คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ห้า
ตอนที่ ๕
ช่วงค่ำ
ฉิงฉินเดินมาที่คุกหลวงพร่อมกับถือตะกร้าอาหารไว้ในมือดวงตากลมของสาวใช้ตัวเล็กรอบมองไปรอบๆอย่างระแวดระวังก่อนจะโดนทหารยามหน้าคุกยกมือขึ้นห้ามเมื่อหญิงสาวกำลังจะเดินมาถึงที่คุมขังเหล่านักโทษ
“ข้านำของกินมาให้ใต้เท้าเหริน”
ทหารยามได้ยินก็เอื้อมมือมาเปิดดูด้านในก่อนจะปิดเอาไว้เหมือนเดิมแล้วให้หญิงสาวเดินเข้าไปด้านในได้
ฉิงฉินถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอกก่อนที่หญิงสาวจะรีบเดินไปหาใต้เท้าเหรินถูกจองจำอยู่ที่ห้องขัง
“พระสนมเมิ่งว่าอย่างไรบ้าง”
ใต้เท้าเหรินที่นั่งอยู่ที่พื้นสกปรกรีบลุกขึ้นแล้วคลานเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาหาที่หน้าห้องขัง
“พระสนมบอกว่าท่านไม่ต้องห่วง พระสนมจะช่วยท่านเอง”
เหรินซงหลานยิ้มออกมาอย่างโล่งอก เพราะเขาคิดเอาไว้แล้วว่าพระสนมจะต้องมาช่วยเขาแน่ๆ
“พระสนมบอกให้ข้าเตรียมสำรับพวกนี้มาให้ท่าน”
ฉิงฉินบอกพร้อมกับหยิบอาหารในตะกร้าส่งเข้าไปให้เหรินซงหลาน
“ข้าต้องขอตัวก่อน หากอยู่นานอาจจะโดนสงสัยเอาได้”
เหรินซงหลานพยักหน้ารับก่อนที่ฉิงฉินละลุกแล้วเดินออกจากคุกหลวงกลับไปที่ห้องพักเพื่อที่จะเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นพกติดตัวไปหาคนรักตามที่พระสนมเมิ่งได้ให้คำสัญญาเอาไว้
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ฉิงฉินจะรีบพัยม้วนห่อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินไปที่ประตูก่อนจะค่อยๆแง้มประตูออกก่อนจะเจอเข้ากับขันทีเหว่ย
“ชู่ พร้อมหรือยัง”
“เจ้าค่ะ”
“ตามข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
ฉิงฉินพยักหน้าก่อนจะออกจากห้องแล้วเดินตามขันทีเหว่ยออกจากวังทางประตูด้านหลังที่เมื่อทหารยามเห็นขันทีเหว่ยก็โค้งให้ก่อนที่พวกเธอจะออกจากวังได้อย่างง่ายดาย
“จะไม่เป็นไรรึเจ้าคะที่พวกเขาเห็นเราเช่นนี้”
“เจ้าอย่าได้กังวลไป
“ทหารพวกนั้นเป็นคนของพระสนม เรื่องที่เจ้าออกจากวังไปในคืนนี้จะไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้”
ฉิงฉินหมดข้อสงสัยก่อนจะเดินตามขันทีเหว่ยไปเรื่อยๆจนเข้าสู่เขตป่า
“ท่านขันที คนรักของข้าเล่า”
ฉิงฉินถามก่อนที่ขันทีเหว่ยจะหยุดเดินทำให้หญิงสาวต้องหยุดตาม
“เดินต่อไปอีกหน่อยเจ้าจะเจอบ้านร้าง ข้าให้เขารอเจ้าอยู่ที่นั้น แล้วอย่าลืมว่าเรื่องในวันนี้เจ้าต้องลืมไปให้หมดแล้วหนีไปให้ไกลที่สุด”
ขันทีเหว่ยหันมาพูดบอก
“เจ้าค่ะ ท่านได้โปรดวางใจเรื่องในวันนี้จะไม่มีใครได้ล่วงรู้”
“ดี เจ้ารีบไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านขันที”
ฉิงฉินโค้งให้อย่างงดงามที่สุดก่อนจะรีบเดินไปตามที่ขันทีเหว่ยบอก
ขันทีเหว่ยมองตามหญิงสาวที่เดินไปตามที่เขาบอกก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วออกเดินเพื่อกลับวัง
“กรี๊ดดด”
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นทำให้ขันทีเหว่ยยิ้มออกมาแล้วออกเดินต่อเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
**********
เช้าวันรุ่งขึ้น
อู๋หมิงวิ่งเข้ามาภายในห้องโถงอย่างรีบร้อน
“มีเรื่องอันใด เจ้าถึงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแบบนี้”
อี้ชิงถามก่อนที่อู๋หมิงจะโค้งให้
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ พอดีข้าน้อยเพิ่งได้รีบข่าวด่วนมา”
“ข่าวด่วนอะไรอีก”
“ใต้เท้าเหรินถูกวางยาพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้อย่างไรกัน แล้วตอนนี้เล่า”
“ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อี้ชิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“แปลว่าต้องมีใครสักคนวางยาฆ่าใต้เท้าเหรินปิดปากเรื่องที่ไม่ส่งอาหารมาที่ตำหนักเย็นแน่ๆเพค่ะ”
ซื่อซื่อพูดบอกแล้วเก็บถ้วยจานอาหารเช้าออกจากโต๊ะ
“รู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ”
อี้ชิงถามต่อ
“เห็นบอกว่าเป็นนางกำนัลที่ชื่อฉิงฉินพ่ะย่ะค่ะเพราะนางเป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในวังตอนนี้”
“ฉิงฉินอย่างนั้นรึ”
ซื่อซื่อถามย้ำก่อนที่อู๋หมิงจะพยักหน้า
“นางเป็นนางกำนัลตำหนักไหนรึ?”
