ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฮองเฮาตำหนักเย็น krislay

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ เจ็ด

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 64


     

     

     

     

    ตอนที่ ๗

     

     

     

    กลางดึกคืนหนึ่ง อู๋หมิงที่นอนหลับอยู่ที่ห้องพักรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นไหม้ของบางสิ่งจนปลุกให้เขาตื่นก่อนที่อู๋หมิงจะเดินออกจากห้องก็พบกลุ่มควันมากมายจากตำหนักเย็นโดยที่มีเพลิงลุกไหม้มาจากเล้าไก่ลามไปที่ตำหนักฮองเฮา

    “ไฟไหม้! แย่แล้วไฟไหม้!”

    อู๋หมิงตกใจร้องออกมาแล้วรีบวิ่งไปปลุกซื่อซื่อที่ห้อง

    “ซื่อซื่อ  แย่แล้วไฟไหม้ไฟไหม้ตำหนักฮองเฮา”

    อู๋หมิงตบประตูเรียกก่อนที่ซื่อซื่อจะรีบลุกจากเตียงมาเปิดประตูให้อู๋หมิง

    “ฮองเฮาละ”

    ซื่อซื่อรีบวิ่งมาที่ตำหนักพลางร้องถามอู๋หมิงไปด้วย

    “ยังไม่เห็น  ข้าคิดว่าฮองเฮาน่าจะยังอยู่ในตำหนัก”

    อู๋หมิงตอบอย่างร้อนรน

    “ไปตามคนมาเร็วทางนี้ข้าจะพยายามดับไฟ”

    “ได้”

    อู๋หมิงพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปก่อนที่ซื่อซื่อจะไปหยิบถังไม้มาตักน้ำแล้วสาดไปทางตำหนัก

    “ฮองเฮาเพคะ  ฮองเฮาท่านอยู่ที่ใดเพคะ”

    ซื่อซื่อร้องเรียกไปด้วยความหวาดกลัวในใจก็ภาวนาให้อี้ชิงออกมาแล้ว

    แต่สิ่งที่ซื่อซื่อภาวนากลับไม่เป็นจริงเพราะอี้ชิงยังคงติดอยู่ภายในตำหนักร่างเล็กสำลักควันไฟอยู่ล่างเตียงเพราะเขาพยายามที่จะออกไปด้านนอกแต่ก็ทำไม่ได้ไฟได้ล้อมรอบตำหนักของเขาอยู่จนเขาไม่รู้จะออกไปได้อย่างไรดี

    “แค่กๆ”

    อี้ชิงไอออกมาหลายครั้งเขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกว่าจะรู้ตัวเพลิงก็ลุกลามไปทั่วแล้ว

    “ฮึ่ก. . .ข้าคงต้องตายอยู่ที่นี้หรือ ท่านย่าข้ายังไม่ได้กลับไปหาท่านเลยฮึ่ก”

    อี้ชิงร้องไห้ออกมาอย่างจนหนทางมองไปรอบตัวก็เจอแต่สีแดงของเพลิงที่ลุกไหม้อยู่จนคานบางส่วนหล่นลงมา

    “ซื่อซื่อ ฮือช่วยข้าด้วย”

    อี้ชิงร้องเรียกสุดเสียงก่อนจะไอออกมาอีกครั้งอี้ชิงได้แต่ภาวนาว่าสวรรค์ยังคงจะเห็นใจให้เขารอดออกไปจากที่นี้

     

    เวลาเดียวกันที่ตำหนักใหญ่

    “ช่วยด้วย ช่วยด้วยไฟไหม้ที่ตำหนักเย็นขอรับ”

    อู๋หมิงที่วิ่งมาเจอเข้ากับขันทีหน้าห้องฝ่าบาทพูดบอกอย่างร้อนรน

    “เอะอะโวยวายอะไรเสียงดังที่ตำหนักใหญ่ เจ้าอยากโดนลงโทษหรืออย่างไร”

    “ขอประทานอภัยท่านหัวหน้าขันที ตอนนี้ที่ตำหนักเย็นเกิดเพลิงไหม้ได้โปรดไปช่วยฮองเฮาของพวกเราด้วยขอรับ”

    อู๋หมิงบอกก่อนที่ประตูห้องตำหนักใหญ่จะเปิดออก

    “เจ้าว่าอะไรนะ”

