอื้น หล่อนยังคงยืนนิ่งทอดสายตามองคนเจ็บอย่างใจเย็น การร้องไห้ฟูมฟายในยามที่ทุกอย่างดูจะสายไปแบบนี้ รังแต่จะทำให้ความต้องการสุดท้ายของคนเจ็บสูญค่าไปเปล่าๆ หล่อนต้องการที่จะสดับความปรารถนาของหญิงอันเป็นที่รักอย่างตั้งใจที่สุด

    ‘แหวน…แหวนเงินที่สลักชื่อของแม่กับรูปถ่ายใบนั้น…รูปของแม่กับคุณอดุลย์’

    ‘ใครกันคะ’

    ‘ผู้ชายที่แม่รัก’

    ‘พ่อ ?’ หญิงสาวทวนคำเสียงสูงถึงผู้ชายที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ

    ‘………..’ คนป่วยทำได้เพียงกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เหมือนว่าถ้าหล่อนปริปากบอกอะไรลูกสาวมากไปกว่านี้ มันจะทำให้หล่อนจากโลกนี้ไปอย่างไร้ความสุข

    ดาวล้อมหยุดความสงสัยไว้ที่ริมฝีปาก คิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่หล่อนจะซักไซ้ไล่เรียงจากคนป่วยอีก…คนเราทุกคนย่อมอยากจะตายไปพร้อมความลับของตัวเองทั้งนั้น…ย่อมอยากจะจากโลกนี้ไปโดยปราศจากเรื่องโกหก ทั้งจากปากของตนเองและผู้อื่น

    ‘ไปที่นั่นนะลูก ไปหาคุณอดุลย์ บอกว่าแม่ตายแล้ว’ นางพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดินสอและกระดาษขาวที่หัวเตียง ลงมือเขียนแผนที่ด้วยความยากลำบาก

    ‘มือแม่สั่นไปหมดแล้ว พอเถอะจ้ะ เดี๋ยวดาวจะไปหาซื้อแผนที่มาเอง’

    ‘ไม่มีหรอกลูก…ไม่มีแผนที่เล่มไหนที่จะพาลูกไปที่นั่นได้ นอกจากแผนที่ของแม่ แล้วก็ชื่อของคุณอดุลย์’

    ดาวล้อมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มหลังจากนั่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หญิงสาวก้มลงกราบศพแม่เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หล่อนจะออกเดินทางแต่เช้า

    “อวยพรให้ดาวด้วยนะแม่ ถ้าหาของเจอแล้วดาวจะรีบกลับมา ดาวจะเผามันไปพร้อมๆกับร่างของแม่ อย่างที่แม่ต้องการ…แม่จะได้มีความสุขเสียที”

    ‘จันทร์…’ น้ำเสียงแหบแห้งแห่งคำสั่งเสียสุดท้ายในวันนั้นผุดเข้ามาในความคิดของหล่อนอีกครั้ง มันบ่งบอกถึงความกังวลของคนเจ็บจนดาวล้อมต้องบีบมือผู้เป็นแม่แน่นๆ หล่อนพยายามจับจ้องริมฝีปากแห้งผากสีซีดของคนบนเตียง เพื่อจับใจความให้ได้ หากแต่คนเราไม่อาจต่อรองเวลาให้แก่ชีวิตของตนเองแม้เพียงเสี้ยววินาที…มือหยาบกร้านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครึ่งศตวรรษหลุดร่วงลงข้างกาย ลมหายใจสุดท้ายชะงักหมดลงก่อนที่จะทันได้เอ่ยจนจบประโยค มีเพียงเสียงหวีดร้องจากเครื่องมือบนหัวเตียง ราวกับมีดปักลงกลางหัวใจของคนอีกสองคนที่ยังมีลมหายใจอยู่

    เดือนเด่นผู้เป็นลูกชายคนเล็กในวันนั้น วิ่งเข้าไปเขย่าร่างของผู้เป็นแม่จนตัวเองถึงกับหมดสติไป…หากแต่ดาวล้อมผู้เป็นพี่สาวกลับยังทนแข็งใจ หล่อนจะเป็นอะไรไปอีกคนไม่ได้เด็ดขาด !

    ดูเหมือนแม่จะนึกอะไรออกบางอย่าง และคงเป็นสิ่งสำคัญเสียด้วย ถึงได้พยายามยื้อชีวิตตัวเองกับมัจจุราชด้วยสีหน้าทรมานเช่นนั้น

    จันทร์…ชื่อคนอย่างนั้นหรือ ?

    แม่หมายถึงใครกัน ?

