ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Meitantei Kaldr

    ลำดับตอนที่ #4 : คดีฆาตรกรรมนายบี (ภาคคดี)

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 54


    คาลด์และวาดิลยิ้มอย่างอารมณ์ดี กับการมาเที่ยวเมืองไทยอาทิตย์นี้

    "คาลด์ยิ้มหน่อย ชี๊ส" วาดิลกล่าวกับคาลด์พร้อมกล้องในมือกับวิวของวัดวาอารามเบื้องหลัง

    "เราไม่ได้มาเที่ยวกันนะเฟร่ย" 'ถึงขนาดให้แวะถ่ายรูปนี่มันเกินไปหน่อยมั้ง' คาลด์เอือมกับอาการกระดี้กระด้าเกินเหตุของคู่หู

    "น่า ไม่เห็นเป็นอะไรเลย" วาดิลพูดพลางสาดน้ำในขวดใส่คาลด์

    "เฮ่ย~"

     

    จริงๆ แล้วจะว่ามาเที่ยวก็ไม่ใช่ หรือจะว่าช่วงสงกรานต์ก็ไม่ใช่อีก (แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อนก็ตามที) ครั้นคงจะเป็นแค่ความเข้าใจผิดของวาดิลอยู่ฝ่ายเดียว ว่ามาประเทศนี้ต้องสาดน้ำกัน คาลด์ผู้ตัวเปียกปอนเกือบทั้งตัว เดินฝ่าผู้คนอย่างอายๆ (พร้อมสายตาจ้องมองตามอยู่หลายคู่) นำคู่หูของเขาไปยังที่พักของคนรู้จักคนหนึ่ง ในใจก็พลางคิดว่า เจ้าวาดิลมันเข้าใจผิดหรือมันตั้งใจแกล้งกันแน่นะ อย่างหลังดูท่าจะมีน้ำหนักมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าความเซ่อของคู่หูจะไม่สนับสนุนความเห็นแรก นักสืบของเราคงหมดท่าเสียเพียงนี้เป็นแน่ ไม่นานนักก็เจอแท๊กซี่ที่ยอมรับคนเปียกปอนอย่างเขาขึ้นรถ ลุงคนขับใจดีชวนคุยอย่างเป็นมิตร

    "มาเล่นน้ำสงกรานต์กันเหรอครับคุณทั้งสอง" เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบนหน้า

    "ใช่ครับลุง" วาดิลกล่าวอย่างน่าเตะเป็นที่สุด (คาลด์คิด)

    "คุณลุงครับ ขับแบบเร็วๆ เลยนะครับ ผมหนาวมาก"

    "เดี๋ยวลุงหรี่แอร์ให้ละกันนะ" คุณลุงคนขับหรี่แอร์ที่เปิดไว้เย็นเจี๊ยบด้วยความใจดี เสียที่ผิดโอกาสไปหน่อย

    'ฮัดชิ้ว~~~'

    "บอกแล้วให้นอนเยอะๆ อย่านอนดึก คาลด์ก็ไม่เชื่อ" เจ้าหนุ่มหน้าทะเล้นแซวอย่างสนุกสนานไปตลอดทาง

    "นายน่ะอย่าเอาหัวออกนอกหน้าต่างไปแลบลิ้นนอกรถละกัน" คาลด์แขวะเข้าให้บ้าง ส่วนคุณลุงคนขับก็หัวเราะชอบใจกับท่าทางของพวกเขาทั้งสองอย่างสนุกสนาน

    ...

    "ถึงแล้วครับคุณคาลด์" คนขับกล่าวอย่างยิ้มแย้มเช่นเคย

    "นี่ครับค่ารถ ส่วนนี่ทิปค่าที่รับคนเปียกๆ อย่างผมขึ้นมานะครับ" คาลด์กล่าวอย่างจริงใจ

    "ไม่เป็นไรครับ" ลุงคนขับปฏิเสธ แม้คาลด์จะคะยั้นคะยออยู่บ้าง

    "ถ้ายังงั้นหากคุณลุงมีปัญหาอะไรติดต่อพวกเราสำนักนักสืบคาลด์ได้นะครับ มาติดต่อได้ที่นี่เลยครับ เป็นบ้านของคนรู้จักของพวกเราเอง"

    "อ่ะครับ"

    "งั้นผมขอตัวเข้าไปเปลี่ยนชุดแต่งตัวก่อนนะครับ" คาลด์กล่าวขอบคุณจากนั้นจึงพากันลาคนขับรถเข้ามาในที่พัก

    +กริ๊ง กริ๊ง+ เมื่อเปิดระตูเสียงกระดิ่งน้อยก็ดังบอกการมาของผู้มาเยือน แม้จะบอกว่าเป็นที่พัก แต่ก็ไม่ใช่สถานที่เปิดให้เช่าพักอย่างเปิดเผย ออกจะเป็นที่อยู่ของเจ้าของเองเสียมากกว่า แต่มีขนาดโอ่โถงอยู่พอจะอยู่ได้หลายคนทีเดียว ทางเข้าและหน้าบ้านเป็นสไตล์ฝรั่ง ถัดไปส่วนตัวเรือนกลับเป็นสไตล์เรียวกัง ส่วนข้าวของเรียงรายแขวนตั้งมีทั้งของไทย จีน อินเดีย จะเอเชียและยุโรปล้วนแสดงรสนิยมของผู้อยู่ ทั้งสื่อถึงความกว้างขวางและเป็นนักเดินทางอยู่ในตัว หรือไม่ก็คงเป็นนักสะสมตัวยงเป็นแน่ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ธุระของเราในเรื่องที่ว่ามานี้