    อี้ฝานถามเมื่อเขายังไม่ได้นอนแล้วได้ยินเสียงเอะอะจากข้างนอกทำให้เขาต้องเดินออกมาดู

    “ที่ตำหนักเย็นเกิดเพลิงไหม้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

    หัวหน้าขันทีหันไปบอก

    “รีบนำคนไปดับไฟ  แล้วอี้หมิงละ”

    “น่าจะติดอยู่ภายในพ่ะย่ะค่ะ”

    อู๋หมิงตอบก่อนที่อี้ฝานจะรีบไปหยิบชุดคลุมมาใส่

    “รีบๆไปเกณฑ์คนไปที่ตำหนักเย็น”

    อี้ฝานสั่งก่อนจะรีบเดินนำไปที่ตำหนักเย็นตามด้วยอู๋หมิงและหัวหน้าขันที

    หลังจากที่มาถึงตำหนักอี้ฝานก็เจอกับซื่อซื่อที่กำลังตักน้ำมาดับไฟแต่ก็ไม่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเพราะผู้หญิงคนเดียวคงทำให้เพลิงดับไม่ได้หรอกก่อนที่เหล่านางกำนัลและบ่าวไพร่ต่างๆจะเข้ามาช่วยกันตักน้ำมาดับไฟ

    “อี้หมิงละ”

    “ออกมาไม่ได้เพคะ”

    ซื่อซื่อตอบไปด้วยร้องไห้ไปด้วย

    “ทำไมถึงเกิดไฟไหม้ขึ้นได้”

    อี้ฝานถามก่อนที่ซื่อซื่อและอู๋หมิงจะส่ายหน้า

    “ไม่มีใครรู้พ่ะย่ะค่ะหม่อมฉันตื่นมาก็เพราะได้กลิ่นไหม้ออกมาดูเพลิงก็ลุกลามไปทั่วแล้ว”

    อู๋หมิงตอบ

    “ฮองเฮาเพคะ  ได้ยินไหมเพคะ”

    ซื่อซื่อตะโกนเรียกไปด้วยใจเธอนั้นอยากจะฝ่าเพลิงเข้าไปด้านในไปช่วยอี้ชิงถึงแม้อีกฝ่ายจะเข้ามาอยู่ในร่างของนายเหนือหัวของเธอไม่นานแต่ตลอดระยะเวลาสั้นๆที่เธอได้อยู่กับอี้ชิงนั้นอี้ชิงป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หน้าสงสารจะตายก้ไม่ได้ตายต้องมาอยู่ในร่างของใครก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครก็ไม่ได้

    “ช่วยด้วย แค่กๆ  ช่วยข้าด้วยฮือ แค่กๆ”
    เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากด้านในทำเอาซื่อซื่อและอู๋หมิงถึงกลับหวาดกลัวว่าจะไปช่วยอีกคนไม่ได้

    อี้ฝานมองเพลิงที่ลุกไหม้อย่างใจเย็นแต่เพียงได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ดังออกมาจากด้านในก็ทำเอาใจเขาร้อนรุ่มก่อนที่ร่างสูงจะมองไปรอบๆเพื่อหาทางที่จะเข้าไปช่วยอี้หมิง

    ก่อนที่อี้ฝานจะถอดผ้าคลุมที่ใส่อยู่ออกแล้วเดินเอาผ้าคลุมไปชุบน้ำจนเปียกก่อนจะเดินนำผ้ามาคลุมตัวเองแล้วจะฝ่าเพลิงเข้าไป

    “ฝ่าบาทอย่าเข้าไปเลยพ่ะย่ะค่ะ  มันอันตราย”

    อู๋หมิงว่าเพราะถ้าหากให้เขาเข้าไปคงจะดีกว่าที่จะให้อีกฝ่ายเข้าไป

    “ข้าเข้าไปนะดีแล้ว ถ้าไปช้าอี้หมิงอาจจะไม่รอด”

    อี้ฝานว่าก่อนที่จะวิ่งเข้าไป

    “ฝ่าบาท!!”