อี้ชิงถามก่อนที่ซื่อซื่อจะหันมามองอี้ชิง
“นางเพิ่งย้ายมาทำงานที่ห้องเครื่องเพค่ะพระสนม”
“นางโดนย้ายมาจากตำหนักไหน”
“ตำหนักพระสนมเซียงเพคะ”
“สนมเซียง”
อี้ชิงทำหน้าครุ่นคิดพยายามจะคิดให้ออกว่านางเป็นใครแต่สุดท้ายก็นึกไม่ออก
“เป็นพระสนมเอกที่ฝ่าบาททรงโปรดคนหนึ่งเพค่ะ แล้วก็….”
“ไม่ถูกกับข้าด้วย”
ซื่อซื่อพยักหน้าช้าๆ
“บางทีก็อาจจะไม่ใช่คำสั่งของพระสนมเซียงก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่าอย่างไร?”
อี้ชิงถามอย่างสงสัย
“นางอาจจะทำงานในตำหนักพระสนมเซียงก็จริงแต่บางที่นายเหนือหัวของฉิงฉินอาจจะไม่ใช่พระสนมเซียงก็ได้นะสิเพคะ”
ซื่อซื่อคลายข้อสงสัยให้อี้ชิงทำเอาเด็กหนุ่มในร่างของฮองเฮาถึงกลับเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน
“ในวังหลวงแห่งนี้ช่างมีแต่เรื่องที่ทำให้ข้าตกใจได้ทุกวันจริงๆ”
“มีมากกว่านี้อีกเพค่ะหากท่านอยากรู้”
ซื่อซื่อบอกพร้อมรอยยิ้มก่นอที่อี้ชิงจะส่ายหน้า
“แค่นี้ก็มากเกินพอที่จะทำให้ข้าปวดหัวแล้ว อย่ามีมากกว่านี้เลย”
“ข้าน้อยก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“แต่เรื่องนี้อาจจะบานปลายมากกว่าที่เราคิดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“นั้นนะสิ แค่คิดข้าก็ปวดหัวแล้วล่ะ”
อี้ชิงถอนหายใจจออกมาเบาๆ
“เฮ้อ ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเถอะ ไปดูแปลงผักสักหน่อยดีกว่า”
อี้ชิงพูดบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่แปลงผักที่ทำไว้ที่สวนข้างตำหนักตามด้วยซื่อซื่อและอู๋หมิงที่เดินตามไปช่วยอี้ชิงรดน้ำแปลงผักที่พวกเขาช่วยกันปลูก
**********
ตำหนักเซียงซิน
“ข้าไม่ได้เป็นคนสั่งนาง ถึงแม้ว่านางจะเคยเป็นคนของตำหนักข้ามาก่อนก็เถอะ”
พระสนมเซียงพูดอย่างเหลืออดเมื่อตอนนี้นางตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทำให้ใต้เท้าเหรินตาย
“ตอนนี้กระหม่อมยังไม่ได้กล่าวหาท่านแต่เพียงอยากทราบเรื่องของนางกำนัลฉิงฉินก่อนที่จะย้ายไปทำงานที่ห้องเครื่องก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารกองสืบสวนเอ่ยบอกก่อนที่สนมเซียงจะหันไปมองอย่างไม่พอใจ
“แต่การที่พวกท่านบุกมากันทั้งกรมก็แปลว่าพวกท่านกล่าวหาข้าว่าข้าเป็นคนสั่งแล้วล่ะ”