    ดาวล้อมรำลึกไว้เสมอ แม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตแม้หล่อนไม่เคยปริปากพูดคำหวานเพื่อประจบเอาใจ แต่ในเมื่อของสองสิ่งนั่นสำคัญต่อชีวิตของแม่เช่นกัน…ถึงอันตรายขนาดไหนหล่อนเองก็พร้อมจะทำ

    สิ่งสุดท้ายเท่านั้น…เพื่อผู้หญิงที่ตรากตรำเลี้ยงดูหล่อนกับน้องมาโดยลำพังจนเติบใหญ่ ให้ความรักความอบอุ่นทั้งในฐานะบุพการีทั้งสองและเพื่อนสนิท

    ‘เกาะ เนิน…ห้องลับ’ ร่างบางเพ่งมองตัวหนังสือขยุกขยุยของคนที่ตายไปแล้ว ราวกับจะจดจำมันให้ขึ้นใจก่อนที่จะออกเดินทาง

    สายลมวูบไหวรุนแรงที่พัดผ่านร่างแบบบาง ราวกับจะส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้แก้เจ้าของร่างได้รับรู้ ทันทีที่ย่างเท้าพ้นประตูหน้าวัด ดาวล้อมถึงกับต้องผงะถอยหลังกลับเข้ามาในวัดทันที ขณะที่กระดาษสีขาวในมือถูกพัดพาหายไปในกลุ่มธุลีที่หมุนวนกันกลางอากาศ

    ดาวล้อมพยายามไขว่คว้าทว่าฝุ่นละเอียดยิบเหล่านั้น ทำให้เปลือกตาของหล่อนต้องปิดลงโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอวัยวะภายในที่แสนบอบบางอย่างดวงตาเอาไว้

    เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง…คนถีบรถสามล้อรับจ้างสามสี่คนยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส แม่ค้าหาบเร่ยังคงนั่งโบกพัดที่ทำจากลังกระดาษเข้าหาตัวเองเพื่อดับความร้อนรุ่มของยามบ่าย เม็ดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากและปลายจมูกของคนเก็บของเก่าที่เข็นรถเดินผ่านมา ทั้งที่สายลมเมื่อครู่ที่ดาวล้อมสัมผัส รุนแรงจนแทบจะกวาดต้อนเอาทุกสิ่งให้หลุดลอยไปได้อยู่แล้ว

    แต่ทุกคนทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    หญิงสาวเลิกคิ้วมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น หรือมีเพียงตัวหล่อนเท่านั้นที่สัมผัสแรงลมกรรโชกเมื่อครู่นี้ได้ ครั้นพอฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนอยู่ต่อหน้าสงบลง หญิงสาวถึงได้ปิดเปลือกตาพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะถามตัวเองอีกครั้งพร้อมแรงสั่นสะท้านที่ล้นเอ่อออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

    เธอจะไปที่นั่นแน่หรือดาวล้อม…



    รถเก๋งคันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก ทว่าในความคับแคบนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวยังคงตลบอบอวลไปทั่วทุกอาณาบริเวณ

    ดาวล้อมยิ้มน้อยๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองซุ้มเฟื่องฟ้าที่เลื้อยอยู่บนหลังคาบ้าน เลยขึ้นไปเป็นระเบียงห้องนอนของแม่ มันเก่าทรุดโทรมแต่ก็สะอาดสะอ้านราวกับผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงมีชีวิตอยู่ กระถางเปเปอร์โรเมียและเฟิร์นข้าหลวงตั้งสับหว่างกันไปตลอดแนวกำแพงระเบียง

    “พี่ดาว” หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาที่ระดับปกติ มอง ‘เดือนเด่น’ น้องชายคนเดียวที่เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น

    ถึงเดือนเด่น จะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของหล่อน แต่เขาก็ไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่งพิงอีกแล้ว เมื่อสมัยที่ดาวล้อมยังเล็ก หล่อนจำได้ว่าอยู่ๆวันนึงก็มีน้องชายหน้าตาน่ารักโผล่เข้ามาในชีวิต ดาหวันผู้เป็นแม่มักจะฝากฝังให้ดาวล้อมดูแลน้องชายต่างสายเลือดคนนี้เสมอ

    จนกระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยจนไม่สามารถยึดอาชีพนักเขียนต่อไปได้ ดาวล้อมจึงก้าวออกมารับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัวและเต็มใจยิ่ง

    แต่หลายครั้งค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายของแม่ก็ทำเอาดาวล้อมถึงกับอดหลับอดนอน เดือนเด่นเองเมื่อทนไม่ไหวก็ช่วยแบ่งเบาภาระอีกแรงด้วยการไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟ และคงเพราะท่าทางตุ้งติ้งของเขา ที่ทำให้ถูกลูกค้ารังแกเสมอ สุดท้ายเมื่อรู้ความจริงดาวล้อมถึงกับออกปากสั่งห้ามไม่ให้น้องชายกลับไปทำงานที่นั่นอีก

    หล่อนจะลำบากให้ได้มากกว่าที่แม่เคยลำบาก อดทนให้ได้มากกว่าที่แม่เคยอดทน ขอเพียงสองชีวิตที่สำคัญยังคงอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข หยาดเหงื่อที่เสียไปก็นับว่าคุ้มนักหนาแล้วสำหรับดาวล้อมคนนี้