    เหล่าบ่าวไพร่ต่างร้องออกมากอย่างตกใจ

    “พวกเจ้าก็รีบๆช่วยกันตักน้ำมาดับไฟ  แล้วเจ้าก็ไปเรียกคนมาอีกไปเร็วๆ”

    หัวหน้าขันทีหันมาสั่งเหล่าบ่าวไพร่ก่อนที่ตัวเขาจะไปตักน้ำมาดับไฟตามด้วยซื่อซื่อและอู๋หมิง

     

    เวลาเดียวกันหลังจากที่วิ่งเข้ามาอี้ฝานก็ไอออกมาแล้วพยายามมองหาอี้หมิงไปทั่วห้องก่อนจะเจอร่างเล็กนั่งอยู่ที่พื้นเอาตัวพิงเตียงเอาไว้คล้ายคนหมดสติ

    “อี้หมิง! อี้หมิง!”

    อี้ฝานวิ่งเข้าไปหาก่อนจะเรียกอี้หมิงเบาๆแต่พออีกฝ่ายไม่ตอบคล้ายหมดสติไปแล้วทำให้อี้ฝานถอดผ้าคลุมออกคลุมอี้ชิงแล้วอุ้มร่างของอีกคนฝ่ากองเพลิงออกมาอย่างทุลักทุเล

     “ฝ่าบาท!!  ไปตามหมอหลวง!!”

    หัวหน้าขันทีตะโกนบอกก่อนที่จะถอดผ้าคลุมออกมาคลุมให้อี้ฝาน

    “ข้าจะพาอี้หมิงไปที่ตำหนักใหญ่ ท่านช่วยสั่งการให้หัวหน้ากองปราบไปสืบว่าทำไมที่ตำหนักเย็นถึงเกิดเพลิงไหม้ ส่วนเจ้าตามข้าไปดูแลอี้หมิง”

    อี้ฝานบอกแล้วอุ้มอี้หมิงไปที่ตำหนักใหญ่ตามด้วยซื่อซื่อที่เดินตามอี้ฝานไปส่วนอู๋หมิงก็ช่วยคนที่เหลือตักน้ำมาดับไฟส่วนหัวหน้าขันทีก็รีบไปที่กองปราบทันที

    อี้ฝานเดินกลับตำหนักอย่างรีบร้อนก่อนที่เหล่านางกำนัลบางส่วนก็รีบไปเตรียมของและเข้ามาช่วยอี้ฝานก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆวางอี้หมิงลงบนเตียง

    “หมอหลวงละ”

    อี้ฝานหัน-ปถามนางกำนัลที่นำผ้าและกะละมังเข้ามา

    “ให้คนไปตามแล้วเพคะ อีกไม่นานคงจะมาถึง”

    “ข้าฝากเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อี้หมิงด้วย”

    อี้ฝานพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันมาสั่งซื่อซื่อแล้วเดินออกไปอีกห้องเพื่อเปลี่ยนชุด

    “เพคะ”

    ซื่อซื่อย่อกายรับคำก่อนจะรีบเข้ามาเปลี่ยนชุดและเช็ดตามเนื้อตัวให้อี้หมิงไปด้วย

    “ฝ่าบาท  หมอหลวงมาแล้วเพคะ”

    นางกำนัลพูดบอกอี้ฝานที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ที่หลังฉากกั้น

    “ดี เข้าไปตรวจอี้หมิงได้แล้ว”
              “เพคะ”
              ไม่นานหมอหลวงก็รีบเข้าไปตรวจอาการอี้หมิงที่เตียงก่อนจะเดินออกมา

    “ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ  ฮองเฮาน่าจะสูดควันไฟเข้าไปมาจนทำให้หมดสติอีกไม่นานน่าจะฟื้น”

    “ท่านตรวจดีแล้วใช่ไหม”
            “พ่ะย่ะค่ะ  ฮองเฮาอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย ดังนั้นหม่อมฉันจะสั่งยาบำรุงเอาไว้ให้ยามที่ฮองเฮาฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”

    “ดี ขอบใจท่านมาก”

    อี้ฝานบอกก่อนหมอหลวงจะโค้งแล้วเดินออกจากห้องไปก่อนที่อี้ฝานจะเดินเข้าไปดูอี้ชิงที่นอนหมดสติอยู่บนเตียงของเขา

    “คืนนี้เจ้าก็เฝ้าฮองเฮาอยู่ที่นี้ก็แล้วกัน”

    อี้ฝานพูดบอกซื่อซื่อ

    “แล้วฝ่าบาทละเพคะ”

    “ข้าจะไปนอนอีกห้องแล้วกัน  ถ้าหากมีอะไรให้เรียกทหารได้”

    “ขอบพระทัยเพคะ”