    "สวัสดีครับคาลด์" เจ้าของบ้านผู้ยิ้มแย้มในชุดยูคะตะออกมายังส่วนหน้าอันมีเคาเตอร์ที่เจ้าของใช้ติดต่อธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ เขาเดินเข้าไปยังหลังเคาเตอร์แล้วกล่าวต่อ "จะเข้าพักสองท่านใช่ไหมครับ"

    "ใช่ครับเรียว"

    เรียว เด็กหนุ่มอายุสิบแปดเจ้าของบ้านพัก เป็นหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อังกฤษ หน้าตาหล่อเหลาคมสัน เรือนผมสีทองยาวระต้นคอ ฉายา'อโดนิสแห่งเอเชีย' อโดนิสดังบรรยายไว้ในเรื่องซาร์ราซีน (Sarrasine) เห็นจะไม่เกินเลยชายผู้นี้ สูงร้อยเจ็ดสิบปลายๆ เขาประกอบธุรกิจส่วนตัวในหลายๆ ประเทศ และมีที่พักเฉพาะไว้ให้เช่า ตามประเทศต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งคาลด์มักใช้บริการอยู่เสมอ

    "เปียกมาเชียวนะครับ" เรียวเอ่ยขึ้นหลังจากจดรายละเอียดการเข้าพักเสร็จ "เชิญเข้าห้องพัก มาเปลี่ยนชุด เก็บสัมภาระได้เลยครับ"

    "ดีครับ ขอบคุณครับ"

    "เชิญทางนี้เลยครับ คาลด์ วาดิล"

    หลังจากเข้ามาตามส่วนหน้าแคบๆ แล้ว ถัดไปเป็นทางเดินยาวไปทั้งซ้ายขวา อ้อมกำแพงหลบสายตาก่อนเข้าบริเวณส่วนตัว ซึ่งเรียงรายด้วยไผ่ต้นเรียวดังรั้วกั้นบริเวณสวนตรงกลาง เดินถัดไปเป็นห้องหับจนลับตาตกแต่งด้วยเครื่องเรือนนานาต่างกัน แต่ละชิ้นแต่ละอันล้วนวางอย่างลงตัว ทั้งแสงเทียนเงาสลัวล้วนรับกันอย่างดีกับภาพจิตรกรรมของจิตรกรชื่อดัง

    "ข้าวของนายยังยั่วตายั่วใจขโมยเหมือนเดิมนะเรียว" คาลด์กล่าวพลางจับกรอบภาพกรอบหนึ่งขยับและมองอย่างเพ่งพินิจ

    "ก็จริงครับ แต่ก็ของปลอมหมดนั่นแหละ ปลอมพอๆ กับที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของประเทศต่างๆ เช่น มิวเซ ดวิ ลูฟวร์, หอศิลป์แห่งชาติลอนดอน และที่อื่นๆ แหละครับ ของจริงนั้นอยู่ที่สำนักงานหลักทั้งหมด รวมถึงชิ้นที่นายกับวาดิลช่วยเอามาคืนผมจากเจ้าโจรมายาน่าปวดประสาทเมื่อเดือนก่อนนั่นด้วย มันคอยจ้องสำนักงานใหญ่ผมไม่วางตาเลยทีเดียว เผลอเมื่อไหร่ล่ะลำบากทุกที เรื่องนี้ใครมาก่อนได้ก่อน ใครใคร่ซื้อซื้อมาได้ก็ได้ไป แต่เจ้าพวกโจรพวกนี้น่ะสิไม่รู้รับใบสั่งของใครมา"

    "แล้วทำไมนายไม่เอามันไปเก็บไว้ให้มิดชิดกว่านี้ล่ะ ที่นั่นนายก็ประดับหลาตามห้องแบบนี้ แม้ระบบกันขโมยของนายจะล้ำสมัยก็ตามที"

    "มันก็ช่วยไม่ได้นิครับ ผมเป็นนักศิลปะ ศิลปะน่ะมันมีไว้ให้ชื่นชม ผมก็แค่อยากเผื่อแผ่ให้แขกของผมได้สุนทรีย์ไปกับมันบ้าง นั่นไงครับเดวิด นู่นเปียตา และภาพนี้จีโอคอนดาของลีโอนาโด ความงามของเธอมีไว้ให้เหล่าบุรุษบูชาเสียจริงๆ ส่วนห้องถัดไปนั่นภาพคืนดาวเกลื่อนฟ้าของฟาน ก็อกฮ์ ตัวห้องเองเป็นห้องเสมือนไร้เพดาน เหมาะกันดีไหมครับ และไกลๆ นั่นไอริสสำหรับทางเดินริมสวน ที่มีภาพมุมสวนมอนชือฮอนของมอเนทประดับอยู่อีกฟาก อ่าห้องนั้นภาพแดคุสหรือจูบของคลิมท์ รูปทรงรวมที่สื่อได้พิกลของมันเป็นที่ชื่นชอบของคู่รักที่มาขอพักมากนะครับ ฮ่ะๆ คิดเหมือนกันไหมครับ ส่วนโถงจัดเลี้ยงริมสวนด้านนั้นประดับภาพเลอ ดิเชอนิ ดิ แคโนทิรส์ของเอรินฮวาร์ ดูเจ้าบ็อบกับนายหญิงของมันเล่นด้วยกันน่ารักดีนะครับ"