    “พรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้า เดือนดูแลตัวเองได้ใช่มั้ย” มือบางเอื้อมไปลูบผมเรียบแปล้ของน้องชายอย่างรักใคร่เอ็นดู

    “เดือนขอไปด้วยคนไม่ได้หรอฮะพี่ดาว” น้องชายออดอ้อน หากดาวล้อมจากบ้านนี้ไปอีกคน เขาก็เท่ากับเหลือตัวคนเดียว

    ดาวล้อมมองน้องชายเงียบๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ แต่แล้วภาพของผู้เป็นแม่ในนาทีสุดท้ายนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว อะไรบางอย่างในแววตาเศร้าหม่นของแม่บอกหล่อนว่าที่นั่นอาจเต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำบาก

    แม่รู้…เพราะบางทีแม่คงเคยเผชิญมันมากับตัว

    “เดือนอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว เรายังต้องเรียนหนังสืออีกเทอมนึง พี่ไม่อยากให้เราทิ้งบ้านหลังนี้ไปกันหมด อีกอย่าง…พี่ห่วงแม่”

    “โธ่พี่ดาว อย่าพูดแบบนี้สิ เดือนยิ่งกลัวๆอยู่”

    “กลัวอะไร นั่นแม่เราแท้ๆ…อยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปคุยกับแม่บ่อยๆนะเดือน อย่าปล่อยให้แม่เหงา” พี่สาวพูดเสียงเรียบเช่นเคย คนเป็นน้องชายเลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่วายหันมองหน้ามองหลังอย่างระแวง

    “แล้วพี่ดาวจะไปนานแค่ไหนฮะ” หญิงสาวสบตาน้องชายอีกครั้ง ความนิ่งงันคือคำตอบในยามนี้ ถึงใครจะมองว่าดาวล้อมเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยวขนาดไหน แต่ลึกลงไปในใจ หญิงสาวก็ยังอดหวั่นไม่ได้…มนุษย์ก็คือมนุษย์ แท้จริงแล้วเปลือกที่แน่นหนาไม่อาจช่วยอะไรได้ เมื่อเนื้อในยังคงอ่อนแอและเปราะบาง

    เกาะนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แน่ชัด มีเพียงแผนที่ที่วาดโดยคนเจ็บใกล้ตายเท่านั้น ได้แต่หวังว่าหล่อนจะไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการ ‘หลงทาง’ มากนัก


    วันรุ่งขึ้นดาวล้อมนั่งจดจ้องหนังสือพิมพ์รายวันฉบับดังที่เดือนเด่นจะออกไปหาซื้อมาให้เป็นประจำ รายการโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเองเลย วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีข่าวแปลกใหม่ นอกจากเรื่องราวการรบราฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ ข่าวเสียหายที่ทำให้วงการศาสนาเสื่อมถอย นักการเมืองออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อท้ายที่สุดก็หมายเพียง ‘อำนาจ’ เหมือนๆกันหมด

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หญิงสาวเบนสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปที่ตัวต้นเสียง

    “สวัสดีค่ะ บก.” กรอกเสียงเรียบเรื่อยตามนิสัย

    “นั่นคุณอยู่ไหนน่ะดาว" หล่อนตอบคำถามตามความจริง หลังจากซักตามมารยาทอยู่สองสามข้อปลายสายก็เข้าเรื่อง

    “เมื่อวานคุณมาหาผมที่บริษัทมีอะไรหรือเปล่า”

    “ค่ะ…คือดาวจะขอลางานค่ะ ดาวมีธุระด่วน”

    “ได้สิ จะลาไปกี่วันล่ะ”

    “สามเดือนค่ะ”

    “หา !?” น้ำเสียงคนโทรมาบ่งบอกถึงความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด…สามเดือนนั่นจะลาพักร้อนหรือลาออกกันแน่นะ

    “คิดว่าบางทีดาวอาจไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกเขียนต้นฉบับส่งให้ แต่จะพยายามรีบกลับมาค่ะ บก. คงเข้าใจนะคะ มันจำเป็นมากจริงๆ”

    “แล้วนั่นดาวจะไปไหน ตั้งสามเดือนเชียว”

    “ไปทำธุระสำคัญค่ะ บก. ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ”

    “อืม งั้นยังไงผมจะหาคนอื่นมาดูแลส่วนของคุณแทนก่อน คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ว่าแต่…”

    “ขอบคุณมากค่ะ” ดาวล้อมไม่รีรอฟังคำถามต่อไปจากเจ้านาย หล่อนตัดขาดการสนทนาทันที อาชีพนักเขียนอิสระอย่างหล่อนไม่เคยต้องซีเรียสกับเวลางานมากนัก จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อนหล่อนได้มีโอกาสมาเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเกิดใหม่ฉบับนี้ คอลัมน์ท่องเที่ยวจึงทำให้หล่อนต้องหมั่นเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น แถมพล็อตนิยายใหม่ๆ ยังผุดขึ้นในหัวสมองราวกับดอกเห็ดอีกด้วย

    ที่หล่อนต้องการคุยกับบรรณาธิการนิตยสารคนนี้ ก็เพราะไม่อยากทิ้งงานไปเสียเฉยๆ หล่อนไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีเวลาให้หล่อนได้ติดต่อกลับมาหาคนที่กรุงเทพมากน้อยแค่ไหน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าทั้งการไปและการกลับในครั้งนี้…อาจไม่ราบรื่นนัก

    “เนินดาหวันงั้นหรือ ?”