    ซื่อซื่อย่อกายเคารพก่อนที่อี้ฝานจะเดินออกจากห้องไปเหลือเพียงซื่อซื่อและอี้หมิงที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง

    เวลาเดียวกันตำหนักเฟยอี้

    เมิ่งหลานทุบโต๊ะอย่างเคียดแค้น

    “ตอนนี้ฝ่าบาทพาฮองเฮาไปที่ตำหนักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

    ขันทีเหว่ยพูดบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้เมิ่งหลานอารมณ์เสียเพิ่มมากขึ้น

    “ทำไมมันถึงยังไม่ตายไปเสีย”

    “ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังให้คนที่กองปราบสืบสวนเรื่องนี้อยู่พ่ะย่ะค่ะ  พระสนมกระหม่อมอยากให้พระสนมตอนนี้อยู่นิ่งๆก่อนพ่ะย่ะค่ะ  พวกเขาอาจจะสาวมาถึงพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”

    ขันทีเหว่ยพูดบอกก่อนที่เมิ่งหลานจะเขวี้ยงแก้วชาทิ้งลงพื้นเสียงดัง

    “พวกมันจะสาวมาไม่ถึงข้าหรอก  ท่านก็รู้ว่าพ่อของข้าเป็นใคร”

    เมิ่งหลานว่าแล้วลุกขึ้น

    “แต่พระสนม. . .”

    “ท่านหยุดพูดได้แล้ว  แค่มันยังไม่ตายข้าก็อารมณ์เสียมากพอแล้ว”

    “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
            “ตอนนี้มันอยู่ที่ตำหนักใหญ่ใช่ไหม”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    “ดี พรุ่งนี้เจ้าให้คนครัวเตรียมของ ข้าจะไปที่ตำหนักใหญ่ไปเยี่ยมฮองเฮาเสียหน่อย”
            เมิ่งหลานว่า

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    “พวกท่านออกไปได้แล้ว  ข้าจะพักผ่อน”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ขันทีเหว่ยโค้งให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปส่วนเมิ่งหลานก็เดินกลับเข้าไปนอนในห้อง

     

     

     

     

    **********

     

     

     

    รุ่งสาง

    อี้ชิงลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆก่อนจะมองไปรอบๆตัวอย่างแปลกใจก่อนจะหันไปเจอกับซื่อซื่อที่นั่งหลับอยู่ข้างๆเตียง

    “ซื่อซื่อ”
            อี้ชิงเรียกเบาๆก่อนที่ซื่อซื่อจะลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ

    “ฮองเฮา  ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่เพคะ”
            ซื่อซื่อรีบเข้ามาประคองช่วยอี้ชิงให้ลุกขึ้นนั่ง

    “ไม่ ข้าไม่ได้เจ็บอะไร ใครเป็นคนช่วยข้าออกมาหรือ”
             อี้ชิงถามแล้วมองไปรอบๆตัวอีกครั้งเพราะสถานที่แห่งนี้เข้าไม่เคยเห็นมาก่อน

    “ฝ่าบาทเพคะ  ฝ่าบาทฝ่ากองเพลิงเข้าไปช่วยท่านออกมา”
            ซื่อซื่อตอบทำเอาอี้ชิงเบิกตาโตอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    “แล้วที่แห่งนี้. . .”

    “ตำหนักใหญ่เพคะ  ตำหนักของฝ่าบาท”

    “แล้ว. . .ฝ่าบาทละ”

    “อยู่อีกห้องเพคะ  ฝ่าบาทให้ท่านพักที่ห้องนี้ก่อน  ตอนนี้ตำหนักเย็นโดนเพลิงไหม้จนเสียหายทั้งหมดเลยเพคะ”

    ซื่อซื่อตอบก่อนจะไปยกชามาให้อี้ชิงดื่ม

    “ขอบใจ”

    อี้ชิงว่าแล้วรับแก้วชามาดื่ม

    “งั้นหม่อมฉันจะออกไปเรียนให้ฝ่าบาททราบว่าท่านฟื้นแล้ว”
            ซื่อซื่อบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหลือเพียงอี้ชิงที่นั่งอยู่บนเตียง

    “ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
            ซื่อซื่อที่เดินกลับเข้ามารีบเดินมาบอกอี้ชิงก่อนที่อี้ชิงเตรียมที่จะลุกจากเตียง

    “ไม่ต้องลุกหรอก”