“เพื่อต้องการหาคนผิดพวกกระหม่อมต้องทำพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ หากพวกท่านต้องการแบบนี้ เชิญพวกท่านค้นตำหนักข้าได้เลย หากไม่เจอสิ่งที่พวกท่านหาข้าจะขอให้ฝ่าบาทลงโทษพวกท่านให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกกระหม่อมขอตรวจค้นตำหนักของพระสนมเอก หากไม่เจอสิ่งที่สิ่งต้องสงสัยพวกกระหม่อมยินดีรับโทษพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญ”
สนมเซียงตอบแล้วสะบัดหน้าหนีก่อนที่เหล่าทหารจะกระจายกำลังกันค้นหาทั่วตำหนักเซียงซิน
ผ่านไปไม่นานทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับของบางอย่างในมือแล้วนำมาให้หัวหน้ากองสืบสวนดู
“พระสนมเซียง กระหม่อมขอถามท่านสักหน่อยว่าสิ่งนี้ทำไมถึงมาอยู่ที่ตำหนักของท่านได้”
หัวหน้าฝ่ายสืบสวนโจเหวินหนานถามพร้อมกับขวดยาที่บรรจุยาบางอย่างอยู่ในขวดทำเอาสนมเซียงถึงกับตกใจว่าทำไมสิ่งของเช่นนั้นถึงมาอยู่ที่ตำหนักของเธอ
“ต้องมีคนจะใส่ร้ายข้าแน่ๆ”
“หากท่านว่าเช่นนั้น กระหม่อมขอนำสิ่งนี้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เสื่อมพระเกียรติ์ของพระสนม”
“ได้ พวกท่านจงตรวจสอบให้ละเอียด และข้าจะไม่ยอมให้ใครมาใส่ร้ายข้าแบบนี้แน่ๆ”
“กระหม่อมขอทูลลา”
สนมเซียงโบกมือไล่ก่อนที่เหล่าทหารจะพากันเดินออกจากตำหนักไป
“สุ่ยหลง”
“เพคะ”
“ไปสืบมาให้รู้ว่าใครมันกล้าบังอาจมาใส่ความข้าแบบนี้”
“เพคะพระสนม”
นางกำนัลโค้งลาก่อนจะรีบเดินออกไป
“ดื่มชาให้สักหน่อยเพคะ”
แม่นมคนสนิทพูดบอกเมื่อรินชาใส่แก้วให้
“มันบังอาจยิ่งที่นำขวนยานั้นมาทิ้งไว้ที่นี้ มีคนต้องการใส่ความข้าเรื่องใต้เท้าเหริน”
“ไม่นานเรื่องนี้ต้องกระจ่างแน่ๆเพคะ พระสนมอย่าได้กังวลไป”
สนมเซียงยกแก้วชาดื่มชาๆอย่างเคียดแค้นว่าใครกันช่างกล้าที่ทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ได้
เวลาเดียวกัน ที่ตำหนักใหญ่
“ได้เรื่องอย่างไรบ้าง”
อี้ฝานเอ่ยถามกับขันทีถึงเรื่องการตายของใต้เท้าเหริน
“ตอนนี้ทางกองสืบสวนกำลังตรวจสอบขวดยาที่พบที่ตำหนักพระสนมเซียงอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ขวดยาที่ตำหนักสนมเซียง”
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นของพระสนมเซียงหรือมีใครเอามาไว้ที่ตำหนักพระสนมเซียงหรือไม่”
“แล้วตำหนักอื่นละ”
“ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆพ่ะย่ะค่ะ”
“อี้หมิงละ”
“เอ่อ. . .”
“เกิดอะไรขึ้น”
อี้ฝานเงยหน้าจากกองงานตรงหน้าแล้วมองขันทีที่มีท่าทางแปลกไป
“เห็นว่ากำลังรดน้ำแปลงผักอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“แปลงผัก?”