    หญิงสาวทบทวนข้อข้องใจอีกข้อหนึ่ง เบาะแสซึ่งเป็น ‘สถานที่’ จากปากแม่ของหล่อน ยิ่งคิดยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด และน่าพิศวงยิ่งนัก หากแต่ในหัวใจดวงน้อยๆกำลังเต้นรัว บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบอกให้หล่อนกลับไปค้นหาความจริงที่นั่นด้วยตัวเอง

    เกาะดาวล้อม…ใช้ชื่อของตัวหล่อน

    เนินดาหวัน…ใช้ชื่อของผู้หญิงที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ในโลงศพ

    แม่ย้ำกับหล่อนนักหนาถึงชื่อของทั้งสองสถานที่นี้…ถึงตอนนี้อย่าว่าแต่คนตายเลยที่จะนอนตาไม่หลับ แม้แต่คนเป็น ที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ตรงนี้เองก็แทบเร่งเวลาให้ถึงวันที่ปริศนาทุกอย่างกระจ่างเสียที

    หล่อนจะข่มตานอนหลับสบายอยู่ในเมืองหลวงเมืองฟ้าแบบนี้ต่อไปได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งอย่างที่ออกจากปากของดาหวันในวาระสุดท้ายนั้น มันเกี่ยวโยงถึงตัวหล่อนชัดเจนถึงเพียงนี้ !

    และบางทีสิ่งที่ได้กลับมา อาจไม่ใช่เพียงแค่รูปถ่ายใบเก่ากับแหวนเงินวงนั้น…

    หญิงสาวร่างสูงโปร่งนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลา ดวงตากลมโตสีนิลจดจ้องโลงศพที่ตั้งตรงหน้าราวกับจมองให้ทะลุไปถึงร่างของผู้ที่นอนอยู่ในหีบใบสวยนั้น

    “พี่ดาว…พี่จะไปที่นั่นตามที่แม่ขอร้องหรือเปล่า” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้นข้างๆตัว หญิงสาวหันไปสบตากับผู้เป็นน้องชายนิ่งนาน ก่อนจะหันกลับไปมองรูปของคนตายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

    ชั่วชีวิตที่ผ่านมา ทุกสิ่งอย่างบอกว่าแม่พูด ‘ความจริง’ เสมอ หากแต่ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆกำลังสับสนหนักหนา ถ้าหล่อนเลือกจะทำตามคำขอร้องของผู้เป็นแม่ นั่นก็เท่ากับกำลังเดินเข้าไปสู่อุโมงค์มืดทึบ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าทางข้างหน้าจะทึบตันหรือจะพาหล่อนไปพบแสงสว่างเจิดจ้า

    แล้วหล่อนจะไม่ขาดอากาศหายใจตายในความมืดนั้นเสียก่อนหรือ ?



    ตึกสูงระฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองหลวง บนชั้น 15 มีพื้นที่สามคูหาถูกเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานของสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่ง ร่างสูงเพรียวสมส่วนก้าวลงจากรถคันโปรด หยุดยืนนิ่งราวกับกำลังตัดสินใจจะทำสิ่งยิ่งใหญ่

    อย่าคิดให้กลุ้ม…กับเรื่องที่ไม่มีทางให้ ‘เลือก’

    “อ้าวดาว ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้” สุนิสาผู้ทำหน้าที่เป็นเลขานุการเอ่ยทักคนที่เดินเข้ามาใหม่ด้วยความรู้สึกแปลกใจ

    “พอดีจะเข้ามาคุยกับ บก. หน่อย อยู่หรือเปล่าสา”

    “เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อสิบนาทีนี่เอง ลองโทรเข้ามือถือดูสิ”

    “ถ้างั้นไม่ต้องหรอก…ฝากบอกด้วยแล้วกันว่าเรามาหา ถ้ายังไงให้ติดต่อหาเราภายในสองวันนี้…ขอบใจนะสา” พูดจบคนที่เพิ่งมาถึงก็เดินออกไปทันที ไม่สนใจรอยยิ้มและเสียงทักทายจากพนักงานคนอื่นๆในออฟฟิศ

    สุนิสามองตามร่างสูงเพรียวนั้นออกไป ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา…ผู้หญิงคนนั้นมีหลายบุคลิกที่ยากจะเดาได้ หล่อนเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ในความสดใสมีชีวิตชีวานั่นดูเหมือนจะมีความเงียบขรึมหยั่งรากฝังลึกอยู่ด้วยเช่นกัน…ผู้หญิงที่ไม่เคยสนใจสภาพแวดล้อมและความกดดันรอบกาย ผู้หญิงที่เป็นผู้ฟังที่ดี บางครั้งสุขุม เย็นเยือกดุจดั่งน้ำแข็งขั้วโลก แต่ในบางครั้งก็ลุกโชนดุจเปลวไฟร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาสสารรอบกายให้วอดเป็นจุล