    'ดูน่าเลี้ยงกว่าเจ้าวาดิลเยอะ' คาลด์นึกพลางยิ้มไป

    "ยิ้มอะไรคาลด์" วาดิลถามอย่างพาซื่อเมื่อเห็นคาลด์ยิ้มแปลกๆ ที่มุมปาก

    "อ้อ ไม่มีอะไร ภาพมันสวยดี"

    "นั่น ผมดีใจมากครับที่แขกของผมมีหัวทางศิลปะ แล้วนี่ถึงแล้วครับห้องของพวกคุณ"

    "อืม... ภาพระเบียงร้านยามค่ำคืนของฟาน ก็อกฮ์"

    "นายรู้จักกับเขาด้วยเหรอคาลด์" วาดิลยิ้มเล่นหน้าเล่นตาใส่คาลด์ ด้วยเพราะคงเบื่อกับศิลปะเต็มที

    "เหมาะดีไหมล่ะครับคุณคาลด์ กับงานของคุณในครั้งนี้"

    "งานอะไร" วาดิลสอดขึ้น "นายจะให้คาลด์ตามหาของหายอีกอ่ะดิ คราวหลังเก็บให้มันดีๆ ดีกว่ามั้ง" วาดิลบ่นโอด

    "ไม่ใช่งานของผมหรอกครับ"

    "ใช่แล้ว งานคราวนี้เป็นของทางการน่ะ เขาให้เรามาช่วยเป็นที่ปรึกษาคดีคดีหนึ่ง"

    "มันมาตอนไหน มันมาตอนไหน" วาดิลถามอย่างหัวเสีย

    'พอดีว่าเจ้าวาน่ะ มันชอบไล่ตามบุรุษไปรษณีย์น่ะครับ ดูท่าเขาจะโกรธ มันไม่รู้หรอกครับคราวนี้ว่าบุรุษไปรษณีย์มา เพราะผมเจอเขาหน้ารั้วบ้านพอดี จึงนำเข้าบ้านด้วยตนเอง เลยขัดความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าวาดิลมัน'

    "ไม่ใช่นะเฟร่ย" วาดิลขัดขึ้นเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มๆ ของคาลด์และเดาใจได้ว่าเขาต้องกำลังโดน 'ใส่ร้าย?' "ฉันหมายถึงจดหมายน่ะมาตอนไหน ทำไมไม่บอกฉันให้รู้ล่ะว่ามีงานอะไร"

    "ก็ที่เขาเรียกกันว่า 'โร-แมน-ติก' ไงล่ะ" คาลด์กล่าวพร้อมหัวเราะก๊ากออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาบอกกับวาดิลว่ามาทำธุระเล็กน้อยที่ประเทศไทยเฉยๆ ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นงานหลักและเกี่ยวกับอะไร วาดิลจึงคิดว่าจะได้มาเที่ยวด้วยกันเสียส่วนมาก จริงๆ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะบอกอยู่หลายครั้งเหมือนกัน ยิ่งตอนโดนเจ้าวาดิลมันสาดน้ำสงกรานต์หลงเทศกาล แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้คู่หูของตนเครียดนักจึงอุบเรื่องไว้ 'จริงๆ มันก็ไม่ใช่งานใหญ่อะไร แค่ให้คำปรึกษาเรื่องคดีเฉยๆ ทำอะไรก็คงทำได้ไม่เต็มที่' คาลด์นึก

    "'โร... โรแมนติก' อะไรกัน" วาดิลโวยหน้าแดง ทำให้คาลด์และเรียวพากันขำอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสองเชื่อแล้วว่าเพื่อนตนคงคิดว่าเป็นการมาเที่ยวจริงๆ

    'แต่ฉันก็ไม่ผิดนี่หว่า ก็บอกแล้วว่ามาทำธุระ' คาลด์แก้ตัวในใจ และคิดว่าตนผิดซะที่ไหน "งั้นผมขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนละกันนะครับเรียว" คาลด์กล่าว

    เมื่อคาลด์กล่าวจบมีร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนหน้าวาดิล คาลด์ได้แต่คิดในใจว่า 'ซวยล่ะตู มันจะแกล้งอะไรเรากลับวะเนี่ย' ไม่ทันคิดจบวาดิลก็กระโดดเข้าห้องตามไปทันที

    "เฮ่ย จะทำอะไรน่ะวาดิล"

    "เงียบไปน่า"

    "เว้ย อ้า ย้ากส์"

    "ฮ่ะๆ ต้องแบบนี้"

    "เห้ย ไม่เอานะ อายเรียวมันด้วยเนี่ย"

    "แป๊บเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้วเนี่ย ใส่ง่ายจะตาย อย่าดิ้นดิ"

    "วาดิล" คาลด์พูดกัดฟันอย่างเหลืออด

    "ก็บอกว่าอย่าดิ้นไงเล่า จะเสร็จอยู่แล้ว"