“พ่ะย่ะค่ะ เห็นว่าทำมาได้สักพักแล้ว”
อี้ฝานขมวดคิ้ว
“อี้หมิงนะรึทำ”
“พ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกกระหม่อมก็ไม่อยากจะเชื่อแต่พอได้ไปเห็นมาแล้วก็เป็นไปตามสิ่งที่ถูกรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
อี้ฝานยิ่งขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยินมาเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนเขาเองก็รู้สึกว่าอี้หมิงนั้นดูเปลี่ยนไปมากไม่ใช่เพราะจากอาการป่วยแต่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน อี้หมิงในตอนนี้ไม่เหมือนกับอี้หมิงที่เขาเคยรู้จักและนั้นทำให้อี้ฝานรู้สึกแปลกใจและไม่เข้าใจในการกระทำของอี้หมิงในตอนนี้
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีชราถามเมื่อเห็นอี้ฝานลุกขึ้นยืน
“ไปตำหนักเย็น ข้าจะไปดูอี้หมิงเสียหน่อย”
อี้ฝานพูดบอกก่อนจะเดินออกจากตำหนักไปตามด้วยขันทีคนสนิทและองครักษ์อีกสองคนไปที่ตำหนักเย็น
ไม่นานร่างสูงใหญ่ของอี้ฝานจะมาหยุดตรงหน้าตำหนักเย็นที่ตอนนี้อี้ฝานก็ได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังออกมาเป็นระยะๆจนเขาเองต้องค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปดูเงียบๆโดยที่หันมากำชับให้ผู้ติดตามห้ามส่งเสียงให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ให้ข้าน้อยทำเถอะเพคะ”
“ไม่ต้องๆ ข้าทำได้”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์เพิ่งหายประชวรไปนั่งพักด้านในเถอะพ่ะย่ะค่ะ ทางนี้ข้าน้อยจะจัดการให้”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว พวกเจ้าอย่าเป็นห่วงไปเลยข้าทำได้”
อี้ฝานแอบมองคนทั้งสามที่แย้งกันจะรดน้ำแปลงผักก่อนที่อี้ชิงจะแย้งขันมาถือได้แล้วตักน้ำในถังมารดแปลงผักอย่างคุ้นชินและนั้นทำให้อี้ฝานอดแปลกใจไม่ได้ว่าอี้หมิงเคยทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ
“ฝ่าบาท”
ซื่อซื่อร้องออกมาอย่างตกใจก่อนจะโค้งให้ตามด้วยอู๋หมิงที่หันไปด้านหลังแล้วโค้งให้อี้ฝานแล้วรีบเดินไปยืนข้างๆซื่อซื่อก่อนที่อี้ชิงจะหันไปมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
อี้ฝานถามก่อนที่อี้ชิงจะมองขันในมือแล้วหันไปมองอี้ฝาน
“ข้ารดน้ำแปลงผักอยู่”
“เจ้าปลูกผักเองทั้งหมดเลยรึ?”
“ใช่ ข้า ซื่อซื่อ แล้วก็อู๋หมิงช่วยกันปลูก”
“ทำไมต้องปลูกด้วย ในเมื่อห้องเครื่องก็ทำสำรับมาให้พวกเจ้าอยู่แล้ว?”
“ตอนนี้อาจจะใช่ แต่วันข้างหน้าอาจจะไม่ส่งมาแบบที่เคยทำอีก ข้ากลัวว่าจะไม่มีอะไรกินเลยปลูกผักเอาไว้”
อี้ชิงตอบ
“แล้วเจ้าไปเรียนวิธีปลูกมาจากไหน ตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้าไม่เคยเห็นเจ้าทำอะไรแบบนี้”
อี้ฝานถาม
อี้ชิงเม้มปากก่อนจะหันมามองซื่อซื่อและอู๋หมิงเพื่อขอความช่วยเหลือว่าจะตอบอะไรออกไปดี
“คือความจริงแล้วเป็นข้าน้อยเองเพคะที่เคยทำงานพวกนี้มาก่อน พอฮองเฮาอยากปลูกผักพวกข้าน้อยจึงช่วยกันบอกวิธีให้ฮองเฮาทำเพคะ”
ซื่อซื่อช่วยตอบแทนส่วนอี้ชิงก็ได้แต่พยักหน้าในสิ่งที่ซื่อซื่อตอบ
“อย่างนั้นรึ”
อี้ฝานพยักหน้าก่อนจะขยับเข้ามาดูแปลงผักตรงหน้าใกล้ๆ
ก่อนจะหันมามองอี้ชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ท่านอยากลองทำหรือไม่?”
อี้ชิงถามทำเอาผู้ติดตามและคนอื่นๆต่างมองมาอย่างตกใจรวมทั้งอี้ฝานเองด้วย
“เอ่อ. . .”