    ผู้หญิงที่ชื่อ…ดาวล้อม เดือนรัก



    ใช้เวลาขับรถจากสำนักงานราวยี่สิบนาทีดาวล้อมก็เดินทางมาถึงวัด หล่อนเดินเข้ามานั่งในศาลาเงียบๆหลังจากสัปเหร่อสูงวัยจัดการไขกุญแจเปิดให้ นับจากวันที่… ‘ดาหวัน เดือนรัก’ ผู้เป็นแม่จากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็งปากมดลูก คนเป็นลูกสาวก็เอาแต่มานั่งมองรูปหน้าศพนั้นอยู่เงียบๆ แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างมาตลอดสองสัปดาห์เต็ม ถึงตอนนี้กลับเรียบเฉยและฉายแววเด็ดเดี่ยว

    “ดาวจะไปจ้ะแม่…ดาวจะไปที่นั่น”

    อีกนานนับชั่วโมงที่ดาวล้อมไม่กระดิกตัวลุกไปไหน หญิงสาวตระหนักดีว่าหลังจากวันนี้ไป คงอีกนานแรมเดือนกว่าที่หล่อนจะกลับมาเคารพศพของมารดาอีกครั้ง

    ‘แม่อยากให้ดาวไปที่เกาะนั่น แม่จะบอกเส้นทางให้…ก่อนที่จะเผาศพของแม่ ดาวช่วยเอาของสองอย่างนั้นกลับมาให้แม่ทีนะลูก…ไปที่นั่นนะลูก ไปตามสัญญานะลูก’ เสียงอ้อนวอนนั้นสั่นเครือและฟังดูไร้เรี่ยวแรงจนน่าใจหาย แม้ไม่น่าจดจำหากมันยังคงดังซ้ำไปมาในทุกห้วงความคิดของคนฟัง

    ‘อะไรคะแม่’ ดาวล้อมปาดน้ำตา ทว่าในเนื้อเสียงไม่มีแม้ร่องรอยสะอื้น หล่อนยังคงยืนนิ่งทอดสายตามองคนเจ็บอย่างใจเย็น การร้องไห้ฟูมฟายในยามที่ทุกอย่างดูจะสายไปแบบนี้ รังแต่จะทำให้ความต้องการสุดท้ายของคนเจ็บสูญค่าไปเปล่าๆ หล่อนต้องการที่จะสดับความปรารถนาของหญิงอันเป็นที่รักอย่างตั้งใจที่สุด

    ‘แหวน…แหวนเงินที่สลักชื่อของแม่กับรูปถ่ายใบนั้น…รูปของแม่กับคุณอดุลย์’

    ‘ใครกันคะ’

    ‘ผู้ชายที่แม่รัก’

    ‘พ่อ ?’ หญิงสาวทวนคำเสียงสูงถึงผู้ชายที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อ

    ‘………..’ คนป่วยทำได้เพียงกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เหมือนว่าถ้าหล่อนปริปากบอกอะไรลูกสาวมากไปกว่านี้ มันจะทำให้หล่อนจากโลกนี้ไปอย่างไร้ความสุข

    ดาวล้อมหยุดความสงสัยไว้ที่ริมฝีปาก คิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่หล่อนจะซักไซ้ไล่เรียงจากคนป่วยอีก…คนเราทุกคนย่อมอยากจะตายไปพร้อมความลับของตัวเองทั้งนั้น…ย่อมอยากจะจากโลกนี้ไปโดยปราศจากเรื่องโกหก ทั้งจากปากของตนเองและผู้อื่น

    ‘ไปที่นั่นนะลูก ไปหาคุณอดุลย์ บอกว่าแม่ตายแล้ว’ นางพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบดินสอและกระดาษขาวที่หัวเตียง ลงมือเขียนแผนที่ด้วยความยากลำบาก

    ‘มือแม่สั่นไปหมดแล้ว พอเถอะจ้ะ เดี๋ยวดาวจะไปหาซื้อแผนที่มาเอง’

    ‘ไม่มีหรอกลูก…ไม่มีแผนที่เล่มไหนที่จะพาลูกไปที่นั่นได้ นอกจากแผนที่ของแม่ แล้วก็ชื่อของคุณอดุลย์’

    ดาวล้อมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาข้างแก้มหลังจากนั่งนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หญิงสาวก้มลงกราบศพแม่เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้หล่อนจะออกเดินทางแต่เช้า

    “อวยพรให้ดาวด้วยนะแม่ ถ้าหาของเจอแล้วดาวจะรีบกลับมา ดาวจะเผามันไปพร้อมๆกับร่างของแม่ อย่างที่แม่ต้องการ…แม่จะได้มีความสุขเสียที”