    "เว้ย อ้า ย้ากส์... ไม่เอา เดี๋ยวต้องทำธุระต่อนะเฟร่ย จะให้เจอกับคุณตำรวจสภาพนี้ได้ไง"

    "เอ้า เสร็จแล้ว ฮ่ะๆๆๆ" วาดิลขำกร๊ากปิดท้าย อย่างที่เขาว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า

     

    หลังคาลด์เห็นรอยยิ้มปีศาจบนหน้าวาดิลแล้วไม่ทันที่เขาจะคิดจบวาดิลก็กระโดดเข้าห้อง พร้อมบังคับให้คาลด์รีบเปลี่ยนชุดเป็น ...ยูกาตะ ซึ่งชุดเหล่านี้ทางที่พักของเรียวจะมีเตรียมไว้ให้ลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวก เพราะเป็นชุดที่ใส่สบายเหมาะกับการสวมใส่ยามพักโดยไม่ต้องไปกิจธุระที่ไหน คาลด์ออกจากห้องมาอย่างเขินๆ เรียวยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง จากนั้นวาดิลก็เปลี่ยนชุดของตนตามออกมา

    "ทำอะไรกันครับ นานจัง"

    "ก็คาลด์อ่ะดิ ร้องขัดขืนอยู่ได้"

    "นายนั่นแหละ แล้วคำพูดนั้นมันอะไรฟระ เรียวเข้าใจผิดหมด"

    "ผมเข้าใจครับ ...หึ หึ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ" เรียวกลั้วหัวเราะอย่างสุดห้ามได้

    "แบบนั้นหมายความว่าไงฟร้า~~~~~~~~~~"

    สุดท้ายคาลด์ก็เป็นฝ่ายโดนแกล้งอยู่ดีเช่นเคย

     

    +++++

     

    "สารวัตรน่าจะใกล้มาถึงแล้ว" คาลด์กล่าวหน้าแดงๆ "ฉันขอเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน นายเฝ้าไว้ให้หน่อยนะ"

    +กึ๊ก...+

    'ทำไมเดินไม่ไปฟระ' "เห้ยจับฉันไว้ทำไม"

    "จะไปไหน ทำงานก่อน สารวัตรจะมาแล้ว หึๆ"

    "ก็จะไปเปลี่ยนชุดนี่ไง"

    "ไม่ต้องน่า ฮ่าๆ ไม่เห็นไปไรเลย" 'เจ้าคาลด์มันเขินใหญ่แล้ว หึๆ'

     

    +กริ๊ง กริ๊ง+ เสียงกระดิ่งอันจ้อย แต่ไม่อาจหลุดรอดหูวาดิลไปได้

    "นั่นไงมาแล้ว หึๆ" หลังวาดิลพูดจบเรียวก็เดินผ่านห้องของพวกเขาไป

    "ย้ากส์ ทำไง ทำไง ทำไงดี" คาลด์ชุดกระเซิงวิ่งวุ่นไปทั่วห้อง

    "นี่ที่พักที่นายคาลด์แจ้งไว้ใช่ไหม มีแขกชื่อนายคาลด์กับนายวาดิลหรือเปล่า"

    "สวัสดีครับสารวัตรชัย" เสียงเรียวดังมาแต่ไกลจากหน้าที่พัก

    "คุณรู้จักผมด้วย?"

    "ครับ คุณคาลด์กับคุณวาดิลกำลังรออยู่ครับ"

    "ก็ไม่เห็นต้องทำไรนิ" วาดิลเอนพิงแขนผิวปากเล่นอย่างสบายอารมณ์

     

    "อึ ฮึ่ม สวัสดีนายคาลด์และนายผู้ช่วย ถ้าฉันฟังไม่ผิดพนักงานแจ้งว่านาย 'รอ' ฉันอยู่แล้วไม่ใช่รึ"

    "คร้าบ ครับ กำลังรอท่านสารวัตรอยู่นั่นแหละครับ" วาดิลตอบเสียงเจื้อยแจ้ว

    "..." -> คาลด์ นั่งทำตาปริบๆ

    "ถ้างั้นเรามาเริ่มกันเลยละกันนะนายคาลด์ เอ้าจ่าสิงห์เอาเอกสารเข้ามา"

    "ครับ"

    "นี่เป็นสำนวนคดีที่เราทำกันมาจนถึงตอนนี้ ฉันจะสรุปให้ฟังละกันแล้วนายก็ทำหน้าที่ของนายไปอย่างคราวที่แล้ว"

    "ครับสารวัตร" คาลด์ตอบ

    "เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นายบีหรือนายประมวล ทองรัตนาวรรณถูกฆาตรกรรมคาห้องพักชั้นห้า ห้องห้าหนึ่งสี่ คาดว่าสาเหตุคือถูกทุบศีรษะด้วยของแข็ง ในที่เกิดเหตุมีที่เขี่ยบุหรี่อาบเลือดที่พิสูจน์ทราบว่าเป็นของผู้ตาย สภาพในห้องถูกรื้อค้นแม้ไม่กระจัดกระจายนัก แต่จากสภาพแล้วทรัพย์สินผู้ตายน่าจะถูกขโมยไป ประมาณว่าโจรฉวยอะไรได้ก็ฉวยๆ เอา โดยเฉพาะทรัพย์สินในกระเป๋าตังค์ อาจจะไม่มีเวลานักก็ได้"