    อี้ฝานร้องบอกเมื่อเดินเข้ามาเห็นอี้ชิงที่กำลังเตรียมจะลุก

    “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
            อี้ชิงบอกก่อนที่อี้ฝานจะเดินมาหยุดข้างเตียง

    “เป็นอย่างไรบ้าง”

    “ขอบพระทัยที่ช่วยหม่อมฉันเอาไว้”
            อี้ชิงพูดบอกก่อนที่อี้ฝานจะพยักหน้าเบาๆแล้วมองร่างเล็กตรงหน้า

    “หมอหลวงละ”

    “นางกำนัลกำลังไปตามเพคะ”

    “เหตุใดตำหนักเย็นถึงเกิดไฟไหม้ได้”

    อี้ฝานถามก่อนที่อี้ชิงจะเงยหน้ามองอี้ฝานแล้วส่ายหน้า

    “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน  ตื่นขึ้นมาไฟก็ลามไปทั่วแล้ว”

    อี้ชิงตอบ

    “ไม่ใช่เจ้าทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอกรึ”

    อี้ฝานถามเพราะเขาต้องการรู้สาเหตุที่เกิดไฟไหม้ครั้งนี้และเขาก็คิดว่าอี้หมิงไม่น่าจะทำเพราะหากจะทำแบบนี้คงทำไปนานแล้ว แต่เขาต้องการถามเพื่ออยากรู้ว่าอี้หมิงจะตอบเขาว่าอย่างไร

    “เฮ้อ”
            อี้ชิงถอนหายใจออกมาเขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าฝ่าบาทจะต้องคิดแบบนี้เพราะดูเหมือนว่าตอนที่อี้หมิงยังมีชีวิตอยู่อีกฝ่ายไม่เคยที่จะเชื่อในสิ่งที่อี้หมิงพูดเลยและตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น

    “ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าท่านต้องคิดจะถามแบบนี้”

    อี้ชิงว่าแล้วมองอี้ฝานนิ่ง

    “แต่ข้าจะบอกท่านเอาไว้  ว่าถ้าข้าอยากจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แบบเมื่อคืนข้าไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนแบบนี้หรอก  ข้าเผาตำหนักท่านยังจะดีกว่าอีก”
    อี้ชิงว่า

    “ฮองเฮาเพคะ”

    ซื่อซื่ออุทานออกมาอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินแล้วทรุดนั่งข้างๆอี้ชิงพร้อมกับจับมืออีกฝ่ายเอาไว้เพื่อเรียกสติ

    “ก็ข้าพูดจริง  เผาตำหนักใหญ่ยังจะดีกว่าอีก”
            อี้ฝานตกตะลึงกับคำตอบที่ได้ยินมองอี้หมิงอย่างไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดกับเขาแบบนี้

    “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำเรื่องนี้”

    “ก็ใช่นะสิ  ถึงแม้ข้าจะอยากเรียกร้องความสนใจจากท่านข้าไม่ก็ทำเรื่องแบบนี้หรอก เกือบได้ตายอีกรอบ”

    อี้ชิงว่าแล้วเมินไปทางอื่น

    “ตายอีกรอบ?”

    อี้ฝานขมวดคิ้วก่อนที่อี้ชิงจะชะงักแล้วหันมามองซื่อซื่ออย่างตกใจ

    “ฮองเฮาน่าจะยังสับสนอยู่  ฝ่าบาทโปรดอย่าถือสาเลยเพคะ”

    ซื่อซื่อหันมาบอกก่อนที่อี้ชิงจะหลุดพูดอะไรออกไปให้อี้ฝานมองว่าอี้ชิงเป็นบ้าไปเสียก่อน

    “ได้ ข้าจะเชื่อว่าเรื่องเพลิงไหม้เจ้าไม่ได้ทำ  ตอนนี้ข้าให้ฝ่ายกองปราบสืบเรื่องนี้อยู่และข้าจะคืนฐานะเดิมให้เจ้ากลับมาอยู่ที่นี้”
            อี้ฝานบอกเพราะเขาคิดมาทั้งคืนสำหรับเรื่องนี้เพราะถ้าหากคนที่ทำเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องใต้เท้าเหรินตอนนี้อี้หมิงกำลังตกอยู่ในอันตรายและเขาต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างให้เร็วที่สุด

    “ที่นี้?”