    ‘จันทร์…’ น้ำเสียงแหบแห้งแห่งคำสั่งเสียสุดท้ายในวันนั้นผุดเข้ามาในความคิดของหล่อนอีกครั้ง มันบ่งบอกถึงความกังวลของคนเจ็บจนดาวล้อมต้องบีบมือผู้เป็นแม่แน่นๆ หล่อนพยายามจับจ้องริมฝีปากแห้งผากสีซีดของคนบนเตียง เพื่อจับใจความให้ได้ หากแต่คนเราไม่อาจต่อรองเวลาให้แก่ชีวิตของตนเองแม้เพียงเสี้ยววินาที…มือหยาบกร้านที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครึ่งศตวรรษหลุดร่วงลงข้างกาย ลมหายใจสุดท้ายชะงักหมดลงก่อนที่จะทันได้เอ่ยจนจบประโยค มีเพียงเสียงหวีดร้องจากเครื่องมือบนหัวเตียง ราวกับมีดปักลงกลางหัวใจของคนอีกสองคนที่ยังมีลมหายใจอยู่

    เดือนเด่นผู้เป็นลูกชายคนเล็กในวันนั้น วิ่งเข้าไปเขย่าร่างของผู้เป็นแม่จนตัวเองถึงกับหมดสติไป…หากแต่ดาวล้อมผู้เป็นพี่สาวกลับยังทนแข็งใจ หล่อนจะเป็นอะไรไปอีกคนไม่ได้เด็ดขาด !

    ดูเหมือนแม่จะนึกอะไรออกบางอย่าง และคงเป็นสิ่งสำคัญเสียด้วย ถึงได้พยายามยื้อชีวิตตัวเองกับมัจจุราชด้วยสีหน้าทรมานเช่นนั้น

    จันทร์…ชื่อคนอย่างนั้นหรือ ?

    แม่หมายถึงใครกัน ?

    ดาวล้อมรำลึกไว้เสมอ แม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตแม้หล่อนไม่เคยปริปากพูดคำหวานเพื่อประจบเอาใจ แต่ในเมื่อของสองสิ่งนั่นสำคัญต่อชีวิตของแม่เช่นกัน…ถึงอันตรายขนาดไหนหล่อนเองก็พร้อมจะทำ

    สิ่งสุดท้ายเท่านั้น…เพื่อผู้หญิงที่ตรากตรำเลี้ยงดูหล่อนกับน้องมาโดยลำพังจนเติบใหญ่ ให้ความรักความอบอุ่นทั้งในฐานะบุพการีทั้งสองและเพื่อนสนิท

    ‘เกาะ เนิน…ห้องลับ’ ร่างบางเพ่งมองตัวหนังสือขยุกขยุยของคนที่ตายไปแล้ว ราวกับจะจดจำมันให้ขึ้นใจก่อนที่จะออกเดินทาง

    สายลมวูบไหวรุนแรงที่พัดผ่านร่างแบบบาง ราวกับจะส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่างให้แก้เจ้าของร่างได้รับรู้ ทันทีที่ย่างเท้าพ้นประตูหน้าวัด ดาวล้อมถึงกับต้องผงะถอยหลังกลับเข้ามาในวัดทันที ขณะที่กระดาษสีขาวในมือถูกพัดพาหายไปในกลุ่มธุลีที่หมุนวนกันกลางอากาศ

    ดาวล้อมพยายามไขว่คว้าทว่าฝุ่นละเอียดยิบเหล่านั้น ทำให้เปลือกตาของหล่อนต้องปิดลงโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอวัยวะภายในที่แสนบอบบางอย่างดวงตาเอาไว้

    เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง…คนถีบรถสามล้อรับจ้างสามสี่คนยังคงนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส แม่ค้าหาบเร่ยังคงนั่งโบกพัดที่ทำจากลังกระดาษเข้าหาตัวเองเพื่อดับความร้อนรุ่มของยามบ่าย เม็ดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากและปลายจมูกของคนเก็บของเก่าที่เข็นรถเดินผ่านมา ทั้งที่สายลมเมื่อครู่ที่ดาวล้อมสัมผัส รุนแรงจนแทบจะกวาดต้อนเอาทุกสิ่งให้หลุดลอยไปได้อยู่แล้ว

    แต่ทุกคนทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    หญิงสาวเลิกคิ้วมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น หรือมีเพียงตัวหล่อนเท่านั้นที่สัมผัสแรงลมกรรโชกเมื่อครู่นี้ได้ ครั้นพอฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนอยู่ต่อหน้าสงบลง หญิงสาวถึงได้ปิดเปลือกตาพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขณะถามตัวเองอีกครั้งพร้อมแรงสั่นสะท้านที่ล้นเอ่อออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ

    เธอจะไปที่นั่นแน่หรือดาวล้อม…



    รถเก๋งคันเก่าแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็ก ทว่าในความคับแคบนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวยังคงตลบอบอวลไปทั่วทุกอาณาบริเวณ