    "ฆาตรกรรมชิงทรัพย์?" วาดิลแทรกขึ้น

    "เราก็เกือบคิดว่าอย่างนั้น เพราะผู้ตายชอบสูบบุหรี่จึงชอบเปิดประตูคาไว้ ถึงแม้จะเป็นชั้นห้าแต่ว่าหอพักไม่ค่อยมีระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิดก็ไม่ทั่วถึง แต่ว่า... ฟังฉันให้จบก่อน ผู้ตายน่ะทิ้งไดอิงเมสเซจไว้ แบบนี้" สารวัตรพูดพลางส่งเอกสารให้คาลด์ โดยมีวาดิลร่วมวงด้วย

    "แล้วพวกเพื่อนกับคนข้างๆ ห้องล่ะครับ มีใครน่าสงสัยบ้าง" คาลด์ถาม

    "ข้างๆ ห้องเขาน่ะว่างเป็นส่วนใหญ่ มีห้องหนึ่งก็เป็นห้องที่ครอบครัวพักอาศัย แต่เขาไปพักร้อนกัน นายก็รู้นี่ว่าช่วงนี้เด็กๆ เขามักจะปิดเทอมกัน เพิ่งกลับมาก็ตอนร่วมพบศพกับเจ้าของหอนี่แหละ ตอนนี้เรามีผู้ต้องสงสัยคือกลุ่มที่ผู้ตายรู้จักอยู่สี่คน"

    "ครับ"

    "ไดอิงเมสเซจเป็นตัวอักษรเลือดเขียนว่า 'ชี่อสม' เป็นชื่อใครหรือเปล่า" วาดิลถามขึ้น

    "ชื่อผู้เกี่ยวข้องล่ะครับ" คาลด์ถาม

    "จากข้อสันนิษฐานของตำรวจก็เป็นไปในทำนองนั้น เรามีผู้ต้องสงสัยสี่ราย รายแรกชื่อนายแบงค์ - สมชาย"

    "นั่นแหละ คนนั้นแน่เลย" วาดิลพูดขึ้น

                    "ใจเย็นๆ วา" คาลด์กล่าวนิ่งๆ

                    "ถ้ามันง่ายอย่างนั้น เราคงไม่เชิญพวกคุณมา แต่มันมีปัญหาอยู่คือเราหาหลักฐานไม่ค่อยได้"

                    "รอยเลือดนั่นไงหลักฐาน" วาดิลรีบสรุปด้วยความดีใจ 'จะได้ไปเที่ยวกับคาลด์สักที'

                    "เย็นไว้วา" คาลด์ปราม "ต่อเลยครับสารวัตร"

                    "นายแบงค์เป็นเพื่อนของผู้ตาย รายที่สองนายอินทร์ - วิษณุ เป็นรุ่นน้องของผู้ตาย รายที่สามนางสาวแตง - ปวีณา แฟนสาวผู้ตาย รายสุดท้าย นายเต้ย - สาธรณ์ ตัวเจ้าของหอพักเอง ว่ากันต่อถึงไดอิงเมสเซจ เขียนไม่ชัดเท่าไหร่นัก อย่างที่นายทั้งสองคนเห็น ผู้ตายเขียนคร่าวๆ ว่าชี่อ หวัดแบบสระอี ไม่มีปัญหาอะไร พอเดาได้ ตามมาด้วยคำว่าสม"

                    "ผู้ตายคงหมดแรงเนอะคาลด์ไม่มีช่องไฟอะไรเลย"

                    "เรื่องนั้นคงไม่มีปัญหา" สารวัตรกล่าว "หวัดๆ บ้าง แต่ยังดีอุตส่าห์มีแรงเขียนมาสองตัว ดูตัวที่เหลือแทบไม่มีแรงกด เห็นเป็นสองจุด ก่อนขาดหายไปแล้วลากเป็นเส้นยาวก่อนจบลงด้วยจุดสุดท้ายที่นิ้วมือวางอยู่ เราสันนิษฐานว่านายสมชายนี่แหละ 'สม---' ผู้ตายก็หมดแรงตายพอดี ใช่มันต้องเป็นแบบนั้น" สารวัตรกล่าวสรุปอย่างภูมิใจ

                    "แต่ก็แปลกนะครับ เขียนไว้หลาขนาดนี้ ทำไมคนร้ายไม่เห็นมัน"

    "เขาอาจจะออกไปก่อนก็ได้นะคาลด์"

    "แล้วพบศพหลังเสียชีวิตมานานเท่าไหร่ครับ"

    "คงราวหนึ่งวันหลังเกิดเหตุ จากการพิสูจน์ศพล่ะนะ แต่ตามที่เขี่ยบุหรี่ไม่มีรอยนิ้วมือคนอื่นเลยนี่สิ เหมือนเพิ่งถูกล้างมาก่อนนำมาใช้ ขี้บุหรี่กองย่อมก็ตกอยู่แถวนั้นล่ะนะ ที่เป็นปัญหาคือแม้แต่รอยนิ้วมือคนร้ายก็ไม่มี"