    “ใช่ อยู่ที่นี้กับข้า”
    อี้ฝานตอบก่อนที่อี้ชิงจะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    “เพราะถ้าหากเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของใต้เท้าเหริน ตอนนี้เจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายและข้าก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายๆในวังอีก”
    อี้ฝานตอบ

    “เอ่อ. . .ข้าว่าให้ข้ากลับไปอยู่ที่ตำหนักเดิมแล้วท่านให้ทหารมาคุ้มกันไม่ดีกว่าหรือ”
    อี้ชิงถามเพราะถ้าหากอยู่ร่วมกันอีกฝ่ายต้องจับได้แน่ๆว่าคนที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่อี้หมิงคนเดิมแล้วแต่เป็นอี้ชิง

    “ยังไงก็คงไม่ดีเท่านที่นี้ เพราะทหารที่คุ้มกันตำหนักข้าเป็นคนของข้าที่ข้าคัดมา แต่ถ้าหากเจ้ากลับไปทหารที่คุ้มกันเจ้าข้าไม่แน่ใจว่าจะคนของฝ่ายนั้นหรือไม่ถ้าเกิดมีเจ้าอาจจะไม่รอดมาแบบนี้ได้อีก”

    อี้ชิงเม้มปากอย่างคิดหนักอยู่ที่ไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นทำไมไมให้เขาตายๆไปซะทุกอย่างจะได้จบไม่ต้องวุ่นวายแบบนี้

    “ทำตามที่ฝ่าบาทบอกเถอะเพคะ  ตอนนี้เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถึงขั้นวางเพลิงแล้วท่านยังรอดมาได้แบบนี้ข้าว่าอีกฝ่ายคงไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้แน่ๆเพคะ”

    ซื่อซื่อว่าเพราะเธอกังวลมากๆจริงว่าต่อจากนี้อี้ชิงจะโดนอะไรอีก

    “ฟังข้าสักครั้ง หากเจ้าเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา พ่อแม่เจ้าคงเสียใจมาก”

    อี้ฝานพูดบอกก่อนที่อี้ชิงจะลังเล

    “รักษาชีวิตเอาไว้ เพื่อกลับไปหาท่านยายกับน้องๆไงเพคะ”

    ซื่อซื่อกระซิบบอกเพราะซื่อซื่อรู้ดีว่าที่อี้ชิงยอมทำทุกอย่างอยู่ที่นี้ก็เพื่อได้มีชีวิตรอดกลับไปตามหาท่านยายและน้องๆ

    “ก็ได้  ข้าจะทำตามที่ท่านบอก”

    “ตอนสายท่านก็ประกาศให้ทุกคนรู้ด้วยว่าข้าคืนยศให้อี้หมิง”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    หัวหน้าขันทีโค้งรับคำก่อนที่อี้ฝานจะเดินออกจากห้องไป

     

     

    ช่วงสาย

    ไม่นานราชโองการคืนยศให้อี้หมิงก็กระจายไปทั่ววังและสร้างความยินดีให้กับเหล่าคนที่สนับสนุนอี้หมิงแต่สำหรับคนที่ไม่ได้สนับสนุนอี้หมิงต่างเริ่มออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

    “อี้หมิงปลอดภัยดีใช่ไหม”

    ไทเฮาเหยียนเฟยพระมารดาขององค์ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นเมื่ออี้ฝานมาหาที่ตำหนักในช่วงสาย

    “พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”

    “แม่ดีใจที่เจ้าคืนยศให้อี้หมิง เพราะเรื่องคราวก่อนยังไม่กระจ่างว่าอี้หมิงทำให้เมิ่งหลานแท้งจริงหรือไม่ เจ้าก็ลงโทษอี้หมิงไปเสียแล้ว”

    “ที่ลูกคืนยศให้เพราะกลัวว่ามีคนทำร้ายอี้หมิงพ่ะย่ะค่ะ”
            “แม่รู้  แม่รู้ว่าวังหลังนั้นน่ากลัวเพียงใด ตำแหน่งฮองเฮาตำแหน่งอันสูงส่งที่ไม่ว่าหญิงคนไหนก็อยากได้อยากครอบครอง และเรื่องที่วางเพลิงดูจะสิ้นคิดไปเสียหน่อยนะ”

    เหยียนเฟยว่าเพราะถ้าหากจับได้ไม่ใช่เพียงแค่ปลดออกจากตำแหน่งแน่

    “บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการตายของใต้เท้าเหรินพ่ะย่ะค่ะ”