    ดาวล้อมยิ้มน้อยๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองซุ้มเฟื่องฟ้าที่เลื้อยอยู่บนหลังคาบ้าน เลยขึ้นไปเป็นระเบียงห้องนอนของแม่ มันเก่าทรุดโทรมแต่ก็สะอาดสะอ้านราวกับผู้เป็นเจ้าของห้องยังคงมีชีวิตอยู่ กระถางเปเปอร์โรเมียและเฟิร์นข้าหลวงตั้งสับหว่างกันไปตลอดแนวกำแพงระเบียง

    “พี่ดาว” หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาที่ระดับปกติ มอง ‘เดือนเด่น’ น้องชายคนเดียวที่เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น

    ถึงเดือนเด่น จะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของหล่อน แต่เขาก็ไม่มีญาติที่ไหนให้พึ่งพิงอีกแล้ว เมื่อสมัยที่ดาวล้อมยังเล็ก หล่อนจำได้ว่าอยู่ๆวันนึงก็มีน้องชายหน้าตาน่ารักโผล่เข้ามาในชีวิต ดาหวันผู้เป็นแม่มักจะฝากฝังให้ดาวล้อมดูแลน้องชายต่างสายเลือดคนนี้เสมอ

    จนกระทั่งเมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยจนไม่สามารถยึดอาชีพนักเขียนต่อไปได้ ดาวล้อมจึงก้าวออกมารับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวอย่างเต็มตัวและเต็มใจยิ่ง

    แต่หลายครั้งค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายของแม่ก็ทำเอาดาวล้อมถึงกับอดหลับอดนอน เดือนเด่นเองเมื่อทนไม่ไหวก็ช่วยแบ่งเบาภาระอีกแรงด้วยการไปรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟ และคงเพราะท่าทางตุ้งติ้งของเขา ที่ทำให้ถูกลูกค้ารังแกเสมอ สุดท้ายเมื่อรู้ความจริงดาวล้อมถึงกับออกปากสั่งห้ามไม่ให้น้องชายกลับไปทำงานที่นั่นอีก

    หล่อนจะลำบากให้ได้มากกว่าที่แม่เคยลำบาก อดทนให้ได้มากกว่าที่แม่เคยอดทน ขอเพียงสองชีวิตที่สำคัญยังคงอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข หยาดเหงื่อที่เสียไปก็นับว่าคุ้มนักหนาแล้วสำหรับดาวล้อมคนนี้

    “พรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้า เดือนดูแลตัวเองได้ใช่มั้ย” มือบางเอื้อมไปลูบผมเรียบแปล้ของน้องชายอย่างรักใคร่เอ็นดู

    “เดือนขอไปด้วยคนไม่ได้หรอฮะพี่ดาว” น้องชายออดอ้อน หากดาวล้อมจากบ้านนี้ไปอีกคน เขาก็เท่ากับเหลือตัวคนเดียว

    ดาวล้อมมองน้องชายเงียบๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ แต่แล้วภาพของผู้เป็นแม่ในนาทีสุดท้ายนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัว อะไรบางอย่างในแววตาเศร้าหม่นของแม่บอกหล่อนว่าที่นั่นอาจเต็มไปด้วยอันตรายและความยากลำบาก

    แม่รู้…เพราะบางทีแม่คงเคยเผชิญมันมากับตัว

    “เดือนอยู่ที่นี่แหละดีแล้ว เรายังต้องเรียนหนังสืออีกเทอมนึง พี่ไม่อยากให้เราทิ้งบ้านหลังนี้ไปกันหมด อีกอย่าง…พี่ห่วงแม่”

    “โธ่พี่ดาว อย่าพูดแบบนี้สิ เดือนยิ่งกลัวๆอยู่”

    “กลัวอะไร นั่นแม่เราแท้ๆ…อยู่เป็นเพื่อนแม่ ไปคุยกับแม่บ่อยๆนะเดือน อย่าปล่อยให้แม่เหงา” พี่สาวพูดเสียงเรียบเช่นเคย คนเป็นน้องชายเลยได้แต่พยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่วายหันมองหน้ามองหลังอย่างระแวง

    “แล้วพี่ดาวจะไปนานแค่ไหนฮะ” หญิงสาวสบตาน้องชายอีกครั้ง ความนิ่งงันคือคำตอบในยามนี้ ถึงใครจะมองว่าดาวล้อมเป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยวขนาดไหน แต่ลึกลงไปในใจ หญิงสาวก็ยังอดหวั่นไม่ได้…มนุษย์ก็คือมนุษย์ แท้จริงแล้วเปลือกที่แน่นหนาไม่อาจช่วยอะไรได้ เมื่อเนื้อในยังคงอ่อนแอและเปราะบาง

    เกาะนั่นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แน่ชัด มีเพียงแผนที่ที่วาดโดยคนเจ็บใกล้ตายเท่านั้น ได้แต่หวังว่าหล่อนจะไม่ต้องเสียเวลาและพลังงานไปกับการ ‘หลงทาง’ มากนัก