    "ทางตำรวจตรวจสอบยี่ห้อจากขี้บุหรี่ดูจะดีไหมครับ" คาลด์เสนอ

    "คงไม่ได้หรอก เป็นการยุ่งยากน่ะ ประเทศเราไม่ได้ใช้กระบวนการเหมือนประเทศของนายหรอกนะ หลักฐานที่นายจะใช้พิจารณาได้ก็มีแต่หลักฐานที่เรามีให้เท่านั้น"

    'อยากงับคอนัก' วาดิลนึก

    "นายก็คงรู้ว่าวัฒนธรรมการทำงานมันต่างกันไป ฉันก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ"

    "นี่แน่ะ สารวัตรผมขอทีเถอะ อย่างน้อยคุณสอบถามให้ผมหน่อยนะครับว่าใครสูบบุหรี่บ้าง"

    "ได้ เล็กน้อยแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก จ่าโทรไปบอกสิ ให้พนักงานสอบสวนสอบถามจากบุคคลรอบข้างผู้ต้องสงสัย เอาให้ชัดหน่อยนะ"

    'โอเค งั้นถึงปัญหาหลักล่ะ' คาลด์นึก "เหตุจูงใจและพยานที่อยู่ของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้างครับ"

    "เริ่มด้วยคนแรกนายแบงค์ เราเรียกนายสมชายละกันเนอะ จะได้จำได้แบบสัมพันธ์กับรูปคดีหน่อย เขาคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับผู้ตาย เรียนมาด้วยกัน จากการสอบสวนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ทั้งด้านผู้หญิง การเงินหรือการเรียน แต่เขามาเที่ยวที่บ้านนายบีบ่อยๆ ชื่อมันก็บ. เหมือนกัน สองบ. เนี่ยดูท่าจะซี้กันนะ ฟังจากเพื่อนๆ เขา ก็ดูจะไม่เชื่ออยู่เหมือนกันว่านายสมชายเนี่ยไปฆ่านายประมวล นายประมวลยังชอบพูดบ่อยๆ เลยว่าห้องพักนี่ไม่ใช่ห้องของตนเองแต่เป็นห้องของเขา"

    "แล้วใครจ่ายค่าห้องล่ะครับ"

    "ทางตำรวจก็สอบถามแล้วเหมือนกัน ก็นายประมวลนั่นแหละจ่ายเอง"

    "ว่าต่อเลยครับ"

    "นายวิษณุ เป็นรุ่นน้องน่ะ ก็เคยทำงานร่วมกันมาหลังศึกษาจบ นายวิษณุกับนายประมวลเปิดร้านกันที่ชั้นแรกของอาคาร เป็นอิเล็กทรอนิคช็อป ชื่อ 'Bin Shop' นายวิษณุก็เคยพักอยู่ที่หอพักนี้ แต่ภายหลังก็แยกตัวไปเปิดร้านที่อื่น เขาว่าร้านเขาเติบโตแล้วจึงมาเยี่ยมหลังไม่ได้พบกันนาน ร้านพวกเขาก็อยู่กันชั้นหนึ่งล่ะนะ ห้องหนึ่งศูนย์สาม เอ้ยไม่ใช่ ห้องหนึ่งศูนย์ห้าน่ะ คืองี้ ผู้ดูแลหอเล่าให้ฟังว่าตอนแรกเขามีร้านที่ห้องหนึ่งศูนย์ห้า แต่หลังจากนั้นหนึ่งศูนย์สามซึ่งอยู่ข้างๆ ว่าง เขาจึงขอย้ายห้องมาห้องหนึ่งศูนย์สาม โดยให้เหตุผลว่ามันเหมาะจะเป็นห้องตนเองแต่แรกแล้ว โดยมีชื่อเขาอยู่หน้าห้อง ก็ป้ายที่เขาทำเองนั่นแหละติดป้ายหน้าประตูว่า 'shop นายบี' ผู้ดูแลหอเองก็ไม่เข้าใจ ข้ออื่นก็แค่ตัวห้องจะกลับด้านกัน เช่น ห้องน้ำฝั่งซ้ายเป็นฝั่งขวา เป็นต้น จึงเดาว่าเขาคงถือเรื่องเคล็ดเรื่องดวงอะไรเทือกนี้ ห้องหนึ่งศูนย์ห้าก็มีคนมาเช่าต่อในภายหลัง จากการสอบถามเจ้าของคนใหม่ก็ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุให้น่าย้ายไปห้องอื่น"

    "รายที่สามก็แฟนสาวคือนางสาวปวีณา รายนี้มาหอเป็นระยะเช่นกัน ก็ฟูมฟายบ่นนายสมชายว่าไม่คิดว่าจะทำอย่างนี้ เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับแฟนตน ตอนแรกตนยังบ่นแฟนว่าทำไมบอกว่าห้องพักเป็นห้องของเขา ก็เห็นแฟนยิ้มๆ เหมือนพูดเล่นกัน ก็ไม่ได้สงสัยอะไร พอมาเกิดเหตุก็เดาว่านายสมชายเนี่ยต้องมีปัญหาเรื่องเงินกับแฟนของตนแน่ๆ แต่พอซักไซ้ไปก็ไม่ได้ความอะไร ยังบอกเองว่าแฟนตนก็มีเงินชักหน้าถึงหลัง ไม่ติดขัดอะไร ค่าห้องเขาก็จ่ายแบบรายปีล่วงหน้าไปเลยนา แต่แฟนตายไปหล่อนก็คงไม่ได้อะไร เพราะไม่ได้แต่งงานกัน ยังคบคบกันอยู่เฉยๆ เพราะทั้งคู่ก็ยังหนุ่มยังสาวอยู่"