“เอาสิ”
อี้ฝานตอบก่อนจะแย้งขันในมืออี้ชิงไปรดน้ำแปลงผัก
“ฝั่งนู้นด้วยสิฝ่าบาท ท่านเอาแต่รดฝั่งนี้เดี๋ยวผักของข้าก็ได้ตายหมดพอดี”
อี้ชิงบอกพร้อมชี้นิ้วให้อี้ฝานเปลี่ยนที่รดน้ำให้ทั่วทั้งแปลง
“ฝ่าบาท”
อี้ชิงเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาแต่มันก็มากพอที่จะให้อี้ฝานหันมามอง
“ข้ามีเรื่องอยากขอร้องท่าน”
“เรื่องอะไร หากไม่ยากเกินไปข้าจะจัดการให้”
“เรื่องนี้ไม่ยาก ท่านทำได้อยู่แล้ว”
อี้ชิงยิ้มออกมา
“เรื่องอะไรที่เจ้าอยากขอร้องข้า”
อี้ฝานทำเป็นเมินรอยยิ้มของอีกฝ่ายหันไปสนใจแปลงผักตรงหน้าโดยที่ภาพที่อีกฝ่ายยิ้มให้ยังคงติดตาอยู่
“ข้าอยากขอเลี้ยงไก่ได้หรือไม่?”
อี้ฝานชะงักมือก่อนจะหันมามองอี้ชิงเมื่อได้ยินสิ่งที่ร่างเล็กร้งขอ
“ไก่?”
อี้ชิงพยักหน้าก่อนที่อี้ฝานจะยกมือขึ้นอังหน้าผากเล็ก
“ทำอะไรของท่านกัน ข้าไม่ได้ป่วยเสียหน่อย”
อี้ชิงว่าแล้วปัดมืออี้ฝานออกจากหน้าผากของเขาอย่างไม่เข้าใจแถมยังมองเขาแบบแปลกๆอีกก็แค่ขอเลี้ยงไก่เอง
“เหตุใดเจ้าถึงขอเลี้ยงไก่?”
“เพราะข้าจะได้เก็บไข่ของมันมาทำอาหารอย่างไรเล่า”
“เลี้ยงไก่ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเจ้าเคยเลี้ยงไก่อย่างนั้นหรือ”
“เคยสิ ท่านยายชอบให้ข้าไปเก็บไข่มาทำอาหาร”
อี้ชิงตอบก่อนจะนิ่งไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอหลุดพูดอะไรออกไป
“น่าแปลก ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”
อี้ฝานพูดแล้วจ้องใบหน้าอี้ชิงนิ่งอย่างจับผิดส่วนอี้ชิงก็เสหลบสายตามองไปทางอื่นอย่างร้อนรน
“หากเจ้าอยากเลี้ยง พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาเตรียมให้”
“จริงหรือ ท่านจะให้ข้าเลี้ยงไก่จริงๆใช่ไหม”
อี้ชิงหันมามองอี้ฝานอย่างดีใจ
“ใช่”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อี้ชิงพูดบอกก่อนจะโค้งให้อีกฝ่าย
“หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการให้ไปบอกข้าที่ตำหนัก”
อี้ฝานพูดบอกก่อนจะวางขันในมือลงในถังไม้แล้วเดินออกจากตำหนักไปตามด้วยเหล่าผู้ติดตาม
“เจ้าว่า ฝ่าบาทจะเชื่อในสิ่งที่ข้าตอบไปหรือไม่?”
อี้ชิงถามเสียงเบา
“อาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพคะ”
“ช่างเถอะ ถ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่ฮองเฮาตัวจริงก็ดีสิ ข้าจะได้ออกจากที่นี้ไปหาท่านยายกับน้องๆเสียที”
อี้ชิงพึมพำออกมาอย่างเศร้าสร้อย
ขณะเดียวกัน
“พวกเจ้าไปสืบเรื่องของอี้หมิงมาให้ข้าทีว่าอี้หมิงเคยทำอะไรบ้างในช่วงวัยเด็ก”
“พ่ะย่ะค่ะ แล้วเรื่องไก่. . .”
“ให้คนจัดเตรียมเล้าไก่และไก่ไปให้อี้หมิงในวันพรุ่งนี้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อี้ฝานหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองตำหนักเย็นอีกครั้ง เขารู้สึกแปลกกับอี้หมิงในตอนนี้จริงๆไม่ใช่เพียงคำพูดแต่เป็นบรรยากาศรอบตัวของอีกคนที่ทำให้อี้ฝานรู้สึกว่าอี้หมิงในตอนนี้ช่างแตกต่างจากอี้หมิงในเมื่อก่อนมากแต่เขาก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น
******************************
สวัสดีทุกคนนนนเรามาต่อแล้วนะคะ
ตอนนี้เรากลับมาอยู่ไทยแล้วและตอนนี้ก็ซื้อโน๊ตบุ๊กใหม่เรียบร้อย
หลังจากนี้จะพยายามจะมาอัพให้บ่อยๆนะคะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต่างๆและคนที่รอเรื่องนี้อยู่
ขอบคุณมากๆเลยนะคะแล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
ความคิดเห็น