    วันรุ่งขึ้นดาวล้อมนั่งจดจ้องหนังสือพิมพ์รายวันฉบับดังที่เดือนเด่นจะออกไปหาซื้อมาให้เป็นประจำ รายการโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยตัวเองเลย วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีข่าวแปลกใหม่ นอกจากเรื่องราวการรบราฆ่าฟันกันเองของมนุษย์ ข่าวเสียหายที่ทำให้วงการศาสนาเสื่อมถอย นักการเมืองออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเพื่อท้ายที่สุดก็หมายเพียง ‘อำนาจ’ เหมือนๆกันหมด

    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความคิด หญิงสาวเบนสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์ไปที่ตัวต้นเสียง

    “สวัสดีค่ะ บก.” กรอกเสียงเรียบเรื่อยตามนิสัย

    “นั่นคุณอยู่ไหนน่ะดาว" หล่อนตอบคำถามตามความจริง หลังจากซักตามมารยาทอยู่สองสามข้อปลายสายก็เข้าเรื่อง

    “เมื่อวานคุณมาหาผมที่บริษัทมีอะไรหรือเปล่า”

    “ค่ะ…คือดาวจะขอลางานค่ะ ดาวมีธุระด่วน”

    “ได้สิ จะลาไปกี่วันล่ะ”

    “สามเดือนค่ะ”

    “หา !?” น้ำเสียงคนโทรมาบ่งบอกถึงความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด…สามเดือนนั่นจะลาพักร้อนหรือลาออกกันแน่นะ

    “คิดว่าบางทีดาวอาจไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกเขียนต้นฉบับส่งให้ แต่จะพยายามรีบกลับมาค่ะ บก. คงเข้าใจนะคะ มันจำเป็นมากจริงๆ”

    “แล้วนั่นดาวจะไปไหน ตั้งสามเดือนเชียว”

    “ไปทำธุระสำคัญค่ะ บก. ขอโทษด้วยจริงๆค่ะ”

    “อืม งั้นยังไงผมจะหาคนอื่นมาดูแลส่วนของคุณแทนก่อน คงไม่มีปัญหาอะไรมาก ว่าแต่…”

    “ขอบคุณมากค่ะ” ดาวล้อมไม่รีรอฟังคำถามต่อไปจากเจ้านาย หล่อนตัดขาดการสนทนาทันที อาชีพนักเขียนอิสระอย่างหล่อนไม่เคยต้องซีเรียสกับเวลางานมากนัก จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อนหล่อนได้มีโอกาสมาเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารเกิดใหม่ฉบับนี้ คอลัมน์ท่องเที่ยวจึงทำให้หล่อนต้องหมั่นเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ข้อดีของมันก็คือการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น แถมพล็อตนิยายใหม่ๆ ยังผุดขึ้นในหัวสมองราวกับดอกเห็ดอีกด้วย

    ที่หล่อนต้องการคุยกับบรรณาธิการนิตยสารคนนี้ ก็เพราะไม่อยากทิ้งงานไปเสียเฉยๆ หล่อนไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีเวลาให้หล่อนได้ติดต่อกลับมาหาคนที่กรุงเทพมากน้อยแค่ไหน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าทั้งการไปและการกลับในครั้งนี้…อาจไม่ราบรื่นนัก

    “เนินดาหวันงั้นหรือ ?”

    หญิงสาวทบทวนข้อข้องใจอีกข้อหนึ่ง เบาะแสซึ่งเป็น ‘สถานที่’ จากปากแม่ของหล่อน ยิ่งคิดยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาด และน่าพิศวงยิ่งนัก หากแต่ในหัวใจดวงน้อยๆกำลังเต้นรัว บางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวบอกให้หล่อนกลับไปค้นหาความจริงที่นั่นด้วยตัวเอง

    เกาะดาวล้อม…ใช้ชื่อของตัวหล่อน

    เนินดาหวัน…ใช้ชื่อของผู้หญิงที่นอนไร้ลมหายใจอยู่ในโลงศพ

    แม่ย้ำกับหล่อนนักหนาถึงชื่อของทั้งสองสถานที่นี้…ถึงตอนนี้อย่าว่าแต่คนตายเลยที่จะนอนตาไม่หลับ แม้แต่คนเป็น ที่ยังคงมีลมหายใจอยู่ตรงนี้เองก็แทบเร่งเวลาให้ถึงวันที่ปริศนาทุกอย่างกระจ่างเสียที

    หล่อนจะข่มตานอนหลับสบายอยู่ในเมืองหลวงเมืองฟ้าแบบนี้ต่อไปได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งอย่างที่ออกจากปากของดาหวันในวาระสุดท้ายนั้น มันเกี่ยวโยงถึงตัวหล่อนชัดเจนถึงเพียงนี้ !

    และบางทีสิ่งที่ได้กลับมา อาจไม่ใช่เพียงแค่รูปถ่ายใบเก่ากับแหวนเงินวงนั้น…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×