    "รายสุดท้ายก็เจ้าของหอพัก ซึ่งเขาอาจจะมีกุญแจเข้าห้องพักแล้วเข้าไปทำร้ายนายประมวลก็ได้ แต่เราค้นประวัติดูนายนี่ก็ไม่ได้ค้างค่าห้อง ก็คงไม่ใช่ประเด็นปัญหาด้านนี้"

    "สรุปผู้ตายไม่ได้มีปัญหาด้านการเงิน" คาลด์สอบถามโดยสรุป

    "ถูก" สารวัตรตอบกลับอย่างกระชับ

    "แล้วนายสมชายว่าอย่างไรเรื่องการจ่ายค่าห้องให้เพื่อน"

    "เขาปฏิเสธ บอกว่าเขาและเพื่อนไม่เคยยุ่งเรื่องการเงินซึ่งกันและกัน ทั้งเพื่อนเขาก็มีการเงินคล่องตัว ...ว่าต่อเลยนะ" สารวัตรกล่าว คาลด์พยักหน้ารับ

    "สำหรับหลักฐานที่อยู่นั้นสืบได้ยาก ตั้งแต่หนึ่งวันก่อนพบศพตอนเช้านายประมวลอยู่กับแฟนจากนั้นแฟนก็ออกไป หล่อนให้การว่านายประมวลล้างที่เขี่ยบุหรี่และบอกจะรอนายสมชายเพื่อคุยธุระ ส่วนหล่อนไปดูหนังกับเพื่อน จากนั้นไม่ได้เข้าหอเลยจนถึงตอนนี้ เป็นอันว่าพ้นจากข้อสงสัย เราสามารถรู้ได้ว่าใครไปที่หอโดยอาศัยกล้องจากในลิฟท์และบันไดที่ชั้นแรก ซึ่งโชคดีที่ถึงแม้จะน้อยแต่มันติดไว้เพื่อใช้งานจริงๆ ยกเว้นพวกเขาหายตัวจากกล้องที่ในลิฟท์และบันไดได้" สารวัตรกล่าวอย่างอารมณ์ขันก่อนเล่าอย่างขึงขังต่อ "นายสมชายอยู่กับเพื่อนๆ ในวันนั้น แต่ก็แวะไปที่หอ เขาไปหานายประมวลหนึ่งวันก่อนพบศพ บอกว่าอยู่ด้วยกันในห้องพักชั่วโมงหนึ่งมาคุยเรื่องนัดกินเลี้ยงกับพวกเพื่อนๆ นายประมวลไม่ได้สูบบุหรี่เพราะเกรงใจเขาและถาดบุหรี่น่าจะไม่มีขี้บุหรี่อยู่จนเขาออกมา โดยไม่คิดว่านายประมวลจะมาถูกฆ่าแบบนี้ น้ำเสียงเขาก็ฟังสะเทือนใจนะ แต่เราไม่ค่อยเชื่อเขานัก เพราะคำให้การเขาขัดกันกับหลักฐาน เศษบุหรี่มันเยอะอยู่ ไม่น่าจะสูบไหวในคราวเดียว ผมว่านายประมวลอาจเริ่มสูบบุหรี่ระหว่างรอเขา ตัวเขาก็ไม่สูบบุหรี่อาจจะดูไม่ออกจึงโกหกออกมาเช่นนั้น แล้วเขาคงคิดว่าทางเราคงไม่รู้ด้วยว่าที่พื้นเป็นขี้บุหรี่นะ หึ" สารวัตรกล่าวโดยฉายแววผู้รู้ทันบนใบหน้า

    "ต่อมานายสาธรณ์ขึ้นไปข้างบนพักหนึ่งโดยรวมราวห้านาที ค่อนข้างจะเร่งรีบจากท่าทีการกดปิดลิฟท์ เขากดขึ้นไปที่ชั้นของเขาคือชั้นหก ห้องหกหนึ่งห้า และลงมาพร้อมกล่องเครื่องมือช่าง เขาอ้างว่าเขามานำกล่องเครื่องมือช่างที่ลืมไว้ในห้องเขาบนหอพักเพื่อนำไปใช้ที่บ้านจริงๆ ของเขา เขาจึงไม่ได้เข้าใกล้ห้องของผู้ตายเลยจนมาพบศพ ถ้าดูจากกล้องที่ติดไว้มันก็เป็นเช่นนั้น"

    "ส่วนนายวิษณุขึ้นไปหลังจากนั้น ราวสิบนาทีเห็นจะได้ เขาว่ารอรุ่นพี่อยู่หน้าห้อง เคาะไม่มาสักทีคิดว่านอนกลางวันเพราะเหนื่อยจากงานทางร้าน แฟนเขากล่าวสนับสนุนในข้อนี้ว่าเขามักจะพักตอนกลางวันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากการเป็นตัวแทนการค้าของเขากำลังรุ่ง เขาจึงต้องคอยลงบัญชีเป็นพัลวัน เขาคงนอนพักอยู่...ถ้าเขายังไม่ตายนะ" สารวัตรออกความคิดเห็นปิดท้าย "เขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตอนนั้นนายประมวลจะถูกโจรปล้นฆ่านอนตายอยู่ในห้อง เขากล่าวกับเราอย่างสลด"