    “แม่ก็คิดแบบนั้น เจ้าก็ลองคิดดูว่าใครจะได้ผลประโยชน์จากการตายของอี้หมิง”

    “คนที่ได้ผลประโยชน์หรือพ่ะย่ะค่ะ”

    “ใช่ คนที่จะได้ประโชน์หากอี้หมิงตาย เช่นตำแหน่งฮองเฮา”

    เหยียนเฟยว่าเพราะเธอก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เช่นกันแต่เพราะตอนนั้นเธอมีอำนาจของบิดาที่คอยหนุนอยู่เลยทำให้ใครก็ทำอะไรเธอไม่ได้แต่กับอี้หมิงแล้วนั้นไม่ใช่เพียงแค่บิดาของอี้หมิงเท่านั้นที่มีอำนาจแต่ก็มีขุนนางบางคนที่มีอำนาจพอๆกับบิดาของอี้หมิงที่ต้องการให้ลูกของตนขึ้นเป็นฮองเฮาเพื่อเสริมบารมีของครอบครัว

    “คนที่แม่คิดคือ สนมเมิ่งและสนมเซียง”

    เหยียนเฟยว่าก่อนจะยกแก้วชาขึ้นจิบ

    “เมิ่งหลานคงไม่ใช่หรอกพ่ะย่ะค่ะ  นางเพิ่งแท้งลูกไป”

    “แล้วเจ้าไม่คิดว่านางจะทำให้ตนเองแท้งลูกบ้างหรือ”
    เหยียนเฟยว่าเพราะในตอนที่เธอเป็นสนมมีสนมบางคนทำให้ตัวเองแท้งเพื่อโยนความคิดไปให้คนอื่นเพื่อได้รับโทษและตัดคู่แข่งออกไป

    “แต่ท่านแม่. . .ถ้าทำแบบนั้นจริง. . .”

    “แม่รู้ว่าเจ้าไม่คิดว่าสนมเมิ่งทำนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าและเจ้าก็โปรดสนมเมิ่งมากแม่รู้ฝ่าบาท แต่แม่อยากให้เจ้าคิดเอาไว้ว่าบางคนอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าคิดก็ได้ อย่าลืมว่าในวังหลังแห่งนี้มีเพียงศัตรูเท่านั้นและผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ตำแหน่งฮองเฮา”

    เหยียนเฟยพูดเตือนสติลูกชายเพราะนางเคยผ่านมาแล้วเรื่องราวในวังหลังนั้นน่ากลัวและดำมืดมากกว่าที่ลูกชายของเขาคิด และเหยียนเฟยก็รู้ดีว่าอี้หมิงนั้นต้องทำเป็นร้ายเพื่อปกป้องตัวเองและตำแหน่งที่ใครๆต่างก็อยากได้ หากไม่ร้ายให้คนอื่นกลัวแล้วละก็อี้หมิงอาจจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้

    “กลับไปคิดให้ดีฝ่าบาท  เปิดใจเสียหน่อยอี้หมิงก็เป็นเด็กดีคนหนึ่งและอี้หมิงก็รักเจ้ามาก บางทีเรื่องราวทุกอย่างอาจจะกระจ่างในไม่ช้า”

    เหยียนเฟยบอกเมื่อเห็นสีหน้าของลูกชายที่กำลังคิดมากถึงเรื่องที่เธอบอกไป

    “ขอบพระทัยเสด็จแม่”
            “ตอนนี้อี้หมิงก็อยู่ที่ตำหนักของเจ้าใช่ไหม”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    “แม่ว่าจะเข้าไปเยี่ยมอี้หมิงสักหน่อย  คงขวัญเสียไม่น้อย”

    “พ่ะย่ะค่ะ  งั้นลูกขอทูลลา”

    เหยียนเฟยพยักหน้าก่อนที่อี้ฝานจะลุกเดินออกจากตำหนักไป

    “ไปบอกคนครัวว่าเตรียมขนมเฉียนถั่วให้ข้าด้วย ข้าจะเอาไปเยี่ยมอี้หมิง”

    “เพคะไทเฮา”

    นางกำนัลรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเหลือเพียงไทเฮาที่นั่งจิบชายามสายอยู่ที่ตำหนัก

     

     

     

     

     

    ******************************************

    มาแล้วค่าาาา

    ตอนนี้แบบยาวๆเลย

    เจอกันตอนหน้าค่าาาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×