    "สุดท้ายนายสาธรณ์มาพบศพเย็นวันถัดไปก็ตอนเห็นว่านายประมวลไม่ลงมาขายของเหมือนทุกที แฟนเขาก็ไม่ได้เข้ามาจึงขึ้นไปดู เขาบอกว่าเขาเคาะดังมากก็ไม่มีใครตอบรับ จนครอบครัวข้างห้องกลับมาพอดี ด้วยความที่เขาก็สนิทกับผู้ตายระดับหนึ่งผนวกกับความสงสัย เขาจึงขอให้ครอบครัวนั้นช่วยมาดูกับเขาด้วย เขาขึ้นไปเอากุญแจห้องนายประมวลจากห้องเขา ซึ่งจะเก็บกุญแจห้องที่อนุญาตให้เขาเก็บเอาไว้ ห้องนายประมวลไม่ได้กำลังล็อกจากกุญแจอีกตัวข้างนอกด้วย จึงไขเข้าไปได้ตามปกติ จากนั้นพวกเขาก็พบศพ แม่ก็รีบนำเด็กกลับห้องของตน ฝั่งพ่อก็อยู่เฝ้ากับนายสาธรณ์ขณะเขาโทรแจ้งรถพยาบาลและตำรวจ รอจนตำรวจไปถึงเลยทีเดียว สามี ภรรยาคู่นั้นและเจ้าของหอ เป็นพยานร่วมกันว่าไม่มีใครย่างกรายเข้าไปยุ่งกับผู้ตาย เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าไม่ควรไปยุ่งกับศพผู้ตาย พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นการรื้อค้นด้วยซ้ำ"

    "เอาล่ะ มีอะไรจะถามไหม"

    "ไม่ทราบว่าตอนนี้แจ้งให้ใครทราบหรือยังว่าผู้ตายมีของอะไรหายไปบ้าง"

    "ยัง แต่ควรจะไปกระจายข่าวให้ช่วยกันจับตามองไหม"

    "ดีแล้วครับที่ปิดไว้ คนร้ายจะได้ไม่ระวังตัวด้วย"

    "ดี มีอะไรจะถามอีกไหม"

    "ตอนนี้ยังไม่มีครับ"

    "หน้าที่ของนายเหมือนครั้งก่อน เราคงหวังให้นายช่วยหาหลักฐานจนรวบตัวคนร้ายเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ได้ คนร้ายจริงๆ มันก็มักจะไม่ได้รับสารภาพง่ายๆ เหมือนในนิยายแม้หลักฐานจะโยงๆ มาถึง ถ้ามันไม่รัดตัวจริงๆ นายเพียงแต่แนะนำเราว่าคนร้ายน่าจะเป็นใคร ทางเราจะได้ตามหลักฐานง่ายๆ ไม่พลาดโอกาสให้คนร้ายมันทำลายหลักฐานต่างๆ ไป และจริงๆ เราก็ไม่ได้อยากให้นายเข้ามายุ่งในการสืบสวนอันเป็นหน้าที่ของทางตำรวจ หวังเพียงว่าคำแนะนำที่นายให้มาจะเป็นประโยชน์น่าพอใจอย่างครั้งที่ผ่านๆ มา"

    "ได้ครับสารวัตร ผมทราบดี" คาลด์ทราบหน้าที่ของเขาดี เพราะยุคสมัยอันเปลี่ยนไปและชีวิตจริงที่มันไม่เหมือนในนิยายเท่าไรนัก การจ้างวานจากรัฐมักจะเป็นไปในแง่นี้เสมอ จริงๆ เขาไม่ควรจะได้งานจากภาครัฐด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะประวัติงานที่เขาเคยทำมา งานโดยทั่วไปน่าจะเป็นการช่วยสืบหาข้อมูลจำเพาะหนึ่งหรือสองอย่างที่เสียเวลาหรือติดตามใครสักคน ภาครัฐจึงจ้างนักสืบเอกชน "นั่นไงจ่าสิงห์มาแล้วพร้อมข้อมูลที่ผมอยากทราบอีกนิดหน่อย"

    "เอาเลยจ่า รายงานผลการสืบสวนเพิ่มเติมเลย"

    "นายวิษณุกับนายสาธรณ์สูบบุหรี่เป็นนิสัยครับ ส่วนอีกสองคนไม่สูบบุหรี่ครับ"

    "ดีครับจ่า ผมได้เหตุผลสนับสนุนแนวความคิดเพิ่มขึ้นอีกข้อ"

    "ผมไม่เห็นมันจะมีประโยชน์ตรงไหนเลย" สารวัตรพูดขึ้นในที่สุด

    <ท้าทายให้ผู้อ่านบอกว่าใครเป็นคนร้าย คาดเดาถึงสาเหตุจูงใจ พร้อมกับหลักฐานชี้ตัวเท่าที่เป็นไปได้นะครับ>

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×